ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ღ Rival or Lover ღ :: kai x sehun ::

    ลำดับตอนที่ #7 : Rival or Lover :: 6 ::

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 55



                เปลือกตาปรือเปิดยามที่เจ้าของรู้สึกรำคาญเสียงหวีดร้องของโทรศัพท์บนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียงซึ่งเตือนบอกเวลาที่ตั้งเอาไว้ มือหนาควานหาเครื่องมือสื่อสารเพื่อจะหยุดมัน ขมวดคิ้วเล็กๆเมื่อทิ้งไว้สักพักไม่มีแววของคนที่น่าจะกดปิดมันแล้วเปลี่ยนเจ้าเสียงของนาฬิกาปลุกเป็นเสียงโวยวายของเจ้าตัวเสียแทน


                ติ๊ด


                สัมผัสหน้าจอแผ่วเบาแล้ววางตัวปัญหาเอาไว้ที่เดิม ผงกหัวขึ้นจากหมอนได้ก็หันไปมองที่ว่างข้างกายไร้ซึ่งใครอีกคนที่ปกติมักจะนั่งทำหน้าบึ้งแล้วก็บ่นว่าเขามันนอนกินบ้านกินเมือง แต่ก็ไม่มี และไม่มีก็ใช่ว่าคิมจงอินจะสนใจ กายสูงลุกขึ้นจากที่นอนนุ่มสบายพาตัวเองให้เข้าไปในห้องน้ำแล้วจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย


                ไม่กี่นาทีเท่านั้น เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งที่มีเพียงผ้าขนหนูคลุมช่วงล่างอวดเนื้อเนียนเข้มสวยและมัดกล้ามพอดีๆเหมาะกับร่างกายสูงโปร่งก็เดินออกมาเลือกเสื้อผ้าที่จะใส่ไปรับน้องที่ต่างจังหวัด ทว่าพอเปิดประตูตู้ไม้ใหญ่ เสื้อผ้าที่ควรจะแน่นไปด้วยของใครอีกคนกลับหายไป เหลือไว้เพียงของของตัวเองที่ใส่ประจำ


                คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆอย่างแปลกใจ ก่อนจะรีบแต่งตัวให้เสร็จสรรพด้วยเสื้อยืดแขนยาวลายขวาง ส่วนผสมของสีขาวน้ำเงินแดง เข้ากันกับกางเกงยีนสีน้ำเงินเข้ม จงอินสะบัดผมหน้าม้าเล็กน้อยพอเป็นพิธี ก่อนจะปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องนอน โดยไม่ลืมหิ้วกระเป๋าเป้ใบโตที่จัดของไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อเย็นวาน


                สิ่งแรกที่มองหาหลังจากเท้าเหยียบลงบนพื้นของบ้านชั้นล่างคือใครสักคน ใครสักคนที่ไม่เห็นหัวตั้งแต่เช้า และใครคนนั้นที่ทำเหมือนกับว่ายอมถอยออกไปจากชีวิตของเขาแล้วจริงๆ


                “แม่ครับ เซฮุนล่ะ” เดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางนิ่งๆ ราวกับคำถามที่ส่งออกไปนั้นเจ้าตัวไม่ได้อยากรู้มากมายอะไรนัก ก้านนิ้วเรียวจับส้อมที่วางบนจานสีขาวแล้วจิ้มผลไม้ฝรั่งเข้าปาก เพียงนัยน์ตาสีน้ำตาลที่เหลือบมองรอยยิ้มขำของคนเป็นแม่แล้วก็ขมวดคิ้วเล็ก มองหนังสือคู่มือกลยุทธ์อะไรสักอย่างถูกวางลงบนฟูกนุ่มข้างกายสมส่วน


                “น้องออกไปจากบ้านแต่เช้ามืดแล้วลูก เห็นบอกว่าจะไปทำงานของคณะที่ต่างจังหวัดสองสามวัน”


                “ไคไม่เห็นรู้เรื่องเลย” จำได้ว่าเด็กแพทย์เขารับน้องที่มหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือไง แล้วไอน้องชายห่างๆนั่นไปทำไมกันต่างจังหวัด แล้วไปทั้งทีมันขนเสื้อผ้าไปหมดตู้เลยหรือไง


                “สงสัยน้องไม่อยากกวนเราน่ะ ..น้องขอแม่ไม่ให้บอกพ่อด้วยนะ เพราะเดี๋ยวคนแถวนี้จะหงุดหงิดที่โดนพ่อออกคำสั่งอีก”


                ประโยคยาวของคู่สนทนาทำให้คิมจงอินชะงักไป มือที่กำลังจะจิ้มฝรั่งเข้าปากแทนข้าวเช้าหยุดกึก ช้อนเปลือกตามองใบหน้าของแม่เล็กน้อยก่อนจะหลุบต่ำจ้องผลไม้แล้วส่งเข้าปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


                “อย่างนั้นเหรอครับ”


                “จ้ะ”


                “ไคก็ถามดู ตื่นมาไม่เห็นตัว ของก็ไม่อยู่สักชิ้น”


                “น้องย้ายไปนอนอีกห้องที่ว่างอยู่แล้วล่ะ บอกว่าอึดอัดนอนสองคนไม่สะดวก ข้ออ้างเยอะแยะจนแม่ฟังแทบไม่ทัน เชื่อไหมว่ามาเป็นชุดเลย แต่ไม่มีคำไหนพาดพิงถึงไคสักนิดเดียว” รอยยิ้มใจดีปรากฏบนหน้าของหญิงวัยกลางคน เธอเลื่อนแก้วน้ำส้มคั้นของตนเองไปตรงหน้าของลูกชายคนโต และแม้ว่าจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เธอก็ผูกพันราวกับคลอดออกมาเองอย่างไรอย่างนั้น


                คิมจงอินเลิกสนใจผลไม้หวานน้อยตรงหน้า กรามเรียวได้รูปขยับเคลื่อนเคี้ยวเบา หากแต่ดวงตากลับแสดงบางสิ่งบางอย่าง อะไรบางอย่างที่เหมือนว่าคนเป็นแม่จะจับสังเกตได้ คล้ายว่ามันกำลังสะท้อนภาพของใครบางคน คละแววสับสนอย่างที่เจ้าตัวเองก็คงไม่ทันรู้และไม่เข้าใจ


                “ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับ ใกล้เวลานัดรวมตัวแล้ว”


                “เดินทางดีๆนะลูก อย่าลืมทานข้าวด้วยนะ” เงยหน้าเอ่ยกับอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เจ้าตัวหยิบเป้ขึ้นสะพายบ่าแล้วยิ้มรับ คนอายุมากกว่าพอเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกสนุกแปลกๆที่ได้ไล่ต้อนลูกชาย เมื่อเช้าก็จัดการคนรองจนอึกอักไปแล้ว “หรือถ้ากลัวเหงา แม่จะบอกให้น้องกลับไปนอนด้วยดีไหม”


                “ไม่ล่ะครับ”


                แทบจะทันทีที่ปฏิเสธ ก่อนจะสาวเท้ากาวยาวออกจากบ้านไป กระทั่งบัดนี้จงอินก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าโอเซฮุนไปไหนกันแน่


     

    * * * * *


     

                “เดี๋ยวน้องๆ ที่อยู่สาขาเครื่องกลไปขึ้นรถบัสคันนั้นเลยนะ ..ส่วนสาขาเดียวกับผมขึ้นคันนี้” อู่อี้ฝานออกคำสั่งด้วยเนื้อเสียงเรียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงตรวจเช็ครายชื่อของเด็กใหม่แล้วม้วนให้กำได้ถนัด รุ่นพี่ปีสี่ที่เป็นตัวแทนในการดูแลน้องๆจากสาขาวิศวกรรมโยธา เน้นด้านการออกแบบตึก อาคาร ถนนหนทางมากมาย ดวงตาคมสองชั้นหลังแว่นไร้เลนส์กรอบสีดำอันโตเบนมองกายสูงโปร่งของคิมจงอินที่กำลังสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ โดยมีเด็กใหม่เดินตามมาด้วยสามสี่คน “อะไร?”


                “คันนั้นเต็ม จะมาขอนั่งไปกับคันนี้ น้องมันนั่งไม่พอ” ประธานโครงการถึงกับต้องเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อสนทนากับคนที่ตัวสูงกว่า สัมมาคาราวะนานๆครั้งจะมีที หากแต่คนอายุมากกว่าก็ไม่ได้ถือสา


                “เออๆ งั้นก็ขึ้นรถเลย” ว่าจบก็ก้าวยาวไปขึ้นรถทางประตูด้านหน้าที่เปิดรออยู่ก่อนแล้ว


                ใบหน้าคมเข้มของคิมจงอินดูเรียบเฉย ไม่แสดงอาการอะไร ก่อนจะพยักพเยิดให้น้องๆผู้ชายที่เดินตามหลังมาขึ้นไปจับจองที่นั่งที่ว่างอยู่พอตัว เมื่อเห็นว่าน้องๆก้าวขึ้นครบทุกคน เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งจึงเดินตามแผ่นหลังกว้างของอู่อี้ฝานเพื่อหาที่สำหรับตนเองซึ่งโดนพยอนแพคฮยอนไล่มาเช่นกัน ความจริงเพื่อนตัวดีมันไล่ปาร์คชานยอลที่เสนอหน้าจะไปคันนั้นให้ได้ แต่จงอินเอือมกับเสียงแว้ดๆที่คอยกร่นด่าก็เลยเสนอตัวมาเอง


                ขาวเรียวยาวก้าวช้าขึ้นจากด้านหน้าตัวรถ สอดสายตามองหาที่นั่งที่พอจะว่างให้เขา และตอนนั้นเอง.. ยามเลื่อนสายตาถัดจากเบาะของอู่อี้ฝานกับลู่หานไปด้านหลัง ดวงตาเรียวสวยแต้มอายไลน์เนอร์ของคนคนนั้นก็ช้อนขึ้นมองมาทางเขาเช่นกัน เรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ผิวเนื้อสีขาวจัดและริมฝีปากสีแดงเบาบาง มีคนเดียวในโลกที่เมินเขาอย่างไม่ปกปิดด้วยการเบนสายตาไปทางอื่น


                โอเซฮุน?


                ไม่รอช้ารีบสาวเท้าเดินเข้าไปถาม หรือหาเรื่องกันก็ไม่แน่ใจ


                “ใครให้นายไปด้วยฮะ โกหกแม่ว่าจะไปทำงานของคณะที่ต่างจังหวัด แล้วเสนอหน้ามาอยู่นี่ได้ไง” วางมือบนพนักพิงของเบาะนุ่ม เป็นการเริ่มต้นบทสนทนาอันชวนพาเรื่องน่าปวดหัวมาให้อีกสองคนที่เงี่ยหูฟังอยู่ด้านหน้าเสียจริงๆ


                “ตรงไหนเหรอที่บอกว่าฉันโกหก” ม่านตากลมสบสู้ มองพี่ชายตัวเองด้วยสายตาที่ตนจำได้ดีว่าอีกฝ่ายใช้มันมองเขาอย่างไร “แล้วเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับนายนะคิมจงอิน พี่อี้ฝานเป็นคนชวน ถ้ารำคาญนักก็รีบๆเดินไปสักที เบื่อขี้หน้า!


                คนแก่เดือนกว่าชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงอะไรออกไป เพียงเรียวคิ้วเข้มที่เลิกขึ้นอย่างท้าทาย มุมริมฝีปากอิ่มกระตุกยิ้มพลางแค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะตัดสินใจโยนเป้ขึ้นไปด้านบน แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆที่ว่างไว้ ทำเอาคนน้องต้องเบิกตากว้างอย่างไม่เข้าใจ


                “บอกให้เดินไปนั่งที่อื่นไง”


                “ฉันพอใจจะนั่งตรงไหนก็จะนั่ง”


                “แต่ตรงนี้ฉันนั่ง ..หึ และนายคงไม่ได้พอใจอยากนั่งข้างๆคนที่บอกว่าน่าเบื่อน่ารำคาญหรอกใช่ไหม”


                “เงียบเหอะ ไม่รู้หรือไงว่ากำลังทำตัวให้เป็นอย่างที่ฉันพูดอยู่”


                …….............


                แววหวานที่สะท้อนเงาของใครอีกคนวูบไหว จะเมื่อไหร่ตอนไหนอีกฝ่ายก็ไม่เคยมองเขาดีๆอยู่แล้ว ถ้าเขามันน่ารำคาญมันน่าเบื่อก็ไม่ต้องมาอยู่ใกล้ ไม่ต้องมามองหน้า เขาไปทำให้เดือดร้อนอะไรหรือก็เปล่า อยู่เงียบๆอยู่เฉยๆ ยังไม่ได้ทำอะไรก็มาทำให้เขารู้สึกไม่ดี


                “....อยากนั่งก็นั่งไป”


                !!!


                และดูเหมือนว่าคิมจงอินจะจับน้ำเสียงที่สั่นน้อยๆได้ เจ้าตัวจึงเอื้อมรั้งข้อมือเล็กของน้องชายที่ลุกขึ้นยืนเตรียมจะแทรกตัวผ่านออกไปหาที่นั่งใหม่ และก็แทบจะทันทีที่ถูกสะบัดออก หากแต่เป็นเพราะคิมจงอินไม่ยอมเบี่ยงขาหลบให้อีกคนออกไป เซฮุนจึงออกไปไม่ได้ ในเมื่อคนมันดื้อคนมันเอาแต่ใจอย่างที่จงอินเคยว่า กายผอมจึงพยายามที่จะพาตัวเองแทรกผ่านไป


                ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมาอย่างงงๆและไม่เข้าใจ สงสัยอยู่ในทีว่าคนคนนี้เป็นใครและมีความสัมพันธ์ยังไงกับประธานโครงการครั้งนี้ อย่างไรก็ตามความขาวและหน้าหวานๆเกินที่ผู้ชายจะมีมันดึงดูดสายตามากมายเหล่านั้นได้อยู่หมัด


                “ใครวะจงอิน” ในที่สุดคำถามที่อยากรู้มานานตั้งแต่เห็นหน้าในตอนเช้าก็ได้โพล่งออกไป “เข้าใหม่เหรอ ไม่เคยเห็นหน้า”


                คิมจงอินเพียงเหลือบสายตามองคนรุ่นเดียวกันต่างสาขาซึ่งไม่ได้สนิทอะไรเป็นพิเศษ เจ้าตัวนั่งอยู่ตรงเบาะอีกแถวตรงข้ามข้างๆกัน เดิมทีไม่เคยสนใจเวลามันใช้สายตาแบบนี้มองจองอึนซล ก็ได้แค่มอง แต่...


                โอเซฮุนที่มัวแต่สนใจกับการเอาชนะเขา ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาชายซึ่งมากกว่านักศึกษาหญิงเป็นเท่าตัว และเพราะกายบอบบางกำลังยืนขณะรถกำลังเคลื่อนที่ สองมือเกาะพนักพิงด้านหน้าจนลู่หานและอี้ฝานได้แต่เงยมองกระพริบตาปริบอย่างช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ความสูง และความน่ารักในแบบของเจ้าตัว ยิ่งยืนมันก็ยิ่งเป็นจุดรวมสายตา


                และมันทำให้เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน แบบที่เจ้าของเองก็ไม่รู้ตัว


                การกระทำมักจะไปไวกว่าความคิดเสมอ อย่างน้อยก็ตอนนี้...


                “อ๊ะ!!” ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้างทันทีอย่างตกใจปนงุนงงสับสนในคราเดียว ม่านกลมดำกลอกกลิ้งไปมา ก่อนจะเบนมองคนด้านหลังที่ตนล้มใส่ นั่งลงไปบนตักของอีกฝ่าย และมันจะไม่ทำให้โอเซฮุนแปลกใจเลยสักนิด หากว่ามือคู่นั้นไม่ได้เป็นตัวการดึงขอบกางเกงยีนของเขาจนเสียหลัก


                ลมหายใจอุ่นรดต้นคอด้านหลังชวนขนลุก ขลับใบหน้าขาวใสให้ขึ้นสีเรื่อฝาดอย่างน่ารัก ร้อนผ่าวและทำอะไรไม่ถูก ยิ่งหลายคนกำลังให้ความสนใจ เขายิ่งทำอะไรไม่ถูก จะโวยวายเหมือนเดิมพอหันไปสบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่มองนิ่งก็พูดไม่ออก


                “อึลซลไม่อยู่ ควงคนใหม่เหรอจงอิน” เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะน้อยๆราวกับขบขัน


                ตอนนี้คิมจงอินไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวอย่างอื่นมากนัก เพราะอาการของคนตรงหน้ามัน... ทำให้เขาแปลกใจ.. มือที่พยายามปัดมือของเขาออกจากขอบกางเกงที่เกี่ยวรั้งไว้เพียงแผ่วเบา แค่ออกแรงที่นิ้วเล็กน้อย กายบอบบางของน้องชายนอกสายเลือดก็หล่นตุบลงมาใส่ตักอย่างง่ายดาย นั่นอาจเป็นเพราะว่ารถกำลังเคลื่อนที่


                “กลับเข้าไปนั่งที่เดิม”


                “คิดว่าตัวเองเบื่อเป็นคนเดียวไง ฉันก็รังเกียจที่จะอยู่ใกล้นายเหมือนกัน” ยิ่งพูดก็ยิ่งตอกย้ำตัวเอง ไม่รู้ล่ะ โอเซฮุนแค่ไม่ชอบ แล้วยิ่งเป็นคิมจงอินก็ยิ่งไม่ชอบ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ


                !!!


                ฉับพลันที่กายบอบบางแข็งทื่อราวกับหิน เมื่อขายาวก้าวออกพ้นและกำลังจะลุกยืน ทว่า แขนยาวที่วาดรั้งรอบเอวคอดเล็ก ทำให้คนผิวขาวชะงักนิ่งไปทันที


                “ฮิ้วววววว!~~ คิมจงอินกอดเอวเด็กว่ะ หวานไม่เกรงใจกูเลยนะมึง กูไม่ใช่สองคนข้างหน้ามึงนะที่จะมีคู่อ่ะแสรดดด”


                “ไหนวะ โอ๊ะ! หุหุหุ มึงร้ายๆ กูจะฟ้องอึนซล”


                “กูว่าคนนี้น่ารักเว่อร์ ไม่เอากูขอ”


                “มึงไม่เห็นเหรอว่ามันออกอาการหวงซะ ขนาดเขาจะไปนั่งที่อื่นมันยังไม่ยอม กูว่าไปต่อคิวปลอบใจน้องอึนซลกันดีกว่า”


                และอีกหลายๆประโยคที่ทำให้โอเซฮุนนั่งตัวเกร็งมากเข้าไปอีก ใบหน้าขาวที่อะไรนิดหน่อยก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแต้มสีอ่อนให้น่าเอ็นดู ทำเป็นไม่สนใจแต่หูนี่ผึ่งฟังมันทุกถ้อยคำจนไม่ทันได้สังเกตว่ามีนัยน์ตาอีกคู่หนึ่งกำลังเก็บรายละเอียดอะไรบางอย่างที่เจ้าของมันยังไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้.. ว่าคนตรงหน้าจะมีมุม น่ารัก เหรอ น่ารัก?


                นี่เขาคิดว่ามันน่ารักได้ยังไง


                “พวกมึงจะเงียบแล้วนั่งเฉยๆได้หรือยัง? นี่น้องชายกูเอง พี่ชายจะหวงน้องชายมันไม่ได้หรือไง กูผิดเหรอ?” มันเป็นการแนะนำที่กวนและเรียบๆไม่มีความหวั่นไหวเจือในน้ำเสียงเลยสักนิดเดียว พอคนอื่นๆพากันกลับไปนั่งที่ของตนเอง ลำแขนแกร่งก็จับยกกายผอมของน้องชายให้กลับไปนั่งด้านในเหมือนเดิม


                “ไอ้!!....” ไม่ทันได้โวยวาย เปลือกตาของคนเป็นพี่ชายก็ปิดลง และโอเซฮุนรู้ดีว่าที่พูดออกไปทั้งหมดเมื่อกี้มันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ถ้าคิมจงอินหวงเขาขึ้นมา วันนั้นเขาคงเลิกกลัวหนอนอ้วนๆตัวสีเขียว และเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะเลิกกลัว ก็เท่ากับว่าคิมจงอินก็ไม่มีทางมาหวงมาใส่ใจเขาเหมือนกัน “พอถึงที่นั่น ก็อยู่ใครอยู่มันไปเลยนะ”


                แม้ว่าจะไม่ได้ลืมตา แม้จะไม่ตอบอะไร แต่โอเซฮุนก็รู้ว่าคิมจงอินได้ยิน กายผอมเอนลงพิงพนักนุ่มโดยไม่สนใจคนที่นั่งด้านข้างอีก


              เพราะเขาไม่อยากได้ยินว่าตัวเองมันน่าเบื่อหรือว่าน่ารำคาญ...

               

     






    - - -
    เอาละๆ คิมจงอินเป็นอะไรไป? ต้องการอะไรรรร ทำไมทำแบบนี้? น้องเซฮุนไหวไหม นับวันยิ่งอาการออก ฮ่าๆ 

    ตอนนี้สั้นกว่าปกตินิดหน่อยค่ะ เปลือกตาคนแต่งจะปิดแล้ว แต่อยากลง มันขาดไปประมาณสี่ร้อยคำ 555 ไม่ว่ากันนะคะ เดี๋ยวตอนหน้าจะมาให้เร็วที่สุดเท่าที่คนแต่งจะสามารถเลยค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณมากๆเข้าไปอีกกับคอมเม้นต์น่ารักๆดีๆนะคะ ^-^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×