ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ღ Rival or Lover ღ :: kai x sehun ::

    ลำดับตอนที่ #6 : Rival or Lover :: 5 ::

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 56



                มือขาวผลักบานประตูกระจกสีขุ่นเปิดพาตัวเองเข้าไปด้านในเพื่อพบอาจารย์ฝ่ายการจัดการ ซึ่งเป็นคนเดิมกับครั้งที่แล้วที่มาติดต่อเรื่องเข้าเรียน โอเซฮุนยิ้มหวานส่งให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวกว้าง ก้มหัวสวัสดีทักทายอย่างมีมารยาท แล้วหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม


                “ตารางพบมันวุ่นวายหน่อยนะ อาจารย์อยากให้เธอเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ามาเรียนวันแรกน่ะ ยิ่งเป็นนักศึกษาภาคอินเตอร์ที่เข้ามากลางเทอมยิ่งต้องปรับตัวใหญ่เลย”


                “อ่อ ไม่เป็นไรครับ” ริมฝีปากแดงอ่อนยิ้มรับอย่างไม่ทุกข์ร้อน ดวงตาเรียวหยีลงน่ารัก ก้านนิ้วเรียวเลื่อนกระดาษสีขาวที่หญิงสาวนำออกมาวางเข้าใกล้ตัว ไล่สายตาอ่านตามบรรทัดคร่าวๆ


                “นี่เอกสารของคณะ ส่วนเรื่องรับน้องอะไรก็คงไม่ต้องแล้วเนอะ หรือถ้าอยากมาก็มาที่นี่แหละ เด็กแพทย์เขาจัดที่นี่อยู่แล้ว”


                “ครับ” ขานรับทั้งที่ยังไม่เงยขึ้นจากหน้ากระดาษ มือขาวหยิบปากกาที่อีกฝ่ายส่งให้มาเขียนยุกยิกกรอกข้อความลงเงียบๆ ม่านตากลมกระพริบปริบเป็นระยะ ดูตั้งใจและจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ


                ถามว่าโอเซฮุนใช่คนขี้โวยวายไหม ก็ไม่เสียทีเดียว อย่างน้อยเขาก็เลือกปฏิบัติ จนบางครั้งก็ชักจะสับสนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ความเป็นตัวเองของเขาหายไปไหน ความเป็นโอเซฮุนจริงๆ บางทีเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังต้องการอะไร


                “แต่แปลกจังเลย แทนที่จะเรียนต่อที่อังกฤษให้จบ ทำไมถึงกลับมาต่อที่เกาหลีล่ะ หืม”


                “แค่คิดถึงครอบครัว คิดถึงบ้านน่ะครับ” การตัดสินใจที่ไม่มีใครเห็นด้วย และคงไม่มีใครเข้าใจ แต่เขาก็เลือกจะทำมันลงไปแล้ว ความมุ่งมั่นเหล่านี้มันมากจากไหนมากมาย รู้ตัวก็ตอนที่ทำมันลงไปแล้วทุกที


                “จริงๆเชียว อนาคตของตัวเองก็สำคัญนะ คิดถึงก็แค่มาหา แล้วก็กลับไปเรียนต่อสิ”


                “ไม่ได้หรอกครับ สำหรับผมมันไม่ใช่แค่นั้น” ระบายยิ้มบาง ค่อยๆเลื่อนกระดาษเอสี่กลับไปให้คนฝั่งตรงข้าม แล้วก้มลงควักกระเป๋าสตางค์หยิบบัตรเครดิตออกมายื่นตาม


                “แต่นี่เรียนเก่งมากเลยนะ เสียดายน่ะ” หญิงสาวยิ้มรับอย่างเป็นกันเอง ก้มหน้าก้มตาจัดการเอกสารให้เรียบร้อย “จริงๆพี่ชายเธอก็ทำไว้ให้ทุกอย่างแล้วนะ ที่นี่เดินเรื่องวุ่นวายจะตาย”


                ไร้เสียงตอบรับจากคนผิวขาว เจ้าตัวก็ทำเพียงแค่นั่งยิ้มรับเหมือนทุกทีตั้งแต่เข้ามานั่ง กลอกม่านตามองตามการทำงานของอาจารย์สาวเงียบๆ ก่อนจะสะดุ้งตกใจนิดๆเมื่อจู่ๆเธอก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องกะทันหัน เล่นเอาคนที่กำลังจดจ้องใจหล่นวูบไปเหมือนกัน


                “เอ้อ! ทำไมเธอไม่ไปโครงการของคณะวิศวกรรมล่ะ รับน้องด้วยทำความดีด้วย พี่ชายเธอก็เป็นประธานโครงการ.. อืม เดี๋ยวนะ...” หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้ถอยหลังเล็กน้อย แล้วโน้มตัวชะโงกหน้ามองหาใครสักคนในห้อง และพอเห็นก็กวักมือเรียก “อี้ฝาน! มานี่หน่อย”


                ชื่อเรียกที่แสนจะแปลกหูทำให้เซฮุนหันขวับมองตามสายตาของอาจารย์ พลันต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจอีกครา เมื่อเจ้าของความสูงเกือบร้อยเก้าสิบเดินเข้ามาใกล้ อีกทั้งเขายังจำได้ดีถึงความเด่นสะดุดตาของบุคคลที่สาม เรือนผมสีทองและใบหน้าหล่อเหลา ตอนเดินเข้ามาไม่ทันได้สังเกตว่าทำงานอยู่ในห้องนี้ด้วย หากแต่สายตาของเซฮุนไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะมันกวาดมองไปทั่วห้องทันที


                และก็เป็นอย่างที่คิดเมื่อทอดเห็นคนตัวเล็กเจ้าของรอยยิ้มโลกสว่างที่เคยพบกำลังยืนจดอะไรสักอย่างอยู่ตรงเคาน์เตอร์ คำถามคือเมื่อกี้ทำไมโอเซฮุนถึงไม่เห็น


                “ครับ”


                “นี่ไง ไหนบอกว่าอยากได้นักเรียนแพทย์สักคนไปคอยดูแลเผื่อมีใครเจ็บตัวตอนสร้างห้องสมุดห้องน้ำห้องหับให้น้องๆน่ะ”


                “อ๋อ อันนี้ต้องบอกจงอินมัน เห็นมันบ่นๆอยู่ว่าอยากได้ ผมเป็นรุ่นพี่ มีหน้าที่ดูมันทำงานครับจารย์” คนอยู่ปีสี่กลั้วหัวเราะเบา เรียกอาการหมันไส้นิดๆจากหญิงสาวได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าเซฮุนเองก็เผลอยิ้มตามไปง่ายๆ หากแต่ข้างในยังแอบสงสัยถึงความสัมพันธ์ของคนตัวเล็กตรงนั้น กับคนตัวโตตรงนี้เท่านั้นเอง


                “ก็จะบอกนี่ไง ว่าน้องชายเขานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว”


                “น้องชาย?”


                “ใช่ นี่โอเซฮุน น้องชายของคิมจงอิน” พยักพเยิดหน้าไปทางคนกลางที่นั่งเงียบไม่แสดงความคิดเห็นอะไร


                “มันไม่เคยพูดถึง ผมก็เลยไม่รู้ว่ากลับมาจากต่างประเทศแล้ว”


                “อาจารย์ก็เพิ่งรู้เร็วกว่าเธอไม่กี่วัน ..ยังไงก็พาเขาไปด้วยก็ได้ อยู่ใกล้ๆพี่ชายก็คงไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ...ใช่ไหมเซฮุน”


                “เอ่อ.. คงงั้นมั้งครับ” คนน่ารักยิ้มแหยๆ ในใจก็นึกว่าตัวเองนี่แหละที่อยู่กับรายนั้นทีไรก็มีปัญหากันทุกที แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรออกไป เพราะถ้าคนตัวเล็กที่เขาอยากรู้จักคนนั้นไป เขาก็อยากไปด้วย “ว่าแต่.. คนนั้นไปหรือเปล่าครับ”


                “หืม?” อีกสองคนเอ่ยประสานเสียง พลางหันหน้าไปทางชายหนุ่มตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม และดูเหมือนว่าอีกคนจะรู้สึกตัวว่ากำลังเป็นเป้าสายตา ดวงตากลมใสก็ช้อนขึ้นมอง กระพริบปริบราวกับจะบีบหัวใจของคนที่พบเห็นให้ตายคามือ


                “มีอะไรเหรออี้ฝาน” เสียงหวานใสถ้าไม่ใช่คนที่ได้ยินบ่อยอย่างเจ้าของชื่อที่ออกจากปากอิ่มสวยนั่น คงสร้างภูมิต้านทานไม่ทันอย่างแน่นอน


                “น้องเขาถามว่า ลู่หานจะไปโครงการด้วยหรือเปล่า”


                “อ้าว ก็ต้องไปดิ อี้ฝานไปแล้วเราไม่ไปได้ไงอ่ะ”


                คำถามที่ได้คือ เขาสองคนเป็นอะไรกัน โอเซฮุนส่งสายตาขี้สงสัยไปให้ลู่หานที่มองมาพอดี รอยยิ้มกว้างที่เห็นทำเอาโลกทั้งโลกของคนน่ารักอีกคนสว่างไสว เหมือนเต็มไปด้วยดอกไม้แรกของปี อบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูก ชักอิจฉาคนตัวสูงที่ได้ชื่อว่าเป็นรุ่นพี่ของพี่ชายซะแล้ว


                “แล้วทำไมเมื่อวานเราถามแล้วลู่หานบอกไม่รู้ดูก่อน” คนที่แทบจะยกเลิกโครงการตอนคนตัวเล็กทำท่าจะปฏิเสธเอ่ยถามให้หายข้องใจ เพราะตัวเองจะไม่ไปก็ไม่ได้ด้วย หากแต่คำตอบนี่สิทำเอาต้องขมวดคิ้วยุ่งแอบไม่ชอบใจนิดๆ


                “เราอยากไปกับคนน่ารักน่ะ” แอบยักคิ้วให้เซฮุนเจ้าของคำว่าน่ารักที่ว่าอย่างเป็นมิตร เหมือนจะสื่อนัยๆว่าเจ้าตัวจำได้ถึงตอนเจอกันก่อนหน้านี้


                “อ๋อ แสดงว่าไม่อยากไปกับเราดิ”


                “พูดมากน่า อี้ฝานอยู่ไหนเราก็อยู่นั่นแหละ มาทำงานได้แล้ว อู้จริงๆ”


                “ตกลงเพื่อนหรือแม่”


                “ตามใจ อยากให้เป็นอะไรก็เป็น”


                บางทีบทสนทนามันก็บอกเราได้มากกว่าสิ่งที่ได้ยินและคำในรูปประโยค เพื่อนที่เอ่ยออกจากปากอาจไม่ใช่แค่เรียนด้วยกัน ทำงานด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน แต่สำหรับคนสองคนมันคงเป็นมากกว่านั้น อย่างน้อยๆ การกระทำมันก็ฟ้อง


                “เดี๋ยวผมขอตัวน้องเขามาคุยก่อนนะครับ” อู่อี้ฝานเอ่ยขออนุญาตอาจารย์ซึ่งให้ความเป็นกันเองสุดๆด้วยการพยักหน้ารับพร้อมโบกมือไล่เรียกรอยยิ้มบางจากเซฮุน


                คนผิวขาวรับบัตรเครดิตคืน แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตามแผ่นหลังกว้างเข้าไปยังด้านหลังเคาน์เตอร์ที่ลู่หานประจำอยู่ รอยยิ้มน่ารักปรากฏบนใบหน้าของเซฮุนอีกครั้งยามเห็นคนตัวเล็กโดนหยอกด้วยแขนยาวล็อคเข้าที่ลำคอจนต้องร้องโอดโอยอย่างแกล้งทำ


                เซฮุนมองแล้วคิดว่ามันน่ารักมากๆจนน่าอิจฉาเลย เพราะคำว่าพี่น้องของเขา มันมีแต่สายตาที่มองอย่างรำคาญและเย็นชา


     

    * * * * *

     
     

                “อ๊ะ! ไอ้!.. อะไร เข้ามาทำไม!” เซฮุนที่กำลังจะปิดบานประตูห้องน้ำเซผงะถอยหลังหัวโขกไม้แข็งเมื่ออยู่ดีๆคิมจงอินก็ดันเข้ามาเสียอย่างนั้น คนที่จะอาบน้ำเข้านอนเป็นอันต้องตวาดแหวอย่างมึนงง เรียวคิ้วสวยขมวดมุ่นจนแทบชิดติดกัน แขนข้างที่แกล้งบาดเจ็บหอบชุดนอนไว้หลวมๆแทบจะทำหลุดมือ รู้สึกมึนๆบริเวณหน้าผากที่กระแทกประตูจนอยากอ้าปากด่าคนตรงหน้า


                “ก็ไหนว่าเจ็บแขน จะช่วยอาบน้ำนี่ไง อย่าเรื่องมาก” เอี้ยวตัวปิดประตูขณะไขข้อสงสัยให้กับน้องชายต่างสายเลือด แอบจิกกัดน้อยๆให้คนผิวขาวต้องถลึงตาใส่


                “ใครเรื่องมาก? ฉันทำเองได้ อีกอย่างมันก็จะหายอยู่แล้ว ออกไปเลยป่ะ” โบกมือไล่พลางเดินไปวางเสื้อผ้าลงบนหินอ่อนหน้ากระจกบานใหญ่ ม่านกลมสีดำช้อนขึ้นมองเงาของใครอีกคนเบื้องหน้าที่กำลังจ้องสะท้อนกลับมาไม่ละไปไหน แววคมเข้มทอดนิ่งทำให้เซฮุนที่รู้สึกเสียความเป็นตัวเองถลึงตาใส่


                คิมจงอินกระตุกยิ้มมุมปากน้อยๆ ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ก่อนจะหันหลังพิงหินอ่อนกึ่งนั่งกึ่งยืน ถือวิสาสะเอื้อมผ่านกายบอบบางหยิบแปรงสีฟันกับยาสีฟันมาบีบให้เสร็จสรรพ แล้วยื่นให้เซฮุนที่ยืนขมวดคิ้วมอง ท่าทางกวนๆของจงอินน่าหมันไส้และน่าแปลกใจในทีเดียว


                “พ่อไม่ได้อยู่ตรงนี้ ไม่ต้องเล่นละครก็ได้มั้ง”


                “อาบไปดิ” ก็ไม่คิดจะฟังคำทักท้วงจากคนเป็นน้องเลยสักนิด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข็มเหลือบมองแขนขาวที่แน่นิ่งอยู่ในตาข่ายคล้องแขน แล้วก้มหน้ายิ้มกับตัวเองน้อยๆโดยไม่ให้อีกฝ่ายเห็น “อยากจะรู้เหมือนกันว่าแขนเจ็บอยู่แบบนั้นจะอาบน้ำยังไง หรือจริงๆแล้วมันไม่ได้เจ็บ?”


                “อาบได้ก็แล้วกัน!” สะบัดเสียงนิดๆ ขมวดคิ้วยุ่งอย่างไม่รู้จะไล่ให้อีกฝ่ายออกไปจากห้องน้ำด้วยวิธีไหน เพราะคนโกหกคล้ายจะจนหนทาง แต่แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมาทำตามที่จงอินพูดด้วย ก็แค่ไล่ออกไป ก็แค่โวยวายเหมือนทุกที ก็แค่นั้น แต่การกระทำของคิมจงอินมัน


                “งั้นก็อาบ”


                “แล้วนายจะมาเฝ้าฉันอาบน้ำทำไม โรคจิตไง!


                “แล้วจะอายอะไร ก็ผู้ชายด้วยกัน”


                !!!


                ราวหมัดหนักๆเสยเข้าที่ปลายคาง ราวกับมีเสียงเล็กๆข้างในกำลังเตือนเขาเบาๆ จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เราก็เป็นผู้ชายเหมือนกันแล้วจะมาอายอะไร หากแต่ในความเป็นจริงคงมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละที่จะยืนแก้ผ้าอาบน้ำให้คนอื่นดู และเขาก็ไม่ใช่คนบ้า เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ยืนแก้ผ้าอาบน้ำให้ไอพี่ชายที่เริ่มจะโรคจิตเข้าไปทุกวันดูอย่างแน่นอน ยิ่งอาการพักหลังๆมานี้เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


                ความแปลกในความไม่แปลก คิมจงอินก็ยังเหมือนเดิม ชอบกวนประสาทใช้กำลังกับเขาเหมือนทุกที แต่บางครั้งมันก็ทำให้รู้สึกขนลุกเวลาที่อีกฝ่ายนึกอยากจะลุกขึ้นมาทำดีกับเขา


                “ชักช้า มานี่เลยมา” ออกแรงรั้งแขนเรียวให้เดินตามไปที่อ่างใหญ่จนคนอ่อนเดือนกว่าตกใจ


                ริมฝีปากแดงอ่อนกำลังเผยออ้าด่าให้หายโมโหที่ดึงเขาเสียแรงเหมือนแขนจะหลุดออกจากบ่า หากแต่ไม่ทันที่เสียงหวานใสจะถูกเปล่งออก สายน้ำแรงจากฝักบัวก็รดรินสู่ใบหน้าขาวซะก่อน


                ซู่!~


                “คิมจงอิน!! ไอ้.. ไอบ้าเอ้ย!! เปียกหมดแล้ว!” กายบอบบางเปียกชุ่มดิ้นพล่านพยายามใช้มือดันคนตัวสูงไล่เลี่ยกันให้ออกห่าง ใบหน้าขาวเบนหลบสายน้ำไหลเป็นพัลวัน ปากก็พร่ำด่าคนเป็นพี่ไม่หยุด


                “โอ๊ะๆ โทษๆ ลืมไปว่ายังไม่ได้ถอดเสื้อผ้า” จงอินกลั้วหัวเราะเบา คล้ายว่าสะใจที่เอาคืนได้เล็กน้อย ยอมปล่อยลำแขนกลมกลึงของอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ แล้วหันไปปิดน้ำเก็บฝักบัวเข้าที่เดิม


                “ย่าห์!! ไอ ด...?!..” มือขาวที่กำลังจะทุบลงตรงลาดไหล่หนาหยุดชะงักค้างกลางอากาศ เมื่อโอเซฮุนหันหน้ากลับมาแล้วเจอเข้ากับรอยยิ้มบางๆที่เจือเสียงหัวเราะทุ้มนุ่ม ริมฝีปากอิ่มเปิดนิดๆเผยฟันขาวเรียงสวย มุมปากยกน้อยๆอย่างมีเสน่ห์


                ม่านตากลมกลอกกลิ้งไปมาอย่างลนๆก่อนจะหลบแววคมเข้มทันทีที่เบนมาสบ เซฮุนรีบผละออกห่างจากจงอินที่เลิกคิ้วมองอย่างงงๆ ขายาวก้าวออกจากอ่างอาบน้ำสีขาวอย่างเร่งรีบจนเกือบจะหน้าคะมำไปกับพื้นอีกรอบ


                “อ๊ะ!!


                หากไม่ได้ลำแขนแกร่งของใครอีกคนโอบรอบเอวรั้งเข้าหาอย่างรวดเร็ว เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งเองก็ดูตกใจเล็กๆ ภายในวูบโหวงนึกว่าอีกฝ่ายจะล้มหัวฟาดพื้นไปอีกครา ลมหายใจอุ่นรดแนวลำคอ สัมผัสถึงแรงหายใจเร็วของคนในอ้อมกอด หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงเบียดชิด


                “เฮ้ย! ปล่อยนะเว้ย!


                “ก็แล้วจะดิ้นทำไมเล่า!” หัวคิ้วเข้มขมวดยุ่ง เมื่อกายบอบบางซึ่งเนื้อผ้าชื้นแนบสนิทดิ้นรุนแรงจนชักจะจับเอาไว้ไม่อยู่ แผนบงแผนบีตอนนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดเท่าไหร่นัก รู้แต่ว่าอีกฝ่ายเผลอเอามือทั้งสองข้างดันเขาเต็มกำลัง แม้ว่ามันจะอยู่ในผ้าคล้องแขนก็ตาม สงสัยจะลืมไปแล้วว่ากำลังเล่นละคร แต่อะไรทำให้โอเซฮุนเผลอลืมตัวได้นี่สิ.. “ยืนเฉยๆก่อนดิ๊!! เดี๋ยวล้มอีกแล้วจะพากันซวย!


                “ก็ปล่อยก่อนเซ่!.. อ๊ะ!!” ไม่ทันขาดคำ คนขี้โวยวายก็ลงไปนั่งแหมะบนพื้นกระเบื้องแข็ง เพราะไม่คิดว่าจงอินจะปล่อยตนตอนกำลังดิ้น กายผอมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงล้มลงก้นกระแทกแรงจนรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งกระดูก ใบหน้าหวานเหยเก แนวฟันขาวกัดริมฝีปากแน่นอย่างเจ็บปวด พลางช้อนดวงตาเรียวขึ้นมองระคนแค้นเคือง


                “บอกให้ปล่อยก็ปล่อยแล้วไง พอใจแล้วนะ” จงอินกลอกตาพลางถอนหายใจ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองแขนข้างซ้ายที่ดูเหมือนจะหายดีแล้วจริงๆ จ้องมองเปิดเผยจนม่านกลมดำที่เงยสบสั่นระริก


                เซฮุนขยับแขนข้างที่แกล้งบาดเจ็บเล็กน้อย รู้แล้วว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขาโกหก แววหวานกลอกกลิ้งเหมือนหลบเลี่ยง ท่าทางกลัวเล็กน้อยถูกแสดงออกมาให้เห็น หากแต่อาการเจ็บที่แล่นริ้วทำให้เซฮุนเอ่ยกล่าวโทษออกมา...


                “นายมันนิสัยแย่ คิมจงอิน”


                “อ้อเหรอ”


                “เออ!


                “งั้นก็ออกไป เพราะฉันก็คิดว่านายแย่มากเหมือนกันที่โกหก”


                “แล้วทำไมฉันต้องออกไปจากห้องของตัวเอง”


                ช้อนดวงตาขึ้นมองอย่างไม่ยอมแพ้ ทว่าพอได้เห็นสายตาราวกับรำคาญของอีกฝ่าย ภายในอกก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมา มันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร นัยน์ตาคู่นั้นมักจะมองเขาแบบนี้เสมอ.. และก่อนที่คนตัวสูงจะก้าวขาเตรียมเดินออกไปจากห้องน้ำ โดยไม่ลืมที่จะทิ้งหนึ่งประโยคยาว ซึ่งหนึ่งคำมันบีบขั้วหัวใจของอีกฝ่ายได้อย่างน่าประหลาด


                “ช่างเหอะ อยากได้ห้องนี้นักก็เอาไป แต่รีบบอกคนในบ้านให้ย้ายของก่อนฉันกลับมาจากรับเด็กปีหนึ่งแล้วกัน ...รู้อะไรไหม นายมัน น่าเบื่อ เต็มทนแล้ว โอเซฮุน”


                ปัง!


                เสียงปิดประตูไม่เบานักทำให้เจ้าของกายผอมบนพื้นแอบสะดุ้งตกใจ ดวงตาเรียวคู่สวยทอดมองบานประตูนิ่ง จู่ๆ... จู่ๆก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ก่อนหยาดน้ำไร้สีจะขึ้นมาคลอหน่วยกระทั่งหยดลง


                “บ้าเอ๊ย...”

               


                นานเกือบหนึ่งชั่วโมง โอเซฮุนก็ค่อยๆปิดประตูห้องน้ำอย่างเบามือ เพราะพบว่าคิมจงอินนั้นกำลังนอนหลับสบายใจไปเสียแล้ว เดาว่าเจ้าตัวคงจะไปอาบน้ำที่ห้องอื่นหรือไม่ก็ที่ห้องนอนของฮยอนอู


                กายผอมที่ยังรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งสะโพกเบ้หน้าน้อยๆ น้ำตาที่เพิ่งจะแห้งเหือดรื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้ เปลือกตาบางกระพริบถี่เพื่อไล่มัน ก่อนจะเลิกผ้านวมผืนใหญ่ขึ้นแล้วเอนตัวนอนลงเงียบๆ แขนอีกข้างว่างเปล่าไร้ผ้าคล้อง เพราะมันคงไม่จำเป็นอีกต่อไป ก้านนิ้วเรียวยื่นกดสวิตช์บนผนังตรงหัวเตียง ไฟภายในห้องนอนก็สลัวลงเรื่อยๆจนอยู่ในระดับที่พอดีและไม่รบกวนการนอน


                เซฮุนตะแคงหันหลังให้กับคนอายุมากกว่าแล้วข่มตาให้หลับ หากแต่เสียงทุ้มยังดังวนในหัวไม่เลิก


              น่าเบื่อ


                เสียงทุ้มที่แว่วดังในหัว ลอยล่องให้หวนนึกถึงใบหน้าคมเข้มที่บอกหมดทุกอย่าง ว่ารำคาญเขามากแค่ไหน บางทีโอเซฮุนก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี หรือทางที่ดีที่สุดคือเราไม่ควรจะอยู่ใกล้ๆกัน


     







    - - -
    เราจะพาออกจากห้องนอนและโรงงานรถแล้วนะ ฮ่าๆๆ ผ่านมาห้าตอนมันยังหาประตูทางออกไม่เจอ บอกแล้วว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแถสด คิดไม่ออกบ้างก็ว่ากันไป ...พาร์ทนี้เปิดตัวคริสลู่แบบเต็มๆ คู่รองคงไม่เด่นมากค่ะ ทั้งคริสลู่แล้วก็ชานแบค อาจจะมาแบบผลุบๆโผล่ๆ กลัวแย่งบทพระนาง (?)

    แล้วเป็นแบบนี้น้องเซฮุนจะทำยังไงต่อไปล่ะเนี่ย ดึงดัน ?? ยอมแพ้ ?? คิดว่ายังไงกันน้อ 

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และให้กำลังกันด้วยคอมเม้นต์ดีๆนะคะ ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจกันค่ะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×