ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✗ b1a4 ✗

    ลำดับตอนที่ #8 : [SF] HEAVEN (1/3) --- Gongchan x Jinyoung

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 54


     Title : [SF] HEAVEN

    Author : oumser

    Pairing/Couple : Gongchan x Jinyoung

    Rating : PG-13

    Talk : -  ฟิคนี้ เคยมีคนติมาว่า มันมีอะไรหลายๆอย่างที่ขัดกับความเป็นจริง ซึ่งมันก็จริงเพราะตอนแต่ง คนแต่งไม่ทันนึกค่ะ T^T เศร้า 

    - อยู่ดีๆก็อยากสนองนี้ดตัวเอง...

     

    - ขอให้ทุกคนชอบ เพี้ยง!!!




    กรุณามองกงชานแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า
    .
    .

     
      
    credit: minimuffins 

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มขึ้น อวดฟันขาวที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาคมจับจ้องมองไปยังเบื้องล่างภายใต้กลุ่มก้อนเมฆสีขาว สีเดียวกับเลื้อผ้าและขนนกสลวยที่งอกติดอวัยวะขนาดใหญ่ด้านหลัง กระพือพัดไหวเบาๆตามอารมณ์ดีๆของเจ้าตัว ห้อยขานั่งในท่าสบายอยู่บนก้อนเมฆ ดูมีความสุขเหลือเกิน

     

    “เจ้ายิ้มอะไรอยู่คนเดียวหรือกงชาน” เสียงทุ้มอ่อนโยนที่ดังขึ้นด้านหลังเป็นของชินวูที่มีลักษณะภายนอกเหมือนๆกัน คนที่มีตำแหน่งเป็นพี่ชายกระพือปีกสีขาวเพียงนิด ก็สามารถพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่ข้างๆผู้เป็นน้องชายได้

     

    “เปล่าหรอกท่านพี่ ก็แค่มนุษย์จอมซุ่มซ่านคนนึง” คำตอบที่เหมือนคำปฏิเสธของกงชานทำให้ชินวูเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะกวาดสายตาผ่านกรอบแว่นมองลงไปด้านล่าง

     

    ...ถ้ากงชานจะหมายถึงผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาน่ารักคนนั้นล่ะก็นะ ไม่เห็นจะมีอะไรน่าหัวเราะตรงไหน...

     

    “หมู่นี้พี่เห็นเจ้ามานั่งตรงนี้คนเดียวบ่อยๆ ทำไมหรือ” ถามเพราะอยากจะรู้ความเป็นไปของน้อง วันๆก็เห็นเอาแต่นั่งมองลงไปข้างล่าง ท่าทางอารมณ์ดีแบบนั้นไม่ใช่กงชานยามปกติเลยสักนิด

     

    “บางทีข้าน่าจะลงไปหาอะไรสนุกๆทำข้างล่างนั่น ท่านพี่ว่าดีไหม” แทนการตอบคำถามด้วยคำถาม ขอความคิดเห็นจากพี่ชายที่ยืนค้ำหัวอยู่ใกล้ๆ โดยที่ดวงตาคมยังไม่ละไปจากใบหน้าหวานของผู้ชายตัวเล็ก ซึ่งอาศัยอยู่ในที่ที่เรียกว่า...โลกมนุษย์

     

    “อย่าได้เล่นอะไรแผลงๆอีกนะกงชาน ท่านพ่อกับท่านแม่จะดุเอา” เตือนด้วยความหวังดี เพราะรู้ว่า หากลองกงชานนึกสนุก ผลลัพธ์ที่ออกมามักจะไม่สนุกตามไปด้วยเลย จนทุกคนบนที่แห่งนี้ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากงชาน...

     

    ...น่าจะเป็น ยมทูต มากว่า เทพ ซะอีก...

     

    ทำหูทวนลมกับคำบอกกล่าวของพี่ชาย มุมปากหยักกระตุกยิ้มขึ้นอีกครั้งอย่างนึกสนุกไปกับความคิดของตนเอง สองมือยันร่างกายก่อนจะทิ้งน้ำหนักทั้งหมดแล้วหล่นลงไปยังชั้นอากาศ ปีกสีขาวกางออกกว้างราวกับเป็นร่มชูชีพ เพียงแต่ว่ามันสยายใหญ่และดูมีอำนาจมากกว่ากัน

     

    บรรยากาศดีๆมีไม่บ่อยนัก นั่นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเหล่าเทพบริเวณนั้นๆ หากกงชานเย็นชา...หิมะก็จะตก หากกงชานหัวเราะ...ลมเบาสบายพัดไหว เป็นเช่นนั้นแหละบนโลกมนุษย์...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ย่าห์! นี่มันวันอะไรวะเนี่ย! ทำไมฉันถึงต้องมาซวยๆๆ” เสียงใสบ่นแว้ด ขณะที่สองเท้าก็กำลังก้าวเดิน จินยองหันหน้าหวานๆกลับไปยังเบื้องหลัง ทางที่รถเก๋งสีดำเพิ่งจะขับผ่าน โดยมีปากแดงแบบธรรมชาติขมุบขมิบสาปแช่งตามไปติดๆ ด้วยเพราะเจ้ารถสีแห่งความมืดไม่ผ่านไปเฉยๆ แต่ยังฝากร่องรอยของคราบโคลนสีเทาน้ำตาลๆไว้เป็นอนุสรณ์บนเสื้อผ้าตัวโปรด

     

    “อย่าให้เจอ พ่อจะถอดล้อออกให้หมดเลยคอยดู!” หมายหมั้นปั้นมืออย่างหนักแน่น แยกเขี้ยวใส่อีกต่างหาก เหมือนแมวตัวน้อยๆกำลังโกรธเสียมากกว่าจะน่ากลัว

     

    พรืด!

     

    “เฮ้ย!

     

    ตุบ!!!

     

    ไม่ทันไร ก้นงามๆเป็นอันต้องลงไปกระแทกกับพื้นซีเมนต์เข้าอย่างจัง ด้วยเพราะคนตัวเล็กเดินไม่มองทาง เหยียบเศษขยะถุงพลาสติกจนลื่นล้ม

     

    ใบหน้าที่สวยยิ่งกว่าผู้หญิงจำต้องเหยเกอย่างเจ็บปวด ปวดระบมไปทั่วก้นกบ มือข้างหนึ่งที่ว่างจากการถือถุงกระดาษลูบบริเวณที่ตนเจ็บป้อยๆ ร้องซี้ดซ้าดอย่างทรมาน น้ำใสๆที่คลอตรงขอบตาบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนตัวเล็กเจ็บมากแค่ไหน ทว่าดวงตาเรียวเล็กต้องเบิกกว้างพร้อมกับคิ้วสวยก็เลิกขึ้น เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังเบาๆที่ข้างหู แต่พอหันซ้ายแลขวาดูแล้วไม่พบใคร จองจินยองก็ต้องประหลาดใจเข้าไปอีก

     

    ...หรือว่าจะหูฝาด...

     

    ยักไหล่ไม่ใส่ใจกับเสียงหัวเราะไร้ที่มาดังกล่าว ก่อนจะหันไปเก็บของที่กระเด็นออกจากถุงแล้วค่อยๆยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอย่างทุกลักทุเล

     

    “เจ็บว่ะ!” โอดควรพลางปัดกางเกงและเนื้อตัวไปมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

     

    วินาทีนั้น...

     

    “เฮ้ย!!!” ร้องเสียงหลงพร้อมร่างเล็กๆสะดุ้งสุดตัว ดวงตาเรียวเบิกกว้างจนเห็นลูกตาดำข้างในได้อย่างชัดเจน ปากนิ่มอ้าค้าง เผลอกลั้นลมหายใจไปชั่วครู่ เวลานี้จินยองกำลังช็อคและมึนงงกับภาพตรงหน้า มือเล็กอยากจะยกขึ้นมาหยิกแขนให้รู้สึกตัวเหลือเกิน เพียงแต่มันไม่ขยับ

     

    สิ่งแรกที่สะดุดตาและทำให้นิ่งค้างคือปีกสีขาวขนาดใหญ่ โบกพัดเบาๆให้เจ้าตัวลอยคว้างอยู่กลางอากาศแทนการใช้เท้ายืนบนพื้น การแต่งตัวประหลาดๆที่ดูไม่เหมือนคนปกติทั่วไป เสื้อผ้าสีขาวใช่ว่าจะกลบผิวขาวๆ กลับกันมันยิ่งช่วยขลับให้ดูมีออร่ามากยิ่งขึ้น

     

    สิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องน่าตกใจมากทีเดียวสำหรับมนุษย์ธรรมดาอย่างจองจินยอง อาการตกใจเริ่มหายไป ที่แทรกตัวเข้ามาคือความกลัว หากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์แล้วจะเป็นอะไรเล่า เด็กหนุ่มคิดอย่างนั้น ทว่าอดไม่ได้ที่ดวงตาเรียวจะเลื่อนขึ้นมาสำรวจใบหน้าหล่อเหลา

     

    ดวงตาคมดุจเหยี่ยวหากดูหยิ่ง ไล่ลงมาถึงจมูกโด่งสวย ริมฝีปากได้รูปแบบคนมีสุขภาพดี ทุกอย่างบนใบหน้าเรียกได้ว่าเพอร์เฟ็กต์ มันสวยงามและลงตัวราวกับถูกปั้นลงมาจากสวรรค์

     

    “มนุษย์เช่นเจ้าช่างน่าขันเสียจริง อ้าปากอย่างนั้น เดี๋ยวก็มีสัตว์ปีกบินเข้าไปหรอก” ยกยิ้มที่มุมปาก พลางขยับปีกบินเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย จนสามารถพิจารณาดวงหน้าหวานได้ชัดมากยิ่งขึ้น มือขาวขยับไหวกลางอากาศ ส่งผลให้ปากของจินยองหุบลงราวกับมีเวทมนตร์

     

    “เฮ้ย!!!” ร่างเล็กๆกระโดดถอยหลังทันที มือไม้ที่ถือถุงกระดาษอ่อนปวกเปียกจนต้องทิ้งมันลง กลอกตาไปมาราวกับคนหวาดกลัว

     

    ...โอเค นี่ไม่ใช่ความจริง นี่อาจจะเป็นความฝัน อีกดี๋ยวเขาก็จะตื่น...

     

    “ของหล่นแน่ะ” ถุงกระดาษที่ลอยอยู่เบื้องหน้าทำให้จินยองผงะแทบอ้าปากค้างอีกรอบ ไม่มีการสนทนาอะไรทั้งสิ้น มือเล็กฉวยเอาถุงใส่ของที่ลอยเคว้งคว้าง ก่อนขาเรียวจะออกวิ่งฉิวอย่างรวดเร็วเสียจนนักกีฬายังอาย

     

    สมองน้อยๆยังไม่อยากคิดให้วุ่นวาย รู้แค่ว่าต้องวิ่งหนี วิ่งให้เร็วที่สุด และไม่อยากจะเชื่อว่าทุกทีที่ต้องเดินกลับบ้านคนตัวเล็กจะใช้เวลาอย่างน้อยห้าถึงสิบนาที แต่คราวนี้กลับใช้ไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น อานุภาพแห่งความกลัวมันช่างยิ่งใหญ่

     

     

     

    ปัง!

     

    ปิดประตูห้องนอนเสียงดังพร้อมกับกดล็อคลูกบิดอย่างลนๆ ภาวนาขอให้อย่าได้มีตัวประหลาดหน้าหล่อนั่นตามมา โยนถุงกระดาษไปไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง ก้าวยาวๆพาตัวเองให้ขึ้นไปอยู่บนเตียง ตวัดผ้านวมผืนใหญ่ขึ้นคลุมร่างกายจนมิด นั่งหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งระยะไกล

     

    ให้ตายเหอะ! เกิดมาเพิ่งเคยตกใจสุดขีด บอกตามตรงว่าตกใจมาก! ไม่ได้อยากรู้เลยว่าสิ่งที่เห็นเมื่อกี้มันคืออะไร ไม่อยากรู้สักนิด แต่ว่านะ... ทำไมใบหน้าแบบนั้นมันถึงได้ตรึงตาเขาขนาดนี้วะ จองจินยองเป็นผู้ชาย และก็กำลังคิดว่าผู้ชายด้วยกัน... หล่อ โอเคเดี๋ยวก่อน เจ้านั่นมันอาจจะไม่ใช่คนธรรมดา โอเค มันอาจจะใช้เวทมนตร์หรือวรยุทต์อะไรสักอย่างล่อลวงเขา ต้องเป็นอย่างนั้นแน่!

     

    เฮือก!!!

     

    แรงไหวยวบบนที่นอนทำให้จินยองเจ้าของเตียงกว้างสะดุ้งสุดตัวอีกครั้ง สัมผัสได้ สมองรับรู้ได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมขึ้นมาอยู่บนเตียง อาการหวาดกลัวที่ยังไม่หายไปยิ่งเพิ่มมากขึ้น มือนิ่มที่กำผ้าห่มสั่นระริก

     

    ...ประตูก็ล็อคแล้ว เป็นใครเล่าที่เข้ามา...

     

    “อย่านะ!” จินยองร้องห้ามพลางใช้แรงดึงรั้งผ้าห่มไม่ให้เลิกขึ้น ต่อสู้กับแรงมหาศาล จนกระทั่งต้องยอมแพ้ปล่อยมือจากผ้านวม ส่งผลให้มันกระเด็นตกจากเตียงไป

     

    แทบจะทันทีที่จองจินยองถอยกรูดไปติดกับหัวเตียง ผมสั้นกระเซอะกระเซิงไม่เป็นที่สนใจ นัยน์ตาเรียวจ้องมองไปยังชายชุดขาวข้างหน้าที่บัดนี้ไร้ซึ่งปีกอันใหญ่กำลังนั่งอยู่บนเตียงของจินยอง

     

    หนึ่งในความรู้สึกนี้คือหวาดกลัว และอีกหนึ่งเขาไม่สามารถตอบให้กับตัวเองได้ หากพอได้มองราวกับถูกสะกด ไม่อาจละออกจากใบหน้ามีเสน่ห์ได้เลย

     

    “เจ้า บอกชื่อมา” รู้สึกเหมือนถูกขู่กรรโชกก็ไม่ปาน จนคนตัวเล็กต้องรีบละล่ำละลักออกไป

     

    “จ...จินยอง จองจินยอง”

     

    เส้นเลือดข้างในอกเส้นใดเส้นหนึ่งจำต้องกระตุก หลังจากบอกชื่อของตัวเองไปแล้ว เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เพราะเพียงแค่เห็นรอยยิ้มที่มุมปากหยัก มันเผยความขี้เล่นน้อยๆ ในแบบที่จินยองเห็นแล้วตาลาย

     

    “ชื่อเพราะดี”

     

    สิ้นคำชมธรรมดาๆที่สร้างความรู้สึกประหลาดๆให้กับคนตัวเล็ก ก็ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำใดๆออกมาอีก ดวงตาคมเอาแต่จับจ้องไปที่หน้าหวานซึ่งดูจะหวาดกลัวน้อยลง น่าดูชมเข้าไปอีกเมื่อสังเกตเห็นสีเรื่ออ่อนๆ เสริมให้ผิวขาวๆยิ่งน่าสัมผัส ไวเท่าความคิด ชั่วพริบตาคนตัวสูงก็ปรากฏกายให้ใกล้กันมากขึ้น มือเรียวเอื้อมไปไล้วนบนแก้มเนียน ลอบยิ้มมุมปากเมื่อเห็นว่าอีกคนมีท่าทางตกใจไม่น้อย ดวงตากลมใสนั่นเพียงสั่นระริก ทว่าก็ยอมอยู่นิ่งๆให้อีกฝ่ายทำตามใจ

     

    “กลัวข้าเหรอ” กระซิบถามเสียงเบาที่ข้างหู แม้ความจริงแล้วพูดกันห่างๆก็ได้ยิน แต่เหมือนจินยองกำลังโดนแกล้งยังไงชอบกล คนน่ารักถึงได้พยักหน้าน้อยๆเป็นการยอมรับ

     

     

    “อย่ากลัว”

     

    เป็นคำสั่งหรืออย่างไร จินยองไม่ทันได้ทบทวน สมองรู้สึกเบลอและมึนงง คิดอะไรไม่ออกในชั่ววินาทีที่ริมฝีปากได้รูปนั่นประกบลงมาแนบชิด มือเล็กสั่นเทาค่อยๆหายไปเมื่ออีกคนประสานไว้หลวมๆ หากแต่ความสนใจของจินยองไม่ได้อยู่ตรงนี้ อ่อนปวกเปียกไม่มีแรงแม้จะทรงตัว หลังลำคอที่ถูกรั้งสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นประหลาดๆ ...อ่อนโยน

     

    ลมหายใจเข้าออกที่สอดคล้องกัน แรงดูดดึง หรือแม้แต่ลิ้นสากที่วกวน ลิดรอนเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้จินยองกำลังเสียความเป็นตัวเอง ไม่มีสมาธิจะต่อสู้หรือขัดขืน บอกแล้วว่าเหมือนกับโดนสะกด เพราะเพียงแค่ได้มองเข้าไปในดวงตาคม เพียงแค่นั้น ร่างกายก็ไม่มีแรง มันพร้อมจะทำตาม...

     

    ช้อนขึ้นสบนัยน์ตาคมที่กำลังจ้องมองหลังถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ความน่าเอ็นดูเพิ่มขึ้นเป็นทวีเมื่อปากแดงช้ำเผยอเก็บเกี่ยวออกซิเจน

     

     

    “ข้าชื่อกงชาน จำไว้ให้ดีล่ะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ความอบอุ่น นุ่มละมุนลิ้น หยอกล้อจนสะท้าน ร่างทั้งร่างแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นหากไม่ได้ลำแขนแกร่งที่พาดผ่านเอวคอดรั้งไว้ ลำตัวที่แนบติดกันมันแปลกๆเกินไป มันทำให้จินยองรู้สึกแปลกๆเกินไป ทว่าอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังคงรู้สึกดีกับความโอ่นโยนที่อีกคนมอบให้

     

    ไม่สิ จะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ถูก กงชานน่ะเป็นเทพ เทพที่อยู่ดีๆก็บินลงมามอบความรู้สึกแปลกใหม่ ความรู้สึกประหลาดๆ อยู่ดีๆก็ลอยลงมาทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะอีกต่อไป มันทั้งเร็วและเสียงดังจนน่าอายในบางที แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ชอบมันนะ เหมือนกับเป็นสัญญาณที่บอกว่า หากหัวใจยังคงเต้นแรง มันแสดงถึงการมีตัวตนของกงชาน...

     

    ละออกให้คนตัวเล็กได้สูดอากาศเข้าปอดได้เต็มที่ เพียงแต่ว่าก็ยังไม่ละออกไปไกล ยกยิ้มที่มุมปากอย่างคิดๆอยู่ว่า ผู้ชายตัวเล็กแค่นี้ คนที่เขาเฝ้ามองจากข้างบนมีอิทธิพลมากจริงๆ ถึงกับทำให้เขาไม่เป็นอันกลับขึ้นไปบนสวรรค์ หรือถ้ากลับไป ไม่ทันได้นานก็ต้องลงมาหาอีกรอบอย่างคิดถึง เป็นอย่างนี้ตั้งแต่กงชานได้ลิ้มลองความหอมหวาน

     

    “กินแบบเมื่อกี้อีกได้หรือเปล่า” คงต้องบอกว่าเทพองค์นี้ช่างโลภมาก มือข้างที่รั้งลำคอเลื่อนมาสัมผัสใบหน้าหวาน ลากวนนิ้วหัวแม่มือไปเบาๆบนแก้มใส

     

    “ต...แต่ว่า ช็อกโกแลตมันหมดแล้ว” จินยองพูดเสียงเบาหวิว ก้มหน้าด้วยความอาย ข้างๆกันมีกล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากวางไว้บนโต๊ะ โดยที่ด้านใน...ว่างเปล่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้น่ะมันเต็มไปด้วยช็อกโกแลตยี่ห้อดัง ที่คนตัวเล็กเพิ่งจะซื้อกลับมาวันนี้เอง

     

    “ซื้อมาอีกนะ ข้าชอบ มันหวานดี” ไม่รู้ว่าที่พูดนั้นหมายถึงช็อกโกแลตแน่หรือเปล่า จองจินยองถึงได้หน้าแดงอย่างน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ อดไม่ไหวกงชานเลยก้มลงจุ๊บเบาๆที่ริมฝีปากแดงช้ำอีกที

     

    อย่างที่บอก ว่ากงชานน่ะเหมาะสมกับคำว่า ยมทูต มากกว่าเทพเยอะ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เป็นแบบคุณนี่ดีจริงๆเลยนะ” จินยองเอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก ปรายตามองปีกสีขาวขนาดใหญ่ที่กระพือต้านลมเบาๆ เจ้าของก็ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ไม่สูงมากนัก แต่นั่นก็ทำให้จินยองต้องเงยหน้าขึ้นมากกว่าเดิมเพื่อสนทนาด้วย

     

    “วันๆไม่ต้องทำอะไร เอาเวลามาบินตามผมอย่างเดียว” หัวเราะคิกคัก พลางเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อสีขาวของกงชาน นั่นทำให้อีกคนหันมาเลิกกคิ้วขึ้นแทนการเอ่ยปากถาม

     

    “คนเกเร” คำกล่าวหานั้นไม่ทำให้กงชานสะทกสะท้าน กระตุกยิ้มจัดการหุบเจ้าปีกสีขาวให้หายเข้าไปราวกับมีเวทมนตร์ เดินย่ำเท้าบนพื้นเคียงข้างกับจองจินยอง พลางยกแขนแกร่งขึ้นมาพาดกับลาดไหล่บาง

     

    “คนเกเร แต่เจ้าก็ชอบใช่ไหมล่ะ”

    “แล้วอีกอย่าง...คำนั้นมันเหมาะกับคนอย่างพวกเจ้า ...ข้าไม่ใช่มนุษย์” ช้อนหน้าหวานขึ้นมากดจูบแรงๆหนึ่งที จินยองที่ถูกกระทำก็ได้แต่ใช้ฝ่ามือฟาดอั่กเข้าให้ที่ลำแขนแกร่ง

     

    “เอาแต่ใจด้วย!” ขึ้นเสียงเล็กน้อยอย่างอายๆ มองค้อนก่อนจะสาวเท้าเร็วๆเดินนำไป น่ารักซะไม่มีล่ะ

     

    ไม่ผิดจากคำพูดของคนตัวเล็กเลยสักนิด เพราะยามที่จินยองกำลังเรียนหนังสือ กงชานก็นั่งเฝ้าอยู่บนต้นไม้ข้างหน้าต่างไม่ไปไหน แถมจ้องเสียจนคนตัวเล็กไม่เป็นอันทำอะไรอีกต่างหาก ปรากฏการณ์ประหลาดๆจะเกิดขึ้นเวลามีคนเข้ามาคุยกับจินยอง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ละคนออกอาการหลอนไม่ต่างกัน บ้างบอกว่าตาฝาดเห็นของลอยมั่ง มีคนผลักมั่ง รู้สึกเหมือนถูกจ้องมั่ง สารพัดที่กงชานจะทำได้นั่นแหละ

     

     

     

    พอเข้ามานั่งในร้านอาหาร กงชานก็รู้สึกไม่ชอบใจนิดๆ เมื่อเห็นว่าสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องมาทางนี้ แน่นอนนั่นไม่ได้หมายถึงว่ามนุษย์พวกนั้นจะมองเห็นตน หากเป็นคนตัวเล็กข้างๆนี่ต่างหากเล่าที่ตกเป็นเป้าสายตาแบบไม่รู้ตัว

     

    แต่แค่เพียงกงชานถลึงตาใส่ ร้านที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำขนาดนี้กลับมีลมพัดจนเศษกระดาษบางชิ้นต้องปลิวว่อน เรียกความสงสัย ความงงงวยให้กับนักศึกษาคนอื่นๆเป็นอย่างมาก ก่อนที่คนทำจะกระตุกยิ้มแล้วหันมาให้ความสนใจกับคนข้างกาย

     

    “วันนี้เจ้าจะกินอะไร” ถามอย่างใคร่รู้ เพราะแม้แต่เมนูอาหารที่คนตัวเล็กกินกงชานก็จดจำไว้ในสมองเป็นอย่างดี ใบหน้าเรียบเฉยหากแต่สายตาที่มองนั้นบอกได้ว่าเจ้าตัวรู้สึกเพลิดเพลินเมื่อเห็นจินยองทำนู่นทำนี่

     

    “ไม่รู้สิ กงชาน วันนี้คุณอยากให้ผมกินอะไรล่ะ” ถามกลับยิ้มๆ พลางเลื่อนสายตาไปที่เมนูอาหารในมือ

     

    ร้านอาหารเล็กๆในมหาวิทยาลัย เมนูส่วนมากก็จะเป็นอาหารจานเดียว ซึ่งตั้งแต่มีกงชานอยู่ข้างกายตลอดเวลา เขาก็ลองกินมันหมดแล้วแทบทุกเมนู ทั้งที่ในยามปกติ มักจะกินซ้ำๆอยู่แต่อย่างเดิมทุกที ไร้สีสัน ไร้ชีวิตชีวา

     

    “กินอะไรก็ได้ แต่กินเยอะๆก็แล้วกัน เจ้าน่ะ ตัวเล็กเกินไปแล้ว” ดวงตาคมไล่สายตาไปตามร่างอ้อนแอ้นของจินยองอย่างถือวิสาสะ ไหล่บอบบาง เอวคอดเล็ก อย่างนั้นน่ะ กอดไม่เต็มไม้เต็มมือเท่าไหร่แฮะ

     

    แน่นอนคนตัวเล็กก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมา อาจเพราะสายตาซุกซนของกงชาน แต่มันไม่ใช่ทั้งหมด หากเป็นมือขาวนั่นต่างหากที่เอื้อมมารั้งร่างบางๆของจินยองให้ลอยไปนั่งชิดกัน

     

    “เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าผมบ้าเอานะ เลิกทำตามใจในที่สาธารณะได้ไหม” เอ่ยติงพลางตีเบาๆเข้าที่มือใหญ่บนเอว ไม่ทันไรประโยคถัดมาก็ทำเอาจินยองต้องหน้าแดงอีกระรอก

     

    “แสดงว่าถ้าข้าอยู่กับเจ้าสองคนก็ทำได้ ว่างั้นเถอะ”

     

    ก็สงสัยอยู่ ตกลงว่านี่มันเทพสวรรค์ไหนวะเนี่ย ทำไมกงชานถึงได้เอาแต่ใจ และเอาเปรียบกันขนาดนี้! เขิน เขาเขินมาก รู้หรือเปล่า!

     

    แต่หรือจะไม่รู้ เพราะจมูกโด่งกดลงบนแก้มเนียนอีกหนึ่งฟอดใหญ่ เรียกสีเรื่อบนแก้มใสได้ดีทีเดียว

     

     

    ทว่า... มันไม่เสมอไป ที่เทพจะมีความสุข

     

    “มานานแล้วเหรอจินยอง สั่งอะไรหรือยัง” บาโรเจ้าของบุคลิกเท่ๆทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม เสียงทุ้มที่ดังขึ้นกะทันหัน ส่งผลให้จินยองสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะส่ายหัวเป็นพัลวัน

     

    “เป็นอะไรหน้าแดงเชียว ไม่สบายเหรอ” ไม่ว่าเปล่ายังเอื้อมมือมาสัมผัสบริเวณหน้าผากเนียน คนตัวเล็กก็ถึงกับสะดุ้งจนต้องรีบปัดมือของบาโรออกทันที เรียกสีหน้างงงวยให้กับเจ้าของมือใหญ่

     

    “ค...คือว่า ฉันสบายดีบาโร ไม่ได้เป็นอะไร” ส่งยิ้มแหยๆไปให้ในแบบที่บาโรเห็นแล้วไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่

     

    “หมู่นี้นายแปลกไปนะ มีอะไรปิดบังหรือเปล่า” คำถามนั้นเล่นเอาจินยองรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก แต่กระนั้นหน้าหวานก็ส่ายไปมาเป็นการปฏิเสธ ปากบางเม้มเข้าหากันอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ก่อนสัมผัสที่มือจะทำให้ต้องละสายตาขึ้นมามองคนฝั่งตรงข้าม

     

    “เราเป็นแฟนกันนะ มีอะไรก็ขอให้บอก ฉันเชื่อใจนายอยู่แล้ว”

     

    พูดยิ้มๆก่อนจะปล่อยมือนิ่มแล้วก้มลงมองเมนูในมือ กลอกตาผ่านรูปภาพเล็กๆบนหน้ากระดาษ ไม่ได้รู้เลยว่าจินยองที่มีตำแหน่งเป็นแฟนกำลังลำบากใจ และกลัว...

     

    กลัวสายตายากจะอธิบายของกงชาน ใบหน้านิ่งๆแสนจะเย็นชาแบบนั้นมันทำให้รู้สึกปวดหนึบข้างใน มือขาวที่ปล่อยลง ระยะห่างที่มากขึ้นก็บั่นทอนจิตใจกันเหลือเกิน

     

    ส่งสายตาอ้อนวอนว่าอย่าทำ อย่าทำหน้าราวกับว่าโกรธกันแบบนั้น อย่าหันหนี อย่าถอยห่าง อย่าเอาความอบอุ่นไปจากจองจินยอง อย่า...

     

    หากนั่นไม่เป็นผล คำอ้อนวอนผ่านสายตาของจองจินยองไม่เป็นผล เมื่อกงชานกางปีกสยายใหญ่ ก่อนจะบินหายออกจากร้านไปในที่สุด ไม่มีแม้คำกล่าวเหมือนทุกวัน ว่าข้าจะกลับมา... ไม่มี

     

    “แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร ทำไมทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้แบบนั้น” คนเป็นแฟนลุกขึ้นเดินมานั่งฝั่งเดียวกัน ใจนึกเป็นห่วงอยู่ว่า จินยองมีเรื่องอะไรให้คิดมากมาย พักนี้รู้สึกว่าจะทำตัวแปลกไป เหมือนกับว่าคนตัวเล็กใช้เวลาอยู่กับตัวเองเสียส่วนใหญ่ บางทีก็พูดคนเดียว ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ความรู้สึกมันเหมือนกับว่า...กำลังจะโดนพรากของสำคัญ

     

    ซึ่งคนที่ถูกถามแบบนั้นก็ทำเพียงส่ายหน้าเหมือนเดิม จินยองสูดหายใจเข้าปอดลึกๆก่อนจะเงยหน้าแล้วส่งยิ้มกว้างไปให้กับบาโร

     

    “ฉันกินเหมือนนายก็แล้วกัน สั่งให้ด้วยนะ”

     

    “อื้ม” ดวงตากลมของบาโรยังคงมองจินยองอย่างเป็นห่วง ใช่ว่าเขาจะละเลยในหน้าที่ ซ้ำยังเจอกันทุกวันเสียอีก

     

    “ไม่ได้ไปส่งที่บ้านหลายวันแล้ว เย็นนี้ให้ฉันไปส่งนะจินยอง” เอื้อมมือไปกุมมือนิ่มของคนข้างกาย ทอดเสียงอบอุ่นอย่างที่จินยองรับรู้มันได้เสมอ ก่อนที่เจ้าตัวจะยิ้มบางพยักหน้าเป็นการตกลง แล้วเบือนหน้าออกไปนอกร้าน พลันต้องเบิกตากว้าง เห็นกงชานกำลังยืนมองอยู่ไม่ไกล บรรยากาศข้างนอกดูจะวุ่นวาย ลมแรงๆที่ไม่รู้ว่ามาจากหนไหน แทบจะพัดเอาทุกสิ่ง

     

    ดวงตาคมราวกับจะกรีดให้เป็นแผล ราวกับจะทำร้ายหัวใจของจองจินยอง มันเศร้าเสียคนมองรู้สึกใจกระตุก จนต้องเผลอเรียกชื่อออกไปอย่างแผ่วเบา

     

    “กงชาน...”

     

    เวลานี้ไม่รู้แล้วว่าตัวเองทำอะไร คนตัวเล็กลุกพรวดขึ้นแทบจะทันที เพื่อจะก้าวเท้าออกไปหา ทว่า ข้อมือเล็กกับถูกบาโรรั้งไว้

     

    “จะไปไหนจินยอง ข้างนอกลมแรงมากเลยนะ นั่งลงเถอะ”

     

    สมองรับรู้ว่าบาโรกำลังเป็นห่วง หากแต่ดวงตาก็ยังคงจับจ้องออกไปข้างนอก จับจ้องไปที่ใบหน้าเรียบเฉยหากดวงตาดูเจ็บปวดของกงชาน และเหมือนกับว่าคนข้างนอกก็รออยู่หรือไร แววตาคู่นั้นถึงได้ดูเจ็บปวดมากขึ้น เบนหน้าหนี เมื่อจองจินยองตัดสินใจนั่งลงอย่างเดิม

     

    แค่พริบตาเดียว ข้างนอกก็เงียบสงบราวกับว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมๆกับที่กายสูงของกงชานได้หายไป

     

    “ฉันสั่งอาหารไปแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมา หยุดคิดเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่มันทำให้นายเป็นอย่างนี้ แล้วก็กินซะรู้ไหม”

     

    จินยองพยักหน้ารับในแบบที่สติไม่ค่อยมี กำมือแน่นอย่างโทษตัวเอง ถ้าเพียงเขาจะเดินออกไปซะ ถ้าเพียงเขาเลือกที่จะทำตามใจตัวเองซะ ถ้าเพียงเขาเจอกงชานเร็วกว่านี้...

     

    มันก็คงดี ถ้าเขาไม่ได้... ก็รักบาโรอยู่ก่อนแล้ว...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เจ้าสี่ล้อสีน้ำเงินสวยค่อยๆชะลอความเร็วลงเมื่อเคลื่อนตัวมาถึงหน้าบ้านของตระกูลจอง มือใหญ่ขยับเปลี่ยนให้เป็นเกียร์ว่าง ก่อนเจ้าของจะหันมามองคนตัวเล็กข้างกาย ลอบสังเกตดวงหน้าหวานอยู่สักพักก็ไม่มีวี่แววว่าจินยองจะรู้ตัว ถึงขนาดกับนั่งเหม่อไปไกลขนาดนี้ ...นี่เขาต้องพิจารณาตัวเองแล้วหรือไม่ ทำไมถึงไม่รู้เลยว่าคนที่แสนรักเป็นอะไร

     

    เอื้อมไปจับมือนิ่มเบาๆ หวังให้คนตัวเล็กตื่นจากห้วงความคิด และมันก็ได้ผลเมื่อจินยองสะดุ้งน้อยๆอย่างตกใจ ก้มมองมือใหญ่ที่กอบกุม หันไปส่งยิ้มให้บางๆก่อนจะก้มหน้าถอนหายใจ

     

    “จินยองอ่า อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนี้สิ ยิ้มหน่อยได้ไหม” บาโรฉีกยิ้มกว้างให้ดูเป็นตัวอย่าง ทำหน้าเสียทะเล้นจนอีกคนต้องหลุดหัวเราะออกมาน้อยๆไม่ได้

     

    “ต้องอย่างนี้สิถึงจะน่ารัก” แรงบีบที่แก้มทำให้จินยองร้องประท้วงออกมา แต่ก็ยังขำกับท่าทางเอาใจของบาโรอยู่ดี วินาทีต่อมา เสียงหัวเราะเลือนหาย มือใหญ่ประคองพร้อมกับใบหน้าของบาโรขยับเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจแทน ริมฝีปาก สัมผัสที่แผ่วเบา นุ่มนวล กำลังโอบล้อม ไม่ใช่ไม่เต็มใจ จองจินยองยอมอยู่เฉยๆให้บาโรตักตวง ใกล้ชิด...

     

    เปรี้ยง!!!

     

    เสียงฟ้าฟาดที่ผ่าลงไม่ไกล ทำให้ทั้งบาโรและจินยองที่นั่งอยู่ในรถสะดุ้งไปตามๆกัน หน้าหวานสะบัดหลุดออกจากมือใหญ่พลางหันไปมองเบื้องหน้า ทอดเห็นกายสูงและปีกสีขาวขนาดใหญ่ ใบหน้าหล่อเรียบสนิท หากคิ้วเรียวขมวดตามแรงอารมณ์ ...คำตอบแน่ชัดอยู่แล้วว่าสายฟ้าที่ผ่าลงมาเมื่อกี้...นั้นเพราะอะไร

     

    “กงชาน...”

     

    “นายว่าไงนะจินยอง” บาโรเองก็ขมวดคิ้วยุ่งไม่ต่างกัน ทั้งสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าที่มองออกไปนั้น คนรักของเขากำลังมองอะไร สายตามันถึงได้ดูโหยหาราวกับอยากจะเดินลงไปจากรถเขาเช่นนี้

     

    “นายกำลังเรียกใครอยู่งั้นเหรอ นายกำลังคิดถึงใครอยู่จินยอง อย่าทำให้ฉันรู้สึก ว่าตัวเองกำลังจะเสียนายไปได้ไหม...” ขอร้องอ้อนวอน บาโรกำลังทำ ถ้ามันจะรั้งหัวใจของอีกคนให้ยังอยู่กับเขาได้ กลัวเหลือเกิน เขากลัวเหลือเกิน เพราะอาการประหลาดๆของจินยองมันก็บอกได้ดีอยู่แล้ว ว่าคนตัวเล็กมีสิ่งอื่นที่สำคัญมากกว่าเขา

     

    “ฉ...ฉัน บาโร ฉันไม่ได้ตั้งใจ คือ ฉันกำลังสับสน” ยกมือขึ้นกุมศีรษะทั้งสองข้าง หน้าหวานส่ายไปมาราวกับคนหมดหนทาง ก่อนจะเงยขึ้นมองไปยังเบื้องหน้าอีกครั้ง... ไม่มี หายไปแล้ว กงชานหายไปแล้ว

     

    ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ในหัวตอนนี้ชัดเจน เป็นห่วงกงชาน... จินยองรีบพาตัวเองออกมาจากรถทันทีด้วยสีหน้าหวาดกลัว ฟันขาวขบแน่นที่ริมฝีปากนิ่ม นัยน์ตาเรียวเล็กสอดส่ายมองหา ก็ไม่พบ ไม่พบอีกคน...

     

    “กงชาน ออกมา ได้โปรด ออกมาให้ผมเห็นคุณหน่อยได้ไหม” แทบจะร้องไห้ เสียงสั่นๆของจองจินยองพยายามร้องเรียกหา

     

    เท่านี้ก็ชัดเจนใช่แล้วหรือไม่ เท่านี้มันก็บอกอยู่แล้วว่าจินยองไม่ได้มีเขาอยู่ในหัวใจ เห็นแล้ว บาโรเห็นแล้ว รู้สึกได้แล้ว รู้แล้วว่าจองจินยองไม่ได้เห็นเขาสำคัญอีกต่อไป

     

    หยาดน้ำใสที่ไหลลงมันเพราะอะไร... จองจินยองที่ร้องเรียกชื่อของคนอื่นอยู่ด้านนอก จองจินยองที่ทำหน้าราวกับโหยหา จองจินยองแบบนั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับคนอย่างเขา ไม่มีอีกแล้ว...

     

    ต่อจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ในเมื่อมือคู่นี้ไม่อาจรั้ง ไม่อาจรักษาความสัมพันธ์ คง... ต้องปล่อยไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    To be con.

     

     

     

     

    อยากเห็นกงแบบสว่างๆ เทพๆ อะไรอย่างนี้ แบบมีออร่า ก็เลยแต่งเองซะเลย ฮ่าฮ่าฮ่า (ไม่ลำเอียงเท่าไหร่ ==)

    น้องหล่ออ่ะเรื่องนี้ หล่อมากกกก ขัดกับตัวจริงเสียนี่กะไร เอิ้กๆๆ ฝากไว้ด้วยค่ะ หวังว่าจะรออ่านตอนจบนะคะ

     

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและเม้นให้กำลังใจกันค่ะ ^^

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×