ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✗ b1a4 ✗

    ลำดับตอนที่ #7 : [SF] Why...

    • อัปเดตล่าสุด 9 มิ.ย. 54


    Title : [SF] Why...

    Author : oumser

    Pairing/Couple : Gongchan x Jinyoung

    Rating : PG-13

    Talk : -

     

    - มันเป็นฟิคเรื่อยๆ (เรื่อยเปื่อยอ่ะค่ะ เอิ้กๆ)

     

    - เดิมทีมันเป็นฟิค โฮฮยอน SHINee อยากให้บ้านนี้อ่านมั่งก็เลยลองเอามาแปลงเป็นกงยองดู มันไม่เรียกว่า รีไรท์นะ เพราะเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อยเท่านั้น...

     

    - ภาษาและชื่อตัวละครถ้าผิดก็บอกกันได้ค่ะ เอิ้กๆ ^^ ขอให้ทุกคนชอบ เพี้ยง!!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    การดื่มฉลองพบปะเพื่อนฝูงในสถานที่บันเทิงหลังจากโหมกระหน่ำอ่านหนังสือสอบก็ไม่เลวเลยทีเดียว พอผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาเราก็จะมีเวลาได้ผ่อนคลาย จองจินยองและเพื่อนๆก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มก๊วนที่เลือกมารื่นเริงในสถานที่แห่งนี้ แต่ใครจะมีความสุขเท่าจองจินยองล่ะไม่มีอีกแล้ว ในเมื่อข้างกายมีหนุ่มน้อยหน้าหวานคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ทั้งยังสวีทหวานแหววไม่เกรงใจเพื่อนคนอื่นๆ ที่เห็นแล้วอยากจะจับมันสองคนแยกออกจากกันเสียเหลือเกิน

     

    “เบาๆหน่อยไอจินยอง” หนึ่งในเพื่อนที่มาร่วมฉลองครั้งนี้เอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงหมันไส้ สายตามองไปยังมือขาวที่เกาะเกี่ยวเอวของคนข้างกายไม่ยอมปล่อย

     

    “อิจฉาอ่ะดิ” จองจินยองระบายยิ้มกว้างพลางยักคิ้วที่เหมือนเป็นการเยาะเย้ย หากแต่เพื่อนคนนั้นก็เพียงยักไหล่น้อยๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปทางชายหนุ่มอีกคนที่นอนหมดสภาพอยู่ข้างกาย

     

    “ไอกงชานเนี่ย แกคงต้องแบกมันกลับ” คำบอกกล่าวของเพื่อนทำให้จินยองยักไหล่ราวจะบอกว่ามันก็ช่วยไม่ได้ เพราะกงชานอาศัยอยู่คอนโดฯห้องเดียวกัน คนเป็นรูมเมทก็ต้องรับหน้าที่นี้ไปโดยปริยาย แถมถ้าไม่ทำเนี่ยมันจะมาว่าเขาได้ว่าใจดำ อย่างไรก็เป็นเพื่อนสนิทกันอยู่แล้ว

     

    “จะว่าไป นี่ก็ดึกมากแล้วนะ นายพากงชานกลับเถอะ เดี๋ยวฉันไปส่งซานดึลให้” บาโรหนุ่มแนวฮิพฮอพฝั่งตรงข้ามอาสา ซึ่งจินยองก็เห็นดีเห็นงามด้วย พยักหน้ารับก่อนจะหันไปฝังจมูกลงกับแก้มขาวของแฟนตัวน้อยหนึ่งฟอดหนักๆเพื่อเป็นการลา

     

    “ฝากด้วยนะบาโร ส่งให้ถึงบ้านนะเว้ย!

     

    “เออๆ” สิ้นเสียงตอบรับคนสไตล์ฮิพฮอพก็พาซานดึลเดินฝ่าผู้คนออกไป พร้อมกับเพื่อนๆอีกหลายคนที่ทยอยกันกลับบ้าน

     

    จะเหลือก็แต่จินยองที่ยังคงยืนคิดหาหนทางเพื่อแบกไอเพื่อนตัวดีที่มันดันสูงกว่าตัวเองให้ออกไปจากสถานบันเทิงได้อย่างไร คนตัวเล็กซึ่งเผลอๆก็เล็กกว่าผู้หญิงเดินเข้าไปที่โซฟาฝั่งตรงข้ามก่อนจะเอื้อมมือดึงแขนของเพื่อนรักที่บัดนี้ไม่มีวี่แววว่าจะลืมตา เอาขึ้นมาพาดคอของตน มืออีกข้างสอดเข้าคล้องเกี่ยวเอวแกร่งไว้อย่างมั่นคง จากนั้นก็ออกแรงดึงให้คนตัวสูงลุกขึ้นตามอย่างยากลำบาก

     

    ...ให้ตายเถอะ! ทำไมมันหนักอย่างนี้วะเนี่ย!...

     

    บ่นในใจไม่ทันไร จินยองก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อหัวของกงชานเอียงตุบลงมาอิงกับไหล่ตน ทว่านั่นไม่ใช่สาเหตุสำคัญ แต่เป็นริมฝีปากของเพื่อนตัวดีที่แนบติดอยู่กับข้างลำคอขาวต่างหากเล่าที่พาให้คนเตี้ยกว่าตกใจ ไอจะสะบัดมันออกก็ดูจะเกินตัว เพราะแค่รับน้ำหนักมันก็เหมือนกับว่าเขาจะไม่มีแรงยืนอยู่แล้ว

     

    ในเมื่อทำอะไรไม่ได้จินยองเลยสูดหายใจเข้าลึกๆจนเต็มปอด ก่อนจะก้าวเดินแบบโซซัดโซเซไปพร้อมกับคนตัวสูง

     

    ...ถึงห้องเมื่อไหร่ จะให้แม่งนอนข้างนอก!...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น บรรลุแล้วสำหรับจองจินยอง คนที่ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อแบกคนตัวใหญ่กว่าอย่างกงชานกลับบ้าน จินยองถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากที่วางเพื่อนให้นอนลงบนเตียงแล้วเรียบร้อย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการกับตัวเอง ไม่นานคนที่ยังมีสติก็เดินกลับเข้ามาในส่วนของห้องนอน ก่อนจะเริ่มลงมือถอดรองเท้าและเสื้อนอกออกให้กงชาน

     

    “บอกว่าอย่าดื่มเยอะ เคยเชื่อกันบ้างไหมเนี่ย ไอบ้าเอ๊ย!” บ่นเพราะคนที่เดือดร้อนก็เป็นเขาทุกที จากเพื่อนจะกลายเป็นพ่อมันอยู่แล้ว

     

    หลังจากถอดสรรพสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นตัวขัดขวางการนอนของเพื่อนออกหมดแล้ว ตอนนี้บนตัวของกงชานเลยเหลือแค่เสื้อยืดกับกางเกงขายาว ก็อยากจะถอดออกหรอกนะ กางเกงน่ะ เพราะมันคงอึดอัดน่าดู แต่คิดอีกที ให้มันใส่ไว้อย่างนั้นนั่นแหละ

     

    หมดหน้าที่ของจินยองเจ้าตัวก็เดินไปปิดไฟ ห้องทั้งห้องเลยมืดจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย ใช้เวลาปรับโฟกัสอีกนิดก่อนที่คนร่างเล็กจะค่อยๆเดินมาที่เตียง

     

    ทว่า...

     

    “เฮ้ย!!!” ร่างทั้งร่างถูกกระชากอย่างแรงให้ลงไปแนบกับเตียงโดยที่จินยองเองไม่ทันตั้งตัว แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยอะไร ริมฝีปากเรียวก็โดนฉกฉวย ลุกล้ำอย่างรวดเร็ว จนจินยองที่พยายามขัดขืนหายใจไม่ทัน มือขาวข้างหนึ่งถูกครอบครองกดประสานไว้กับเตียง อีกข้างที่ว่างเลยลงมือทุบตีคนที่อยู่ด้านบนอย่างแรง หากแต่นั่นไม่ช่วยอะไร กลับกันมันเหมือนไปเพิ่มแรงโหมกระหน่ำของอีกฝ่ายมากกว่า เพราะร่างด้านบนทิ้งตัวลงมาทาบทับเบียดแนบชิดให้จินยองยิ่งไม่มีโอกาสหลุดรอด หน้าขาวที่พยายามหันหนีก็โดนจับกลับมาให้รับองศาจูบร้อนเหมือนเดิมอยู่หลายครั้ง ต่อสู้กันอยู่หลายครา จนกระทั่งมือขาวที่ออกแรงทุบนั้นเงียบสงบลงกลายเป็นกำเสื้อยืดบนตัวอีกฝ่ายไว้แทน พร้อมๆกับที่อารมณ์ของจินยองเตลิดไปไกล เผลอรู้สึกวาบหวามไปกับสัมผัสรัญจวนที่อีกคนมอบให้

     

    กลีบปากร้อนที่โดนบดเบียดเผยออ้าออกปล่อยให้ลิ้นสากของอีกฝ่ายได้แทรกตัวเข้าไปเก็บเกี่ยวความหอมหวานที่ยากจะห้ามใจ สลับกับดูดดึง หยอกล้อให้ร่างข้างใต้สะท้านเล่นอย่างลืมตัว

     

    ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ละจากปากเรียวไล้ลงมาตามลำคอขาวที่หอมกลิ่นสบู่ประจำกายคนร่างเล็ก แต่ทว่ายิ่งสูดดมเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่พอ อยากได้มากกว่านี้...

     

    “อ๊ะ!” แรงขบกัดที่ลำคอทำให้จินยองเผลอครางออกมาอย่างเจ็บๆ ก่อนสติที่เหมือนจะกลับเข้าที่จะถูกดึงให้หลุดออกไปอีกด้วยมือร้อนที่สอดเข้ามาใต้เสื้อยืดตัวบาง ลูบไล้ไปทั่วผิวเนียนที่ขาวเปล่งปลั่งน่าสัมผัส นั่นยิ่งกระตุ้นให้คนด้านบนรีบตักตวง กักเก็บความหอมหวานด้วยการเลื่อนใบหน้าลงมาบริเวณหน้าท้องเนื้อเนียน

     

    คำว่าสติ หาไม่เจอแล้วสำหรับจองจินยอง เพราะร่างกายดันตอบรับทุกสัมผัสอย่างดีเยี่ยม ปล่อยให้อีกคนทำตามอำเภอใจ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เปลือกตาของจินยองลืมขึ้นอย่างช้าๆ แสงแดดอ่อนที่ลอดเข้ามาจากหลังผ้าม่านบอกให้เจ้าตัวรู้ถึงการเริ่มต้นของวันใหม่ ทว่าพอขยับตัวเพียงนิด ความเจ็บร้าวที่กลางลำตัวก็ทวีขึ้นราวกับถูกกรีดแทง ไม่ได้เว่อไปจริงๆ จินยองสาบานได้ว่ามันเจ็บมาก พลันความทรงจำทั้งหลายก็พุ่งพรวดย้อนเข้ามาในหัวสมอง จนตาเรียวต้องเบิกกว้าง กระทั่งเผลอหยุดหายใจตามไปด้วย

     

    ...เมื่อคืน เมื่อคืน ไม่จริงน่า ไม่มีทาง ไม่ใช่แน่นอน แต่ทำไมมันเจ็บขนาดนี้วะ!...

     

    ไว้เท่าความคิด มือขาวเลิกผ้าห่มที่คลุมกายออกดู ความช็อคมาเยือนอีกรอบเมื่อไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นปกคลุมร่างกาย หน้าหวานสะบัดไปด้านข้างยังจะหวังว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิด แต่มันกลับยิ่งเหมือนเป็นการริดรอนลมหายใจของจองจินยองเมื่อข้างกายปรากฏร่างของเพื่อนรัก กงชาน นอนหลับในสภาพที่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก ...เปลือย ทั้งคู่...

     

    “อ๊าก!!! มันไม่ใช่แล้ว!!

     

    ผลั่ก!!!

     

    โครม!!!

     

    กายสูงของกงชานหล่นตุบกระแทกพื้นอย่างแรงด้วยฝีตีนของจินยอง คนทำร้องซี๊ดทันทีที่ต้องออกแรงมากๆ เพราะกระเทือนไปถึงบริเวณสะโพก ส่วนคนที่ลงไปจูบพื้นกระเบื้องก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างงัวเงีย ลักษณะจะยังไม่ตื่นดี

     

    “มีอะไรเหรอ” ลุกขึ้นนั่งพลางหยีตามองมาทางจินยองต่อสู้กับแสงสว่าง พลันคิ้วเข้มก็ต้องเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสภาพเพื่อนตัวเอง

     

    “ทำไมนอนไม่ใส่เสื้อผ้า เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก” สิ่งที่ได้ยินทำเอาจินยองแทบอยากกระโดดเสยคางกงชานสักที แต่ติดตรงที่กำลังระบม เพราะงั้นเลยได้แต่ข่มอารมณ์เกรี้ยวกราดเอาไว้ในใจ

     

    “จำไม่ได้?” หยั่งเชิงลองถามให้แน่ใจ เพราะดูจากอาการกระพริบตาปริบๆของกงชานแล้ว จินยองก็รู้ทันที...

     

    “เรื่องอะไรอ่ะ” ว่ามันจำไม่ด้ายยย!! ไอเพื่อนเวร! ทำเพื่อนได้ลงคอ ไอเลว ฮือ แล้วคราวนี้เขาจะเอาหน้าไปเจอซานดึลได้ยังไง อยากจะบ้าตายเข้าไปอีก อยากเอาหัวโขกกำแพงตาย เมื่อคิดว่าตัวเอง... เสียตัวฟรี!

     

    “แกเป็นอะไร เออ แล้วทำไมฉันก็เปลือยวะ” คนที่เพิ่งสังเกตเห็นสภาพของตัวเองอย่างกงชานเอ่ยหน้างงได้น่าถีบมาก อย่างน้อยจินยองก็คิดอย่างนั้นเมื่อได้เห็นสายตางงงวยของมัน ไม่ต้องเดาให้ปวดขมับคาดว่าเมื่อคืนมันคงละเมอแล้วเผลอทำอะไรๆที่มันไม่รู้ตัวอย่างแน่นอน ซึ่งพอนึกถึงข้อนี้จินยองก็ยกมือขึ้นกุมขมับราวกับเจอมรสุมชีวิต

     

    “แกเมา ฉันถอดให้แกเองแหละ จะได้หลับสบาย” โกหกออกไปซะยังดีกว่าให้มันรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น หากจะให้กงชานมารับผิดชอบก็ออกจะแปลกๆไปหน่อย เผอิญจองจินยองไม่ใช่ผู้หญิงที่จะท้องแล้วต้องรีบควานหาตัวพ่อเด็ก มันไม่ใช่ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้มันก็ต้องเป็นความลับต่อไป ถึงแม้มันอาจจะทำใจยอมรับยากสักหน่อย แต่เชื่อว่าไม่นานเขาก็จะลืม

     

    “งั้นเหรอ” ซึ่งคนที่เมาไม่รู้เรื่องเมื่อคืนก็ไม่คิดจะหาคำตอบอื่นๆให้วุ่นวาย พยักหน้ารับกับคำปดของเพื่อน แต่ไม่วายหันกลับมามองจินยองด้วยความสงสัยอีกครั้ง

     

    “แล้วแกอ่ะ ร้อนหรือยังไง อากาศก็ออกจะเย็น” คนที่โดนทักอย่างนั้นรีบฉวยเอาผ้านวมที่หล่นไปอยู่บริเวณเอวขึ้นมาพันจนมิดคอทันที เดี๋ยวมันจะเห็นว่าแม้แต่กางเกงในเขาก็ไม่มีให้ติดตัว แล้วไอเพื่อนตัวดีมันจะยิ่งสงสัยไปอีก ที่สำคัญรอยจางๆที่ลำตัวอีกเล่า จะเอาหน้าไปแก้ตัวได้อย่างไร

     

    “เออ ก็เมื่อคืนดื่มหนัก มันร้อนเว้ย” โทษปริมาณแอลกอฮอล์หน้าตาเฉย ก่อนจะออกปากไล่คนช่างซัก

     

    “ไปอาบน้ำได้แล้วไป ฉันจะได้อาบมั่ง” พยักเพยิดไปทางประตูห้องน้ำที่อยู่ด้านในส่วนของห้องนอน เพียงแต่กงชานยังไม่ขยับ หันมายกยิ้มยักคิ้วกวนๆให้อีกฝ่าย

     

    “สนใจจะอาบด้วยกันป่ะล่ะ”

     

    ตุบ!!!

     

    ใบหน้าหล่อเป็นอันต้องได้รับของขวัญยามเช้าเป็นหมอนใบเขื่อง แค่การกระทำยังไม่พอ คำพูดมันยังจะลวนลามจองจินยองอีก!

     

    “รีบเข้าไปอาบเลย ก่อนที่ฉันจะกระโดนเสยคางแก” หมายหมั้นปั้นมือไว้แล้วว่าถ้าขืนเพื่อนเลิฟที่เปลี่ยนเป็นเฮทเมื่อคืนยังพูดมากอีก พ่อจะยอมทนเจ็บสะโพก แล้วกระโดดถีบขาคู่ ซึ่งใบหน้าตอนโกรธของจินยองก็ทำให้กงชานหลุดขำออกมาอยู่ดี

     

    “อะไรวะ อารมณ์เสียแต่เช้าเลย” ไม่ทันได้รับหมอนใบที่สองเพราะกายสูงลุกขึ้นยืนเสียก่อน ทว่าจินยองที่ตั้งท่าจะขว้างหมอนอีกใบเพิ่งสังเกตเห็นถึงความอุจาดตาที่อยู่เบื้องหน้า

     

    “ไอเวร!!! หาอะไรปิดๆหน่อยไม่ได้หรือไงเล่า” หน้าดำหน้าแดงจนกงชานต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ

     

    “อะไรอีกอ่ะ อยู่ด้วยกันมาก็นาน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็น น่าจะชินๆได้แล้วนะ”

     

    “ก็ใช่! แต่นั่นมันก่อนที่แกจะ จะ จะ เอ่อ...” ซวยตู กำลังจะพูดอะไรวะเนี่ย!

     

    “จะอะไร?” ยืนถามหน้าตาเฉย ไม่อายสักนิดแม้ตัวเองไม่มีเนื้อผ้าสักชิ้นติดตัว ทว่าคนอายกลับเป็นจินยองแทน ที่เบนหน้าหวานๆไปมองผ้าม่านประหนึ่งมันน่าสนใจเสียเต็มประดา

     

    “จะอะไรก็ช่าง รีบเข้าไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย” บอกไว้ก่อนว่ากงชานเชื่อฟังเพื่อนคนนี้ที่สุดล่ะ ยืนยันด้วยการเดินเข้าไปอาบน้ำจริง แต่แน่นอน มันไม่ได้ไปแค่ตัวคนเดียว แขนแกร่งไม่วายออกแรงดึงรั้งอีกคนให้เข้าห้องน้ำไปด้วยกัน ตามคำเสนอก่อนหน้านี้ และไอการไม่ทันตั้งตัวของจินยองนั่นล่ะ ทำเอาเจ้าตัวร้องซี๊ดซ๊าดด้วยความเจ็บระบมไปทั้งตัว

     

    ...เพราะมัน! เพราะมันคนเดียว!!!...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    อย่าคิดเชียวว่าจองจินยองจะยอมอาบน้ำกับกงชาน เมื่อก่อนอาจจะเคยบ้าง แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว!

     

    “โหดชะมัดเลยแม่ง ต่อยมาได้ไงวะ” คนที่ถูกทารุณกรรมนั่งร้องโอดควรประคบประหงมลูกตาข้างซ้ายที่ตอนนี้เกิดเป็นรอยช้ำเขียวๆม่วงๆ ฝีมือรูมเมท สาปส่งอีกนิดด้วยการขยับปากบ่นงึมงำๆอยู่คนเดียว

     

    “อยากหาเรื่องเองทำไม” ยอมรับว่าสะใจอยู่นิดๆที่ได้ลงไม้ลงมือกับเพื่อนตัวดีบ้าง แต่ยังไงมันก็เป็นเขาอีกล่ะว้าที่ต้องมานั่งทายาบรรเทาอาการตาเขียวของมันเนี่ย ให้ตายเหอะ! หมันไส้ความหน้าด้านของมันจริงๆ

     

    “โอ๊ย!! เจ็บเว้ยเจ็บ!” ร้องซะดังลั่นเหมือนโดนควักลูกตา ทั้งที่จินยองเพียงแค่แตะเบาๆไปที่รอยช้ำแค่นั้นเอง มือขาวจึงต้องหยุดทำงานกะทันหัน ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงกลัวเพื่อนเจ็บแต่อย่างใด อย่างเขามันมีแต่ซ้ำเติมอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามือใหญ่ของกงชานดันคว้ามือขาวของจินยองไว้ซะก่อน แล้วทีนี้จะให้เขาทายาต่อยังไง

     

    “มือหนักว่ะ” สาบานว่ายังไม่ทันได้ออกแรง จินยองแค่แตะจริงๆ

     

    “ทีนี้ล่ะทำมาเป็นสำออย” อยากนักที่จะกดมือลงไปตำแหน่งเดิมให้เพื่อนตัวสูงร้องให้สะใจ ถ้าไม่ติดว่ามันกุมมือเขาอยู่ล่ะก็นะ

     

    “แล้วจะปล่อยได้ยัง จะได้ทาให้มันเสร็จๆไป” แล้วก็เป็นจินยองอีกนั่นแหละที่เป็นฝ่ายสะบัดมือออกจากการเกาะกุม ท่าทางรังเกียจกันซะไม่มีอ่ะ

     

    “ทำเล่นตัว เดี๋ยวนี้แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยงั้นดิ” ที่พูดเนี่ยไม่ได้รู้เลยใช่ไหมว่าตัวเองน่ะได้ไปทั้งตัวแล้วเมื่อคืน ยังจะเอาอะไรอีก! แน่นอนจินยองได้แต่คิดอยู่ในใจพร้อมกับหายใจเข้าออกอย่างรวดเร็วประหนึ่งกำลังโกรธยามนึกถึงเรื่องที่ว่า เรื่องที่เขาเสียตัวให้มันฟรี แถมไอคนทำยังไม่รู้ตัว ชนิดตูละเมอ

     

    “อะไร แซวแค่นี้ก็โกรธอีก ดูทำหน้าเข้า เมื่อคืนกินเหล้าอะไรอ่ะ ตื่นมาถึงได้ผีเข้าผีออกแบบนี้” ยกมือขึ้นผลักหัวอีกคนเบาๆเป็นการหยอกล้อ ไม่ได้สังเกตเลยว่าจองจินยองมีสีหน้าเป็นอย่างไร

     

    ...ฉันต่างหากที่ต้องถามแก! ว่ากินเหล้าอะไร มันถึงได้ทำกับฉันแบบนี้ ไอเพื่อนเวร!!...

     

    แต่ก็นั่นแหละ ความลับมันก็คือความลับ ที่เขาจะต้องเก็บไว้ต่อไป ใครจะบอกมันกัน เดี๋ยวจะเสียความเป็นเพื่อนเปล่าๆ เพราะรู้ไงว่าอย่างมันคงไม่ตั้งใจแน่ๆ เชื่อเถอะว่าจินยองรู้จักกงชานดีที่สุด

     

    “เฮ้ย! ที่คอแกมีรอยอะไรวะจินยอง” มือใหญ่ที่ผลักหัวเพื่อนเป็นว่าเล่นชะงักกึกทันทีที่สังเกตเห็นตำหนิบางอย่างบนลำคอขาว เลยจัดการผินโครงหน้าเรียวให้หันไปอีกทางเพื่อที่ตนจะได้ดูให้แน่ใจ โดยที่จินยองเองก็ไม่ทันได้คิดหลบ

     

    “นี่มันคิสนี่หว่า” อุทานพลางหรี่ตามองหน้าเพื่อนอย่างจับผิด จินยองเองก็แทบกลั้นหายใจ ตาเรียวกลอกไปมาอย่างคนกำลังหาข้อแก้ตัวดีๆเพื่อมาโกหกกงชานอีก หากแต่ยังไม่ทันได้บอกอะไร คำพูดเองเออเองของเพื่อนสนิทก็ทำให้จินยองถอนหายใจอย่างโล่งๆ

     

    “ไม่คิดเลยว่ะ ว่าซานดึลจะร้ายขนาดนี้ เห็นนิ่มๆอย่างนั้นเหอะ เด็กแกนี่ไม่เบา”

     

    ปล่อยให้กงชานพยักหน้ารับกับความคิดของตัวเองต่อไป ส่วนจินยองก็เริ่มลงมือทายาให้กับเพื่อนตัวดีต่อโดยที่ไม่พูดอะไร จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นแหละถึงได้เอ่ยปาก

     

    “ขอโทษแล้วกันที่ทำให้เจ็บ ใส่แว่นตาไปก่อนนะ ไม่กี่วันก็คงหาย” ย้ำราวกับว่าเรื่องแค่นี้กงชานจะคิดเองไม่ได้ ก่อนจะลงมือเก็บหลอดยาใส่กล่องแล้วน้ำไปไว้ในตู้ยาดังเดิม จับนู่นจับนี่ตามประสาคนละเอียดอ่อนก่อนจะปิดฝาตู้ลง

     

    “เฮ้ย!!” เพียงแต่ว่าพอหมุนตัวกลับมาเท่านั้น จมูกรั้นก็ชนเข้ากับริมฝีปากหยักเข้าอย่างจังจนคนเตี้ยกว่าตกใจแทบเซหงายหลัง และเพื่อกันไม่ให้หัวกลมๆต้องโขกกับตู้ยา กงชานจำเป็นต้องเอื้อมมือไปรั้งเอวของจินยองให้เข้ามาใกล้ตัว คิ้วเข้มเลยเลิกขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อไม่คิดว่า...

     

    “เอวแกเล็กขนาดนี้เลยเหรอวะ”

     

    ดูด้วยตาอาจจะเห็นว่าคนตรงหน้าช่างตัวเล็ก แต่พอได้สัมผัสแบบนี้แล้ว กงชานก็คิดว่ามันบางมากเหมือนกันว่ะ ซึ่งจินยองที่เข็ดขยาดกับการถูกเพื่อนคนนี้แตะเนื้อต้องตัว ก็รีบเบี่ยงตัวหลบออกจากระยะอันตรายอย่างรวดเร็ว ถอยออกมายืนห่างๆเพื่อความปลอดภัย

     

    “มายืนซ้อนกันทำไมวะ! ตกใจหมด” ยกมือขึ้นกุมหน้าอกเสมือนคนเป็นโรคหัวใจ แนวฟันขาวกัดริมฝีปากแน่นเหมือนจะระงับอารมณ์ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

     

    “เป็นอะไรอีก ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอไง อาการแปลกๆนะ มีอะไรก็บอกกันดิ เป็นเพื่อนกัน คุยได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว” พ่อใจใหญ่พูดได้ไม่ดูสถานการณ์ ไม่รู้เลยว่าตัวเองนั่นแหละที่ทำให้ความเป็นเพื่อนที่ว่ามันสั่นคลอน อย่างน้อยตอนนี้จินยองก็ไม่กล้าเข้าใกล้กงชานเหมือนอย่างเดิมนั่นแหละว้า

     

    “ไม่มีอะไร! หยุด! หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะเว้ย ห้ามเข้ามาใกล้ฉันอีก” ท่าทางรังเกียจเกินจริงของคนตัวเล็กทำเอากงชานต้องขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด

     

    “ทำไมจะเข้าใกล้ไม่ได้” เคยกลัวซะที่ไหน กงชานเคยกลัวจองจินยองเสียที่ไหน ขายาวก้าวฉับๆตรงเข้าล็อคคอของเพื่อนตัวเล็กทันที ก่อนจะออกแรงลากให้เดินไปตรงโซฟาอย่างรวดเร็ว

     

    “โอ๊ย! ไอบ้าเอ๊ย! เบาๆสิวะ!” คนที่กำลังระบมไปทั้งสะโพกอย่างจินยองร้องโอดโอยพลางทรุดตัวนั่งลงกับพื้นเย็นเฉียบ ใบหน้าขาวเหยเกจนกงชานที่เห็นรู้สึกไม่ชอบใจตะหงิดๆ

     

    “เป็นอะไรนักหนาวะ” ที่สบถนี่คือไม่รู้ใช่ไหมว่ามันเป็นเพราะตัวเองทั้งหมด เลยตัดปัญหายุ่งยากด้วยการช้อนร่างของเพื่อนรักขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับยกขึ้นจนตัวลอย ร้อนคนโดนอุ้มต้องร้องออกมาอย่างเหวอๆ

     

    “กงชาน แกอุ้มฉันทำไมวะ ปล่อยเลยนะเว้ย ฉันเดินเองได้”

     

    “แล้วเมื่อกี้ใคร ที่มันทรุดลงไปนั่งแหมะกับพื้น” เหล่ตามองเพื่อนเหมือนรำคาญเสียงแว้ดๆของมันเต็มที แค่โดนอุ้มทำเป็นสะดิ้ง ส่วนจินยองที่โดนย้อนเข้าให้ก็ได้แต่แยกเขี้ยวใส่ ...น่ากลัวซะไม่มีล่ะ...

     

    ซี๊ดปากอีกครั้งอย่างเจ็บๆเมื่อร่างเล็กๆถูกวางลงบนโซฟาตัวยาวอย่างเบามือ ก่อนจะหันไปทำหน้ายักษ์ใส่กงชาน ที่เห็นแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พลางนั่งลงข้างๆกัน

     

    “ไหนดูดิ๊” มือใหญ่เอื้อมลงไปรวบขาทั้งสองข้างของจินยองขึ้นมาพาดบนตักของตัวเอง ก่อนจะเริ่มบีบๆคลึงๆไปทั่วเนื้อเนียน หวังจะหาต้นตอที่ทำให้เพื่อนของเขาไม่มีแรงจะยืน และนั่นน่ะสร้างอาการเกร็งให้กับจินยองได้ไม่น้อย เจ้าตัวพยายามจะยึดขาเรียวกลับ ต่อสู้กับมือใหญ่อยู่นานก็ไม่ได้ผล จึงได้แต่ยอมๆให้เพื่อนสนิทลูบๆคลำๆต่อไป

     

    ...แม่ง ทำมาเป็นอ่อนโยน ทีเมื่อคืนล่ะ...

     

    “แล้วเจ็บตรงไหนเนี่ย ไม่เห็นมีรอยฟกช้ำหรือว่าบาดแผล” พอได้ยิน จินยองก็มองเพื่อนด้วยสายตาประมาณว่า ตูเจ็บขาเสียที่ไหน! คิดแล้วกลุ้ม เกิดมาเป็นเพื่อนกับมันก็ตั้งสิบกว่าปี อยู่ด้วยกันมาก็นาน จะอยู่ต่อไปอย่างสบายอารมณ์ก็ไม่ได้ ดันมาทำให้เขาเปลี่ยนไปอีก เปลี่ยนเป็นไม่กล้าเข้าใกล้มันเนี่ยแหละ ไม่อยากเสียมันไปหรอกนะถ้าพูดออกไป กงชานน่ะเป็นเพื่อนที่ดีมากสำหรับจองจินยอง เพราะงั้น อยู่อย่างนี้เขาก็พอใจมากกว่า

     

    “แล้วใครบอกว่าฉันเจ็บขา” จิ๊ปากส่งเสียงไม่พอใจก่อนจะกระชากเรียวขาของตัวเองกลับ ซึ่งคราวนี้พ่อเพื่อนตัวดีก็ยอมง่ายๆ แล้วหันมาคาดคั้นเอากับเพื่อนแทน

     

    “แล้วเจ็บตรงไหน”

     

    อึก!

     

    “ฉันไม่ได้เจ็บอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องมาทำเป็นห่วงหรอกน่า” โบกมือไปมาเป็นการบอกว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ เลิกเซ้าซี้ได้แล้ว

     

    “ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องเป็นห่วง แกก็เลิกทำตัวให้ต้องเป็นห่วงสิ จองจินยอง” บอกตามตรง เมื่อก่อนก็เคยได้ยินประโยคแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่ทำไมครั้งนี้มันกลับไม่เหมือนกัน มันรู้สึกแปลกๆ จนต้องหันหน้าไปมองกงชานอย่างอึ้งๆ

     

    “อะไรอ่ะ ฉันเป็นห่วงแกก็ผิดด้วยหรือไง” ที่พูดเพราะเห็นวันนี้จินยองเหมือนผู้หญิงเมนส์ไม่มาเหลือเกิน เอะอะหงุดหงิด เอะอะไล่ลูกเดียว

     

    หน้าขาวหันขวับกลับไปจ้องพื้นกระเบื้องทันทีเมื่อได้ยินเพื่อนรักพูดออกมาตรงๆ ก็รู้ว่าเป็นห่วง แต่เก็บไว้ในใจไม่ได้เหรอวะ ทำซะเขินเลย

     

    !!!

     

    เขิน! จองจินยองเนี่ยนะ! เขินกงชาน บ้าไปแล้ว เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

     

    “เออ วันนี้มีนัดกับคีย์ไม่ใช่หรือไง จะบ่ายแล้วนะ ยังไม่ไปอีก” เปลี่ยนเรื่อง(?) หน้าหวานพยักเพยิดไปที่นาฬิกาบนฝาผนัง เป็นอันรู้กันว่าถ้าแกไปช้าเดี๋ยวแม่นางคีย์จะโวยเอาได้ แล้วคีย์ที่ว่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนคนเด่นคนดังในมหาวิทยาลัยนั่นแหละ

     

    “ยกเลิกไปแล้ว จะอยู่กับแก” คนรักเพื่อนยิ่งกว่าอะไรเอนตัวนอนลงบนโซฟาหน้าตาเฉย ใช่ ที่บอกว่าหน้าตาเฉยเนี่ย คือกงชานเอาหัวเกยตักจินยองหน้าตาเฉยต่างหากเล่า ก่อนที่ขายาวจะเหยียดตรงไปจนสุดโซฟา

     

    บอกตามตรงอีกเหมือนเคย ว่ากงชานเคยทำแบบนี้มาก็หลายหน แต่ไม่ยักรู้สึกแปลกๆเหมือนตอนนี้ว่ะ แม่งเอ๊ย! จองจินยอง เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย

     

    “หน้าแดง ไม่สบายเหรอไง” เช็คความแน่ใจโดยการเอามือขึ้นอังหน้าผากเพื่อนรักเบาๆ อ่อนโยนซะไม่มีล่ะ แต่หน้าขาวที่แดงเรื่อกลับสะบัดมันออกอย่างไม่ใยดี

     

    “หุบปาก จะนอนก็นอนไป” กางหนังสือปิดหน้า ขั้นกลางระหว่างกงชานที่นอนหนุนตักอยู่ด้านล่าง กันไม่ให้คนตัวสูงพูดมาก ถามมากอีก แค่นี้ก็ไม่รู้จะหาคำอะไรมาแก้ตัว มาโกหกมันแล้วเนี่ย

     

    ทว่าเพราะหนังสือเล่มนั้น จินยองเลยไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มของกงชาน รอยยิ้มกว้างอย่างคนอารมณ์ดี...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    สองเพื่อนซี้อย่างจินยองและกงชานเดินเข้ามาภายในโรงยิมซึ่งมีนักศึกษาประปราย หนึ่งคนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อีกหนึ่งยิ้มร่าราวกับถูกหวยรางวัลแจ๊คพ็อต ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่าคนที่กำลังอารมณ์เสียคือจองจินยอง ส่วนคนที่อารมณ์ดีเกินจริงก็คือกงชาน

     

    “เดินเฉยๆ ไม่ได้หรือไงวะ ทำไมจะต้องเอาแขนมาพาดกันด้วย ยิ่งเตี้ยๆอยู่” เบี่ยงลาดไหล่เพื่อให้แขนล่ำๆของเพื่อนมันออกไปไกลๆ อย่างว่าแหละ ถ้าหากกงชานยอมง่ายๆ แล้วมีหรือที่คนเป็นเพื่อนอย่างเขาจะต้องทำหน้านิ่วอย่างนี้ ใช่ไง มันก็เอาแขนขึ้นมาพาดดังเดิม เป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบตั้งแต่เดินมาจากห้องเรียนจนถึงโรงยิมเนี่ย

     

    ...เอาให้ตามันเขียวอีกสักรอบดีไหม ยิ้มระรื่นอยู่นั่น...

     

    “ใกล้กัน มันอุ่นดี” สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและพูดแบบนี้อยู่เป็นเนืองนิตอย่างกงชานน่ะไม่แปลก แต่สำหรับจินยองที่เจอเรื่องร้ายๆ และคนทำก็คือมันเนี่ย ไม่สามารถทนได้อย่างแรง

     

    “ร้อยจะตาย! บอกอุ่น” คำขึ้นเสียงของเพื่อนทำเอากงชานต้องเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะโดนสะบัดตัวออกห่างเป็นรอบที่ยี่สิบกว่าๆ

     

    ...แล้วไอเสื้อกันหนาวที่ใส่อยู่นี่ล่ะ ลมหนาวๆเนี่ยนะ  ร้อน???...

     

    “จินยอง!” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นไม่ไกลเรียกให้ทั้งเจ้าของชื่อและเพื่อนตัวสูงเป็นอันต้องหันขวับไปมอง ชายหนุ่มที่จัดว่าหน้าตาดีกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางพวกเขา ก่อนจะหยุดแล้วหอบหายใจน้อยๆพร้อมกับยกยิ้มกว้างอย่างสดใสไปให้คนร่างเล็ก

     

    “อ้าว ชินวู มีอะไรหรือเปล่า ดูรีบร้อนนะ” ไม่พูดเปล่ามือเรียวยังเลื่อนขึ้นไปโบกพัดให้ลมแก่คนตัวโตหยอยๆ ใจดีซะไม่มีล่ะ เล่นเอาชินวูยิ้มกว้างไม่ยอมหุบเลย

     

    “พอดีฉันเอานี่มาคืนนายน่ะ” มือหนายื่นกล่องซีดีที่ยืมคนร่างเล็กไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุผลง่ายๆไม่ใช่อยากฟังหรืออย่างไร แต่นั่นเป็นเพียงข้ออ้างให้ได้คุยกัน ให้ได้ทำความรู้จักกับคนอัธยาศัยดีอย่างจินยองมากขึ้นอีก

     

    “อ่อ จริงๆไม่เห็นต้องรีบคืน เพิ่งยืมไปเองนี่” ว่าอย่างนั้นแต่ก็เอื้อมมือออกไปรับเอากล่องสี่เหลี่ยมแบนๆมาถือไว้ พร้อมกับมอบรอยยิ้มพิมพ์ใจชนิดที่ชินวูเห็นแล้วอยากจะเป็นลมเพราะอาการตาลาย ถึงแม้จินยองจะมีแฟนเป็นหนุ่มน้อยน่ารักหน้าหวานก็เถอะ แต่แหมของอย่างนี้มันก็มีตกหลุมรักกันได้ ใช่เลย เขาปลื้มคนร่างเล็กตั้งแต่แรกเห็นเลยล่ะ

     

    “กลัวว่าจะรบกวนนายเกินไปน่ะ”

     

    “ไม่หรอก นี่ถ้านายอยากจะฟังอีกก็ได้เลยนะ ฉันให้ยืมได้อยู่แล้ว” บอกยิ้มๆตามประสาคนจิตใจดี ซึ่งนั่นน่ะให้ความหวังลมๆแล้งๆกันชัดๆ พ่อชินวูเขาถึงกับยืนหน้าแดงเป็นแตงโมสุกเชียว ก่อนจะละล่ำละลักเอ่ยออกไป

     

    “ง...งั้น ฉันไปก่อนดีกว่า อยู่นานมันไม่ดีต่อสุขภาพร่างกาย” ....เพราะเหมือนจินยองจะทำลายหัวใจของคนตัวโตไปเรื่อยๆ ซึ่งคนที่ได้ยินอย่างนั้นก็แค่ทำหน้างง แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร มองตามแผ่นหลังที่วิ่งเผ่นออกไปจากโรงยิมอย่างรวดเร็ว

     

    ...หาว่าเขาเป็นตัวแพร่เชื้อโรคหรือเปล่าวะ???...

     

    แน่นอนคนน่ารัก(?)มักคู่กับความไร้เดียงสา ไม่อาจรู้ได้หรอกว่าตัวเองบังเอิญไปมีอิทธิพลต่อหัวใจชายหนุ่งร่างใหญ่ที่สไตล์การชอบเหมือนๆกับตัวเอง แต่มีหรือที่จะรอดพ้นสายตาของ...

     

    “เสน่ห์แรงจริงๆเลยนะ” กงชานเอ่ยขึ้น ทำให้จินยองหันมามองด้วยสายตาติดจะไม่พอใจ

     

    “หุบปากไปเลย อย่าพูดอะไรให้ฉันขนลุกอีก” ก่อนจะเดินนำหน้า ตรงไปยังนักศึกษาชายสองสามคนที่กำลังโยนลูกกลมๆสีน้ำตาลเข้าห่วงเหล็ก ซึ่งกงชานก็แค่ยักไหล่ไม่ใส่ใจกับปฏิกิริยาของเพื่อนแล้วเดินตามเข้าไปร่วมวงด้วยอีกคน

     

    ...พูดเรื่องจริงแค่นี้ ก็ถึงกับโมโห...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เป็นธรรมดาที่ภายในห้องอาบน้ำหรือว่าห้องแต่งตัวของชมรมบาสเก็ตบอลจะอื้ออึงไปด้วยเสียงของเหล่านักศึกษาชายที่พร้อมใจกันโหวกเหวกโวยวายในเวลาเย็นย่ำหลังเลิกซ้อมเช่นนี้ เพียงแต่ว่าพอจองจินยองเดินก้าวเท้าเข้ามาในเขตสัตว์ป่า(?) ทุกเสียงก็ต่างพร้อมใจกันเงียบกริบเสมือนอาจารย์สุดโหดเดินเข้ามาในห้องเรียนก็ไม่ปาน ทำเอาคนร่างเล็กถึงกับออกอาการเหวอๆ แบบนี่กูมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าวะเนี่ย

     

    มันไม่ใช่ทุกวันที่จินยองจะมาอาบน้ำที่นี่เพราะเจ้าตัวไม่ใช่คนในชมรม แค่เล่นบาสแล้วมายืมใช้ แต่เอาล่ะ เราจะข้ามประเด็นเหล่านี้ไปซะ เหตุผลหลักๆคือเมื่อมีของดีมาให้มอง มาให้ชม พวกกล้ามโตๆตัวใหญ่ๆมันก็จ้องกันตาเป็นมันสิครับ

     

    ก็จินยองน่ะ แม้จะมีความแมนบ้างเล็กน้อย แต่แหม พอมาอยู่กับความสูงแค่นั้น มันก็เลยเรียกได้ว่าตัวเล็กน่ารักน่าแกล้งซะมากกว่าจะมองเป็นผู้ชายแมนๆ ที่สำคัญและขาดไม่ได้ คือนิสัยอ่ะ แบบว่าพ่อคนน่ารักที่ไม่รู้ว่าตัวเองน่ารักมนุษยสัมพันธ์ดีอย่าบอกใคร ถูกใจ เสือ สิงห์ กระทิง แรด แถวนี้เขาล่ะ

     

    “มีอะไรกันเหรอ?” จินยองยังคงไม่รู้ตัว เลิกคิ้วถามเมื่อเห็นสายตาทุกคู่มองมาที่ตนนิ่ง ไม่ได้รู้เลยว่าผิวขาวๆที่ถูกปิดไว้แค่ผ้าขนหนูผืนเดียวนั้น มันล่อตะเข้ขนาดไหน

     

    ความสุขและของดีไม่ได้มีบ่อยๆและมีนานๆ เมื่อกงชานที่เดินตามหลังเข้ามาจัดการคลุมผ้าขนหนูผืนใหญ่ลงที่ไหล่บาง ปิดวิวทิวทัศน์ที่ชายหลายคนเห็นแล้วลงความเห็นว่ามันน่าฟัดมากที่สุด ก่อนดวงตาโตจะกราดมองไปยังนักศึกษาคนอื่นที่จ้องเพื่อนเลิฟของเขาไม่วางตา

     

    ...แม่งเอ๊ย! อารมณ์เสีย...

     

    “เอามาคลุมทำไม ฉันจะอาบน้ำ” ทำท่าปฏิเสธความหวังดีได้น่าโมโหจริงๆ ไม่รู้หรือยังไงว่ามีคนเขาเป็นห่วง กลัวว่าเดี๋ยวจะโดนลากไปทำมิดีมิร้ายก่อนได้ชำระร่ายกายน่ะ ไม่เจียมสภาพตัวเองเลยนะ ว่าเหมาะควรแล้วหรือที่จะมาเดินเปลือยอกในที่แบบนี้

     

    “เข้าไปอาบข้างใน” สั่งพลางพยักเพยิดไปทางห้องน้ำเล็กที่มีประตูกั้นจากส่วนรวม ซึ่งคนร่างเล็กที่ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่เห็นว่าจะต้องปฏิบัติตามเลยสักนิด

     

    “ทำไมฉันต้องฟังแกด้วยวะ”

     

    “หรืออยากให้ฉันลากเข้าไปอาบด้วยกัน ดีมั๊ย” กดเสียงต่ำให้รู้ว่ากำลังข่มอารมณ์สุดๆ คือโทษที พวกมึงๆจะมองเพื่อนกูอีกนานไหมครับ แบบอาการหวงของกำเริบ คราวนี้ไม่ต้องสั่งรอบสองคนที่กล้าๆกลัวๆกับสายตาอย่างนั้นของกงชานก็แทบจะถลาวิ่งไปเข้าห้องน้ำอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ไอหน้าร้อนๆนี่ก็ไม่ต้องเดา จินยองคาดว่ามันต้องแดงแน่

     

    ...ไอเพื่อนเลว ทำให้คนอื่นเปลี่ยนไป แล้วมันยังจะมาทำตัวแปลกไปอีกนะ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    พอดีว่าจองจินยองมีเรื่องสงสัย...

     

    “คือฉันมาเดตกับซานดึล... แต่ทำไมแกต้องมาด้วยวะกงชาน!” แทบจะตะโกนใส่หน้าเพื่อนรัก นี่ถ้าไม่ติดว่าซานดึลยืนอยู่ข้างๆพ่อจะกระโดดงับคอมัน ยืนทำหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้านอยู่ได้ แทนที่คนเป็นแฟนกันเขาจะได้อยู่กันตามลำพัง ไอเพื่อนตัวดีดันตามมาเป็นมาร

     

    “เรื่องอะไรจะให้แกมีความสุขคนเดียว”

     

    บอกไว้ก่อนว่าจินยองค่อนข้างแปลกใจ เพราะกงชานไม่เคยทำแบบนี้ คือหมายถึงตามรังควานเขาทุกเวลาไม่ว่าจะคุยกับใคร แล้วเหมือนมันจะเลือกด้วยนะ หากเขาคุยกับผู้ชายมีกล้ามล่ะก็มันจะออกอาการอย่างชัดเจนเลยอ่ะ

     

    “แต่นี่ซานดึลนะเว้ย แฟนฉัน ฉันจะเที่ยวกับแฟนของฉัน” จะบอกว่าไม่อยากให้มีบุคคลที่สามอ่ะเข้าใจป่ะ แต่เหมือนกงชานจะไม่เข้าใจแฮะ

     

    “แกก็เที่ยวไปดิ ฉันจะดูอยู่ห่างๆ” เหนื่อยใจที่สุดเวลาคุยกับกงชาน เพราะพ่อคุณไม่เคยฟังเลย ยืนยกยิ้มจนจินยองเองรู้สึกเมื่อยปากที่จะเถียงด้วย จึงหันไปสนใจซานดึลที่ยืนยิ้มน่ารักอยู่ข้างๆก่อนจะโอบเอวให้เดินไปด้วยกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “กินยังไงของแกวะ เลอะจริงๆ”

     

    และมันก็โอเค หากกงชานจะตามดูอยู่ห่างๆอย่างที่พูด ไม่ใช่กระทำการตามอำเภอใจอย่างที่กำลังทำอยู่นี้ โดยการเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดปากให้เขาต่อหน้าซานดึลที่นั่งมองตาปริบๆอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งมันก็โอเคอีกแล้วหากอยู่ที่คอนโดฯ แน่นอนล่ะเรื่องแบบนี้ทำกันเป็นปกติ

     

    “อย่าทำแบบนี้จะได้ไหม” กระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคนกับกงชาน ก่อนจะหันมายิ้มให้กับซานดึลที่เริ่มมองทั้งคู่แปลกๆ ใช่ว่านี่จะครั้งแรก ตลอดทั้งวันกงชานก็มีอาการคล้ายๆอย่างนี้อยู่หลายครั้ง ไอประเภทแบบ ดูแลจนออกนอกหน้า ออกนอกเส้นของคำว่าเพื่อน ซึ่งแน่นอนคนน่ารักอย่างซานดึล แต่ไม่ได้ไร้เดียงสาจนดูไม่ออกจะไม่รู้

     

    “แน่ใจนะ ว่าพี่สองคนเป็นเพื่อนกันจริงๆ” คำพูดของซานดึลทำเอาจินยองถึงกับสะอึกเผลอปล่อยช้อนหลุดมือ ก่อนจะรีบแก้ตัว

     

    “พูดอะไรอย่างนั้นครับซานดึล”

     

    “พูดเรื่องจริง” คราวนี้ส้อมก็หล่นกระทบจานดังเคร้งเลยล่ะ จินยองกลอกตาซ้ายทีขวาทีอย่างไม่รู้จะทำยังไงให้คนน่ารักเชื่อดี ก่อนจะยิ่งกลุ้มหนักเข้าไปอีกเมื่อกงชานพาตัวเองให้เข้ามาอยู่ในบทสนทนา

     

    “แต่ว่าเราเป็นเพื่อนกันจริงๆนะครับน้องซานดึล” ทั้งที่บอกอย่างนั้น แต่แหม ลำแขนแกร่งของกงชานก็ยกขึ้นพาดลำคอเพื่อนรักพลางดึงให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น ไอแบบยิ้มหล่อมองตาลึกซึ้งนี่สงสัยจะเป็นเพื่อนแบบพิเศษ

     

    “งั้นเหรอครับพี่จินยอง” เชื่อไหมว่าหน้าตาน่ารักอย่างที่เห็น นอกจากยิ้มหวานๆแล้ว นิสัยของซานดึลกลับไม่ได้สดใสน่ารักตามไปด้วย มันมีบางอย่างที่อึมครึม ก็ดูสายตาที่มองมาสินิ่งซะไม่มีล่ะ

     

    “กงชาน!ปล่อย! คือน้องซานดึลครับ เราสองคนเป็นแบบนี้แหละ คือสนิทกัน มันก็เลยค่อนข้างถึงเนื้อถึงตัว” ...แต่ไม่บอกหรอกนะว่าไปถึงไหนแล้ว(?)

     

    จินยองถอนหายใจอย่างโล่งๆเมื่อในที่สุดซานดึลก็แจกยิ้มหวานอีกครั้ง ทว่าต้องเผลอสะดุดลมหายใจเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

     

    “ผมรับไม่ได้ เราเลิกกันดีกว่านะครับ” บอกหน้าตาเฉยก่อนจะลุกเดินจากไป ทิ้งให้จินยองที่ยังคงนั่งเหวออ้าปากค้างไม่รับรู้สถานการณ์ไว้ที่เดิม ปากเรียวที่พะงาบๆพยายามอย่างมากในการเปล่งเสียง อยากจะดึงรั้งคนน่ารักแต่ก็ทำไม่ได้

     

    ...ไปแล้ว ซานดึลทิ้งเขาไปแล้ว...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ปัง!

     

    “ย่าห์! จองจินยอง!” มือใหญ่รัวทุบประตูไม้ไม่หยุดหลังจากที่เพื่อนเลิฟปิดมันใส่หน้า แถมยังล็อคกันไม่ให้เขาเข้าไปอีกแน่ะ ใจร้ายชะมัด แค่ซานดึลบอกเลิกทำไมต้องไล่เขาออกมานอนนอกห้องด้วยวะ โซฟามันไม่สบายเหมือนบนเตียงนะเว้ย

     

    ...เชื่อว่ากงชานยังไม่สำนึก...

     

    “เข้าไปได้เมื่อไหร่ แกเจอดีแน่!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ครึ่งชั่วโมงต่อมา จินยองยังคงนอนลืมตาอยู่ในความมืด พลิกตัวไปมาก็แล้ว นอนนับแกะก็แล้ว มันก็ไม่ยักเข้าสู่ห้วงนิทรา จะว่าเสียใจมันก็เสียใจอยู่หรอกที่โดนซานดึลบอกเลิก แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลักๆที่ทำให้เขานอนไม่หลับอย่างนี้ คือก็แปลกใจตัวเองอยู่มาก เมื่อลองทบทวนและไตร่ตรอง คิด พินิจ พิจารณา(?) ข้างในลึกๆมันกลับบอกว่า

     

    ...เป็นห่วงไอคนที่อยู่ข้างนอกว่ะ...

     

    ซึ่งข้อนี้ทำเอาจองจินยองประสาทจะกินแบบสุดๆ ก็มันน่ะเป็นคนทำให้เขาเลิกกับซานดึล แถมยังบอกอีกด้วยว่าตั้งใจ จะรังแกกันไปถึงไหน แค่ที่ทำไปนี่ยังไม่พออีกเหรอไง จะเอาอะไรจากเขาอีกวะ ขออยู่อย่างสงบก็ไม่ได้เลยสินะ ถึงชอบเข้ามาวนเวียนในหัวสมองของเขาแบบนี้ นิสัยเสียจริงๆกงชาน ให้ตายสิ!

     

    เพล้ง!!!

     

    ทว่า ด่าทอเพื่อนรักในใจได้ไม่นาน เสียงของบางอย่างหล่นแตกก็ดังเข้ามาให้ได้ยินถึงในห้องนอน นั่นไม่ทำให้คนร่างเล็กตกใจได้เท่ากับเสียงร้องโวยวายของคนที่อยู่ด้านนอกได้หรอก หยัดนั่งหลังตรงแทบจะทันที ก่อนจะถลาเข้าไปเปิดประตูชนิดร่างกายไปก่อนคำสั่งของสมอง ไวกว่าจะรู้ตัว... ใช่ กงชานไวกว่าจินยองจะรู้ตัว ฉวยโอกาสที่บานประตูไม้เปิดออกกว้างแทรกตัวเข้ามาภายในห้องนอน โดยที่ไม่ลืมลากเพื่อนตัวเล็กให้เข้ามาด้วยกัน เข้ามาใกล้...เตียง

     

    “เฮ้ย!” ร้องเสียงหลงเหมือนคนเพิ่งรู้ตัว เพิ่งรู้ว่าตนถูกพามานอนราบกับเตียงแล้วเรียบร้อย และบรรยากาศมันก็ช่างคุ้น เสมือนจินยองยังจำได้ดี

     

    “จะทำอะไรวะ!” คำหยาบเล็กน้อยที่ไว้ใช้กับเพื่อนสนิทถูกพ่นออกมาทันที ด้วยตกใจกับสถานการณ์ล่อแหลม ก่อนที่มันจะถูกดูดกลืนไปพร้อมๆกับริมฝีปากนิ่ม และเหมือนคนด้านบนจะแกล้งเพราะไม่ยอมให้จินยองได้มีโอกาสแม้กระทั่งหายใจ จนต้องลงมือทุบตีนั่นแหละ ถึงจะยอมละริมฝีปากออก

     

    จินยองจึงต้องรีบกอบโกยเอาอากาศเข้าปอด เผยอปากหอบอย่างอ่อนแรง คิ้วเรียวขมวดยุ่งอย่างไม่เข้าใจ

     

    “ฉันบอกแล้วไง ว่าถ้าเข้ามาได้เมื่อไหร่ แกเจอดีแน่” กระซิบใกล้ใบหูของอีกคน เล่นเอาร่างเล็กๆกระตุกวาบทันที

     

    ซึ่งจินยองก็อยากถามเหลือเกินว่าแบบนี้น่ะเหรอที่เรียกว่าดี แบบที่มันกำลังทำอยู่นี่หรือไง

     

    “ไอบ้า แกจูบฉันทำไมวะ!” แต่ที่โพล่งออกมากลับเป็นอีกอย่าง มือขาวฟาดอั่กเข้าที่กลางหลังของคนด้านบน กัดริมฝีปากแน่นก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นเมื่อทนมองดวงตาคมที่จับจ้องมาไม่ได้

     

    “แล้วทำไมจะจูบไม่ได้ มากกว่านี้ก็ทำมาแล้ว” คำพูดเอาแต่ใจของกงชานทำให้จินยองหันขวับกลับมาทันที ดวงตาเรียวเล็กก็เบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ

     

    “แกรู้...”

     

    “เออ” นี่ก็ยอมรับแบบไม่คิดจะปิดบังอีกต่อไป ก่อนกงชานจะต้องร้องเสียงหลงเมื่อมือขาวทุบอั่กๆเข้าที่กลางหลังซ้ำที่เดิมไม่ยั้ง จนต้องรวบข้อมือของอีกคนไว้นั่นแหละถึงจะหยุดแผลงฤทธิ์

     

    “แกทำกับฉันแบบนี้ทำไม เราเป็นเพื่อนกันนะ! ตวาดแว้ดๆ หากแต่จินยองกำลังรู้สึกถึงความร้อนที่ขอบตา ก่อนที่เสียงนุ่มๆนั้นจะถูกกลบด้วยเสียงสะอื้น

     

    กงชานทำเพียงแค่ปาดน้ำตาให้จินยองอย่างอ่อนโยน ในหัวสมองก็คิดทวนคำถามของเพื่อน แทบไม่ต้องหาคำตอบ มันชัดเจนมาตั้งนานสำหรับความรู้สึกและการกระทำ ว่า...

     

    “ฉันไม่เคยมองแกเป็นเพื่อนมานานแล้วจินยอง”

     

    ชัดเจนพอไหมที่จะอธิบายเรื่องทั้งหมดและการกระทำทุกอย่างที่ได้ทำไป แค่เขารักจองจินยอง มันพอหรือยัง...

     

    นัยน์ตาเรียวเล็กที่แดงนิดๆหลับลงเมื่อจินยองไม่รู้ว่าจะสนทนาอะไรต่อไปดี ทั้งยังเป็นการหลบหลีกสายตาอ่อนโยนจากเพื่อนรัก เขาว่าการหลับตานี่แหละดีที่สุด

     

    ทว่า...

     

    สัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากทำให้จินยองต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง กงชานก็ยังแนบไว้นิ่งไม่ได้ผละออกแต่อย่างใด ทั้งยังส่งผ่านความรู้สึกด้วยดวงตาคู่คม ก่อนจะค่อยๆรุกเร้ามากกว่าเดิมอย่างช้าๆ โดยที่ยังลืมตาจ้องมองกันและกันอยู่

     

    สอดมือประสานราวกับจะบอกให้อีกคนเชื่อใจ กดแนบจูบให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม ไร้ซึ่งคำพูดแต่จองจินยองกลับรู้สึกได้...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “แกไม่ต้องเกาะติดฉันขนาดนี้ก็ได้มั้งกงชาน” บอกเพราะไม่ว่าจะไปไหนไอคนตัวสูงนี่ก็ตามๆๆอยู่นั่นแหละ บอกเป็นรอบที่ร้อยแล้วเนี่ย แต่เชื่อเถอะว่ามันต้องเอาเหตุผลเดิมๆขึ้นมาอ้างอย่างแน่นอน

     

    “ได้ยังไง แกเป็นแฟนฉันนะ” เดาผิดเสียที่ไหนล่ะ

     

    “แต่กระทั่งฉันจะมาเข้าห้องน้ำ แกก็ยังตามมาแบบนี้ จองจินยองก็ไม่ไหวนะเว้ย!” แล้วอีกอย่าง ไอเหตุผลที่บอกว่าเดี๋ยวเขาจะโดนคนอื่นฉุดไปน่ะ ควายชัดๆ เป็นมันนั่นแหละที่ฉุดเขาหายเข้าไปทำกำไรทุกที

     

    “พอเลย อยู่ข้างนอก เดี๋ยวออกมาแป๊บเดียว” สั่งก่อนจะผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ ทิ้งให้คนตัวสูงที่ว่ายืนอมลมหน้าบูดหน้าบึ้งอยู่คนเดียว

     

    และพอจินยองทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย เปิดประตูเดินออกมา แต่ก็ไม่พบเพื่อนที่กลายสภาพมาเป็นแฟนเมื่อไม่กี่วันก่อน

     

    ...ไปไหนของมันวะ...

     

    สบถในใจปั๊บสายตาก็เหลือไปเห็นมันปุ๊บ แบบออร่าความหล่อของมันก็พอตัวอยู่ แล้วยิ่งสูงเด่นอย่างนั้นมีหรือที่เขาจะมองไม่เห็น แต่ความสว่างใสของอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ เพราะคนคนนั้นเป็นถึงคิมคีบอม ยืนกระซิบกระซาบอะไรซะใกล้ชิด ไม่เข้าท่า! เอาล่ะงานนี้จองจินยองก็ชักจะโมโหเป็นเหมือนกัน เดินเข้าไปกระชากหูไอกงชานมันออกมาดีไหม ลงฝ่ามือให้มันเจ็บแสบดีไหม ไม่ๆ นั่นไม่ใช่นิสัยเขา

     

    “เฮ้ย! จินยอง รอด้วยดิ” พอเห็นว่าคุณแฟนเดินนำไปก่อนไม่ยอมรอ  กงชานก็หันไปตบหลังคีย์สองสามทีเป็นการลาแล้วก้าวขาเดินตามคนร่างเล็กไปทันที

     

    “ทำไมเดินมาก่อนล่ะ ไม่เห็นฉันหรือไง” ถามขึ้นเมื่อเดินมาทัน จะบอกว่าถ้าเป็นงูมันก็คงฉกตา

     

    “เห็น” ตอบสั้นๆ แบบที่กงชานรู้สึกได้ว่าบรรยากาศมาคุ แต่เจ้าตัวก็แค่เลิกคิ้วอย่างงงๆ

     

    “ก็ถ้าเห็นแล้วทำไมไม่เรียก”

     

    “ก็ไม่อยากขัดจังหวะ”

     

    “ขัดจังหวะ?” ทวนคำอย่างไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ริมฝีปากหยักเป็นอันต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นเค้ารางๆว่าเหมือนคุณแฟนกำลัง...

     

    “หึง...แกกำลังหึงฉันอยู่ใช่ไหมเนี่ย” ขาเรียวของจินยองหยุดเดินแทบจะทันที ตาเรียวเล็กก็จ้องมองกงชานเสียดุ หมันไส้ความหล่อมันซะไม่มีล่ะ

     

    “ก็เออน่ะสิ!” กระโดดงับคอได้ทำไปแล้ว เล่นตะคอกใส่หน้ากันขนาดนี้ ซึ่งกงชานที่ได้ยินก็ยิ่งยิ้มกว้างมากกว่าเดิม ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาหยิกแก้มใสของจินยองเล่น จนเจ้าของร้องประท้วงออกมาอย่างหงุดหงิด

     

    “เจ็บนะ!

     

    “ให้ตายเถอะ แกนี่น่ารักชะมัดเลยว่ะจินยอง” อยากจะป่าวประกาศให้ทั้งโลกรู้ว่าคนนี้ของกงชานคนเดียว จะได้ไม่มีใครมายุ่งกับของๆเขาอีก

     

    “ฉันคุยกับคีย์ตามประสาเพื่อน ไม่มีอะไรมากกว่านั้นซะหน่อย”

     

    “โกหก แล้วก่อนที่แกจะคบกับฉันอ่ะ เห็นตามจีบคีย์อยู่นี่” สะบัดหน้าพรืดจนมือใหญ่หลุดออกจากแก้มเนียน

     

    “ใครบอกแก?”

     

    “ไม่มี”

     

    “แสดงว่าคิดไปเอง”

     

    “เออ”

     

    “งั้นเลิกงอน”

     

    “ใครงอน”

     

    “แกอ่ะ” พอได้ยินอย่างนั้น คนร่างเล็กก็เม้มปากแน่นเหมือนจนตรอกต่อคำพูด ไม่มีอะไรจะยกขึ้นมาเถียง จึงได้แต่มองค้อนยู่ปากใส่กงชานซะอย่างนั้น ...น่ารักจะแย่...

     

    “อย่ามาทำหน้าตาแบบนี้ เดี๋ยวจูบโชว์เลยนี่” เตือนด้วยความหวังดี เพราะถ้ายังไม่รีบเลิกทำตัวน่ารักแล้วล่ะก็ กงชานจะทำอย่างที่พูดจริงๆ

     

    “บ้า!” ก่อนจะหมุนตัวออกเดินนำไปทันที โดยไม่ลืมที่จะยั่ว(?) ในความคิดของกงชาน ด้วยหน้าแดงๆ และกิริยาเขินอายอย่างน่ารัก

     

    ...คิดว่าถึงคอนโดฯเมื่อไหร่ ก็รู้กันว่าจองจินยองจะยั่วสำเร็จหรือไม่...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    THE END

     

     

     

     

     

     

     

    ชื่อเรื่อง Why...

    นั่นสิ ทำไมอ่ะ เอิ้กๆ ไม่รู้เหมือนกันค่ะ

    ณ ตอนนั้นคิดไม่ออก ก็เลยคิดง่ายๆ เอาไว้ให้จินยองใช้ถามกงชานก็แล้วกัน ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ดีมะ(?)

    ไม่รู้ว่าอ่านแล้วภาพออกมาเป็นกงยองรึเปล่า แต่คนเขียนนึกไม่ค่อยออกอ่า มันเป็นโฮฮยอนอยู่เรื่อยเลย เอิ้กๆ

     

    ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและเม้นให้กำลังใจกันค่ะ ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×