ตอนที่ 98 : ตอนที่ ๘๙ เป้าหมายยิ่งใหญ่
ตอนที่ ๘๙ เป้าหมายยิ่งใหญ่
ข้าอึ้งจนพูดอันใดมิออก จะ-เจ้าแมวน่ะหรือที่เป็นฮ่องเต้ไร้พระทัยที่ว่า!? นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ หลอกกันใช่หรือไม่ แต่ดูจากสีหน้าของเขาแล้วไม่น่าจะล้อเล่น ขากรรไกรของข้ายังคงค้างเติ่งอยู่เช่นนั้น เสียงที่จะเอื้อนเอ่ยออกไปยังหาไม่เจอเลย ข้าเงียบอยู่นานค่อนวันก็พลันได้สติกลับคืนมา
ลองมาคิดดูแล้วหากเขาเป็นฮ่องเต้ในช่วงนั้นคงจะโทษตนเองอย่างหนักน่าดู แคว้นล่มสลายในตอนที่เขาครองราชย์เป็นผู้ใดก็ต้องรู้สึกผิดอยู่แล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงท่านแม่ทัพผู้ทุ่มเทให้แก่แคว้นมาโดยตลอด ข้าเม้มปาก ลังเลว่าจะปลอบโยนเขาอย่างไรดี ข้ายื่นมือไปกุมมือของเขาไว้ ได้ส่งผ่านความรู้สึกทางสัมผัสก็ยังดีถึงยังคิดคำพูดไม่ได้ก็ตาม
เจ้าแมวชำเลืองนัยน์ตาเรียวโตคู่งามมามองข้า ภายใต้ขนตางอนเป็นแพหนาของเขาข้าไม่เห็นว่ามันเป็นเช่นไร ฉินอ๋องพลิกมือกลับมาเป็นคนกุมมือของข้าแทน ดวงหน้าหล่อเหลานิ่งเรียบราวกับไม่รู้สึกใดๆ
“ข้าไม่เป็นไร มันผ่านมานานมากแล้ว”
จากนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ คีบเนื้อปลาราดเปรี้ยวหวานมาวางโปะบนถ้วยข้าวของข้าแล้วพยักพเยิดเชื้อเชิญให้ข้าลิ้มลอง ท่าทางราวกับคนละคนที่เพิ่งกล่าวถ้อยคำหนักอึ้งประโยคนั้น ข้ากะพริบตาปริบๆ เงยหน้ามองใบหน้าราบเรียบ บรรยากาศแบบนี้แล้วยังจะให้ข้ากินข้าวต่ออีกหรือ? จิตใจทำด้วยอันใด จะด้านชาไร้ความรู้สึกเกินไปแล้ว!
ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ค่อยๆ ดึงมือกลับคืนมา ชำเลืองมองเจ้าแมวอีกรอบ ในแววตาของเขาไม่มีความเศร้าเสียใจใดๆ ข้าจึงโล่งอก โชคดีที่เจ้าแมวไม่เก็บเรื่องหนักๆ เหล่านั้นมาคิดมาก ข้าคงจะกังวลมากเกินไป บรรยากาศที่หนักอึ้งเมื่อครู่มลายหายไปทันทีที่ฉินอ๋องกินข้าวต่ออย่างหน้าตาเฉย ข้าได้แต่กะพริบตามองปริบๆ เห็นอีกฝ่ายกินข้าวตาหน้าเฉยเช่นนี้แล้วพลันหมดอารมณ์จะกินต่อ แต่พอเขาหันมาคะยั้นคะยอให้กินต่อ ข้าฝืนใจกินอีกคำแล้ววางตะเกียบลง เจ้าแมวเห็นข้าไม่กินต่อก็ไม่พูดมากความ วางตะเกียบตามแล้วเรียกให้เด็กรับใช้เข้ามาเก็บ จากนั้นก็ชวนข้าไปเดินย่อยอาหาร
เราสองคนเดินเรื่อยๆ ราวกับกำลังทอดน่องชมนกชมไม้สบายๆ นั่นเป็นเพียงภาพภายนอกเท่านั้น ในใจของข้ามันร้อนรุ่มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หันไปมองคนถ่วงเวลาไม่ยอมเล่าต่อเสียที ไยถึงได้เล่นตัวยึกยักท่ามากเช่นนี้ เล่ามาให้จบรวดเดียวมิได้งั้นหรือ? ฉินอ๋องหันมามองข้าที่เริ่มหงุดหงิดออกทางสีหน้าแล้วหยุดยืนที่ริมสระน้ำ ร่างสูงหันตัวทอดสายตาไปยังสระน้ำกว้างพร้อมเอามือไพล่หลัง
“หลังจากนั้นเจ้าก็น่าจะคาดเดาได้บ้างแล้ว”
ข้าพยักหน้าหงึกๆ ฉินอ๋องขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ไร้พระทัย... ข้าข้องใจอยู่เล็กน้อยว่าเหตุใดถึงเป็นฮ่องเต้ไร้พระทัย แต่ไม่คิดจะสอบถามในยามนี้จึงเก็บประเด็นเอาไว้ในใจ ข้ามไปยังประโยคต่อไป... ‘ไว้พระทัยคนใจคด’ คนใจคดที่ว่าคงไม่พ้นเหลียงอ๋องเป็นแน่ จะโทษเจ้าแมวก็มิได้ เหตุการณ์ในช่วงนั้นประกอบกับเหลียงอ๋องแสดงได้แนบเนียน เป็นเรื่องปกติที่เขาจะไว้วางใจพี่ชายต่างมารดาผู้นี้มาก แต่ที่ข้าสงสัยคือ...เป้าหมายของเหลียงอ๋องต่างหากล่ะ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ฉินอ๋องก็ยังมิได้เอ่ยถึงมัน
“ข้าพอจะคิดภาพออกแต่ว่าไม่เข้าใจว่าเหลียงอ๋องมีเป้าหมายอันใดกันแน่ ท่านทราบหรือไม่?”
“เจ้ายังจำเรื่องการล่มสลายของแคว้นฉู่ได้หรือไม่?”
แคว้นฉู่? อ้อ ข้าพยักหน้าไปทันที เหตุใดจะจำมิได้ ในตอนนั้นข้าจำได้ว่าหวาดเสียวกลัวหัวหน้าองครักษ์จางคนเล่าเรื่องปลดโซ่มาฟาดใส่อยู่เลย กองทัพนับแสนนายของแคว้นฉู่ถูกท่านทวดเยว่ไฉหลางสังหารเพียงคำพูดเดียว จนเป็นเหตุให้เกิดจลาจลความวุ่นวายขึ้นในแคว้นฉู่ กระทั่งราชสำนักและฮ่องเต้ถูกราษฎรล้มล้างลง
แล้วเจ้าแมวพูดมาทำไมกันล่ะ...
“แล้วเจ้าจำความวุ่นวายของราชสำนักแคว้นเหลียวได้หรือไม่?”
ข้าขมวดคิ้วเอียงหน้าไปมองเจ้าแมวอย่างครุ่นคิด แคว้นเหลียวงั้นรึ? จะว่าไปแล้วในตอนศึกหน้าหนาวที่ผ่านมานั้นราชสำนักแคว้นเหลียวเองก็ปั่นป่วนวุ่นวาย หากข้ามิได้ไปเจออ๋องน้อยผู้นั้นคงยับยั้งความขัดแย้งทางการเมืองมิได้แน่ ประเดี๋ยวก่อน แคว้นฉู่ระส่ำระสายจนถูกโค่นล้มราชวงศ์ แคว้นเหลียวก่อสงครามทั้งนอกและในเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ หรือว่ามันมีอันใดเกี่ยวข้องกันอย่างนั้นรึ?
“เจ้าคงคิดอะไรได้บ้างแล้ว จากนั้นก็ลองคิดภาพแผนที่แคว้นฉู่ แคว้นเหลียวและแคว้นฉิง ทั้งสามแคว้นอยู่ติดกับแคว้นใด”
โชคดีที่ไป๋หู่สอนวิชานี้ให้แก่ข้า กลับไปต้องรีบหาขนมของหวานไปเซ่นไหว้อาจารย์ไป๋หู่เสียหน่อย มีประโยชน์ยิ่งนัก ไม่ทำให้ข้าดูโง่เง่าเกินเยียวยา ข้าหลับตาค่อยๆ นึกถึงแผนที่แต่ละแคว้น
“แคว้นจื่อกับแคว้นหยวน”
ฉินอ๋องพยักหน้ามองมาด้วยสายตาเหมือนจะชม ข้าแอบยืดอย่างภาคภูมิใจ มิได้เรียนอย่างสูญเปล่า!
“แคว้นจื่อเป็นที่ตั้งของเทือกเขาสือเยว่ซานซึ่งเป็นที่ตั้งของตระกูลเยว่ ส่วนแคว้นหยวนเป็นที่ตั้งของตระกูลจา เป้าหมายของเหลียงอ๋องก็คือล้มล้างการปกครองทั้งสามแคว้น จากนั้นตระกูลจาขยายอิทธิพลเข้าไปมีบทบาทควบคุมทั้งสามแคว้นที่ว่าแล้วผนวกรวมเข้ากับแคว้นหยวน”
“ผนวกรวมแคว้น!?” ข้าทำตาโตยกมือทาบอกอย่างตกใจ เป็นเป้าหมายที่เกินคาดจริงๆ ตระกูลจาคิดทำการใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย?
“ข้าคาดเดาว่าตระกูลจาคิดทำการใหญ่กว่านั้นมากนัก มิใช่แค่รวมสามแคว้นเล็กเข้ากับตนเองเท่านั้น น่าจะมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น หากเดามิผิดน่าจะช่วงชิงอำนาจจากตระกูลซุนแห่งแคว้นต้าซุนและตระกูลโหยวแห่งแคว้นต้าหยาง เจ้าสังเกตหรือไม่ว่าในจำนวนแคว้นทั้งหลายมีเพียงสองแคว้นที่มีคำว่า ‘ต้า’ นำหน้า บางทีตระกูลจาอาจปรารถนาคำว่า ‘ต้า(ยิ่งใหญ่)’ คำนั้นก็เป็นไปได้”
“ซุน? โหยว?” ข้าอึ้งอยู่นานกว่าจะขยับปากเปล่งเสียงออกมาได้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งค่อนวัน นี่มันลามไปถึงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างสี่ตระกูลพยัคฆ์ เจ้าแมวแค่นเสียงขึ้นจมูก สีหน้าราบเรียบมีแววเยาะเย้ยหน่อยๆ ไม่รู้ว่ากำลังเยาะเย้ยผู้ใด คงเป็นพวกตระกูลจากับเหลียงอ๋องกระมัง
คิดดูเถิด วางแผนตั้งแต่ส่งธิดามาตบแต่งกับคนแคว้นนี้แล้วค่อยๆ แทรกซึมกุมอำนาจทีละนิด ทำลายแคว้นฉู่ สร้างความวุ่นวายในแคว้นเหลียว และยังจะมาทำให้แคว้นฉิงล่มสลายอีก ให้ตายเถิด คนตระกูลจานี้ร้ายกาจสุดๆ อดทนและวางแผนยาวนานกันทุกผู้ทุกคน แต่โชคยังเข้าข้างพวกเรา แคว้นเหลียวในตอนนี้ปกติและมั่นคง ไม่มีความวุ่นวายของการแย่งชิงบัลลังก์เหมือนในชีวิตเก่า พวกเขาทำไม่สำเร็จ!
“โชคดีที่แคว้นเหลียวรอดพ้นมาได้” ข้าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ฉินอ๋องเหลือบมองมาที่ข้าโดยไม่พูดอันใด เพียงแค่ทอดสายตาอ่อนโยนเจือไอเย็นนิดๆ มาให้ จะว่าไปแล้วในตอนนั้นก็เป็นเพราะเจ้าแมวกับข้าที่พลิกเปลี่ยนเหตุการณ์จากร้ายให้กลายเป็นดี ข้าช่วยอ๋องแห่งแคว้นเหลียวที่ยามนี้กลายเป็นองค์รัชทายาทให้รอดจากมือสังหารมาเจรจาสงบศึก ส่วนฉินอ๋องก็ช่วยเหลือวู๋อ๋องกำจัดน้องชายแล้วขึ้นนั่งบัลลังก์ ถ้าข้าเป็นพวกตระกูลจาคงโกรธแค้นจนกระอักเลือดที่มีคนทำลายแผนการที่อุตส่าห์วางมาอย่างแยบยล
“ก็เพราะแคว้นเหลียวรอดมาได้มิใช่รึ ตัวเจ้าถึงได้มีนักฆ่าตามหลังมาเป็นขบวน”
นักฆ่า? เห็นข้าทำหน้างวยงงเจ้าแมวก็ส่ายหน้าเอือมระอาความทรงจำแสนสั้นของข้า อ้อ! นักฆ่าจากป้อมปราการซ่างซืออะไรนั่นน่ะรึ? ข้าจับนักฆ่าเหล่านั้นเอาไว้ใช้งานต่อก็จริงแต่กลับหาความจริงว่าผู้ใดเป็นคนจ้างมาฆ่าข้ามิได้เลย เป็นเพราะพวกนักฆ่ารู้เพียงแค่เป้าหมายมิทราบไปถึงผู้จ้างวาน คนที่รู้น่าจะเป็นประมุขของพวกมันที่มีชื่อว่า ‘หยุนฟง’ อะไรนั่น
เดี๋ยวสิ จากที่เจ้าแมวพูดมา หมายความว่า...นักฆ่าพวกนั้นตั้งใจมาสังหารข้า เพราะตัวข้าไปขัดขวางแผนการล้มล้างแคว้นเหลียวอย่างนั้นรึ? ข้าใจหายวูบหนึ่ง หวาดเสียวจนต้องปาดเหงื่อ โชคดีที่ตอนนั้นข้ารอดพ้นจากพวกมันมาได้ และที่สำคัญหลังจากนั้นพวกมันไม่ส่งนักฆ่ามาอีก
“เหลียงอ๋องต้องการสังหารข้าอย่างนั้นรึ?” ข้าเริ่มหนักใจขึ้นมาทันที ถูกเหลียงอ๋องหมายหัวนี่มันชวนขนลุกสุดๆ ก็ลองคิดสิชายผู้นั้นในชีวิตที่แล้วจัดการคนเก่งๆ มาเยอะแยะ แล้วข้าเป็นผู้ใดกันล่ะ มีหวังถูกชนครั้งเดียวจอดไม่ต้องแจวแน่ ข้าชักจะปวดหัวตุ้บๆ เจ้าแมวเห็นข้าหน้าซีดเผือดก็ทำหน้าเหมือนขำ ยื่นมือมาทัดผมให้กับข้าแล้วส่ายหน้า
“มิใช่หรอก แต่เป็นฟ่านมี่ซิ่นต่างหากเล่า”
ข้าสะดุ้งตัวโหยง
“ฟ่านมี่ซิ่น!? นางเป็นคนขององค์รัชทายาทมิใช่หรือมาเกี่ยวอันใดด้วย เอ๊ะ ประเดี๋ยวก่อน หากจำมิผิดฟ่านมี่ซิ่นเป็นตัวแปรสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของความวุ่นวายในแคว้นเหลียวนี่น่า ตกลงนางเป็นคนขององค์รัชทายาทหรือเหลียงอ๋องกันแน่?”
เจ้าแมวไม่ตอบ จ้องมานิ่งๆ ด้วยแววตาเรียบสงบ ปล่อยให้ข้าค้นหาคำตอบเอาเองอีกครั้ง โอ๊ย มีคนรักปากเก็บทองแบบนี้ข้าต้องปวดหัวคิดเอาเองอยู่เรื่อย ข้าเค้นสติปัญญาทั้งหมดที่มีอยู่ออกมาวิเคราะห์
ในชีวิตก่อนฟ่านมี่ซิ่นเป็นที่ปรึกษาขององค์รัชทายาท การที่นางไปโผล่สร้างความวุ่นวายในแคว้นเหลียวมิใช่คำสั่งขององค์รัชทายาทอย่างนั้นรึ? ข้าฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ในศึกหน้าหนาวจำได้ว่าข้ากับฉินอ๋องตามสายลับแคว้นเหลียวไปจนพบว่ากลุ่มคนน่าสงสัยกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนั้นต้องการสังหารฉินอ๋อง ซ้ำยังส่งเสบียงและอาวุธให้กับพวกแคว้นเหลียวอีกต่างหาก คนที่ต้องการสังหารฉินอ๋องและเป็นวางแผนวางพิษในเสบียง...
เหลียงอ๋อง!
ข้าขนลุกซู่ รีบลูบแขนด้วยความสะท้านสะเทือนใจ เหลียงอ๋องผู้นี้...เหลียงอ๋องผู้นี้ช่างร้ายกาจนัก! ฟ่านมี่ซิ่นเป็นคนของเหลียงอ๋องที่ส่งไปอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท! ไม่เพียงแค่นั้นแต่เหลียงอ๋องส่งสายลับไปจับตาทุกๆ คน ท่านพ่อของข้า...ฮูหยินรองที่มาจากตระกูลฟ่าน แม้กระทั่งฉินอ๋อง...คณิกาชายเหอชิงจิ่นที่เป็นนายบำเรอในชีวิตที่แล้ว
“ดูจากสีหน้าของเจ้าคงจะคิดออกแล้วกระมัง เฮ้อ ท่านพี่รองช่างเป็นคนร้ายกาจนัก วางคนของตนเองไปแฝงอยู่ข้างกายทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือเสด็จพี่ขึ้นนั่งบัลลังก์ก็มิอาจรอดพ้นเอื้อมมือของเขาไปได้ หากเปรียบเทียบกับพี่น้องทั้งหมดเขาคงจะฉลาดมากที่สุดแล้ว” ฉินอ๋องมองข้าที่ได้รับความตื่นตระหนกขนาดใหญ่อย่างขบขัน ก่อนจะถอนหายใจเอ่ยปากราวกับเสียดายมันสมองเจ้าแผนการของเหลียงอ๋อง หากอยู่ฝ่ายเดียวกันคงจะอุ่นใจน่าดู แต่มันเลวร้ายตรงที่พวกเราอยู่คนละฝ่ายกันน่ะสิ ข้าพยักหน้าเห็นด้วยอย่างที่สุด
“แต่ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนเดิม เหตุใดเหลียงอ๋องถึงได้ต้องการให้ท่านครองราชย์แทนที่จะเป็นองค์รัชทายาท ข้าว่าองค์รัชทายาทน่าจะควบคุมได้ง่ายกว่า”
ง่ายกว่ามากเชียวแหละ ฟ่านมี่ซิ่นคนนั้นพูดอะไรองค์รัชทายาทก็ทำตามหมด หากฟ่านมี่ซิ่นคนนั้นเป็นคนของเหลียงอ๋องจริงละก็ นางเป่าหูองค์รัชทายาทหน่อยก็ทำตามทุกสิ่งอย่างอยู่แล้วมิใช่หรือ? แต่ถ้าฉินอ๋องขึ้นครองราชย์เขาคงไม่ยอมให้ผู้ใดมาบ่งการหรือชักใยง่ายๆ พิจารณาอย่างไรองค์รัชทายาทก็เป็นตัวเลือกที่ดีสุดๆ มิใช่หรือ?
“อันที่จริงแล้วตามแผนการเดิมของพวกมันต้องเป็นรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าก็เห็นว่าเสด็จพี่มิค่อยเป็นมิตรนัก พวกมันจึงคิดว่าเสด็จพี่เหมาะสมกับบทบาททรราชใจทรามผู้เป็นต้นเหตุให้แคว้นล่มสลาย”
แบบนั้นมันมิใช่แค่ไม่เป็นมิตรแล้วกระมัง นั่นมันหมาบ้ากัดไม่เลือกเป้าหมายเลยต่างหาก! ข้ากลอกตาอยากจะคัดค้านนัก เจ้าแมวเห็นข้าทำสีหน้ายับย่นก็เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ แต่มิได้กล่าวอันใดกลับตั้งคำถามให้ข้าใช้หัวคิดอีกครั้ง
“แล้วเจ้าคิดว่ามีสิ่งใดที่ทำให้พวกมันเปลี่ยนแผนไม่ใช้รัชทายาท”
ถูกโยนคำถามใส่กะทันหันทำเอาข้าหัวตันตื้อ ที่พวกมันไม่ใช้องค์รัชทายาทแสดงบทบาททรราช...คงจะเป็นเพราะต่อไปภายหน้ารัชทายาททำตัวดีขึ้นกระมัง คิดเช่นนั้นข้าก็เผลอทำหน้าบิดเบี้ยว องค์รัชทายาทคนนั้นน่ะหรือ? แหม คิดภาพมิออกเลยจริงๆ แต่พอเห็นสายตารอคำตอบของเจ้าแมว ข้าก็กระแอมตอบไปเสียงค่อย
“เขาทำตัวดีขึ้นกระมัง”
“มิใช่” เจ้าแมวสั่นหน้าทันที อ้าว! ก็แล้วจะเป็นเพราะอะไรกันเล่า ข้ากลอกตาขึ้นบนก่อนจะตวัดสายตาไปจ้องคนอมพะนำเขม็ง มัวแต่เล่นถามตอบอยู่เลยนั่นแหละ ข้าชักจะไม่อยากทนแล้วนะ ให้ตายเถิด ใช้หัวหนักจนร้อนเจียนแตกแล้ว เจ้าแมวเหลือบมาเห็นก็ยื่นปลายนิ้วมาเขี่ยปากของข้า โอ๊ย นี่ใช่เวลามาหยอกล้อกันงั้นรึ? ข้าแกล้งผลักเขากลับแต่มันก็ไม่สะเทือนกำแพงหนาๆ อยู่ดี เจ้าแมวเห็นข้าหงุดหงิดก็ยอมลงให้ ดึงข้าเข้าไปหาโอบเอวเอาไว้
“เจ้าจำเรื่องที่ทายาทตระกูลโหยวมาทำภารกิจทดสอบตนเองที่แคว้นนี้ได้หรือไม่?”
ข้าพยักหน้าหงึกๆ
“นั่นละ ภารกิจของเขาก็คือ ส่งรัชทายาทขึ้นครองราชย์อย่างไรล่ะ ที่ข้าเคยพูดว่าต่อให้ไม่มีอำมาตย์เซี่ยหรือองค์ฮ่องเต้หนุนหลัง รัชทายาทก็สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ ทั้งหมดนั้นก็เพราะกุนซือข้างกายของรัชทายาท เขาก็คือ...ทายาทตระกูลโหยวผู้นั้นนั่นแหละ” เจ้าแมวก้มหน้ามากระซิบกระซาบข้างหูเสียงเบา
!!!
หะ!? ข้าแทบผงะหงายหลัง
เรื่องจริงงั้นรึ!? ทายาทตระกูลโหยวเป็นคนใกล้ชิดขององค์รัชทายาท!? ข้าพยายามขุดคุ้ยความทรงจำในชีวิตเก่าก่อน ผู้ใดกันกุนซือขององค์รัชทายาท ที่ปรึกษาข้างกายของเขาที่ข้าเคยเห็นก็มีเพียงฟ่านมี่ซิ่นเท่านั้นนี่น่า แต่นางเป็นคนของเหลียงอ๋องจะเป็นทายาทตระกูลโหยวได้อย่างไร ข้าพยายามนึกแต่มันก็ว่างเปล่า นอกจากฟ่านมี่ซิ่นแล้วที่ปรึกษาคนอื่นๆ ขององค์รัชทายาทข้าก็พอเห็นผ่านตามาบ้าง แต่ไม่เห็นคนหนุ่มที่น่าจะเป็นทายาทตระกูลโหยวเลยสักคน
“ในตอนนั้นด้วยความสามารถของทายาทตระกูลโหยวส่งผลให้รัชทายาทมีคุณสมบัติคู่ควรกับบัลลังก์มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่มากมาย พูดไปแล้วก็น่าตกใจ ตอนนั้นข้าไม่เคยเอะใจสงสัยเลยแม้แต่น้อย การค้าครึ่งหนึ่งของแคว้นฉิงล้วนเป็นของเสด็จพี่เหวินเหลยทั้งหมด แต่ก็สมแล้วที่เป็นทายาทตระกูลโหยว เวลาไม่ถึงสิบปีก็กวาดกิจการต่างๆ ไว้ในมือมากกว่าครึ่ง ไม่เพียงแค่ทรัพย์สมบัติมากมาย ชื่อเสียงของรัชทายาทในหมู่ประชาชนก็ดีมาก เหล่าคนมากความสามารถทั้งหลายล้วนต่างยอมรับใช้เขา ต้องยอมรับว่าทายาทตระกูลโหยวผู้นี้เก่งกาจสมชื่อจริงๆ ถึงนิสัยจะ...กวนโทสะไปสักหน่อยก็เถิด”
ฉินอ๋องเล่าด้วยสีหน้ายอมรับนับถือ ทำให้ข้าอดจะประหลาดใจมิได้ ทายาทตระกูลโหยวผู้นั้นถึงกับทำให้เจ้าแมวยอมรับความสามารถได้ ย่อมมิใช่คนธรรมดา! และทำให้เจ้าแมวขมวดคิ้วยุ่งยากใจแบบนี้ได้ย่อมเป็นคนร้ายกาจแน่ โอ้ว ขนาดทำให้เจ้าแมวลำบากใจได้นี่ไม่ใช่เล่นๆ แล้ว ทายาทตระกูลโหยวคือผู้ใดกันแน่ ยิ่งกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นของข้าให้กระพือขึ้นไปอีก ข้าพยายามคิดแล้วก็คิดไม่ออกเสียที
“เพราะมีทายาทตระกูลโหยวผู้นั้นอยู่ข้างกายทำให้เหลียงอ๋องไม่อาจควบคุมรัชทายาทได้ มีเพียงสองทางนั้นก็คือ...สังหารคนคนนั้นเสีย หรือไม่ก็สนับสนุนข้าขึ้นครองราชย์แทน” เจ้าแมวสรุปคำตอบย้ำให้ข้าเข้าใจได้ง่ายๆ ข้าพยักหน้าเข้าใจทุกอย่าง ไม่น่าเชื่อเลยว่าทายาทตระกูลโหยวจะอยู่ใกล้ตัวเพียงนี้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็คิดมิออกว่าเขาเป็นผู้ใดกันแน่
“น่าเสียดายที่รัชทายาทมาด่วนจากไปเสียก่อน มิเช่นนั้นคงจะได้ขึ้นครองราชย์แล้ว เอ๋ ประเดี๋ยวก่อน! ท่านเล่าว่าเหลียงอ๋องซัดทอดความผิดโทษฐานลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ให้แก่รัชทายาท แต่รัชทายาทกลับรอดพ้นข้อหานั้นมาได้ ทายาทตระกูลโหยวตาย? อย่าบอกนะ ไม่ๆ เป็นไปมิได้ ท่านจะบอกว่าทายาทตระกูลโหยวยอมตายแทนรัชทายาทอย่างนั้นหรือ!?” ข้าเบิกตากว้างกับข้อสันนิษฐานตามสัญชาตญาณล้วนๆ หวังว่ามันจะมิใช่ แต่ครั้นหันไปมองเจ้าแมวเขากลับพยักหน้ารับเสียอย่างนั้น!
“อืม”
“เป็นไปไม่ได้ เขาเก่งขนาดนั้นแล้วจะมาตกม้าตายเอาตอนท้ายน่ะหรือ?” ข้าถามเสียงสูงอย่างไม่เชื่อ ทำอย่างไรก็ไม่อยากจะเชื่อ ทายาทตระกูลโหยวตายเพื่อรัชทายาท? ข้าคิดภาพมิออก คนอย่างรัชทายาทมีอะไรให้น่าทิ้งชีวิตแทนกันเล่า ฉินอ๋องมิได้แย้ง เขาครุ่นคิดลังเลจะพูดออกมาแต่สุดท้ายก็พ่นลมหายใจออกมาหนักๆ
“เรื่องนี้ข้าก็สงสัยอยู่เช่นนั้น ลักษณะของเขาไม่น่าจะยอมตายง่ายๆ แบบนั้น คิดได้อยู่สองอย่าง หนึ่งเขายอมตายแทนรัชทายาทจริงๆ ซึ่งข้อนี้ข้ามองไม่ออกเลยว่าคนอย่างนั้นจะยอมตายแทนผู้ใดได้ และสองเขาจงใจตายหรือก็คือแกล้งตาย อย่าลืมว่าเขาเพียงแค่มาทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วงจากนั้นก็ต้องกลับตระกูล ซึ่งตอนนั้นอีกเพียงก้าวเดียวรัชทายาทก็จะขึ้นครองราชย์แล้ว การที่เขาจะจบบทบาทตนเองลงอย่างหมดจดนั้นย่อมต้องแสร้งตาย”
“แต่ถ้าเขาแกล้งตายแล้วเหตุใดตระกูลโหยวจะมาแก้แค้นกันเล่า?”
“เฮ้อ เอาจริงๆ แม้แต่ข้าเองก็มองไม่ออกว่าเขาคิดอันใดอยู่กันแน่” ฉินอ๋องถอนหายใจอย่างจนใจ ส่ายหน้ากับปริศนานี้ ข้าถอนหายใจตาม แม้กระทั่งฉินอ๋องยังเอ่ยปากว่ามองคนผู้นี้มิขาด ทายาทตระกูลโหยวผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงขนาดชนกับเหลียงอ๋องสูสีจนเกือบชนะ ถ้าหากองค์รัชทายาทไม่ด่วนสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน
“เหตุใดองค์รัชทายาทถึงได้ตรมใจตายกันเล่า?”
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก ตอนนั้นทายาทตระกูลโหยวยอมรับผิดแทนรัชทายาททุกอย่าง ซึ่งเหลียงอ๋องก็คอยโอกาสนี้มานานแล้วที่จะกำจัดเสี้ยมหนามตำใจ เขายุเหล่าขุนนางให้ตัดสินโทษประหารอย่างรวดเร็ว หนำซ้ำยังให้เสด็จพี่เหวินเหลยเป็นคนยื่นจอกพิษให้ด้วยตนเองอีก ในวันนั้นข้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ดูเขาดื่มยาพิษ ซ้ำยังเห็นเหลียงอ๋องยิ้มอย่างดีใจและสาแก่ใจยิ่ง ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเพราะอันใดเขาถึงยิ้มเช่นนั้น ผ่านมานานจนสุดท้ายก็ได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่มันก็สายเกินไปแล้ว” ใบหน้าของฉินอ๋องยังคงนิ่งเฉยแต่น้ำเสียงเยือกเย็นของเขากลับเจือเคืองแค้นเอาไว้เต็มเปี่ยม ขนาดข้าได้ฟังมาอีกทอดหนึ่งยังอดจะโกรธมิได้ แผนการกลืนกินแคว้นต่างๆ ของตระกูลจาช่างเหิมเกริมนัก
“แล้วเราจะทำยังไงกันต่องั้นหรือ?”
“พวกเราต้องขัดขวางไม่ให้เหลียงอ๋องทำตามแผนได้สำเร็จ ช่วยรัชทายาทให้ขึ้นครองราชย์ ระวังมิให้ทายาทตระกูลโหยวตาย อ้อ รวมไปถึงแกล้งได้ด้วย” ฉินอ๋องตอบกลับมาอย่างจริงจังจนข้าเกือบหลุดขำ
แหม ช่างเล่นตลกหน้าตายเสียจริง แต่มันก็เป็นการคาดเดากันเหนียวเอาไว้ เพื่อมิให้ทายาทตระกูลโหยวแกล้งตายแล้วรัชทายาทต้องตรอมใจตายไปอีกคน ว่าแต่มันดีแล้วงั้นรึที่จะให้รัชทายาทผู้นั้นขึ้นนั่งบัลลังก์ปกครองแคว้น เหตุใดข้าถึงเห็นลางร้ายมาแต่ไกลๆ กันเล่า ให้คนวิปริตจิตไม่ปกติขึ้นครองบัลลังก์มิพากันวอดวายหมดรึ?
“แล้วท่านมิอยากนั่งบัลลังก์บ้างงั้นรึ?” ข้าเอ่ยถามลองใจเจ้าแมวเล่น เขาก้มหน้าลงมามองแวบหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า ตอบปฏิเสธอย่างหนักแน่น
“ข้าไม่ต้องการ และข้าไม่มีสิทธิ์นั้น”
“เพราะข้าอย่างนั้นหรือ?”
พอเขาตอบกลับมาเช่นนั้นก็ทำให้ข้านิ่งงันไปชั่วขณะ เพราะเขาต้องการแต่งกับบุรุษเดียวกันจึงทำให้เสียสิทธิ์ในการสืบทอดราชสมบัติไป ถึงจะพูดให้ฟังดูดีอย่างไรมันก็เป็นเพราะตัวข้าอยู่ดี ฉินอ๋องจ้องข้าด้วยแววตาดุเหมือนจะต่อว่า
“มิใช่เพราะเจ้า เดิมทีข้าก็ไม่มีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์อยู่แล้ว”
ข้ากะพริบตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่ฉินอ๋องก็มิได้อธิบายขยายความ หมายความว่าอย่างไร ฉินอ๋องไม่มีสิทธิ์ในบัลลังก์อยู่แล้ว? พูดเป็นเล่นไป ฮ่องเต้โปรดปรานเขาเพียงนั้น หนำซ้ำพระมารดาของเขายังเป็นขึ้นหวงกุ้ยเฟย หากไม่นับองค์รัชทายาทแล้วละก็ คนที่น่าจะมีสิทธิ์ถัดมาย่อมเป็นฉินอ๋องแน่นอน บางทีเขาอาจจะพูดปลอบใจข้ากระมัง พวกเราเงียบครู่ใหญ่ข้าก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ หันไปมองเจ้าแมวเจ้าเล่ห์พลางหรี่ตาลงต่ำ
“แล้วข้าตายได้อย่างไรงั้นหรือ? ท่านยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้เลย”
ฉินอ๋องนิ่งเงียบไปอย่างแท้จริง มือที่โอบเอวของข้าเหมือนจะแข็งทื่อตามเจ้าของร่าง เหอะ เห็นได้ชัดว่าเจ้าแมวไม่อยากเล่าเรื่องนี้ถึงได้เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาหลอกล่อให้ข้าหลงลืมประเด็นนี้ไป ผ่านไปเนิ่นนานฉินอ๋องก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันมาคว้าตัวข้าเข้าไปกอดรัดไว้แน่น ทำราวกับกลัวข้าจะหายไปต่อหน้าอย่างนั้นละ แรกๆ ข้าปล่อยให้เขากอดเอาไว้แต่นานไปก็ชักจะรอไม่ไหว ในตอนที่กำลังจะดิ้นหนีจากเขาก็พลันได้ยินเสียงทุ้มต่ำเยือกเย็นที่กระซิบข้างหูเสียก่อน
“เจ้าตายเพราะถูกโบยอย่างหนัก”
ประโยคแรกเริ่มก็ทำให้ข้าหยุดนิ่งในทันที เสียงเยือกเย็นที่เริ่มแหบเล็กน้อยยังคงกล่าวต่อไป
“เจ้าถูกปรักปรำว่าเป็นคนวางยาพิษคุณชายหมิง ผู้เป็นแขกที่มาพักในวังหย่งเฮ่าชั่วคราว จากนั้นพวกมันก็ลงมือทำโทษเจ้าด้วยการโบยจนสิ้นชีพ”
หลังจากที่ฉินอ๋องยอมบอกเล่าเรื่องการตายของข้าในชีวิตเก่าก่อน ข้ายืนนิ่งเงียบจมอยู่กับภาพความทรงจำในวันที่ได้ตายลงอย่างรวดเร็วไม่ทันแม้จะตั้งตัวติด ผ่านไปนานเพียงใดข้าเองก็มิได้รู้สึกตัว ได้สติอีกครั้งตอนที่ถูกฉินอ๋องใช้อ้อมแขนรัดแน่นยิ่งกว่าเดิม ข้าขมวดคิ้วรู้สึกเจ็บนิดหน่อย และไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ฉินอ๋องหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ ตัวของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด ข้าแปลกใจกับอาการของเขา เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
“เสวี่ย?”
“ขอโทษ ข้าขอโทษ แม้จะมิใช่ข้าเป็นคนลงมือแต่ต้นเหตุก็มาจากตัวข้า เพียงเพราะต้องการให้หมากที่ใช้ได้ เพียงเพราะต้องการให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด พวกเขาถึงได้ลงมือกับเจ้าทั้งที่ข้าอุตส่าห์ปล่อยเจ้าให้ไปอยู่ห่างไกลจากความยุ่งยากทั้งหลายแล้ว สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ช่วยทำให้ดีขึ้น ซ้ำร้ายยังทำให้เจ้าต้องตายไปเช่นนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของข้าเอง” ร่างสูงใหญ่กอดข้าแน่นขึ้นเรื่อยๆ เสียงพูดอู้อี้ข้างหูฟังราวกับคนเอื้อนเอ่ยกำลังเจ็บปวดทรมาน
มือของข้าสั่น ภายในอกเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาแล่นมาจุกอกแทบจะกลั้นลมหายใจ ขนทั่วร่างลุกเกรียวไปหมด ไม่หรอก! ข้าคิดไปเองแน่ๆ ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่ บางทีเจ้าแมวกำลังเศร้าเสียใจที่มารับรู้เรื่องราวน่าเห็นใจนี่กระมัง ข้าเม้มปากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะวาดมือลูบแผ่นหลังกว้าง
“ไม่เป็นไรหรอก หากเกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆ ข้าแน่ใจว่าตัวข้าในตอนนั้นมิได้โกรธแค้นท่านเลยแม้แต่น้อย ท่านเองก็อย่าได้โทษตนเองเลย ถึงข้าจะมิใช่คนที่ท่านรักก็ไม่ใช่ความผิดของท่าน และที่ข้าไม่กลับไปหาบิดาก็เป็นการตัดสินใจของตัวข้าเอง หาใช่ความผิดของท่านไม่”
“พวกเรารักกัน เพียงแค่ตอนนั้นเข้าใจผิดกันชั่วคราวเท่านั้น” เจ้าแมวคำรามขู่อย่างไม่พอใจ ใช้แขนรัดตัวข้าจนเกือบจะขย้อนอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปออกมาอยู่แล้ว ข้ารีบพยักหน้ารับคล้อยตามและอธิบายแก้ต่างออกไป
“ข้ารู้แล้ว! แค่ยกตัวอย่าง ยกตัวอย่างเฉยๆ มิได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ เสียหน่อย โอ๊ย!” ข้าร้องลั่นเมื่อเจ้าแมวบีบตัวข้าด้วยแขนแข็งแรงสุดๆ ของเขา จากนั้นก็ปล่อยตัวข้าที่ปวดร้าวไปถึงกระดูก บ้าจริง ช่างเป็นแมวป่าเถื่อนจริงๆ ข้ากุมกลางลำตัวแล้วแอบถลึงตาใส่หลังของเจ้าแมวที่หันหลังให้ ท่าทางคล้ายเหมือนนักโทษที่เตรียมตัวก้าวขึ้นลานประหาร ข้าเห็นแล้วขัดตายิ่ง ให้ตายเถิด ก็เพราะแบบนี้อย่างไรเล่าข้าถึงไม่อยากให้เขารู้เรื่องบ้าๆ นี้ สุดท้ายฉินอ๋องก็เก็บเรื่องพวกนั้นมาคิดจนโทษตัวเองว่าเป็นคนที่ทำให้ข้าต้องตาย
ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วยืดตัวยืนเต็มความสูง กลอกตาไปมาครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะขจัดบรรยากาศหนักๆ นี้ออกไปได้ พอตัดสินใจได้ข้าก็เรียกเจ้าแมว
“เสวี่ย”
ฉินอ๋องหันตัวกลับมามอง ใบหน้าของเขานั้นยังคงความเยือกเย็นและเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง ข้าฉีกยิ้มทั้งตาและปากขยับตัวเข้าไปใกล้ไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตพิรุธได้ เจ้าแมวหรี่ตาจับจ้องมาเงียบๆ อย่างสงสัย ข้าเม้มปากก่อนจะเป็นฝ่ายชิงลงมืออย่างรวดเร็ว
“นี่แน่ะ!” ข้าก้มตัวลงใช้ศีรษะโหม่งไปท้องเจ้าแมวสุดแรง ปึก! คนโดนโหม่งผงะตกใจ แต่คนที่กระเด็นร่วงไปกับพื้นพร้อมร้องเจ็บคือตัวข้าเอง
บัดซบ! นี่คนหรือก้อนหินกัน เหตุใดมันถึงแข็งโปกเช่นนี้!?
ข้าล้มหงายหลังแผ่ไปกับพื้น เจ้าแมวหยุดชะงักในท่าที่กำลังพยายามคว้าตัวข้าแต่คว้าได้เพียงแค่อากาศ ด้วยความสุภาพบุรุษอย่างที่สุดเจ้าแมวก็หัวเราะขำขันเสียงดัง หน้าศิลาอีกแตกละเอียด ข้าโมโหจนหน้าแดงก่ำ จริงๆ แล้วอายเสียมากกว่า ข้าเงยหน้าไปมองเขา พอเห็นใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะจนตาหยีเช่นนั้นก็หายโมโหทันที บ้าจริง คนงามยิ้มหรือหัวเราะก็งดงามจับตาไปเสียหมด! เอาเถิด นับว่าคุ้มค่าแล้ว เจ็บนิดๆ อายหน่อยๆ แลกกับรอยยิ้มคนงามจะเป็นไรไป เจ้าแมวกระแอมกลับมาทำหน้าตึงเรียบราวกับถูกขึงไว้เหมือนเดิมจากนั้นก็ยื่นมือมาให้แก่ข้า
“ทำอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้” เจ้าแมวปั้นหน้าดุตำหนิข้าเสียงเข้มงวด ข้าไม่ตอบ มองมือเรียวยาวแสนสวยตรงหน้าแล้วยื่นมือไปจับพร้อมกับดึงกระชากอย่างแรง แต่อีกฝ่ายกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่สะเทือนเลยสักนิด เจ้าแมวยกคิ้วขึ้น สีหน้าคล้ายกำลังเยาะเย้ยและรู้ทันสิ่งที่ข้าจะทำ ข้ายังไม่ยอมแพ้ ดึงเขาอยู่หลายทีแต่ผลก็เหมือนเดิม สุดท้ายเจ้าแมวคงรำคาญหรือเอือมระอา ออกแรงดึงข้าลุกขึ้นพรวดเดียว ร่างของข้าปลิวเข้าอ้อมอกของเขาทันที เจ้าแมวกอดข้าไว้หมับ ก้มหน้าซุกไซ้ปลายจมูกตามลำคอของข้าทำให้จั๊กจี้นิดๆ
“ค้างนะ?” เจ้าแมวเอ่ยเสียงเบา ข้าแทบจะละลายไปกองกับพื้น เกือบตอบตกลงค้างคืนที่นี่ตามคำเชิญชวนที่สั้นห้วนประหนึ่งคำสั่งของเขา แต่ยังไม่ทันได้พยักหน้าเสียงกระแอมก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างของสองหนุ่มที่โผล่เข้ามาขัดจังหวะ ข้าหันขวับไปมองเห็นว่าเป็นผู้ใดก็รีบเด้งตัวออกจากฉินอ๋องแทบทันที ตกใจจนหัวใจเกือบกระเด็นออกมาทางปาก
ท่านพ่อ!?
“เหม่ยถิงลูกรัก พ่อมารับแล้วกลับบ้านกันเถิด”
ข้ายิ้มรับเล็กๆ ทั้งอายและกระอักกระอ่วนเกินจะเอ่ยสิ่งใดออกไปในยามนี้ ส่วนเจ้าแมวที่เปลี่ยนสีหน้าและอารมณ์ได้รวดเร็วนั้นตอนนี้ยืนปั้นหน้านิ่งเรียบ เพียรส่งสายตาเย็นชาไปยังลูกน้องคนสนิท เฉินฮุ่ยเคอยิ้มรับอย่างอ่อนแรง ไม่วายส่งสายตากลับไปให้เจ้านายอย่างขอร้องความยุติธรรม
ท่านพ่อหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับอยู่ที่นี่นานสักหน่อยจะขาดใจตาย ทันทีที่ข้ากำลังก้าวเท้าเดินออกไปเจ้าแมวฉวยจังหวะคว้าแขนข้าดึงกลับไปหาเขา ริมฝีปากได้รูปประทับรวดเร็วพร้อมกับกระซิบบางอย่าง พริบตาต่อมาเจ้าแมวปล่อยมือจากข้าแล้วกลับไปยืนนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จังหวะนั้นท่านพ่อหันกลับมาพอดี
“จิ้งถิง”
“ขอรับ” ข้ารีบขานรับคำเรียกของบิดาแล้วกำลังจะเดินตามอย่างรวดเร็ว พอหันหลังกลับไปก็เห็นฉินอ๋องยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองตามมาด้วยแววตารอคอยอันเข้มข้น ข้าคิดถึงสิ่งที่เขากระซิบบอกแล้วแก้มร้อนผ่าว
‘รีบมา ข้ารออยู่’
ให้ตายเถิด เสียงกระซิบของฉินอ๋องเชิญชวนเกินไปแล้ว!
ชิ ตัวขัดลาภเอ๊ย!
ออกอาการนอยด์นิดหน่อยจ้ะ ไม่ได้ป่วยหรือเจ็บไข้แต่อย่างใด
พยายามฟื้นฟูอารมณ์ตัวเองเต็มที่ กลับไปอ่านเรื่องตั้งแต่แรกๆ เยียวยาจิตใจ
ทำให้คิดได้ เอ้อ นั่นสินะ ตอนแรกเราแต่งก็เพราะอยากจะแต่ง
จะคิดมากไปทำเพื่อ? อยากจะแต่งยังไงก็แต่งออกมาเหมือนเดิมนั่นแหละ คิดมากไปไย
เป็นคนเขียนที่มีข้อเสียใหญ่หลวงมาก จดจ่อกับนิยายเรื่องเดิมๆ นานไม่ได้
//แต่ดันเสือกแต่งเรื่องยาวมันทุกเรื่อง บัดซบสุด ไม่เข้าใจตัวเองจริมๆ
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลย...คือใจสู้ของนักเขียน ปลุกใจให้ฮึกเหิม โอ๊สตตตตตตตตตตตต์!!!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นี่ถ้าไม่ใช่ลูแม่นะ...ไม่คิดได้น้อยขนาดนี้แล้ว!!
55555
หลายอย่างเหมือนที่คิดไว้แต่แรกเลย555
ตั้งแต่พระเอกมาทำดีและถิงๆที่ไรท์แทรกเรื่องของก่อนย้อนเวลาเกี่ยวกับความรู้ึกต่อพระเอกเรื่อยๆ เลยอจะเดาได้ว่าที่จริงพระเอกรักถิงๆจริงๆแต่เหมือนต้องการปกป้องไม่ให้เป็นจุดเด่นเลยทำห่างเหินอย่างนั้นซึ่งเราง่ามันชัดเจนมาก555
ไรท์จงใจใช่มั้ย!!
พระเอกดีเทลเยอะเกิ้นน