ตอนที่ 91 : ตอนพิเศษ ณ วังตงกง (๑)
ตอนพิเศษ ณ วังตงกง (๑)
การใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงนั้นเป็นเรื่องยากเย็นและเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง คนไม่รู้ความมักมองวังหลวงเป็นที่ศิวิไลซ์ หรูหราอลังการ ดำเนินชีวิตไปอย่างแสนสุขสบายท่ามกลางสิ่งสวยงาม นั่นอาจจะใช่หากดำรงอยู่ในตำแหน่งเจ้านายที่เหนือกว่า แต่ถ้าอยู่ในตำแหน่งบ่าวรับใช้ต่ำศักดิ์แล้วละก็จงคิดเสียใหม่เถิด
การเป็นคนรับใช้มันไม่ง่าย! มันเป็นงานที่ยากที่สุดในแผ่นดินเลยก็ว่าได้ ยิ่งได้รับใช้เจ้านายที่เอาใจยากที่สุดในแผ่นดินก็ยิ่งแล้วกันไปใหญ่ บ่าวรับใช้ทำดีก็เสมอตัว ทำไม่ถูกใจเจ้านายก็โดนตำหนิ ทำผิดแน่นอนว่าถูกลงโทษอย่างโหดร้าย มีชีวิตอยู่โดยก้มหน้าก้มตาทำตามความต้องการของเจ้านาย ทำให้เจ้านายถูกใจมากที่สุด
สิ่งสำคัญในการเป็นบ่าวรับใช้นั้นก็คือ ต้องคอยสังเกตเจ้านายไม่ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร คิดเช่นไร ย่อมต้องกระเสือกกระสนล่วงรู้ให้ได้ หากทำมิได้ก็กลายเป็นบ่าวโง่ๆ คนหนึ่งก็เท่านั้น และบ่าวโง่ๆ นั้นบอกเลยว่าอยู่ยาก มีชีวิตไม่ยืดยาวแน่นอน และสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน อย่าแสดงว่าเราล่วงรู้ว่าเจ้านายเป็นเช่นไร กล่าวง่ายๆ ก็คือ อย่าทำท่ารู้เยอะ มิเช่นนั้นก็เกิดภัยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผิวสีน้ำผึ้งเนียน เจ้าของดวงหน้าคมคาย นัยน์ตาเรียวที่มักจะถูกกล่าวว่าเป็นดวงตาโศกซึ้ง พิศลึกไปกว่านั้นจะเห็นแววกะล่อนแสนกลที่หลิกหลิกขัดภาพลักษณ์ชวนน่าสงสาร จมูกโด่งแต่งุ้มเล็กน้อย ริมฝีปากแดงระเรื่อแต่หนาเกินไปหน่อยหนึ่ง ลักษณะดูคล้ายจะหล่อเหลาแต่ก็ขาดๆ เกินๆ พูดได้ไม่เต็มปากว่ารูปโฉมนับว่างามหรือไม่
‘จางหรง’ หรือทุกคนในวังตงกงเรียกขานว่า ‘จางกงกง’
ใช่แล้วละ เขาเป็นขันที มันก็แค่ตำแหน่งเท่านั้นละ เขายังมีอวัยวะครบทุกประการ ตำแหน่งฐานะคือบ่าวรับใช้ขององค์รัชทายาทแห่งแคว้นฉิง เป็นตำแหน่งที่อยากจะลาออกไปไถนาที่บ้านเกิดจริงๆ ติดอยู่ที่ว่าเขาจำไม่ได้ว่าเกิดที่ไหน จำมิได้ว่าบรรพบุรุษตั้งรกรากไว้ที่ใด ทางเดียวหลังจากลาออกไปก็คือบวชหันหน้าไปพึ่งพระธรรม และรู้ตัวดีว่าวัดมิใช่สถานที่เหมาะกับตัวเขานัก เรียกว่าไม่ถูกกันเลยจะใกล้เคียงมากกว่า เพราะไม่มีทางหนีพ้นจึงจำใจอยู่รับใช้เจ้านายที่รับใช้ยาก นานวันเข้าก็ยอมรับว่าคุ้นชินบ้าง แม้บางวันจะมีหวาดเสียวเสี่ยงหัวหลุดบ้างก็ตามที
จางหรงชำเลืองมองเจ้านายอย่างหนักใจ จากที่เป็นบ่าวรับใช้มานานเกือบค่อนชีวิต บอกได้อย่างมั่นอกมั่นใจว่าหลายวันมานี้เจ้านายผู้เอาใจยากที่สุดในแผ่นดินมีท่าทางประหลาด อาจจะประหลาดมานานแล้วแต่หนนี้เห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการพินิจพิจารณาใดๆ รู้สึกว่ารัชทายาทหนุ่มจะมีอาการนี้ตั้งแต่กลับมาจากงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดของคุณชายน้อยตระกูลเซี่ย
วันนั้นเขามิได้ร่วมขบวนเดินทางไปด้วย บังเอิญต้องตามสืบหาคนทรยศใกล้ตัวตามคำสั่งของเจ้านาย มิเช่นนั้นป่านนี้เขาคงได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มเป็นเพื่อนบ่าวรับใช้ผู้โชคร้ายที่โดนลงโทษ พวกที่ติดตามองค์รัชทายาทในวันนั้นถูกโบยหนักหลังแทบแตกเป็นริ้วๆ ให้ตายเถิด โชคดีอะไรเช่นนี้!
ฟังความมาว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดถูกทำร้ายจนเกือบสิ้นชีวิต รายละเอียดเหตุการณ์มันประหลาดจนเขาติดใจสงสัยยากจะระงับ แต่ที่สงสัยมากกว่านั้นก็คือ... เหตุใดเจ้านายที่โดนทำลายเจียนตายกลับนิ่งเฉย ทั้งที่เมื่อก่อนต้องเดือดดาลเอาเรื่องจนอีกฝ่ายวอดวาย ปกติแล้วหากถูกดูหมิ่นหนักปานนี้องค์รัชทายาทผู้เย่อหยิ่งและรักศักดิ์ศรีเหนืออื่นใดจะต้องพิโรธจนฟ้าเปิดถึงจะถูก ครั้งนี้กลับนั่งนิ่งเงียบวันๆ เอาแต่ครุ่นคิดทำสีหน้าพิกลเป็นช่วงๆ
จากประสบการณ์เฝ้ามองสีหน้าของผู้คนมาทั้งชีวิตบอกได้คำเดียว องค์รัชทายาทกำลังอยู่ในห้วงความรัก! เขาสังเกตเห็นมาได้สักพักใหญ่แล้วละว่าเจ้านายหนุ่มคล้ายจะหน้ามืดสะดุดล้มตกลงในหลุมรัก มันเป็นเพียงสังหรณ์ลางๆ แต่ครั้งนี้ละชัดเจนตำตา ไม่เชื่อไม่ได้แล้ว!
ประเดี๋ยวก็ถอนหายใจ ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก็เหม่อลอย ประเดี๋ยวก็ทำหน้าพิลึกคล้ายจะขวยเขิน ทำหน้าทุกข์ระทมหงอยเศร้าหัวใจ อาการเหล่านี้ถ้ามิใช่คนตกอยู่ในห้วงแห่งรักแล้วจะเป็นอันใดไปได้เล่า? เจ้านายที่วันๆ เอาแต่แสยะยิ้มหาเรื่องเด็ดหัวบ่าวเช่นเขากำลังตกหลุมรัก บอกใครไปผู้ใดจะเชื่อคำเขา!
คนที่ทำให้องค์รัชทายาทติดสถานะประหลาดอยู่นี้คงจะเป็นหนุ่มน้อยรูปงามคนนั้นเป็นแน่
จางกงกงหรี่ตาครุ่นคิด คิดอะไรบางอย่างในหัว ก่อนจะขยับตัวเอ่ยคำกับเจ้านายที่ยืนจ้องตากับนกแก้วในกรงอยู่นานเกือบจะได้เสียกันอยู่แล้ว
“ฝ่าบาทจะมิให้ส่งคนไปสอบสวนคนตระกูลเซี่ยจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ เห็นได้ชัดว่ามีมันไม่ชอบมาพากล กระหม่อมเกรงว่าจะเป็นแผนของตระกูลเซี่ย หากมิใช่แผนของพวกมันแต่กระนั้นเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นที่จวนตระกูลเซี่ยย่อมต้องให้พวกมันรับผิดชอบนะพ่ะย่ะค่ะ...” เสียงที่ไม่ทุ้มต่ำแต่ก็มิได้แหลมเล็กเฉกเช่นสตรีกล่าวท้วงเจ้านาย ก่อนที่จะเอ่ยไปมากกว่านี้เขาก็ถูกเสียงทุ้มต่ำแหบเครือเล็กๆ ขัดเอาไว้เสียก่อน
“เราบอกเจ้าไปแล้วว่าไม่ต้องการสาวเรื่องให้ยืดยาว ไม่เข้าใจคำสั่งอย่างนั้นหรือ? จะต้องให้ตัดหูเสียก่อนถึงฟังเข้าหูหรืออย่างไรจางกงกง?” ร่างสูงสง่ากล่าวเสียงเย็นเฉียด แม้จะราบเรียบแต่แฝงไปด้วยร่องรอยการข่มขู่ทุกคำที่เอ่ยออกมา ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง คิ้วเหนือดวงตารีสีเทาขมวดเข้าหากันอย่างขุ่นเคืองกึ่งรำคาญ
ครั้นเห็นเจ้านายเริ่มโมโหจางกงกงผู้ใช้ชีวิตเกือบทั้งชีวิตในวังวนชิงดีชิงเด่นก็สงบปากสงบคำทันที ทราบดีว่ามิควรเอ่ยเซ้าซี้กวนอารมณ์เจ้านายไปมากกว่านี้ มิเช่นนั้นจะเป็นตัวเขาเองที่จะวอดวายแทน ขันทีหนุ่มก้มหน้ากล่าวขออภัยแล้วยืนนิ่งเงียบเพื่อคอยรับใช้อย่างรู้จังหวะ แต่ริมฝีปากกดยิ้มอย่างสมใจ เป็นไปตามสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้จริงๆ
จริงสิ ข่าวลือที่เขาได้ยินช่วงนี้มัน... คุณชายน้อยผู้นั้นกับฉินอ๋อง... อ่า! เจ้านายของเขาช่างอาภัพนัก จะตกหลุมรักทั้งทียังผ่าไปชอบคนมีเจ้าของแล้ว น่าเศร้ายิ่งนัก เฮ้อ คนในดวงใจกลับเป็นของผู้อื่น มิน่าถึงทำหน้าเศร้าถอนหายใจเป็นวรรคเป็นเว้นเช่นนี้ ช่างอาภัพน่าเห็นใจอะไรเช่นนี้!
จางกงกงตวัดมือหยิบผ้าเช็ดหน้าทอดมองเจ้านายหนุ่มพลางซับหางตาร่ำไห้ด้วยความเห็นใจ
คนถูกเห็นใจเปรยสายตามามองแล้วขมวดคิ้ว มันเป็นบ้าอันใดอีก อยู่ๆ ก็ทำท่าร้องไห้มองเขาด้วยดวงตาเศร้าๆ ระคนเห็นใจที่ชวนหงุดหงิดเสียจนอยากจะแล่นไปกระทืบเอาเลือดมันออก แต่กระนั้นเจ้านายหนุ่มก็มิได้ลงไม้ลงมือใดๆ ร่างสูงพ่นลมหายใจรำคาญ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อก้าวเท้าเดินออกไป
จางกงกงเดินตามหลังเจ้านายไปเงียบๆ ไม่ต้องเอ่ยเขาก็ทราบว่าเจ้านายจะไปที่ใด เพราะยามนี้เป็นเวลาที่เจ้านายของเขาจะไปเข้าเฝ้าพระมารดา ดวงตาโศกแต่กลับเฉียบแหลมสอดส่ายสำรวจตรวจตราความพร้อมของข้ารับใช้ เกี้ยวที่นั่ง และองครักษ์อารักขารัชทายาทหนุ่มที่เตรียมพร้อมพรักไว้รอท่าอยู่นานแล้ว
จางหรงเร่งฝีเท้าเดินนำหน้าเจ้านายไปเปิดม่านเกี้ยวเชิญองค์รัชทายาทเข้าไปประทับนั่ง ครั้นอาภรณ์สีม่วงหายลับเข้าไปในเกี้ยวเขาก็ปิดม่านลง เดินออกไปยืนด้านข้างพร้อมกับพยักหน้าให้สัญญาณเตรียมเดินทางไปยังตำหนักฮองเฮาสตรีผู้เป็นใหญ่เหนือวังหลังแห่งแคว้นฉิง
ตงฮองเฮาคือผู้มีพระคุณของเขา
พระนางช่วยเขาจากสภาพอดยากอยู่ข้างถนน เก็บเขามาเลี้ยงดูโดยให้รับใช้โอรสของพระนาง หรือก็คือองค์รัชทายาท เขาสำนึกบุญคุณเสมอถึงได้อดทนอดกลั้นรับใช้เจ้านายเอาแต่ใจที่สุดในแผ่นดิน จางหรงแอบถอนหายใจโล่งอก ในตอนที่ตงฮองเฮาทรุดตัวจนเกือบไม่รอดนั้นเขาถูกขอร้องด้วยชีวิต พระนางขอให้เขาช่วยอยู่ข้างๆ องค์รัชทายาทหลังจากพระนางสิ้นชีวิตไป เขากังวลแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะรู้ดีว่าหากสิ้นตงฮองเฮาไปองค์รัชทายาทจะต้องสติแตก อนาคตของเขาไม่พ้นตายห่าตายโหงแน่นอน พอตงฮองเฮารอดเขาก็พลอยโล่งใจที่ไม่ต้องถูกหนีบอยู่ข้างมหันตภัยในร่างมนุษย์ไปจนตัวตาย เขาสำนึกบุญคุณของตงฮองเฮาแต่ก็กลัวตายเหมือนกัน
ดังนั้นเมื่อตงฮองเฮารอดมาได้ เขาจึงวางแผนรับใช้เก็บเงินอีกสักสองสามปีแล้วค่อยลาออกไปแต่งเมีย สร้างครอบครัวทำมาค้าขายเล็กๆ ใช้ชีวิตท่ามกลางลูกหลานอย่างอบอุ่นและปลอดภัย
*****
เหวินเหล๋ยหลับตาอิงหมอน ดวงหน้าคมคายสงบราบเรียบ หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่จวนตระกูลเซี่ยในวันนั้นอารมณ์ของเขาก็คล้ายจะสงบนิ่งอย่างประหลาด ซ้ำอาการปวดศีรษะราวกับมีคนบีบเค้นจนพานให้อารมณ์หงุดหงิดทำให้เขาควบคุมอารมณ์ไม่ได้อยู่บ่อยครั้งก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย อาการประหลาดที่ไม่ว่าหมอหลวงหรือยาขนาดใดก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้แท้ๆ รัชทายาทหนุ่มคิดไว้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วันนั้นแน่นอน
เหตุการณ์นั้นสิ่งที่จดจำได้มีเพียงความเจ็บปวดเจียนขาดใจ วูบหนึ่งเขาหวาดกลัว กลัวสิ่งใดน่ะหรือ? ย่อมเป็น ‘ความตาย’ อย่างไรเล่า เดิมคิดว่าตนเองไม่กลัวตาย อาจเป็นเพราะไม่เคยเฉียดความเป็นความตายจึงไม่เคยล่วงรู้ ครั้งนี้ความกลัวตายพุ่งเข้ามาอาบทั่วร่างจนชาไร้ความรู้สึกใดๆ
ภาพต่างๆ ในอดีตไหลหลั่งโจมตีเข้าสู่หัวของเขา รุนแรง รวดเร็ว และชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิดไม่นานมานี้ ความทรงจำในอดีตมีแต่ความบัดซบและภาพขยะแขยงน่ารังเกียจ เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้นฉิงสมควรสมบูรณ์พร้อมในทุกสิ่ง แต่ในความเป็นจริงกลับมีแต่ความน่าสมเพชเวทนาจนน่าคับแค้นใจ
พระบิดาไร้หัวใจ
พระมารดาถูกสตรีแพศยาเล่นงานจนปางตาย
พี่น้องที่จ้องเล่นงานทั้งๆ ใบหน้าแย้มยิ้มเป็นมิตร
เหล่ามิตรสหายที่เข้ามาหาล้วนแล้วแต่พูดจาหวานหูแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยพิษร้าย
ข้าบริพารใกล้ชิดก็ต่างต้องการแสวงหาผลประโยชน์
ริมฝีปากบางได้รูปกระตุกยิ้มเยาะ ชีวิตองค์รัชทายาทมีดีอะไรบ้างที่ทำให้ทุกคนหมายตา เหวินเหล๋ยบอกได้เลยว่าเขายังมองไม่เห็น นอกเสียจากอำนาจที่พ่วงความทุกข์ตรมต่างๆ นานาเป็นของแถม
ก่อนที่สติของเขาจะดับมืดไป ความเจ็บปวดทั้งหมดก็หายไปพร้อมกับร่างกายที่อุ่นวาบ ร่างหายหายปวด มันสบายผ่อนคลายราวกับล่องลอยนิทราอยู่บนปุ้ยเมฆ จังหวะหายใจที่ติดๆ ขัดๆ แค่หายใจยังปวดแสบปวดร้อนก็กลับมาเป็นปกติ สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนสลบเป็นแผ่นหลังเย็นชาของคนผู้หนึ่ง
หลังจากฟื้นตื่นขึ้นมาเหวินเหล๋ยได้ครุ่นคิดจนทราบว่าเป็นฝีมือของผู้ใด!
จะเป็นผู้ใดไปได้ที่มีพลังรักษาในพริบตาเดียว คนๆ นั้นที่มีชื่อเสียงในการรักษาบาดแผลต้องสาปในศึกหน้าหนาว มีชื่อเสียงในการรักษาพิษให้แก่พระมารดาของเขา สิ่งที่เขาสงสัยก็คือ แท้จริงแล้วพลังวิเศษของคุณชายที่ดูอ่อนแอยิ่งกว่าสตรีคนนั้นคือพลังใดกันแน่ มิน่าใช่พลังรักษาแน่ๆ บางทีพลังวิเศษของเซี่ยจิ้งถิงอาจจะคล้ายกับองครักษ์แซ่เฉินของฉินอ๋องก็เป็นไปได้ พลังวิเศษที่ทำได้ทั้งรักษาและสร้างความเจ็บปวด
แม้จะรู้ว่าผู้ใดเป็นตัวการแต่เขาก็ไม่ไปจัดการแก้แค้น ด้วยเหตุผลง่ายๆ อีกฝ่ายรักษาให้เขาหายจากอาการปวดหัวที่เป็นมานานหลายปี ถือว่าลบล้างความผิดกันไป เขาเองก็มิใช่พวกคิดเล็กคิดน้อยที่เอาแต่อาฆาตสร้างศัตรู เว้นไว้สักคนมิทำให้เขาขาดแคลนศัตรูคู่แค้นนักหรอก ควบคู่กับมีเรื่องยุ่งยากให้จัดการจึงไม่ว่างที่จะไปตอแหย่อีกฝ่าย
หลังจากที่ฉินอ๋องพูดแปลกๆ ก่อนเกิดเรื่องในวันนั้นทำให้เขาฉุกคิด เลยให้ไอ้ขันทีปัญญาอ่อนไปตามสืบเรื่องจนได้เรื่องได้ราวขึ้นมา จริงอย่างที่มันพูดเอาไว้ คนใกล้ตัวกลายเป็นงูพิษที่รอเวลาแว้งกัด ตามเดิมไอ้ขันทีไม่ได้เรื่องก็เสนอแผนการจับคนทรยศ และเสนอให้เขาไปหาน้องชายต่างมารดาที่ถูกขังลืมในคุกหลวง ไม่มีทางที่เขาจะยอมทำตามปากพล่อยๆ ของมัน ซ้ำยังพยายามปาสายฟ้าใส่มันโทษฐานพูดไร้สาระ แต่ไม่รู้ไปอย่างไรมายังไงสุดท้ายเขาก็ไปยืนประจันหน้ากับน้องชายต่างมารดาในคุกหลวงใต้ดินที่อับชื้น ไอ้ขันทีเจ้าเล่ห์!
และที่หงุดหงิดน่าโมโหยิ่งกว่านั้น ไอ้คนนอนคุกทำเหมือนไม่แปลกใจที่ได้เห็นเขา ร้อยวันพันปีเจ้าคนพูดน้อยกลับเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน พูดมากเสียด้วย สิ่งที่น้องชายต่างมารดาพูดทำให้เขาแปลกใจและสงสัย มันเสนอตัวจะช่วยเขาให้พ้นจากคดีฆาตกรรมที่เขาเองก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไร แน่ละ ไม่ใช่ธุระอะไรของเขาสักหน่อย ซ้ำยังเคืองแทบตายที่คนพวกนั้นสงสัยว่าเป็นฝีมือของเขา บัดซบ! การฆ่าที่ไร้ศิลปะด้อยฝีมือเช่นนั้นจะเป็นฝีมือของเขาได้ยังไง ดูถูกกันอย่างนั้นรึ!?
ตกลงเสร็จเขาหมุนตัวจะเดินออกไป อยากไปจากที่นี่ใจจะขาดอยู่แล้ว! เห็นหน้ามันแล้วพานคิดไปถึงความสัมพันธ์ของมันกับเซี่ยจิ้งถิงที่ทำให้ไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง แต่เจ้าคนพูดน้อยที่วันนั้นพูดมากก็เอ่ยสิ่งที่ทำให้เขาหยุดชะงักเท้า
“เสด็จพี่ทรงคิดว่าพระองค์เหมาะสมที่จะนั่งบัลลังก์มังกรหรือไม่? กระหม่อมบอกตามตรง ยามนี้เสด็จพี่หาได้เหมาะสมกับมันไม่ แต่หากอีกสามปีข้างหน้าเสด็จพี่เหมาะกับบัลลังก์แล้วละก็ ตงฮองเฮากับกระหม่อมจะช่วยให้เสด็จพี่ได้นั่งบัลลังก์แน่นอน”
“หะ พูดบ้าอันใด...”
“ท่านพี่ ในฐานะน้องชาย ข้าขอร้องท่าน สามปีต่อจากนี้ขอให้ท่านพี่เตรียมตัวให้พร้อมที่จะรักษาตำแหน่งของท่าน หากท่านไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้น เปล่าประโยชน์ที่จะมีข้าหรือผู้ใดคอยช่วยเหลือ สิ่งสำคัญคือตัวท่านเองเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นหรือไม่ สามปีท่านพี่ ข้าให้เวลาท่านได้เพียงสามปี”
จำได้ว่าตอนนั้นเขาหันไปจ้องน้องชายต่างมารดาอย่างไม่เข้าใจ ส่วนมันมองตรงมาด้วยดวงตาที่เคร่งเครียด เป็นการขอร้องอย่างจริงจังจากใจจริง อาจเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เขาจะได้ยินเช่นนี้ ถ้อยคำที่มิได้เอ่ยกับองค์รัชทายาท แต่เป็นคำขอร้องพี่ชายจากน้องชายคนหนึ่ง นั่นทำให้เขายืนนิ่งเงียบมองคนในคุกที่มีสภาพไม่เหมือนคนคุกสักนิดอย่างไร้คำพูด แต่เพียงไม่นานเหวินเหล๋ยก็ทำเสียงขึ้นจมูก มิวายข่มขู่กลับตามนิสัยคะนองปาก
“เคยได้ยินหรือไม่ เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เจ้าไม่กลัวอย่างนั้นรึ?”
“หึๆ หากท่านทำได้”
แต่มันกลับยิ้มดูคล้ายเยาะหยันหน่อยๆ ราวกับจะบอกว่าเขาน่ะหรือจะทำอะไรมันได้ บัดซบ! ทำเอาเขาโมโหแทบจะพังคุกเข้าไปหาเรื่องต่อยมันสักหมัด ก่อนจะออกไปจากคุกฉินอ๋องก็พยักพเยิดหน้าไปทางร่างสูงในชุดขันทีที่จามฟุดฟิดอยู่มุมทางเดินราวกับล่วงรู้ล่วงหน้าว่ามีคนนินทา
“ท่านพี่ ชายผู้นั้นจงจับเขาไว้ให้แน่นๆ เขาเป็นเทพเจ้าแห่งโชคของท่าน มีเขาอยู่ข้างกายทุกอย่างจะผ่านพ้นไปด้วยดี อย่าเผลอปล่อยมือเชียวละ”
เขาแทบไม่ได้ใส่ใจ เพราะคิดยังไงไอ้ขันทีนี่ก็ไม่มีทางจะไปไหนได้อยู่แล้ว
“พวกเราต่างก็มีหยกงามในมืออยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะรู้ความสำคัญมันหรือไม่ ตอนนี้ข้ารู้ตัวแล้ว ท่านเองก็อย่าได้สำนึกเอาในตอนที่สายเกินไป อย่ามัวแต่จ้องหยกในมือของผู้อื่น ชีวิตเรามิได้กลับมาแก้ไขสิ่งที่พลาดไปได้อีก”
พร่ำอะไรของมัน!
*****
“เหล๋ยเอ๋อร์ ช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจอันใดงั้นรึ? แม่พอจะแบ่งเบาสิ่งนั้นให้ลูกได้หรือไม่?” เสียงนุ่มละมุนอ่อนโยนดังแทรกความคิดของรัชทายาทหนุ่ม เหวินเหล๋ยเงยหน้าขึ้นไปมองพระมารดาที่ส่งยิ้มอาทรที่อบอุ่นมาให้แก่เขาผู้เป็นโอรส ดวงหน้าคมคายที่ตึงเครียดพลันอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เสียงแหบเครือที่ปกติจะแข็งกระด้างกลับนุ่มละมุนน่าฟัง
“ลูกมีเรื่องให้ขบคิดนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วได้คำตอบหรือยัง?” ตงฮองเฮาถามต่ออย่างใคร่สนใจ ดวงตาหลุบมองถ้วยชาในมือ สองสามวันมานี้โอรสของพระนางดูเปลี่ยนไปจากปกติ เดิมอารมณ์ของรัชทายาทหนุ่มมักจะหงุดหงิดร้อนใจแต่หลายวันมานี้กลับดูสงบลง แม้จะมีอารมณ์เสียบ้างแต่ก็มิได้ควบคุมไม่อยู่เช่นวันวาน ซ้ำยังดูเหม่อลอยคล้ายครุ่นคิดบางสิ่งมิตกอยู่ตลอดเวลา พระนางเฝ้าสังเกตโอรสอยู่เงียบๆ กระทั่งวันนี้จึงได้ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
เหวินเหล๋ยคลี่ยิ้มเบาบางที่แฝงไปด้วยท่าทางสับสนปนไม่มั่นใจ
“เสด็จแม่ ลูกคู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาทหรือไม่?”
ตงฮองเฮาชะงักกาย มือขาวผ่องที่มิเคยทำงานหนักจึงบอบบางค่อยๆ วางถ้วยชาลายชดช้อยลงบนโต๊ะ นัยน์ตากลมโตมิได้โดดเด่นงดงามแต่แฝงไปด้วยความมั่นคงเยือกเย็นเบือนไปสบนัยน์ตาจริงจังของโอรส ความแปลกใจล้นพ้นอยู่ในอก เพราะไม่เคยมีครั้งใดที่โอรสของพระนางจะกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการ แต่กระนั้นสิ่งที่มีมากกว่าความประหลาดสงสัยก็คือความตื่นเต้นยินดี ในที่สุดโอรสของพระนางก็ตระหนกได้แล้ว!
“ลูกแม่ ‘ยามนี้’ เจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาทเลยแม้แต่น้อย” สตรีสูงศักดิ์เหนือนางใดในวังหลังให้คำตอบแก่โอรส น้ำเสียงราบเรียบนั้นหนักแน่นจริงจัง มิได้แฝงความดูถูกดูแคลนใดๆ แต่เป็นเพียงคำตอบที่ตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม เหวินเหล๋ยนิ่งงันไปวูบหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับไม่เต็มใจนัก คำตอบที่คล้ายคลึงกับที่ได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง แอบหงุดหงิดเล็กน้อยแต่มันหดหู่มากกว่า
เขาเป็นโอรสที่น่าผิดหวังมากใช่หรือไม่?
ตงฮองเฮายกมือปิดปากพลางหัวเราะขบขันสีหน้าแง่งอนของโอรสที่ตวัดสายตาค้อนมาให้แก่มารดา ริมฝีปากแต้มชาดบางๆ เม้มยิ้มจ้องมองโอรสด้วยดวงตาละมุนอ่อนโยน พระนางกล่าวแฝงนัยบางอย่างออกมาราบเรียบ
“ใช่แล้ว ยามนี้เจ้าไม่คู่ควรแต่ ‘อนาคต’ มิแน่ว่าจะไม่คู่ควร”
“....”
รัชทายาทหนุ่มคิดตามถ้อยคำของพระมารดา แค่แวบเดียวเขาก็รู้ความนัยได้ไม่ยาก เหวินเหล๋ยยังคงมีสีหน้ายุ่งยาก ใช่ว่าเขาคิดเรื่องนั้นเองมิได้ คิดได้กับทำได้มันต่างกันลิบ ผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้มันจะทันงั้นรึที่เขาจะเริ่มลงมือจริงจัง เหล่าพี่น้องที่ออกตัวมานานนำหน้าเขาไปไกลลิบ มองมุมไหนก็ไม่เห็นเส้นชัยตรงหน้า
“ตอนนี้คงจะสายเกินไปแล้ว” รัชทายาทหนุ่มรำพันท้อใจ
“ยังไม่ถึงเส้นชัย ไม่ผู้ใดบอกได้ว่ามันสายเกินไป ยังมิได้ลองลงมือทำอันใดก็กล่าวบอกว่าทำไม่ได้เช่นนี้จัดว่าเป็นบุรุษประเภทใดกัน?” คำพูดเอื่อยๆ เหมือนคนพูดมิได้ให้ความสลักสำคัญใดกับมัน คำถามที่ทิ้งท้ายนั้นก็ดูไม่รบเร้าให้ต้องตอบ กลับคล้ายจะสัพยอกโอรสด้วยรอยยิ้มขบขันเสียมากกว่า รัชทายาทหนุ่มมองพระมารดาแล้วถอนหายใจ ริมฝีปากคลี่ยิ้มเล็กๆ ฟังถ้อยคำตักเตือนกึ่งสั่งสอนจากหญิงวัยกลางคนที่นั่งข้างเคียง
“ม้าจะดีหรือไม่วัดกันที่ชัยชนะ ม้าบางตัวอาจจะพุ่งตัวออกเร็วแต่มิใช่ว่ามันจะชนะเสมอไป กลับกันม้าบางตัวออกตัวช้าแต่ทุ่มพละกำลังมุ่งสู่เส้นชัยตอนเฮือกสุดท้ายก็อาจทำให้กำชัยได้เช่นกัน มันมิได้ขึ้นอยู่ว่าผู้ใดจะออกตัวช้าหรือเร็ว หากยังไม่มีผู้ชนะที่แน่นอนนั้นหมายถึงทุกคนมีโอกาสที่จะชนะ”
“เสด็จแม่”
“จงแก้ไขมิใช่นั่งคร่ำครวญ และจงจำไว้ว่าเจ้ามิได้เผชิญหน้ามันอยู่ผู้เดียว เจ้ายังมีมารดาผู้นี้คอยช่วยเหลืออีกแรง” น้ำเสียงเมตตาเอ่ยบอกอีกประโยค มือเล็กเอื้อมไปลูบไหล่กว้างของโอรส ราวกับจะช่วยแบ่งเบาภาระบนบ่านั้นออกไป ดวงหน้าเล็กที่ใช้เครื่องสำอางกลบริ้วรอยแห่งวัยเผยความจริงจังออกมาที่นานครั้งจะมีให้เห็น
รัชทายาทหนุ่มจ้องมองดวงหน้างามเรียบๆ ไม่โดดเด่นของพระมารดา ในอกอุ่นวาบไปด้วยความรู้สึกละมุนละไมของความรักความหวังดีจากพระมารดา
“หวังว่าเจ้าจะได้คำตอบที่ต้องการ ลูกรัก”
ชั่วชีวิตของเหวินเหล๋ยเขามีเรื่องแน่ใจอยู่เรื่องหนึ่งที่คิดว่าถูกต้องที่สุด นั่นก็คือเขามีพระมารดาที่ดี! แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพระมารดาของเขาจะเจ็บป่วยจนล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่มีเวลาให้แก่เขาเฉกเช่นในยามวันเยาว์ แต่เขาก็รู้ว่าพระมารดาเป็นโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตที่เขาไม่อาจสูญเสียไปได้ และโชคก็เข้าข้างที่เขาไม่ต้องเผชิญความสูญเสียครั้งใหญ่ ไม่เช่นนั้นเขาเองก็คิดมิออกว่าหากต้องเผชิญเรื่องร้ายนั้นเขาจะเสียสติสักเท่าไร ต้องขอบคุณเด็กคนนั้น...
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ตั้งแต่จำความได้เหวินเหล๋ยมิเคยคิดเรื่องตำแหน่งของเขา คู่ควรหรือไม่นั้นตำแหน่งนี้ก็เป็นของเขาอยู่แล้ว เพราะเขาคือโอรสองค์แรกที่กำเนิดจากฮองเฮา ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมน้องชายต่างมารดาแต่ละคนถึงต้องการตำแหน่งนี้นัก อำนาจอย่างนั้นหรือ? เขาเยาะหยันน้องชายเหล่านั้นทุกครั้งที่เห็นพวกมันแย่งชิงกันจะเป็นจะตาย ถึงเขาจะไม่สนใจแต่ตำแหน่งรัชทายาทเป็นของเขามาแต่แรกอยู่แล้ว จะเป็นใครหน้าไหนก็แย่งไปไม่ได้!
“เช่นนั้นก็มารับประทานขนมแกล้มชานี้เถิด แม่ได้คนครัวมาใหม่ฝีมือดีเชียวนะ อร่อยหรือไม่?” ตงฮองเฮาเอ่ยบอกโอรสพร้อมกับดันจานใส่ขนมไปทางชายหนุ่ม มือใหญ่หยิบขนมขึ้นมากัดชิมคำเล็กๆ เงยมองพระมารดาที่ยิ้มถามความเห็น รัชทายาทหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก
“รสชาติพอใช้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“แค่ใช้ได้งั้นรึ? เฮ้อ จริงๆ เลย เจ้าถูกจางหรงปรนเปรอปากท้องจนเสียนิสัยไปหมดแล้ว จางหรงเจ้าก็เพลาๆ บ้างเถิด หากวันใดลูกของเรากินอะไรไม่ได้นอกจากที่เจ้าทำจะเป็นอย่างไร มิลงแดงตายหรอกรึ?” ตงฮองเฮาขมวดคิ้วเม้มปากกับคำตอบของโอรสที่มีลิ้นสูงส่ง อร่อยเพียงนี้ยังบอกว่าพอใช้ได้ จากนั้นพระนางก็คิดขึ้นมาได้เมื่อทอดมองไปเห็นข้ารับใช้ของโอรสที่คุ้นเคยกันมานาน พระนางเอ่ยหยอกอีกฝ่ายอย่างไม่ถือตัว อย่างไรเสียก็เห็นมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีลูกศิษย์สำรองไว้หลายคน ฝีมือครัวเทียมเท่ากระหม่อมไม่ผิดเพี้ยน รับรองว่าองค์รัชทายาทไม่มีทางลงแดงได้พ่ะย่ะค่ะ” คนถูกหยอกยิ้มรับ อดจะภูมิใจในตัวเองมิได้ ด้วยความกลัวตายขนาดหนักทำให้จางกงกงผู้มิเคยลงมือหุงข้าวพัฒนามาจนกลายเป็นพ่อครัวชั้นเซียน รับรองว่าหากเจ้านายหนุ่มกำลังโมโหอยากจะฆ่าเขาขึ้นมา เพียงแค่ยกขนมหวานที่อีกฝ่ายชอบขึ้นมาก็พอรักษาชีวิตน้อยๆ ของเขาเอาไว้ได้แล้ว มันช่วยให้เขารอดพ้นวิกฤตมาหลายครั้งหลายครา
ไม่เพียงแต่สอดส่องอารมณ์ของเจ้านายเท่านั้น ยังต้องปรนเปรอปากท้องเจ้านายให้อิ่มหนำสุขสบาย!
“เสด็จแม่พูดอันใดเช่นนั้น ฝีมือมันก็แค่พอกระเดือกลงคอ” เห็นหน้าระรื่นออกหน้าออกตาของขันทีประจำตัวทำเอารัชทายาทหนุ่มหมั่นไส้ เขาเบะริมฝีปากดูถูกอย่างจงใจ คนกำลังชื่นมื่นเพราะถูกชมเชยได้ยินก็คอตกหน้าหงอยเป็นดอกไม้ไร้น้ำ ตงฮองเฮายกมือปิดปากหัวเราะขำ ก่อนจะหันมาต่อล้อโอรส
“เช่นนั้นเจ้าก็กินอาหารพอกระเดือกได้เป็นประจำน่ะสิ”
“.....” รัชทายาทหนุ่มเงียบไร้คำพูดไปชั่วอึดใจ ไม่อยากยอมรับความจริงสักเท่าไร แต่ฝีมือครัวของขันทีงี่เง่านี่ก็เลิศรสอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ เพราะจางหรงมีพลังวิเศษคือการปรุงอาหารออกมาได้เลิศรสเสมอ แม้อาหารจะธรรมดาสามัญแค่ไหนพอได้ผ่านมือของขันทีหนุ่มก็กลายเป็นอาหารสุดยอดอร่อยขึ้นมาทันตา
เหวินเหล๋ยกอดอก เชิดหน้าเย่อหยิ่งก่อนจะตอบเสียงสั้นห้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ “จำใจกระเดือกต่างหากพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฮองเฮามองท่าทางปากอย่างใจอย่างของโอรสแล้วอ่อนใจ พระนางไม่เอ่ยเซ้าซี้ให้โอรสอึดอัดใจ หันไปยกจานขนมอีกจานส่งไปให้คนหน้าม่อยกระรอกเพื่อปลอบใจ จางหรงกำลังยื่นมือไปรับขนมจากตงฮองเฮาผู้เมตตา แต่พอเห็นสายตาทิ่มแทงปานจะฆ่ากันให้ตายของเจ้านายหนุ่มก็หดมือกลับ ส่งสายตาเป็นคำขออนุญาตเงียบๆ
เห็นข้ารับใช้ทำหน้าจะเป็นจะตายยิ่งกว่าลูกหมาหิวนมก็รู้สึกอุบาทว์สายตา ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ พยักหน้าส่งๆ ไปให้ ขันทีหนุ่มที่ใจจะรอนๆ ถ้าไม่ได้กินขนมฟื้นตัวรวดเร็ว รับขนมแล้วรีบถอยไปกินสีหน้าระรื่นน่าถีบให้หงายนัก คนเป็นเจ้านายเห็นแล้วต้องคิ้วกระตุก
ใบหน้าแต้มแต่งเครื่องสำอางเบาบางทำหน้าเพิ่งคิดบางอย่างขึ้นมาได้ พระนางอุทานเสียงเบา “อ๊ะ จริงสิ แบ่งไปให้คุณชายเซี่ยด้วยก็แล้วกัน ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง เฮ้อ คงจะคิดมากเรื่องฉินอ๋องอยู่เป็นแน่ หากได้กินขนมอร่อยๆ คงจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง” ไม่รอช้ามือเรียวเล็กกวักเรียกบ่าวรับใช้ประจำข้างกายมารับคำสั่ง
เหวินเหล๋ยชำเลืองพระมารดา ตั้งแต่ฟื้นตัวจากพิษพระมารดาของเขาเอะอะก็คุณชายน้อยเซี่ยอย่างนั้นอย่างนี้ เอาอกเอาใจราวกับอีกฝ่ายเป็นโอรสผู้หนึ่งไปเสียแล้ว จะมิให้เขาคิดเช่นนั้นได้อย่างไรกัน ประทานของมีค่าและของกินมากมายไปให้อยู่เป็นประจำ มิได้น้อยไปกว่าเขาที่เป็นโอรสในสายเลือดเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร....
ซ้ำยังฝากของไปด้วยบ่อยๆ... เหอะ! ก็แค่ของเหลือใช้เหลือกินเท่านั้นแหละ!
จางหรง / จางกงกง
ยาวเกิน ต้องตัดแบ่งลง เฮ้อ! ชายหมา พระรองตัวร้ายของเรื่อง
การที่ตงฮองเฮารอดชีวิตก็ทำให้ชายหมาเปลี่ยนไปเหมือนกัน เป็นจุดเปลี่ยนของชายหมา
เหมือนกับถิงถิงที่รักษาสร้อยของแม่ไว้ได้จึงกลายเป็นจุดพลิกผันของชีวิต
ปล. แฟนคลับชายหมาจะเยอะเกินไปแล้วนะ เพลาๆ หน่อย เดี๋ยวชายแมวงอน 55555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พระรองถอยไป
จางกงกง มีลางสังหรว่าจะจบที่องชายฆ่าหมา