ตอนที่ 86 : ตอนที่ ๘๐ โกลาหล
ตอนที่ ๘๐ โกลาหล
“เข้ามา” เสียงเยือกเย็นฟังน่าเกรงขามดังออกมาจากข้างในกระโจม ผ้าประตูหน้ากระโจมถูกทหารเฝ้ายามเลิกขึ้นพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญแม่ทัพหูเข้าไปข้างใน แม่ทัพหูเดินเข้าไปเพียงลำพัง ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยกันกับมิได้ขยับเขยื้อนออกจากที่เดิม เขาคลี่พัดในมือโบกพัดเบาๆ ดูสง่าผ่าเผยยิ่ง ดวงหน้าหล่อเหลาโดดเด่นยิ้มแย้มบางเบา ข้ามัวแต่ขบคิดว่าคนผู้นี้เป็นผู้ใดช่างคุ้นหน้ายิ่งจนเผลอจ้องมองนานผิดปกติ
“คุณชายเซี่ย” เสียงอ่อนหวานดังมาจากหญิงสาวในชุดสีส้มอ่อนสดใส รอยยิ้มอ่อนหวานไม่ต่างจากน้ำเสียงที่เอื้อยเอ่ยทักทายมานั้นทำให้ข้ารีบตั้งสติ ผงกศีรษะรับทักทายตอบกลับอย่างมีมารยาท
“คุณหนูหู”
“จิ้งถิง~!” สตรีสาวสวยในชุดสีดำทะมัดทะแมงวิ่งผ่านผู้คนเข้ามา เสียงตะโกนดังลั่นกังวานเป็นเอกลักษณ์ ข้าหัวเราะเล็กน้อย มิต้องหันไปมองก็รู้ในทันทีว่าเป็นผู้ใด หากมิใช่สวินลี่เจี่ยเจียแล้วล่ะก็ข้ายอมเรียกเฉินฮุ่ยเคอว่าเกอเกอ! เมื่อหันไปมองข้าก็แย้มยิ้มส่งไปให้สาวงามมาดองอาจที่เข้ามาคว้ามือข้าทำตาโตตื่นเต้น
“เจ้าจะมาที่นี่ก็น่าจะบอกข้าก่อน!”
“ขออภัยสวินลี่เจี่ยเจีย ครั้งนี้มากะทันหันเกินไปจึงมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า”
“ไม่เป็นไรๆ ว่าแต่เจ้าได้เจอท่านแม่ทัพหรือยังล่ะ? จะเล่าอะไรให้ฟังนะ เขาน่ะตั้งแต่ได้หมั้นหมายกับเจ้าก็ทำตัวน่าขนลุกอย่างยิ่ง! ยืนเหม่อลอยอยู่ดีๆ ก็ยิ้มออกมาอยากจะให้ผู้คนหวาดผวาหรืออย่างไรกัน? หากเจ้าได้เห็นตอนที่เขายิ้มน่ะจะต้องถอนหมั้นแทบไม่ทันแน่ น่ากลัวชวนขนลุกนัก” สวินลี่เจี่ยเจียโบกมือไปมาก่อนจะเริ่มนินทาเจ้านายระยะเผาขน ข้าเพียงแย้มยิ้มรับฟังเสียมิได้ ระหว่างที่สวินลี่เจี่ยเจียคุยจ่อไม่หยุด คุณหนูหูชือเซี่ยนก็ก้าวเข้ามาเอ่ยกับข้า
“คุณชายเซี่ย ขอแสดงความยินดีด้วยเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณคุณหนูหู” ข้าชะงักหันไปรับคำยินดีของสตรีนุ่มนวลเต็มไปด้วยมารยาททางด้านข้าง ในใจแอบกังวลเล็กน้อย หากจำมิผิดคุณหนูงดงามผู้นี้ชื่นชมเจ้าแมวอยู่ การที่นางระบายยิ้มละไมกล่าวยินดีด้วยน้ำเสียงไร้ความขุ่นเคืองได้เช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องน่าตกใจยิ่ง แม้กระทั่งหมิงอิงดวงตะวันใสซื่อผู้นั้นยังไม่อาจปกปิดความเศร้าใจในตอนเอ่ยยินดีแม้ว่าเขาจะพูดด้วยความจริงใจก็ตาม แต่คุณหนูหูคนนี้กลับพูดออกมาได้เป็นธรรมชาตินัก ไม่รู้ว่านางจริงใจไร้สิ่งเคลือบแฝงหรือแสดงเก่งกันแน่
“เจ้าหมั้นหมายแล้วอย่างนั้นรึ? เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง มิทราบว่าคุณหนูที่หมั้นหมายงดงามเปี่ยมความสามารถใด ถึงได้คุณชายแสนสง่าเช่นเจ้าไปครอบครองได้เช่นนี้?” ชายหนุ่มอาภรณ์น้ำเงินเข้มยืนเงียบฟังพวกเราเอ่ยวาจาอยู่นานก็เข้ามาแทรกร่วมสนทนาด้วย ถามไถ่ด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึก น้ำเสียงที่ใช้ก็สุภาพนัก พวกเราหันไปมองเขาในทันที
“ท่านผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ข้ามิได้สง่างามหรือดีกระไรนัก เกรงว่าจะไม่ถูกใจคุณหนูมากความสามารถ อีกทั้งข้าได้หมั้นหมายกับฉินอ๋อง มิใช่คุณหนูตระกูลใดขอรับ” ข้าเอ่ยตอบกลับถ่อมตน แอบลอบมองสีหน้าของอีกฝ่ายคล้ายจะไม่พอใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เหตุใดเขาถึงไม่พอใจการหมั้นหมายของข้าเล่า? หรือว่าเขาจะเป็นคนที่แอบชื่นชมเจ้าแมวอีกคน? เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าถูกมองจึงรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติแล้วเอ่ยพร้อมมองข้าไปด้วย
“ไยพูดเช่นนั้น ดูจากสายตาของข้าเจ้าเป็นคุณชายที่ยอดเยี่ยมที่สุด ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลใดก็มิอาจเทียบสง่าราศีของเจ้าได้แม้แต่เสี้ยวเล็บ อย่าว่าแต่คุณหนูในแคว้นถิงแห่งนี้เลย ต่อให้เป็นองค์หญิงจากแคว้นใหญ่พวกเขายังต้องเข้ามาคุกเข่าอ้อนวอนให้เจ้าแต่งด้วย ฉินอ๋องผู้นั้น...หึ!” ไม่เพียงพูดเท่านั้นเขายังทำเสียงขึ้นจมูกเล็กๆ ดูหยิ่งทะนง
ได้ยินคำพูดทั้งหมดของเขาข้าพลันหน้าแดงกระดากอายทำตัวมิถูก ไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดีได้แต่ยืนนิ่งเงียบ อีกฝ่ายชื่นชมข้าออกหน้าออกตา ท่าทางของเขาไม่คล้ายประชดประชัน ล้วนเป็นการพูดที่มาจากใจจริง คนอื่นๆ หันไปมองชายหนุ่มผู้นั้นอย่างประหลาดใจสงสัยในพฤติกรรมแปลกๆ ของเขา ทุกคนมองข้ากับเขาสลับไปมาไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
ท่านแม่เองก็มองคนผู้นั้นพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา พึมพำอะไรบางอย่างที่ข้าไม่รู้เรื่อง
「เอาอีกแล้ว ท่าทางเหมือนตอนที่ข้าลั่นวาจาว่าจะแต่งให้เหยียนจิ้ง ทำเป็นยิ้มแย้มในใจคงอยากจะเร่งไปข่มขู่แทบแย่แล้วกระมัง」
“ท่านแม่รู้จักเขางั้นรึ?” เห็นท่าทางแปลกๆ ของมารดาข้าก็อดส่งกระแสจิตไปถามนางมิได้ ท่านแม่ชำเลืองนัยน์ตาดอกเหมยมามองข้า ในแววตาคู่นั้นซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ นางส่งยิ้มซ่อนความนัยมาให้ข้าก่อนจะพยักหน้าตอบกลับมาแบบไม่กระจ่างแจ้ง
「ย่อมรู้จัก รู้จักดีด้วย!」
หือ? รู้จักดีด้วยอย่างนั้นรึ? ข้าเพ่งสายตาไปจับจ้องชายหนุ่มผู้มีกลิ่นอายสุขุมคัมภีรภาพอยู่แวบหนึ่งแล้วชำเลืองตามามองมารดา ส่งสายตาแทนคำถาม ท่านแม่อมยิ้มทำเป็นเมินหน้าหนีเหมือนไม่เข้าใจทั้งที่เข้าใจดีเยี่ยม นี่จะไม่บอกหรือใบ้อะไรหน่อยงั้นรึ? ข้ามองมารดาที่เคารพด้วยความคับข้อง จากนั้นก็หันไปสนใจสวินลี่เจี่ยเจียที่ชวนคุย
“เอ่อ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว ข้าขอตัวไปเตรียมสำรับให้แก่ท่านแม่ทัพก่อน” เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปนานมากแล้วแล้วข้าจึงขอแยกตัวอย่างไม่อ้อมค้อม ป่านนี้เจ้าแมวคงจะหิวแย่แล้วข้าควรไปทำมื้อเที่ยงเสียที ประเดี๋ยวปล่อยให้แมวหนุ่มหิวโซจะกลายร่างเป็นเสือหิวจับข้าเขมือบแทน
เมื่อได้ยินว่าข้าจะเข้าครัวลงมือทำอาหารเอง ดวงตาเรียวโตของสวินลี่เจี่ยเจียก็เปล่งประกายระยับ นางยิ้มกว้างหันมาเอ่ยขอร้องกับข้าพร้อมกับปั้นหน้าปั้นตาหมองเศร้า
“โชคดียิ่งนัก มิคิดว่าวันนี้จะบุญปากเช่นนี้ จิ้งถิงอย่าได้ใจดำเตรียมให้แค่ท่านแม่ทัพคนเดียวเล่า เตรียมเผื่อพวกข้าบ้าง จริงสิ ครั้งงานเทศกาลบุปผาเจ้าเอาชนะพี่ชายของข้าไปทำให้เขาโมโหกินมิได้นอนไม่หลับ ตอนนี้พี่ชายข้าแก้มตอบเหลือเพียงแต่กระดูกแล้ว เดิมก็เป็นคนเลือกกินอยู่แล้วยิ่งมาไม่อยากอาหารเช่นนี้อีก เฮ้อ เจ้าช่วยทำอาหารบำรุงจิตใจให้เขาด้วยได้หรือไม่?”
“ย่อมได้เจี่ยเจีย” ข้าพยักหน้ารับง่ายดายไม่อิดออก เมื่อนางกล่าวถึงรองแม่ทัพสวินหยางในใจของข้าพลันรู้สึกผิดขึ้นมาทันที นึกถึงการประลองครั้งนั้นรองแม่ทัพสวินหยางถูกทำให้อับอายเช่นนั้นคงจะไม่สบอารมณ์นัก ข้าผู้เป็นต้นเหตุก็ควรจะตอบแทนอะไรแก่เขาบ้าง เฮ้อ ทำอาหารปลอบใจให้เขาเสียหน่อยคงไม่ลำบากลำบนนัก ได้คำตอบเป็นที่พอใจสวินลี่เจี่ยเจียก็ยิ้มแป้นกลืนน้ำลายรอก่อนแล้ว
“ข้าเองก็กำลังว่างอยู่พอดี หากอาสาจะไปช่วยจะเป็นการรบกวนหรือไม่?” หูชือเซี่ยนหันมาถามข้าอย่างสุภาพนุ่มนวล ท่าทางของนางนั้นเกรงอกเกรงใจข้าเป็นอย่างมาก ยิ่งทำให้ข้าปฏิเสธได้ลำบาก ข้านิ่งคิดอยู่เนิ่นนานแต่เมื่อถูกแววตาขอร้องปนออดอ้อนจากสาวงามก็ทำให้ข้าพลันใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งลนไฟ เผลอไผลพยักหน้าอนุญาตไปอย่างลืมตัว
“ให้ข้าตามไปเปิดหูเปิดตาด้วยคนเถิด” ชายชุดสีน้ำเงินเอ่ยขอตามไปอีกคน จ้องมองมาที่ข้าด้วยแววตาคาดหวังสีหน้าคล้ายจะทนทานมิได้หากถูกปฏิเสธ ข้าแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป ดังนั้นกลุ่มของเราก็เคลื่อนจากหน้ากระโจมของฉินอ๋องไปยังโรงครัวในค่ายเป่าอี้
ในระหว่างที่ข้าเตรียมสำรับอาหารเที่ยงให้แก่ฉินอ๋อง ด้านข้างมีแม่นางน้อยคนงามคอยจ้องมองราวกับกำลังศึกษาการทำอาหารของข้าอย่างเอาจริงจัง ทั้งจดบันทึกถามไถ่สูตรและเคล็ดลับต่างๆ อีกด้านเป็นพี่สาวผู้องอาจน่าเกรงใจที่นั่งจ้องมองจานอาหารพร้อมกับน้ำลายไหลต้องเพียรเช็ดกลับเข้าปาก ข้ากลัวว่านางจะเผลอใจแอบขโมยอาหารไปกินจนหมดเกลี้ยงจึงวางจานอาหารไกลจากนาง และอีกคนที่มองมาพร้อมกับชื่นชมข้าไม่หยุดปาก
“ช่างเป็นการผัดที่สง่างามน่ามองราวกับระบำหงส์อย่างไรอย่างนั้น กลิ่นหอมของอาหารที่เจ้าทำหอมหวนยิ่งกว่าดอกไม้ทิพย์เสียอีก หน้าตาก็ดูเลิศรสยิ่ง ไม่ต้องชิมก็ทราบรสชาติได้ว่าต้องเลิศล้ำเป็นหนึ่ง!” พูดชมไปปรบมือไปด้วยสีหน้าจริงจังประหนึ่งวิจารณ์บทกลอน ทั้งที่ตาของเขาเอาแต่จ้องหน้าข้าแท้ๆ ในตอนแรกๆ ข้าก็เอ่ยรับการเกรงใจนานเข้าข้าก็ทำเป็นหูทวนลมมิได้ยิน ก้มหน้าก้มตาทำอาหารของตัวเองไปเงียบๆ
รับมือทีละคนยังว่ายากแล้ว นี่รวมทั้งสามคนเข้าด้วยกันทำให้ข้าปวดหัวมาก ท่านแม่เอาแต่หัวเราะขำไม่ได้ช่วยเหลืออะไรข้าเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นมารดาที่ไร้...อะแฮ่ม เป็นมารดาที่งดงามหยาดเยิ้มและอารมณ์ดียิ่ง
เมื่อข้าเตรียมอาหารเสร็จแล้วก็จัดลงกล่องไม้เพื่อถือไปส่งให้แก่ฉินอ๋อง ส่วนที่เหลือก็ยกให้แก่พวกเขาจัดการกันไป ชายหนุ่มมาดสุขุมนุ่มลึกผู้นั้นทำท่าจะเดินตามข้ามา โชคดีที่สวินลี่เจี่ยเจียรั้งตัวเขาเอาไว้ได้ทัน อีกทั้งนางยังหันมาขยิบตาให้แก่ข้า บุ้ยปากให้รีบเดินไปเสีย ข้าโล่งอกสาวเท้าตรงไปยังกระโจมของฉินอ๋อง สวนทางกับแม่ทัพหูที่เดินออกมาจากกระโจมของฉินอ๋องพอดี ตอนเดินสวนกันนั้นแม่ทัพหูผู้เคร่งครัดผงกศีรษะให้เล็กน้อย ข้าตกใจเผลอผงกศีรษะตอบกลับ ไม่คิดว่าคนตัวเล็กๆ เช่นข้าจะได้รับความสนใจจากแม่ทัพหูผู้โด่งดัง ความปลาบปลื้มทำให้ริ้วแก้มของข้าแดงระเรื่อ
ข้าเดินอย่างเบิกบานเข้าไปในกระโจมที่เจ้าแมวอยู่แต่พอเข้าไปเท่านั้นอารมณ์เบิกบานของข้าก็ถูกแช่แข็ง เจ้าของกระโจมยังคงนั่งสะสางงานอยู่หน้าโต๊ะเช่นเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปคืออารมณ์ของเขา ข้าขยับตัวอย่างระมัดระวัง เกรงจะไปสะกิดต่อมโมโหของอีกฝ่าย เจ้าแมวนั่งหน้าเย็นทำตัวเป็นก้อนภูเขาน้ำแข็งหมื่นปี แผ่ไอเย็นเยียบไปทั่วบริเวณ เกิดอะไรขึ้นกัน?
ข้ากวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย ทอดสายตาไปมองโต๊ะทำงานของเขาที่ตอนแรกมีม้วนกระดาษกองเป็นภูเขา เพียงแค่ข้าออกไปทำกับข้าวเจ้าแมวก็ทำงานไปได้มากกว่าครึ่ง บ่งบอกถึงศักยภาพการทำงานที่ไม่ธรรมดา ข้าเปิดกล่องใส่กับข้าวค่อยๆ นำออกมาจัดเตรียมรอคอยท่านแม่ทัพที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เมื่อเตรียมเรียบร้อยข้าก็เดินมาหย่อนตัวนั่งรอเขาเงียบๆ ไม่อยากจะรบกวนเวลาที่อีกฝ่ายกำลังสมองแล่น
เจ้าแมวหน้านิ่งเรียบ กลอกดวงตาสีดำเข้มไปมาระหว่างเอกสารตรงหน้า มือเรียวยาวคู่นั้นขยับเคลื่อนไหว มือขวาถือพู่กันตวัดกวักแกว่งเขียนเป็นอักษรอันสง่างาม มือซ้ายเปิดเอกสารไปเรื่อยๆ ข้าเหม่อมองมือของเขาที่ขยับเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าน่ามองอย่างลุ่มหลง หลายคนอาจจะตกหลุมรักใบหน้าหล่อเหลางดงามของเขาเป็นสิ่งแรก แต่ทว่าข้านั้นแตกต่างออกไปเพราะสิ่งที่ทำให้ข้าหลงใหลครั้งแรกกลับเป็นมือของเขาต่างหาก!
ก็ตอนนั้นข้าไม่เห็นหน้าของเขาด้วยซ้ำ!
ข้าบู้ยปากครั้นนึกถึงความทรงจำวันวานยังหวานชื่นแต่นั้นก็ยังเรื่องของชีวิตที่แล้ว ในชีวิตนี้ไม่มีเหตุการณ์นั้นอีกแล้ว ทุกอย่างมิได้เดินไปตามเหตุการณ์ในชีวิตที่แล้วเลยสักอย่าง ข้าอดจะใจหายหน่อยๆ เพราะอย่างไรในอดีตนั้นก็มิได้มีเพียงความจำที่เลวร้าย แต่มันมีความทรงจำที่ดีงามอยู่เช่นกัน
ดีงามขนาดที่ข้าคิดจะทิ้งอดีตทุกสิ่งอย่างเพื่อแต่งออกไปอยู่กินอย่างสมถะกับเขาเชียวละ แต่ความจริงกลับโหดร้ายคนที่ข้าคิดจะอยู่กินด้วยกลับกลายเป็นคนสูงศักดิ์ยิ่ง ไม่มีทางที่เขาจะลดตัวลงมาอยู่ด้วยกันอย่างเรียบง่ายกับข้า ความฝันอันเรืองรองของข้าถูกบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดี แม้กระทั่งตอนนี้ความฝันนั้นของข้าก็ไม่อาจเป็นจริงได้ จะโทษผู้ใดนอกเสียจากตัวข้าที่ดันมาหลงรักบุรุษผู้นี้กันเล่า โดยไม่รู้ตัวข้าถอนหายใจยืดยาวออกมา
“หิวแล้วรึ?” เสียงทุ้มต่ำเยือกเย็นของเขาดังแทรกผ่านเข้ามาในภวังค์ความคิดของข้า ข้านิ่งฟังอึดใจหนึ่ง เสียงของเขาคล้ายจะทุ้มต่ำใกล้เคียงกับยามนั้นแล้ว เติบโตเป็นบุรุษหนุ่มเต็มตัวสินะ ข้าเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าแมวที่วางพู่กันในมือแล้วลุกขึ้นเดินมาหาข้า ดวงตาคู่งามสีดำลึกล้ำคู่นั้นจ้องมองข้านิ่ง ริมฝีปากได้รูปขยับชวนพร้อมกับฉุดดึงข้าให้เดินไปด้วยกัน
“มา ต่อไปต้องบอก อย่านั่งเงียบ” เจ้าแมวจับข้านั่งลงพร้อมกับหยิบถ้วยข้าววางตรงหน้ายื่นตะเกียบมาให้ จากนั้นเขาถึงเดินไปนั่งอีกด้านจัดแจงส่วนของตนเองแล้วเริ่มลงมือรับประทาน พวกเราสองคนค่อยๆ กินข้าวอย่างสงบ ข้าหยิบอาหารให้แก่เขาแล้วมองเขาคุ้ยข้าวเข้าปาก ท่วงท่าของเขาล้วนแล้วสง่าหมดจดจนข้าเผลอจ้องตาลอย
“หน้าข้าแหว่งหมดแล้ว” ฉินอ๋องจิ้มหน้าผากของข้าปลุกให้ตื่นจากมนต์เสน่ห์ยวนใจของบุรุษรูปงาม กล่าวเตือนน้ำเสียงเย็นเยียบสะท้านใจ ใบหน้าหล่อเหลาจะเรียบเฉยเย็นชาแต่นัยน์ตาสีดำกลับมีประกายวิบวับคล้ายหยอกล้อ ข้าหน้าร้อนวูบอายที่เผลอจ้องเขาเช่นนี้ รีบเก็บมือไม้ระเกะระกะลงแล้วก้มหน้ากินข้าว
“เป็นไข้รึ? ไยหน้าแดงก่ำเช่นนั้น?” เจ้าแมวไม่ปล่อยโอกาสที่ทำให้ข้าอับอาย เขาแกล้งถามด้วยน้ำเสียงแฝงความห่วงใย ปลายนิ้วยาวยื่นมาลูบไล้ แก้มทั้งสองของข้ายิ่งทวีความร้อนจนไหม้ ข้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปดูว่าเขากำลังทำหน้าอย่างไร แต่คิดว่าคงจะหน้าด้านหน้าทนยิ่ง เสียงหัวเราะในลำคอดังแผ่วเบาอย่างพึงพอใจ
สักพักข้าถึงกล้าเงยหน้าขึ้นมาคีบอาหารป้อนเจ้าแมว เขาเอียงหน้าอ้าปากงับเข้าไปเคี้ยวอย่างเป็นธรรมชาติ ท่าทางเช่นนี้ของเราสองคนดูสนิทสนมจนถูกชิงลู่กับจื่อลู่แซวว่าราวกับคู่รักที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี ตอนนั้นข้าแอบโต้ตอบในใจว่า แน่นอนอยู่แล้ว ข้าอยู่กินกับเขามาตั้งหลายปี!
ข้าคีบส่งป้อนให้เขาอีกครั้ง เจ้าแมวไม่มองด้วยซ้ำว่าข้าคีบส่งสิ่งใดให้ อ้าปากงับเคี้ยวงุบๆ หากเป็นพริกหรือขิงคงทำให้พ่นข้าวเป็นแน่ มีบ้างที่ข้าอยากจะแกล้งแต่คิดดูแล้วไม่คุ้มเสีย ด้วยเหตุนี้จึงไม่เคยลงมือกลั่นแกล้งเจ้าแมวที่ว่าง่าย เพราะจริงๆ แล้วข้าก็เลือกแต่ของที่เขาชอบกินป้อนส่งให้
ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็อิ่มเจ้าแมวกลั้วปากด้วยน้ำชาแล้วเคี้ยวใบสะระแหน่บ้วนทิ้งก่อนจะลุกขึ้นไปทำงานต่อ ข้าเก็บถ้วยจานลงกล่องไม้แล้วเดินไปยื่นให้ทหารเฝ้าหน้ากระโจมนำไปส่งโรงครัว จากนั้นก็กลับมานั่งประจำตำแหน่งเดิม เพิ่มเติมคือหนังสือหลายเล่มที่ฉินอ๋องให้คนนำมาให้ข้าอ่านระหว่างรอเขาทำงาน
ครั้งนี้เจ้าแมวทำงานได้รวดเร็วไม่เหมือนตอนแรกเริ่มที่ทำอย่างไรก็มิได้เขียนสักตัวอักษร ท่าทางแปลกๆ ของเขาในตอนนั้นก็ไม่มีเหลืออยู่ มีเพียงสมาธิจดจ่อกับงานตรงหน้าเท่านั้น เห็นเช่นนั้นข้าจึงวางใจตอนแรกกังวลนึกว่าเขาจะไม่สบายเสียอีก ข้าเลื่อนสายตามาหยุดที่หน้าหนังสือในมืออ่านไปได้สักพักก็ได้ยินเสียงท่านแม่เรียก
「ถิงเอ๋อร์ ออกมานี่หน่อยเร็ว~」
ข้าเงยหน้ามองไปทางต้นเสียงแล้วหันไปมองเจ้าแมวที่ตั้งใจทำงานอยู่ ข้าวางหนังสือในมือแล้วลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกกระโจมตามคำเรียกร้องของมารดาที่ลอยแว่วมา พอออกไปก็เจอะเข้ากับชายหนุ่มมาดสุขุมผู้นั้นพอดิบพอดี พอเขาเห็นข้าก็พลันแย้มยิ้มออกมาอย่างดีอกดีใจ ดวงตาคู่นั้นประกายวิบวับราวกับมีดาวอยู่ข้างใน
“ถิงเอ๋อร์!”
ข้าทำตัวไม่ถูกรู้สึกลำบากใจ ยิ้มรับคำเรียกนั้นด้วยใจที่ยุ่งเหยิงไม่น้อย คนที่เพิ่งเจอกันวันแรกกลับมาเรียกกันเสียสนิทชิดเชื้อแบบนี้ออกจะอึดอัดจริงๆ ด้านหลังคนที่จ้องมองข้าตาวาวประกอบไปด้วยแม่ทัพหู คุณหนูหูชือเซี่ยน และสองพี่น้องฝาแฝดสวิน สามคนหลังเห็นอาการปลื้มออกหน้าออกตาของบุรุษชุดน้ำเงินด้วยสายตาสงสัย ส่วนแม่ทัพหูนั้นทำหน้าประหนึ่งไม่รับรู้ใดๆ หันไปชมนกชมไม้เพลิดเพลิน
“รับประทานมื้อเที่ยงกันแล้วหรือขอรับ?”
“อืม อร่อยมากจริงๆ ข้าเพิ่งเคยกินข้าวได้อร่อยถึงเพียงนี้ จนอยากจะกินทุกวันเลยละ ถิงเอ๋อร์เด็กดีทำให้เหล่าสิ่วกินทุกวันได้หรือไม่?”
เหล่าสิ่ว!?
ข้ามองชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมทั้งตกใจที่เขาแทนตัวเสียแก่เฒ่าเช่นนั้น อายุอานาของเขาก็ไม่น่าจะเกินสามสิบแต่เหตุใดถึงได้แทนตัวว่า ‘เหล่าสิ่ว’ ได้คล่องแคล่วปานนั้น ชายผู้นั้นเอื้อมมาจับมือของเขากุมไว้แน่น ดวงตาจ้องมองข้าด้วยความคาดหวัง ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้อื่น เขาไม่สนใจแม้แต่น้อยยังคงพยายามเอ่ยกล่อมต่อไป ข้าพยายามชักมือออกจากเขา อีกฝ่ายเห็นว่าเช่นนั้นก็ทำหน้าเศร้า
“ข้าเสียใจ ไม่น่าให้เจ้าอยู่ที่นี่เพียงลำพัง เจ้ากำลังโกรธข้าที่มิได้สนใจใยดีอยู่ใช่หรือไม่? ไหนเลย...ไหนเลยข้าจะรู้ได้ว่าเจ้าบัดซบแซ่เซี่ยนั่นจะใจไม้ไส้ระยำเช่นนั้น แต่ไม่เป็นไรถิงเอ๋อร์! ตามเหล่าสิ่วกลับตระกูลของเราเถิด บิดาสารเลวเลวของเจ้าร้ายกาจเพียงนั้นจะไปสนใจมันทำไม ไม่เพียงไล่เจ้าออกจากบ้าน ซ้ำยังใช้เจ้าเพื่ออำนาจการเมือง ให้เจ้าหมั้นหมายกับบุรุษด้วยกัน ช่างน่าละอายยิ่งนัก บิดาคนใดจะหน้าด้านเช่นมัน ให้เจ้าพลีกายอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแก่อ๋องมากตัณหา ดูสิ ยังไม่ทันได้แต่ง เจ้าอ๋องนั่นก็จิกใช้เจ้าขนาดนี้ ฮืออออ! ถิงเอ๋อร์ผู้น่าสงสาร!”
พูดจบเขาก็โถมตัวเข้ามากอดเขา ใบหน้าหล่อเหลาอาบไปด้วยน้ำตา กอดข้าไปร้องไห้ฟูมฟายด้วยความโศกเศร้ารัดทด ข้ากะพริบตาปริบๆ มึนงงกับสิ่งที่เขาพรั่งพรูออกมา คนอื่นๆ อ้าปากค้างเหวอ แม่ทัพหูถอนหายใจออกมายาวเหยียด
บิดาบัดซบ? พลีกายให้อ๋องมากตัณหา?
「พรืด! สมองของท่านพ่อยังยอดเยี่ยมเช่นเดิม! ข้าขำจะตายอยู่แล้ว อ๊ะ ข้าตายไปแล้วนี่น่า ฮ่าฮ่าฮ่า!」ด้านข้างมารดาผู้งดงามหยาดเยิ้มของข้าล้มตัวไปหัวเราะพร้อมกับกุมท้องจนตัวงอ ข้าหันไปขึงตาดุใส่มารดาที่ไม่รักษาภาพพจน์เอาเสียเลย
“ท่านแม่! นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
「ลูกรัก เจ้าไม่คิดว่าชายปัญญาอ่อน ไม่สิ ชายผู้นี้หน้าตาคล้ายแม่บ้างรึ?」
ข้าขมวดคิ้วหันมามองใบหน้าของคนที่กอดรัดข้าไม่ยอมปล่อย แม้จะลำบากไปสักนิดเพราะถูกคราบน้ำตากลบแต่เมื่อสังเกตดีอย่างละเอียดก็ทำให้ข้าตกใจอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่คล้ายท่านแม่เท่านั้น เขายังคล้ายท่านทวดเยว่ไฉหลางด้วย! ศีรษะน้อยๆ ของข้าพลันระเบิดตูม ท่านแม่ลุกขึ้นมาจากพื้นพร้อมกับยิ้มกว้างเอ่ยอย่างขบขัน
「บิดาไม่ได้เรื่องของแม่เจ้าอย่างไรเล่า!」
อ่า...เช่นนั้น คนผู้นี้ก็คือ เยว่เมิ่ง ท่านตาของข้าผู้นั้นน่ะสิ!!
“เหตุใดที่แห่งนี้ถึงครึกครื้นเช่นนี้เล่า?” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีรัศมีเงียบขรึมจริงจังเดินเข้ามาถามไถ่ด้วยความแปลกใจ พวกเราหันไปมองท่านมือปราบหลวนเฟิงเดินเข้ามาทำหน้าสนองสนใจ แต่นั่นมิได้ทำให้พวกเราสนใจมากนัก บุคคลที่ทำให้ทุกคนสนใจกลับเป็นอีกคนที่เดินมาพร้อมกับหลวนเฟิง ชายหนุ่มวัยกลางคนที่มีดวงหน้างดงามนิ่งและเคร่งขรึม เขาเงยหน้าขึ้นมามองด้วยท่าทางเฉยชา กวาดสายตามาหยุดที่ข้าพลางยกคิ้วเล็กน้อย
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ท่านพ่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับมิได้ตกใจใดๆ ข้ายังไม่ทันได้ตอบสิ่งใดไปคนที่กอดข้าไว้ก็รีบผละอ้อมแขนดึงข้าซ่อนไว้ด้านหลังของเขา จากนั้นเขาก็ชี้นิ้วไปที่ท่านพ่อพร้อมกับตะโกนอย่างขุ่นเคือง
“เจ้ามาแล้วรึเหยียนจิ้งเจ้าคนบัดซบ! เจ้าบังคับให้จิ้งถิงหมั้นกับอ๋องอะไรนั่นได้อย่างไร ข้าไม่เห็นด้วย ถอนหมั้นเดี๋ยวนี้!”
ท่านพ่อเลื่อนสายตามามองบุรุษตรงหน้าของข้า จ้องอยู่หลายอึดใจก่อนจะเผยอปากเหมือนเพิ่งจำได้ ร่างสูงโปร่งของบิดาพลันโค้งลงอย่างสง่าผ่าเผย ใบหน้างดงามนิ่งขรึมกว่าเดิม เงยหน้าเคารพบุรุษชุดสีน้ำเงิน
“ท่านพ่อตา”
“หึ!” เขาไม่รับคำทักทาย ซ้ำสะบัดหน้าคลี่พัดในมือเมินกันซึ่งๆ หน้าไม่ไว้หน้าท่านอำมาตย์เซี่ยแม้แต่น้อย ท่านพ่อก็มิได้แปลกใจหรือใส่ใจกับกิริยาที่ได้รับ บุรุษชุดสีน้ำเงินทำท่าไม่อยากจะมองหน้าท่านพ่อ เขาใช้เพียงหางตามองไป แค่นี้ก็ทำหน้ารังเกียจแทบแย่
“ข้ารึอุตส่าห์ปล่อยให้เจ้าพาบุตรสาวสุดรักกลับมาด้วยได้ แค่จะทดสอบความจริงใจสักสองสามปี พอพวกเจ้าแต่งงานมีลูกแล้วพาไปคารวะขออภัยต่อบิดาแล้วจะอภัยให้แท้ๆ แต่พวกเจ้าก็ไม่โผล่หัวมาเลย บัดซบ! ข้ารึอุตส่าห์รอคอยจะได้อุ้มหลานแท้ๆ!”
「เจ้าพ่องี่เง่าคิดเช่นนี้เองหรอกรึ!? สมองท่านเอาอะไรยัดไว้ นุ่นรึ!? ด่าสาดเสียเทเสียเพียงนั้นยังมีหน้าให้ย้อนกลับไปหาอีกนะ โธ่เอ๊ย ข้านึก...ข้านึกว่า...」ท่านแม่จ้องมองท่านตาด้วยสีหน้าละเหี่ยใจสุดจะกลั้น ก่อนจะถอนหายใจส่ายหน้าไปมาคล้ายจะโล่งใจปนเศร้าสร้อย พึมพำเสียงเบาอยู่คนเดียวซึ่งข้าไม่ได้ยิน
“เหยียนจิ้งเจ้าลูกเขยไม่รักดี! ได้ยินไหมว่าข้าสั่งให้เจ้าไปถอนหมั้นให้แก่จิ้งถิงเสีย!”
“ตามที่ท่านต้องการขอรับท่านพ่อตา อันที่จริงข้าเองก็มิได้ชอบขี้หน้าอ๋องอะไรนั่นสักเท่าไรเช่นกัน”
“หือ? เช่นนั้น งั้นก็ดี! จงไปถอนหมั้นซะ อ๋องอะไรนั่นไม่คู่ควรกับหลานข้าหรอก!”
“ข้าคิดเช่นเดียวกันขอรับท่านพ่อตา”
“บ๊ะ ไม่เจอกันหลายปี เจ้าพูดง่ายขึ้นนะเหยียนจิ้ง” ท่านตานิ่งงันผิดคาดเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมรับอย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องคิดคำนวณใดๆ เขาจับจ้องอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็พยักหน้าหงึกๆ
“เมื่อก่อนเป็นเพราะผู้น้อยดื้อรั้นเกินไป ขอท่านพ่อตาอภัยให้ด้วย” ท่านพ่อเดินเข้ามาพูดคุยกับท่านตาอย่างนอบน้อม ไม่มีท่าทางแข็งขืนไม่พอใจใดๆ ที่ถูกกดขี่ ท่านตาเยว่เมิ่งเหลือบมองลูกเขยด้วยหางตาเช่นเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ออกจะพอใจมากกว่าเดิม
ท่านแม่อ้าปากเหวอตะลึงมองสามีและบิดาของนางด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าทั้งสองอยู่ๆ ก็จะมาญาติดีกันอย่างรวดเร็ว ข้าเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งในที่มาของคำว่าศัตรูของศัตรูคือมิตร!
“ถอนหมั้น? ผู้ใดจะถอนหมั้นอย่างนั้นหรือ?” ศัตรูคนที่ว่าและผู้ถูกกล่าวพาดพิงด้วยสรรพนาม ‘อ๋องอะไรนั่น’ ก็เดินออกมาจากกระโจมพร้อมๆ กับเสียงเย็นเยือกที่ดังมาก่อนตัวจะปรากฏ ข้าหันไปมองร่างเงามืดที่ค่อยๆ ปรากฏตัวเป็นชายหนุ่มร่างสูงตระหง่านไม่หวาดหวั่นสิ่งใดง่ายๆ รูปหน้าหล่อเหลาเย็นชาเปรยสายตามองไปยังพ่อตาลูกเขยที่อยู่ตรงหน้า
“อ้อ นึกว่าผู้ใดเสียอีก นี่มิใช่ท่านพ่อตากับท่านตาหรอกหรือ? เรามิได้มาต้อนรับเสียมารยาทแล้ว” ฉินอ๋องไม่มีสีหน้าตื่นตระหนกใดๆ เขาผงกศีรษะจากนั้นก็เอ่ยอย่างเยือกเย็น ข้ามองเขาอย่างแปลกใจ เจ้าแมวรู้จักท่านตาของข้าได้อย่างไร มองเพียงแวบเดียวก็รู้เลยรึ? ขนาดข้ายังต้องให้ท่านแม่บอกถึงได้กระจ่างแจ้ง นี่มัน...จะไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่รู้บ้างเลยหรืออย่างไร!?
“อะไรกัน เจ้าเป็นผู้ใด? ข้าจำมิได้ว่าเคยมีลูกหลานหน้าตาอย่างกับผีดิบแช่เย็นเช่นนี้” ท่านตาขมวดคิ้วมองฉินอ๋องแวบหนึ่งแล้วไม่สนใจ เขาโบกพัดในมือก่อนจะเอ่ยตอบอย่างไม่แยแส อือหือ! ผีดิบแช่เย็นที่หล่อเหลาอย่างยิ่งนะขอรับท่านตา! อีกอย่างนี่ตกลงท่านตาไม่รู้จักฉินอ๋องอย่างนั้นเหรอ? แล้วไอ้ที่ฟูมฟายเมื่อครู่นี้เล่า?
“ท่านพ่อตา คนผู้นี้คือฉินอ๋อง ผู้ที่หมั้นหมายกับจิ้งถิงตามพระราชโองการฮ่องเต้เหวินจิ่งขอรับ” ท่านพ่อเองก็คล้ายจะคิดเช่นเดียวกันกับข้าเอนตัวไปกระซิบบอกแก่พ่อตาของท่านเสียงเบา ท่านตาเลิกคิ้วหันขวับไปมองเจ้าแมวใหม่อีกครั้ง
“มิใช่ตาแก่ตัณหากลับหรอกรึ? อ้อ ที่แท้เป็นไอ้หนุ่มมากตัณหานี่เอง!”
ตกลงท่านตาจะยัดเยียดให้ฉินอ๋องเป็นคนตัณหาจัดให้ได้เลยใช่ไหม? คนโดนว่ายังคงยืนนิ่ง ท่านตาก็แค่นเสียงขึ้นจมูกขยับตัวเข้าไปเจรจาเกลี่ยกล่อมเชิงข่มขู่
“ไอ้หนุ่ม เจ้าก็หน้าตาพอใช้ได้ ยอมปล่อยหลานชายข้าเสียดีๆ ชีวิตจะได้ยืดยาว ตำแหน่งเจ้าก็มิใช่ย่อยจะมีชายาสักกี่คนก็ย่อมได้ หากอยากสัมผัสชีวิตสามภรรยาสี่อนุอยู่ล่ะก็จงถอนหมั้นซะ!”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือน แต่เรามิอยากสัมผัสชีวิตสามภรรยาสี่อนุอะไรนั่น ชั่วชีวิตขอเพียงได้เคียงคู่กับจิ้งถิง อย่างอื่นก็ไม่สำคัญ” ฉินอ๋องยืนฟังอยู่เงียบๆ ก่อนจะเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงยิ่งนัก
ชั่วชีวิตขอเพียงได้เคียงคู่!
ข้าสูดลมหายใจเข้าเสียงดัง ใบหน้าร้อนผ่าวเต็มไปด้วยความสุขและอิ่มเอิบ คนอื่นๆ ในเหตุการณ์ต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจ มีเพียงท่านตากับท่านพ่อที่แอบกัดฟันกรอดทั้งที่รักษามาดของตัวเองเอาไว้ครบถ้วน เจ้าแมวไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง เขามองมาที่ข้าซึ่งยังยืนหลบอยู่หลังของท่านตา พอเขามองมาข้าก็อดจะยิ้มออกมามิได้
“เจ้ามองอันใด!?” ท่านตาโบกสะบัดพัดในมือออกไปดังหวืด เกิดเป็นเสียงลมหวีดหวิว ข้าเบิกตาตกใจ ไม่คิดว่าท่านตาจะลงไม้ลงมือ เสียงคำรามดังมาจากอากาศว่างเปล่า ฉินอ๋องยกมือขึ้น เสียงกระหึ่มกระแทกเข้ากับกำแพงน้ำแข็งแตกกระจายไปทั่ว แรงลมแตกตัวพัดกระพือพวกเราที่อยู่ใกล้ถอยเซหลายก้าว นี่มันพลังอันใด!?
“หึ! ไม่เลว” ท่านตาที่หน้าบิดเบี้ยวรักษาความสุขุมไว้มิได้เหยียดยิ้มเอ่ยชมเชยอย่างไม่เต็มใจนัก ฉินอ๋องนิ่งเฉยราวกับไม่ใส่ใจคำพูดของท่านตา ท่าทางไม่ยี่หระสนใจกระตุ้นโทสะของท่านตาเข้าอย่างจัง ร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำเงินกระโจนเข้าไปโจมตีเจ้าแมวอย่างโหดเหี้ยม ข้าร้อนใจรีบหันไปมองท่านพ่อที่ยืนสบายๆ อยู่ข้างท่านแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับถูกทั้งสองตอบกลับมาเรียบๆ
“ท่านตาของเจ้าเพียงหยั่งเชิงเขาเท่านั้น มิได้จะฆ่าจริงๆ เสียหน่อย อย่าได้กังวล สมัยพ่อกับแม่ของเจ้าหนักหนากว่านี้เสียอีก”
“ตายซะไอ้เด็กเมื่อวานซืน!”
ตูม! แรงกระแทกจากฝ่ามือปะทะเข้ากับกำแพงน้ำแข็งหนาที่ฉินอ๋องงัดขึ้นมาป้องกันตัว การต่อสู้ครั้งนี้คล้ายจะเป็นการลงมือโหดอยู่ฝ่ายเดียว เพราะฉินอ๋องไม่ได้โจมตีกลับใดๆ เขาเอาแต่ป้องกันตัวเองเท่านั้น ส่วนท่านตานั้นแผดเสียงสบถด่าอย่างดุเดือด แตกต่างจากภาพลักษณ์แสนสุขุมไปหลายพันลี้ ข้าตกใจจนวิญญาณแทบหลุดลอย ท่านแม่หัวเราะหึๆ บอกว่านี่แหละตัวตนที่แท้จริงของท่านตาละ
「ตาแก่เหลวไหลที่ในหัวมีแต่เรื่องน้ำเน่า!」
การต่อสู้ของทั้งสองสร้างความวินาศแก่ค่ายทหารเป่าอี้และเรียกผู้ชมเข้ามารุมมุงดูมากมาย ข้าขมวดคิ้วยืนมองการต่อสู้ของพวกเขา ไม่รู้ว่าท่านตามีพลังวิเศษอะไร เพียงแค่ออกหมัดสะบัดพัดก็สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ดูไม่เปลืองแรงสักนิด ส่วนฉินอ๋องก็คอยสร้างปราการคุ้มครองตัว ท่าทางเบื่อหน่ายด้วยซ้ำ สีหน้าเช่นนั้นยิ่งทำให้ท่านตาโมโหหน้ามืด กระแทกกำปั้นลงพื้นดิน ทันทีที่เขาชกลงไปก็เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว พื้นดินใต้เท้าคล้ายจะสั่นสะเทือนเหมือนจะเกิดแผ่นดินไหว ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่อากาศรอบตัวและสิ่งของต่างก็สั่นสะเทือนทำท่าจะถล่มลงมา
「ท่านพ่อลืมตัวอีกแล้ว!」
ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลข้าได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาแต่ทว่าชัดเจนในหู ร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวร่อนตัวลงมาจากอากาศลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล ในมือของเขาถือคันเบ็ดเอาไว้ตวัดสายเอ็นไปเกี่ยวรัดร่างของท่านตา ท่านทวดเยว่ไฉหลางดึงร่างบุตรชายของตนมาแล้วขมวดคิ้วมุ่นท่าทางไม่พอใจอย่างยิ่ง ท่านทวดไม่สนใจสิ่งรอบข้างเขาหันไปมองฉินอ๋องที่ผงกศีรษะทักทาย
“เงื่อนไขเดิม รีบตัดสินใจ” ท่านทวดเอ่ยอะไรบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจกับฉินอ๋อง เจ้าแมวพยักหน้าขรึมๆ ให้ ท่านตาที่ถูกมัดด้วยเอ็นตกปลาตะโกนพร้อมกับพยายามดิ้น
“ปล่อยข้านะตาแก่!”
“นิสัยเด็กๆ ต้องอบรบกันยาว” พูดจบท่านทวดก็กระตุกคันเบ็ดลากบุตรชายหัวดื้อหายตัวลับไปทั้งสองคน ข้ามองเห็นทั้งสองหายตัวไปแล้วก็โมโหนิดๆ ก่อนจะไปช่วยแก้ไขสถานการณ์วุ่นวายนี้ก่อนไม่ได้หรืออย่างไร!? แผ่นดินสั่นสะท้านรุนแรงผู้คนล้มลุกคุกคลานวิ่งหนีเอาตัวรอดจนอุตลุด ข้าพยายามแหวกผู้คนตรงไปที่เจ้าแมวที่ยืนนิ่ง ถ้าเขาไม่ลืมตาอยู่ข้าคงคิดว่าเขายืนหลับเสียแล้ว
“เสวี่ย ท่านไม่เป็นไรนะ?”
“อืม” เขาพยักหน้าอ้าแขนรับตัวข้าเข้าไปกอดเอาไว้ มองไปรอบข้างอย่างใจเย็นยิ่ง ข้าที่กำลังสับสนไม่รู้จะบอกให้คิดหาทางแก้ไขหรือจะบอกให้หนีดีอยู่นั้นฉินอ๋องก็อุ้มตัวข้าขึ้นแล้วกระทืบเท้าลงพื้นดิน ฉับพลันทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นน้ำแข็งราวกับเป็นโลกน้ำแข็ง บริเวณกว้างขวางในค่ายเป่าอี้ถูกแช่แข็ง แม้แต่คนยังกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งคาอยู่กับที่ด้วยท่าทางต่างๆ นานา ข้าอ้าปากตกใจแทบร้องอุทานออกมา
เมื่อถูกแช่แข็งทุกอย่างก็หยุดลงกลายเป็นเงียบสงบ มีเพียงสีขาวโพลนของน้ำแข็งเท่านั้น ฉินอ๋องทำเสียงในลำคอ หันหลังอุ้มข้าเดินกลับเข้าไปในกระโจม พริบตาที่หันหลังพื้นที่ที่ถูกแช่แข็งก็พลันกลายเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้าเบิกตามองค้างอย่างอัศจรรย์ใจ นี่มัน...แช่แข็งชั่วพริบตา! ข้าเคยคิดว่าเขาทำได้แน่นอน และเขาก็ทำมันได้จริงๆ!
ตกลงฉินอ๋องมีพลังขั้นไหนกันแน่? ต้องมากกว่าขั้นเจ็ดแน่
นี่มัน....สุดยอดไปเลย!
“เจ้ายิ้มอันใด?”
“ดูเหมือนว่าคนรอบตัวข้าจะไม่ปกติสักคน” ข้าแสร้งบ่นออกมาเสียมิได้ ฉินอ๋องก้มมองข้าและเหมือนจะพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนที่เขาจะโฉบลงมาขโมยจูบข้าไปอย่างรวดเร็ว ข้าสะดุ้งตาลุกโพลงจ้องมองเจ้าแมวขโมยอย่างตื่นตะลึง
ชอบฉวยโอกาสเสียจริงเจ้าแมวตัวนี้!
ท่านตากับท่านพ่อตาร่วมมือกัน? เหอะ ไม่ได้อยู่ในสายตาข้า!
นี่ข้ามิได้สะใจอะไรเลยนะ! //โปรดดูสีหน้า
ตระกูลเยว่นี่ถิงถิงปกติที่สุดแล้วจริงๆ....
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ข้าไม่เคยมีลูกหลานเหมือนผีดิบแช่เย็นลั่นเลย555
อย่างท่ากระทืบเท้าแช่แข็งนี่ใช่เลยๆ
อย่างท่ากระทืบเท้าแช่แข็งนี่ใช่เลยๆ
เรือผี
ฮ่องเต้-ท่านพ่อ
ท่านปู่-ท่านตา
ออยู่ๆก็นนึกถึงเอลซ่า ????????