ตอนที่ 84 : ตอนที่ ๗๘ รับผิดชอบ
ตอนที่ ๗๘ รับผิดชอบ
‘รีบเข้านอนเสียล่ะ’
ย่อมได้ตามนั้น!
ข้าเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำเป็นเด็กดีว่าง่ายอย่างที่สุด...ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดเลยนะ ไม่มีผู้ใดเอะใจในการเข้านอนแต่หัวค่ำของข้าเพราะที่ผ่านมาข้าก็มักจะเข้านอนเร็วตลอด ชิงลู่ก้มเอวเลื่อนผ้าห่มคลุมตัวของข้าแล้วเดินไปหยิบโคมไฟเดินออกไปจากห้องนอนของข้า เมื่อประตูปิดลงทุกอย่างตกอยู่ในความมืด ข้าตัดสินใจงีบหลับเล็กน้อย ปล่อยเวลาไปหนึ่งชั่วยามก็งัวเงียตื่นขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน
ข้าค่อยๆ ลุกนั่งรวบผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากการนอน หย่อนขาลงจากเตียงแล้วเริ่มเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมาะกับการซ่อนตัว เมื่อเตรียมตัวเสร็จข้าก็เดินออกจากเรือน ฝีเท้าไม่รีบเร่งนัก ตอนที่เดินผ่านสวนด้านหลังเรือนหงเหมยก็เห็นชายแขนเสื้อสีขาวนวลแสงจันทร์หล่นคล้อยลงมาจากต้นไม้ต้นใหญ่ริมสระน้ำ ข้าถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา ตกลงท่านทวดผู้นี้ไม่มีอะไรทำนอกจากมานอนเล่นบนต้นไม้แบบนี้ อีกอย่างเขาไม่ไปหาที่นอนดีๆ นอนหรือยังไง? เฮ้อ!
นี่ข้าควรทำตัวเป็นเหลนที่ดีเชิญอีกฝ่ายไปนอนในห้องดีๆ หรือไม่นะ ข้าใคร่ครวญอยู่นานสองนานก็เดินไปถามไถ่ท่านทวดที่นอนบนต้นไม้ต้นเดิมด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าจะนอนตากหมอกตากน้ำค้างจะไม่สบาย
“ท่านทวด เข้าไปนอนในเรือนดีหรือไม่? นอนอยู่ตรงนี้เกรงว่าจะ...” ข้ายังไม่ทันได้พูดจบเสียด้วยซ้ำ นัยน์ตาที่หลับก็พลันลืมขึ้นมา ค่อยๆ ตะแคงดวงหน้ามามองข้า แววตาว่างเปล่านิ่งสงบ อ่านไม่ออกเลยว่ากำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไรอยู่ แต่ข้ากลับขนลุกซู่คล้ายถูกลมเย็นต้องกาย
“นี่ยามใดแล้ว?” ท่านทวดเยว่ไฉหลางเปิดปากอย่างเชื่องช้าเอ่ยถามข้าด้วยท่าทีนิ่งๆ แต่ข้ากลับใจเต้นระรัว กลิ่นอายน่าสะพรึงชวนให้ครั่นคร้ามแผ่ออกมาจากบุรุษชุดสีขาวนวลแสงจันทร์ ข้าเกือบจะถอยหลังวิ่งหนีขวัญกระเจิงแต่ก็ยังยั้งตัวเองได้ทัน ขยับตัวยุกยิกตอบกลับไปเสียงค่อย
“น่าจะยังยามซวี(๑๙-๒๑น)อยู่กระมัง”
“แล้วข้ากำลังทำอันใดในยามนี้”
“นอนอยู่ขอรับ”
“ใช่ เจ้าก็รู้ดีนี่ ยามนี้ควรต้องนอน แล้วเจ้ามาปลุกคนที่กำลังนอนอยู่งั้นรึ? สมควรหรือไม่?”
“มะ...ไม่ขอรับ”
“รู้แล้วยังไม่ไปอีก”
“.....” ข้าหมดคำพูดจะกล่าวออกไป ความหวังดีของข้าก็ถูกตีกระจายด้วยท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจราวกับเด็กๆ ถูกปลุกในยามเช้าตรู่ ถูกไล่ยังไม่เจ็บกว่าถูกหันหลังใส่นี่แหละ
ข้าอ้าปากพะงาบๆ นี่มันอะไรกัน!? ชอบนอนบนต้นไม้มากกว่าอย่างนั้นรึ!? ข้าเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยความมึนงง ท่านทวดผู้ความดันต่ำยามถูกปลุก ท่าทางอันตรายอย่างยิ่ง หากว่าเป็นผู้อื่นข้าเกรงว่าจะมิได้เดินจากมาอย่างปลอดโปร่งได้เช่นข้าในตอนนี้เป็นแน่ สักพักหนึ่งข้าก็ส่ายหน้าเลิกสนใจ คิดเสียว่าท่านทวดเป็นคนประหลาดก็แล้วกัน
ในตอนแรกข้าคิดจะไปยังจวนสกุลหยางเลยแต่ก็เปลี่ยนใจไปวังหย่งเฮ่าแทน เพราะมีอาณาเขตกางเอาไว้อยู่ที่วังหย่งเฮ่าอยู่แล้วข้าจึงหายตัวแวบไปโผล่ที่ห้องนอนของฉินอ๋องเพียงอึดใจเดียว ข้าคาดเดาว่าเจ้าแมวคงจะนั่งสะสางงานของเขาแต่เมื่อหันตัวไปมองยังเตียงกลับต้องแปลกใจที่เห็นเขานอนเรียบร้อยอยู่บนเตียงแล้ว
อะไรกัน ท่านอ๋องบ้างานกลับเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! ข้าถูกทำให้ตกตื่นใจเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ปกติแล้วหากไม่ถึงสิ้นยามห้าย(๒๑-๒๓น.)เจ้าแมวไม่ยอมเข้านอนแท้ๆ หรือเขาจะยังอ่อนเพลียอยู่? นั่นสิ ในคุกหลวงย่อมนอนไม่สบายตัวอยู่แล้วย่อมต้องมีอาการเหนื่อยล้าบ้าง ใช่ไม่ได้จริงๆ แทนที่จะพักดีๆ กลับแล่นไปหาข้าทันทีเช่นนั้น บางทีออกมาจากวังหลวงเขาก็วิ่งมาหาข้าเลยกระมัง
ข้าระบายยิ้มอ่อนใจให้แก่แผ่นหลังกว้างที่หันหลังนอนตะแคงของเขา
จะว่าไปแล้วการที่เขารีบร้อนตรงไปหาข้านั้นก็เป็นการแสดงอาการตื่นเต้นของเขาเป็นแน่ ข้าปิดปากไม่ให้เสียงหัวเราะหลุดออกไปรบกวนคนนอนพัก จากนั้นก็เขย่งเท้าก้าวเดินเข้าไปหาเจ้าแมวที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง จิตใจเบิกบานจนยิ้มระรื่นออกมา ข้าพยายามจรดเท้าเดินเสียงเบาชะโงกมองฉินอ๋องเพื่อแอบมองใบหน้ายามนิทรา
ทันใดนั้นคนที่นอนอยู่ก็ลืมตาพรึบ พลิกตัวมาโอบรัดเอวของข้ากระชากอย่างแรง ข้าที่ไม่ทันได้ระวังตัวถูกดึงหน้าปักลงกลางลำตัวอันแข็งแกร่ง ถูกแรงมหาศาลดึงขึ้นไปยังเตียงล้มทับคนที่ลุกขึ้นมานั่ง และรับร่างของข้าเข้าไปในอ้อมแขนอย่างพอเหมาะพอเจาะ ข้าที่ถูกอ้อมแขนอบอุ่นโอบกอดก็กะพริบตาปริบๆ เงยหน้าขึ้นไปสบดวงตาคู่งามที่ใสกระจ่าง ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนแต่อย่างใด หัวอันเชื่องช้าก็ค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราว
อุบาย!
มันเป็นอุบายของแมวเจ้าเล่ห์ แล้วเหตุใดข้าถึงได้ติดกับแผนแกล้งนอนนี้ของเขาตั้งสองครั้งสองคราเช่นนี้ ข้าไม่ทันได้คิด ยอดฝีมืออย่างท่านแม่ทัพจะไม่รู้สึกตัวได้อย่างไรว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้! ข้านี่ช่างโง่เง่ายิ่งนัก เมื่อคิดได้ว่าโดนหลอกข้าก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เจ้าแมวขยับตัวข้าพลิกมาเผชิญหน้าเขาจ้องมองข้านิ่งๆ ก่อนจะจิ้มปลายนิ้วลงกลางหน้าผากข้า เอ่ยตำหนิอย่างไม่จริงจังนัก
“มาช้ายิ่งนัก”
ข้าจ้องมองดวงหน้างดงามคมคายของเขาอย่างไม่เข้าใจ ตกใจเล็กน้อย อันใดที่บอกว่ามาช้ากัน ในตอนแรกก็มิได้ตกลงกันเสียหน่อยว่าจะมา หนำซ้ำเป็นเขาต่างหากที่บอกให้ข้าเข้านอนเร็วๆ!
“ท่านบอกให้ข้าเข้านอน...”
“ใช่แล้ว ข้าบอกเช่นนั้นแต่มิได้บอกว่าเข้านอนที่ใดมิใช่รึ? ข้านอนรอตั้งนาน” เจ้าแมวไม่ยอมให้ข้าพูดจนจบเขาแทรกขึ้นมาด้วยท่าทางตัดพ้อน่าสงสาร ข้ามองท่าทางเสแสร้งแกล้งน่าสงสารของเขาที่สวนทางคำพูดมากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ได้แต่เบิกตาค้างจ้องมองเขาอย่างโง่งม
มิได้บอกว่าเข้านอนที่ใดอย่างนั้นรึ? พูดเช่นนี้ก็ได้งั้นรึ!?
ระหว่างที่ข้ายังมึนงงกับคำพูดกลอกกลิ้งก็ถูกดันร่างลง แผ่นหลังสัมผัสผ้านวมปูเตียง ข้าก็ได้สติกลับคืนมาก็ถูกเจ้าแมวตรึงร่างไว้กับที่เสียแล้ว ข้าอึ้งไปกับความรวดเร็วไร้ที่ติของอีกฝ่าย เงยหน้ามองร่างหนาที่คร่อมอยู่ด้านบนอย่างสงสัย
“อยู่ต่อหน้าผู้อื่นข้ารู้ว่าเจ้าเขินอาย ดังนั้นข้าจึงเก็บความยินดีทั้งหลายมาแสดงต่อเจ้ายามอยู่ลำพังอย่างไรเล่า”
แสดงความยินดีอันใด!?
สัมผัสปลายนิ้วที่ลูบไล้เบาๆ ข้างแก้มนั้นทำให้ข้าร้อนวูบวาบ ริมฝีปากที่กำลังจะเปล่งประท้วงทันทีที่สบเข้ากับสายตาที่ทอดมองมาด้วยความคาดหวังก้ำกึ่งเว้าวอนพลันแข็งค้างสั่นระริก พูดอันใดออกไปมิได้แม้แต่คำเดียว ดวงหน้าหล่อเหลาที่ตราตรึงลึกลงในใจของข้าก้มลงต่ำ ข้าเผลอกลั้นลมหายใจในทันที หัวใจดวงน้อยส่งเสียงโครมครามในอกเต้นรัวแทบระเบิด ริมฝีปากได้รูปสวยค่อยๆ แย้มยิ้มแผ่วเบาแต่ทว่าชัดเจน ดวงตาของข้าพร่าพรายคล้ายถูกมอมเมา
“เจ้าเป็นของข้า” เสียงทุ้มต่ำกระซิบบอกราวกับต้องการย้ำเตือนให้ข้าจำขึ้นใจ แต่มันไม่มีประโยชน์อันใดเลย ไม่มีเลยจริงๆ ข้านั้นไม่เคยต้องจดจำว่าตนเองเป็นของเขา เพราะมันเป็นเรื่องที่ฝังลึกใต้จิตสำนึกจนกลายเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งไปแล้ว
ข้าน่ะเป็นของเขาเสมอ!
ลมหายใจอุ่นๆ รดจรดเข้ามาใกล้ นัยน์ตาหลุบต่ำลง ริมฝีปากที่ไร้จึงถ้อยคำพูดจาเผยอรอรับ ฉินอ๋องค่อยๆ จรดเรียวปากแตะคลอเคลีย เป็นจุมพิตที่อ่อนโยนประคับประคองราวกับว่าเป็นแก้วบอบบางแตกหักง่าย แม้จะแผ่วเบาเหมือนขนนกปัดป่ายแต่ความร้อนรุ่มกลับไม่เบาบาง ก่อนที่อารมณ์จะเตลิบไปไกลกว่านี้ฉินอ๋องก็ผละริมฝีปากจากไป ข้าลืมตาขึ้นมองเขาด้วยแววตาเลื่อนลอย เสียงทุ้มต่ำอันนุ่มลึกเอ่ยออกมาคล้ายต้องการถาม
“เจ้าเป็นของข้า?”
ข้ายิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินเขาเอ่ย ฝ่ามือลูบใบหน้างดงามที่หลอกลวงผู้คนของเขาอย่างนุ่มนวล ดึงใบหน้านั้นลงมาแล้วจรดริมฝีปากชิดริมฝีปากนุ่มหยุ่นของเขา กล่าวกระซิบเบาๆ
“แน่นอน มิใช่ท่านแล้วจะเป็นผู้ใดเล่า จิ้งถิงผู้นี้เป็นของท่านผู้เดียว”
“จิ้งถิง ข้า...” ดวงตาของฉินอ๋องสั่นไหว เขาคล้ายจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ข้ายังไม่ทันได้ประมวลผลก็ถูกริมฝีปากของเขารุกเร้าเสียก่อน ครั้งนี้จุมพิตมิได้อ่อนโยนบางเบา มันร้อนแรงดุดันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่รุนแรงหนักหน่วงของเขาแต่ทว่ามันกลับหวานนัก ในใจของข้าสั่นสะท้านหวั่นไหว เสียงลมหายใจที่แรงขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน
สัมผัสจากฝ่ามือร้อนและหยาบกร้านโลมเล้าไปทั่วร่างของข้า เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำดังระรัว เสียงครางผะแผ่วเล็ดลอดออกมาจากปากของข้า ความรู้สึกรุ่มร้อนถูกกระตุ้นเร้า เราสองคนเคลื่อนไหวโอบกอดซึ่งกันและกัน ร่างทั้งสองเสียดสีแนบชิดกายเข้าหากัน สุดท้ายความปรารถนาอันรุนแรงก็ถูกปลดปล่อยออกมา
ลมหายใจหอบกระเส่าหลังจากดำเนินผ่อนปรนความต้องการให้แก่กัน ข้าทิ้งตัวซบลงบนร่างอันแข็งแกร่งของเขา เงยหน้าที่แดงระเรื่อจากถูกกระตุ้นเร้ามองใบหน้าคมคายน่าหลงใหล ครั้งนี้ข้ามิได้ดื้อรั้นจะทำถึงขั้นสุดท้ายเช่นทุกที เพราะข้ารู้แล้วละว่า ‘เวลานั้น’ ของเจ้าแมวโง่งมคือยามใด เอาเถิด เขาอยากจะพิสูจน์ความจริงใจต่อข้า เช่นนี้ข้าจะขัดได้อย่างไร พูดตามตรงข้าออกจะ... พึงพอใจด้วยซ้ำ!
ข้ารู้นะ ก่อนหน้าที่เขาหยุดพูดเมื่อครู่นั้นเขากำลังจะพูดอะไร ข้าโง่งมก็จริงแต่ก็มิได้โง่จนเกินเยียวยา ข้าจะรอจนกว่าเขายอมเอ่ยคำนั้นด้วยตัวเอง ข้ารอได้ ต่อให้ต้องรอไปชั่วชีวิตข้าก็จะอยู่รอฟัง อย่างไรเสียข้าก็ตายมาแล้วหนหนึ่ง ได้มาถึงขนาดนี้ย่อมไม่ผิดต่อการตายครั้งนั้นแล้ว เรียกได้ว่าตายอย่างคุ้มค่ายิ่ง!
“เจ้ายิ้มอันใด?”
“เมื่อสุขใจจึงยิ้ม”
“สุขใจอย่างนั้นรึ? เช่นนั้นเจ้าอยากสุขกายหรือไม่?” เจ้าแมวถามข้าด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ มือของเขาค่อยๆ โอบรอบเอว ปลายนิ้วหยาบกร้านลูบไล้ลงบนบั้นท้ายเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ ข้ากะพริบตาก่อนจะส่งหมัดไปเสยคางเขาเบาๆ ขึงตาประกาศเสียงดังลั่น
“ข้าเหนื่อยแล้ว!”
“อ่า ก็นั่นแหละ ข้าถึงจะบอกว่าอาบน้ำดีหรือไม่? เปลืองแรงจนเหงื่อออกเหนียวกายเช่นนี้คงมิสบายกายนัก อาบน้ำแล้วค่อยเข้านอนจึงจะสุขกายกว่ามิใช่รึ? เจ้าคิดอันใดอยู่รึ?” ฉินอ๋องที่ถูกบอกปัดเสียงแข็งก็ทำหน้าไร้เดียงสาตอบกลับมาเหมือนไม่รู้เรื่องใดๆ ข้าอ้าปากจ้องมองคนน่าไม่อายด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ ช่างไหลลื่นนัก!
ฉินอ๋องลุกขึ้นใช้ผ้าห่มผืนใหญ่ห่อร่างของข้าแล้วอุ้มเดินลงจากเตียง ตรงไปยังถังอาบน้ำที่เตรียมน้ำเอาไว้แล้ว เขาปล่อยให้ข้ายืนรอไม่นานน้ำก็มีไอควันพวยพุ่ง พวกเราลงแช่น้ำด้วยกัน ถังไม้มีนาดใหญ่สามารถบรรจุพวกเราได้อย่างเหลือเฟือ ระหว่างผ่อนคลายไปกับน้ำอุ่นๆ ตอนนั้นเองข้าก็พลันนึกเป้าหมายที่มาที่นี่ขึ้นได้
ข้ามาเพราะเรื่ององค์รัชทายาทมิใช่รึ!? เหตุใดถึงกลับตาลปัตรเช่นนี้เล่า ถูกล่อลวงจนเคลิบเคลิ้มลืมจุดประสงค์ที่มาหมดสิ้น ให้ตายเถิดข้านี่มัน...น่านัก! เจ้าแมวร้ายกาจยิ่งนัก!
“มีอะไรรึ?” ฉินอ๋องเห็นสีหน้าของข้าที่เปลี่ยนไปก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ข้าใช้หางตามองเจ้าแมวที่ทำหน้านิ่งเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรก็อดจะหงุดหงิดในใจไม่ได้ ข้าเม้มปากก่อนจะเอ่ยดักทางอีกฝ่าย
“หึ! อย่าคิดว่าท่านทำอะไรอยู่แล้วข้าจะไม่รู้นะ”
“ก็ข้าคิดถึงเจ้า หลายวันแล้วที่มิได้สัมผัสเจ้า” เจ้าแมวค่อยๆ หลบสายตาของข้า จากนั้นเขาก็กระแอมไอ เอ่ยแก้ตัวด้วยสีหน้าจริงจังหลังจากที่ข้าเอ่ยออกไปเช่นนั้น ท่าทีร้อนตัวคล้ายถูกจับได้ว่ากำลังขโมยปลาย่างต่อหน้าต่อปลา
ข้ากะพริบตาปริบๆ งุนงง ผ่านไปอึดใจหนึ่งถึงเข้าใจว่าเขาพูดเรื่องใด มือลามกยังไต่ยุ่มย่ามตามตัว ข้าถลึงตาใส่เขา เจ้าแมวลามกนี่! ไม่รู้จักพอเลยจริงๆ! ประเดี๋ยวสิ นี่ข้ากำลังถูกเบี่ยงเบนประเด็นอยู่งั้นรึ? คราวนี้ข้าไม่หลงกลง่ายๆ หรอกนะ
“อย่าแกล้งเฉไฉ ท่านกับองค์รัชทายาทคิดจะทำอันใดกันแน่?”
“หือ? เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ฉินอ๋องยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่มีสีหน้าตกใจอะไร ราวกับว่าถูกล่วงรู้เรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องลับใดๆ ข้าผิดคาดเป็นอย่างมาก ตอนแรกคิดว่าเขาจะตกใจมากกว่านี้เสียอีก รู้สึกสูญเสียอย่างไรชอบกลจึงไม่ยอมบอกว่ารู้มาได้อย่างไร ข้ายกแขนกอดอกทำหน้ามุ่ยก่อนจะส่ายหน้า
“ความลับ!”
เรื่องอะไรจะบอกให้โง่เล่า หากบอกไม้ตายนี้ไปในอนาคตก็ไม่สะดวกจับตา เอ๊ย ไม่สะดวกต่อการรวบรวมข่าวน่ะสิ ข้าปล่อยให้เขาสงสัยต่อไป ไม่ยอมเฉลยความลับนี้ ฉินอ๋องจ้องข้าอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ พยักหน้าไม่เซ้าซี้ต่อ เขาเอนตัวพิงขอบถังไม้แล้วตอบคำถามของข้า
“เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด พรุ่งนี้เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง”
“อย่างนั้นหรือ? แต่ว่าท่านต้องระวังตัว จะไว้ใจองค์รัชทายาทมิได้” แม้จะไม่รู้คำตอบจากปากของเขาแต่ข้าก็มิได้สนใจเรื่องนี้มากเท่าไร ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าแมว แม้ว่าตั้งแต่ตงฮองเฮากลับมาเป็นปกติองค์รัชทายาทคล้ายจะสงบลงแล้วก็ตามเถิด แต่อย่างไรอสรพิษก็ยังคงเป็นอสรพิษ ใช่ว่ามันสงบลงแล้วจะไม่มีพิษภัย แม้จะร่วมมือกันก็ตามแต่อีกฝ่ายอาจจะแว้งกัดเอาได้
“ข้าจะระวังตัว ไม่ยอมให้เจ้าต้องเป็นม่ายตั้งแต่ยังไม่ได้แต่ง” ตาสีดำเข้มเป็นประกายวูบไหว ฉินอ๋องพยักหน้าเอ่ยรับจริงจัง ท่าทางมีความสุขเสียจนปกปิดไม่อยู่ ข้าเขินเล็กน้อย ไม่เห็นต้องทำท่าดีใจเสียขนาดนั้นข้าเป็นห่วงเขาย่อมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เห็นเจ้าแมวเบิกบานใจเช่นนั้นข้าก็ทำเลอะเลือนไม่ใส่ใจมือไม้ที่เริ่มเกาะแกะตามตัว
ฉินอ๋องชำเลืองมามองข้าเร็วๆ อยู่หลายรอบคล้ายจะหยั่งเชิง มือที่ตอนแรกแค่วางบนต้นขาของข้าเฉยๆ ก็เริ่มขยับลูบไล้เบาๆ ข้าทำเป็นหลับตาไม่รู้เรื่อง อีกฝ่ายก็ยิ่งเหมือนได้ใจมากขึ้น เพิ่มการรุกล้ำเข้ามาทีละนิดๆ ข้าลืมตาขึ้นมือลามกที่เพียรกินเต้าหู้ก็พลันหยุดนิ่ง ข้าหลุบตามองมือใหญ่ที่ยังคงวางแปะต้นโคนขา แล้วเงยหน้ามองดวงหน้าหล่อเหลาซึ่งยังคงเย็นชาแผ่เยือกเย็น
ข้าคว้ามือของเขาออก ฉินอ๋องที่หน้ายังคงนิ่งแต่ข้าแอบสังเกตเห็นดวงตาของเขาเผยความเสียดายออกมาชั่ววูบ ริมฝีปากของข้ากดเม้มเล็กๆ ข่มกลั้นความเขินอายในใจ ประคองมือข้างนั้นด้วยทั้งสองมือของข้า จรดริมฝีปากประทับจูบลงกลางฝ่ามือของเขา ก่อนจะเงยหน้ามองใบหน้าคมคายซึ่งกำลังจ้องมองตรงมาด้วยแววตาตกใจเล็กๆ เมื่อเรียกความสนใจจากเขาได้ข้าก็ยิ้มออกมาเคลื่อนตัวไปหาเขาไหลลื่น วางมือหนาไว้บนสะโพก เข้าไปนั่งบนตักของเขา เอนตัวอ่อนนุ่มซบเรือนร่างแข็งแกร่งที่ร้อนผะผ่าว
“หัวใจท่านเต้นแรงยิ่งนัก”
“เพราะเจ้า” ฉินอ๋องตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เขาตวัดวงแขนโอบกอดข้าไว้แน่นราวกับกลัวว่าข้าจะผละหนีจากไป ก้มหน้าลงมาพรมจูบบางเบาลงบนกลางกระหม่อม ซุกหน้าเข้ากับกลุ่มผมของข้าแล้วกระซิบเสียงแหบพร่าที่สั่นไหวเล็กๆ ข้าฟังเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงของเขาอย่างพึงพอใจ ลากฝ่ามือหยอกเย้าเรือนร่างแน่นหนับ แผ่นอกกว้างเริ่มขยับขึ้นลงมากขึ้นพร้อมๆ กับลมหายใจผ่อนถี่ ความเป็นชายของเขาดุนดันบั้นท้ายของข้า
“เสวี่ย ท่านช่าง...แข็งแรงอะไรอย่างนี้” แม้จะผ่านการปลดปล่อยมาแล้วก่อนหน้านี้แต่เจ้าแมวก็ยังคึกคักได้อย่างรวดเร็ว ข้าอดจะหยอกล้อเขามิได้ ฉินอ๋องถอนหายใจแล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอับจน
“นั่นก็เป็นเพราะเจ้า ขอถามฉินหวางเฟยว่าจะรับผิดชอบหรือไม่?”
“ขอรับผิดชอบท่านชั่วชีวิต!” ข้าหัวเราะเบาๆ ในลำคอแล้วขยับยกตัวขึ้นมาสอดเรียวแขนคล้องลำคอหนา โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เขา ประกาศเจตนาออกมาอย่างไม่อับอาย ฉินอ๋องได้ฟังก็พลันหลุดหัวเราะออกมาแบบกลั้นไม่อยู่ ข้ายิ้มพร้อมกับมองเก็บท่าทางสีหน้าแววตาตอนเขาหัวเราะเอาไว้ นานๆ ครั้งเจ้าแมวจะหัวเราะขำนี่น่า มันเป็นภาพที่ควรค่าที่จะจารึกเอาไว้เชียวนะ
ฉินอ๋องหยุดหัวเราะเงยหน้ามาสบตากับข้า ริมฝีปากของเราถูกดึงดูดเข้าหากันอย่างช้าๆ เมื่อริมฝีปากแตะต้องกันเรื่องราวอ่อนหวานเย้ายวนก็ก่อตัวขึ้น
พวกเราเสียเวลาที่ถังอาบน้ำอยู่นานพอตัว กว่าจะหลุดพ้นออกมาข้ารู้สึกเหมือนตัวจะเปลือย เฮ้อ ชักอยากจะถอนคำพูดที่ว่าจะรับผิดชอบชั่วชีวิตเสียแล้ว หากว่าเราใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกันจะมิทำให้ข้าคลานลงเตียงเลยรึ? แค่ตอนนี้ข้ายังแข้งขาสั่นอ่อนแรงจะแย่ เสร็จสิ้นกิจกรรมปลอบประโลมความต้องการ ข้ากับเจ้าแมวก็นอนตะกองกอดผล็อยหลับไปด้วยกัน
รุ่งเช้ามาเยือนอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับข่าวน่าตกใจที่พัดกระพือไปทั่วเมืองหลวง
“นายน้อย~! นายน้อยขอรับ!”
ในขณะที่ข้ายังพักฟื้นเรี่ยวแรงจากเมื่อคืน เสียงตะโกนแตกตื่นดังลั่นมาจากชิงลู่ที่วิ่งหอบแฮกๆ เข้ามาหยุดตรงหน้าของข้า ข้าสำลักขนมจนแค้นทุบอก จื่อลู่ตกใจรีบถลามาช่วยลูบหลังพร้อมทั้งขึงตาดุใส่สหาย ข้ารีบคว้าถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างว่องไว พยายามขย้อนก้อนขนมลงท้องไปอย่างยากเย็น เมื่อลำคอโล่งสบายข้าก็หายใจคล่องโบกมือให้ชิงลู่ที่พักหายใจเรียบร้อยเอ่ยรายงานข่าวคราวที่ข้าต้องการรู้
ชิงลู่ที่เห็นข้าสบายดีก็ถอนหายใจโล่งอกก่อนจะรีบรายงานสิ่งที่ไปซอกแซกแอบฟังตามร้านตลาดมา ใบหน้าน่ารักแดงเรื่อด้วยความตื่นเต้น
“จับฆาตกรสังหารต่อเนื่องได้แล้วขอรับ!”
ข้าสำลักน้ำชาพ่นปรู้ดเป็นสายอีกครั้ง โชคดีชิงลู่ยืนห่างจากข้าพอประมาณจึงไม่โดนน้ำชาปนน้ำลายของข้ารดตัว ข้าไอแคกๆ ก่อนจะเงยหน้าสงบลำคอที่คันยุกยิกแล้วตะเบ็งเสียงถาม ดวงตาข้าเบิกโพลง หัวใจเต้นแรงขึ้น
“เป็นผู้ใดกัน!?”
“ไม่ทราบขอรับ ทุกคนพูดกันว่าพ่อลูกมือปราบหลวนร่วมกันจับกุมฆาตกรได้ที่จวนสกุลหยาง ชาวบ้านพูดกันว่ามีคนร้ายร่วมมือด้วยกันสองคน จับได้ผู้หนึ่งแต่อีกคนหนึ่งหนีไปได้ขอรับ ตอนนี้กำลังเร่งค้นหาอยู่ขอรับ ได้ยินว่าคนร้ายได้รับบาดเจ็บไม่น่าจะหนีไปได้ไกล ส่วนเป้าหมายของคนร้ายในครั้งนี้คือคุณหนูหยางหงหรูหลานสาวสุดรักของท่านอำมาตย์หยาง โชคดีที่นางมิได้รับอันตรายใดๆ เพราะองค์รัชทายาทช่วยเอาไว้ได้ทันเวลา”
มิน่าเล่าตั้งแต่เช้าแล้วข้าไม่เห็นท่านพ่อเลยแม้แต่น้อย ที่แท้ก็มีเรื่องเกี่ยวกับคดีนี่เอง ท่านพ่อเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้นี่นะ อะไรกัน เกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ขึ้นแล้วเหตุใดพวกนกน้อยถึงไม่มารายงานอะไรให้ข้ารู้เลยเล่า!? ประเดี๋ยวก่อน เมื่อคืนวานข้ามิได้อยู่ที่นี่ เช่นนั้น...
“เมื่อคืนมีพวกนกกลับมาบ้างหรือไม่?” ข้าโพล่งถามออกไปคนละเรื่องกับที่ชิงลู่เอ่ยเล่าอย่างออกรสออกชาติ ทำให้หนุ่มหยกฟ้าชะงักเล็กน้อยไม่ทันได้ตั้งตัวตอบ จื่อลู่ก็เป็นผู้แถลงไขข้อสงสัยของข้า
“มีขอรับนายน้อย พวกเราเห็นมันวนเวียนอยู่หน้าต่างห้องนอนของท่านอยู่นาน เกรงว่าจะรบกวนเวลาพักผ่อนของท่านจึงนำพวกมันไปไว้ที่คอก”
“เข้าใจแล้ว” ข้าพยักหน้ารับสีหน้าราบเรียบดุจเดิม แต่ในใจนั้นกำลังร่ำไห้ ที่จวนสกุลหยางเกิดเรื่องครึกครื้นเช่นนี้ข้ากลับกำลังถูกเจ้าแมวล่อลวงเอาเปรียบ! ข้าเสียรู้อุบายชายงามของเจ้าแมวอีกแล้วงั้นรึ!? มันน่าเจ็บใจยิ่งนัก! หากข้าไม่เปลี่ยนใจไปหาฉินอ๋องป่านนี้คงได้เป็นพยานรู้เห็นงิ้วโรงใหญ่นี่แล้วเป็นแน่!
พ่อลูกสกุลหลวนไล่ล่าคนร้ายตัวปลอมสองคน ส่วนคนร้ายตัวจริงเช่นองค์รัชทายาทกลับลอยเหนือน้ำขุ่น ได้รับบทบาทเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงาม!? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับฉินอ๋องอย่างแน่นอน!
“จริงสิขอรับนายน้อย ไม่เพียงแค่เรื่องจับคนร้ายได้เท่านั้น เรื่องขององค์รัชทายาทก็กลายเป็นข่าวดังไม่แพ้กัน หนำซ้ำยังน่าสนใจกว่าเรื่องคนร้ายจิตไม่ปกติ” ชิงลู่เอ่ยขึ้นอีกรอบ ใบหน้ากลมน่ารักของเขาระบายยิ้มออกมา สีหน้าระรื่นผิดปกติ ดูท่าคนรับใช้ตัวน้อยของข้าผู้นี้จะชมชอบเรื่องซุบซิบจริงๆ ข้าเลิกคิ้วทำท่าทีสนใจฟัง หนุ่มน้อยหยกฟ้าก็ไม่รอช้ารีบเล่าข่าวซุบซิบมาแรงเรื่องล่าสุดให้พวกข้าฟัง
“ชาวบ้านชาวเมืองลือกันทั่วว่าองค์รัชทายาทลักลอบคบหากับคุณหนูหยางหงหรู ซึ่งองค์รัชทายาทก็ยืนยันว่าตนเองนั้นรักชอบคุณหนูหยางจริงๆ หากมาพบกันตามปกติสกุลหยางย่อมไม่ยินยอมให้พบเจอโดยง่าย ด้วยความที่สกุลหยางและสกุลตงเป็นปรปักษ์ต่อกัน องค์รัชทายาทจึงลอบเข้ามาพบคุณหนูหยางยามวิกาลเช่นนี้ อำมาตย์หยางบันดาลโทสะจนหน้าแดงก่ำ แม้ว่าองค์รัชทายาทและคุณหนูหยางจะยืนยันว่ามิเคยผิดได้แตะต้องตัวกันก็ตาม องค์รัชทายาทช่างเป็นสุภาพบุรุษยิ่งนัก เรื่องราวอย่างกับนิทานชาวบ้านเลยนะขอรับ ความรักระหว่างหนุ่มสาวของตระกูลที่เป็นศัตรูคู่แค้นกัน” ชิงลู่เล่าแล้วก็ทำหน้าอิ่มเอมแววตาล่องลอยในความเพ้อฝัน
มิเคยแตะต้องตัว? นี่องค์รัชทายาทกำลังทำการสลัดคุณหนูหยางทิ้งเสียมากกว่า สุภาพบุรุษอะไรกันเล่า กลิ้งเล่นบนเตียงของสาวงามแล้วมากล่าวว่ามิเคยแตะต้อง กะจะปัดความรับผิดชอบน่ะสิ ใครเชื่อก็ซื่อบื้อเต็มทน เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ขององค์รัชทายาทข้าไม่สนใจนัก แต่ที่ข้าอยากจะรู้ก็คือคนร้ายเป็นผู้ใดต่างหาก!
ข้าลุกขึ้นเดินออกไปโดยโบกมือไม่ให้ผู้ใดตามมา ข้าตรงไปยังคอกสัตว์เลี้ยงเพื่อไปรับข้อมูลที่พลาดไปเมื่อคืนวาน เมื่อมาถึงข้าก็ทำการไล่เด็กรับใช้ที่มีหน้าที่ดูแลคอกสัตว์ให้ถอยไปแล้วเข้าไปพูดคุยกับเหล่านกน้อย พวกมันเห็นข้าก็รีบตีปีกส่งเสียงรายงานเรื่องราวราวกับน้ำป่าไหลหลาก
“สรุปว่าคนร้ายคนนั้นหนีไปได้”
ฟังอยู่นานข้าก็ได้บทสรุปเรื่องราว คนร้ายที่ถูกจับได้นั้นเป็นบุรุษผู้หนึ่งดูท่าจะมีความข้องเกี่ยวกับองค์รัชทายาทอีกด้วย เพราะพวกนกบอกว่าองค์รัชทายาทเกรี้ยวกราดเมื่อเห็นโฉมหน้าเขาคนนี้ ส่วนคนร้ายที่หนีไปได้ก็คือผู้ต้องสงสัยที่ข้าเคยพบนั่นเอง สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือขั้นเจ็ดสูงสุดที่อีกครึ่งก้าวก็กลายเป็นราชันยอดยุทธ์ พ่อลูกสกุลหลวนจะรับมือกับเขาคงลำบาก ให้รับมือกับคนร้ายสองคนพร้อมกันก็คงจะหนักเอาการอยู่
แต่ข้าคนนี้รู้ตัวจริงของคนร้ายอีกคนและรู้ด้วยว่ามันไปหลบซ่อนตัวที่ไหน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกมือปราบถึงตามจับตัวมันมาไม่ได้เสียที คงยากที่จะมีผู้ใดล่วงรู้ว่ามันซ่อนตัวอยู่ในสถานที่แห่งนั้น เป็นที่ที่คาดไม่ถึงจริงๆ แม้แต่ตัวข้าเองยังนึกไม่ถึง มันแนบเนียน หากไม่เพราะเหตุบังเอิญในวันนั้นไม่แน่ว่าต่อให้ข้าขบคิดจนหัวระเบิดก็ยังไม่เอะใจ
ว่าแต่เจ้าแมวรู้ตัวคนร้ายเหมือนกันอย่างนั้นรึ? หากไม่รู้เขาจะวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนให้องค์รัชทายาทสลัดไคลพวกนั้นไปอย่างสะอาดหมดจดได้อย่างไร เจ้าแมวตัวนี้ช่างคาดเดาได้ยากจริงๆ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดน่าจะเป็นฉินอ๋องนี่แหละ!
ข้าเดินย้อนกลับมาที่เรือนด้วยท่วงท่าสงบเยือกเย็น เรียกให้ชิงลู่กับจื่อลู่มาปฏิบัติเปลี่ยนชุดให้แล้วไปเตรียมรถม้าเอาไว้ ทั้งสองมองอย่างสงสัยว่าข้ากำลังจะออกไปที่ใด ข้าจับหยกห้อยเอวแล้วเอ่ยบอกไปเสียงราบเรียบ
“ข้าจะไปวังหย่งเฮ่า”
ทันทีที่ข้าบอกไปสองหนุ่มหยกก็อมยิ้มมองมาพร้อมกัวทำสายตาเข้าอกเข้าใจ ข้าหน้าร้อนวูบ เข้าใจสายตาจับจ้องมาอย่างอบอุ่นนั้นจนอยากจะวิ่งหนีออกไป พวกเจ้าเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว! ที่ข้าไปก็เพราะเรื่องคนร้ายคดีต่อเนื่องต่างหากเล่า สองหนุ่มไม่สนใจท่าทางมือไม้เก้งก้างของข้าพวกเขาแย้มยิ้มหัวเราะเสียงสดใสแล้วดันตัวข้ากลับไปยังห้องแต่งตัว
“เช่นนั้นควรแต่งให้งดงามยิ่งกว่านี้นะขอรับ”
“นายน้อยควรบอกพวกเขาตั้งแต่เนิ่นๆ ดูสิ ต้องเสียเวลาแต่งตัวใหม่อีก”
“ไม่ต้อง...”
“ได้อย่างไรเล่านายน้อย ไปพบฉินอ๋องทั้งทีต้องงดงามจนอีกฝ่ายหลงหัวปักหัวป้ำนะขอรับ!”
“ตะ ตามใจเถอะ”
ทั้งสองหนุ่มหันมาพูดพร้อมเพรียงกันเป็นประโยคเดียวทำให้ข้าอดจะขนลุกมิได้ จึงตอบตกลงยอมตามอารมณ์พุ่งพล่านของทั้งสอง จับแต่งตัวใหม่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าปราณีตราวกับจะพระสนมแต่งองค์ทรงเครื่องไปพบฮ่องเต้ก็มิปาน ข้าถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีกอยู่ในรถม้า น่าอายเป็นที่สุด! แต่งตัวขนาดนี้เพื่อไปหาบุรุษผู้หนึ่ง ใครดูเจตนามิออกก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว ข้าอยากจะวิ่งกลับไปเปลี่ยนชุดกระชากเครื่องประดับทั้งหมดออกให้มันรู้แล้วรู้รอด
“เขาเห็นข้าแล้วจะรู้สึกยังไงกันเล่า”
「ย่อมรู้สึกยินดีที่เห็นชายาแต่งตัวงดงามไปหาน่ะสิ!」
“ท่านแม่!?” ข้าเงยหน้ามองไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วผงะตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวในชุดสีแดงดอกเหมยแย้มยิ้มกว้าง ท่านแม่หัวเราะคิกๆ ทำหน้าล้อเลียนข้าจนหน้าร้อนผ่าวไปหมด คาดว่ามันจะต้องแดงสู้กับสีชุดบนตัวของท่านแม่เป็นแน่ นางหายตัวไปตั้งแต่เช้าข้านึกว่าท่านแม่ติดตามท่านพ่อไปเสียอีก ท่านแม่ส่ายหน้าก่อนจะจ้องมองข้าพร้อมกับเอ่ยอย่างมีเลศนัย
「ข้ารู้สึกว่าความวุ่นวายทางนี้ดูจะสนุกกว่า!」
ใกล้จะเฉลยคนร้ายอีกคนแล้ว และลาสต์บอสชาติที่แล้วก็จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่ใช่องค์ชายฆ่าหมาเหรอ พูดถึงแล้วก็คิดถึง หายไปหลายตอนเชียว 555555 ท่านแม่มาต้องสนุก
ดึกแล้ว กายหยาบไม่ไหวเต็มทน
แต่เรื่องเจ้มจ้นเข้าใกล้จุดไคลแมกซ์แล้ว
เลยหยุดอ่านไม่ได้ แงงงงงง