ตอนที่ 79 : ตอนที่ ๗๔ บุกคุกหลวง
ตอนที่ ๗๔ บุกคุกหลวง
ข้านั่งครุ่นคิดค่อยๆ วางแผนการอยู่นานก่อนจะเริ่มต้นทำตามแผนที่ได้วางเอาไว้ แรกเริ่มข้าพยายามลวงเอาที่อยู่ของคุกหลวงจากสองหนุ่มหยกผู้รอบรู้ไปเสียทุกเรื่อง จากนั้นก็ทำเป็นอ่อนเพลียบอกพวกเขาว่าอยากจะเข้านอนเร็วหน่อย อาบน้ำกินข้าวทุกอย่างเรียบร้อยก็เตรียมตัวเข้านอนอย่างไม่กระโตกกระตาก
เมื่อได้ที่อยู่คุกหลวงขั้นตอนต่อไปก็แสร้งเข้านอนตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันตกดิน คนข้ารับใช้ทุกคนมองมาด้วยสายตาเป็นห่วง ข้าเพียงแย้มยิ้มนิดหน่อยกล่าวบอกพวกเขาไม่ต้องกังวลใดๆ แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยกันไม่น้อยแต่ก็ไม่มีผู้ใดซักไซ้ถามอะไรสักคำ อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้ข้าค่อนข้างทำหน้าเครียด ไม่กินข้าวกินน้ำแต่ตอนนี้กินได้เป็นปกติ ทำให้พวกเขาสบายใจมากขึ้นแม้จะสงสัยแต่ก็ไม่พูดสิ่งใดมากความ
ข้าหลับตานอนฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไปจากห้องนอน เมื่อเสียงฝีเท้านั้นหายเงียบไปข้าก็รีบลุกขึ้นสะบัดผ้าห่มออกจากตัว กระโจนลงจากเตียงสร้างอาณาเขตปกปิดตัวตน สิ่งแรกที่ข้าทำ คือ ไปหยิบอาหารร้อนๆ ในห้องครัวใส่ปิ่นโตแล้วโผทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
ข้าหลุดมาถึงสวนหลังเรือนที่มีสระน้ำเล็กๆ ตั้งใจจะปีนข้ามกำแพงออกไปนอกจวน แต่ยังไม่ทันได้สะกิดเท้าเหินตัวออกไปก็มีสิ่งปริศนาลอยหวืดผ่านหน้าข้าไปอย่างรวดเร็ว
ข้ายั้งตัวได้ทัน ตกใจจนตัวแข็งค้างกับที่ก่อนจะหันมองไปรอบๆ ตัวอย่างตื่นตระหนก อยู่ๆ ก็มีอะไรก็ไม่รู้พุ่งมาตัดหน้าข้าตกใจจนทำอะไรมิถูกไปชั่วขณะหนึ่ง แต่พอได้สติกลับมาและพิจารณาสิ่งที่ลอยพุ่งผ่านหน้าไปชัดๆ ก็ต้องขมวดคิ้วงุนงง ตรงหน้าของข้าคล้ายจะเป็นเส้นเอ็นจากคันเบ็ด? ปลายทางเส้นเอ็นอยู่ที่สระน้ำ ข้าค่อยๆ มองไล่ย้อนไปตามเส้นเอ็นก็ต้องยกคิ้วงุนงงยิ่งกว่าเดิม
นี่มันอันใดกัน? บุรุษผู้นี้คือใคร!?
บนต้นไม้ไม่ไกลจากสระน้ำนักมีร่างของบุรุษชุดขาวนวลนอนเหยียดตัวอย่างขี้เกียจ มือซ้ายถือคันเบ็ดตกปลา มือขวาวางบนลำตัว ตำราเล่มหนึ่งกางปิดหน้าไว้ ข้าทั้งงุนงงและตกใจในขณะเดียวกัน คนผู้นี้คือใครกันน่ะ เหตุใดถึงได้มานอนตกปลาบ้านผู้อื่นอย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้? ยิ่งไปกว่านั้นข้าสัมผัสถึงตัวตนของเขาไม่ได้เลย ถ้าหากไม่หันไปเห็นคงไม่รู้ตัวเลย
เจ้าไป๋หู่นั้นอารักขายังไงถึงปล่อยให้คนอื่นมาตกปลาที่บ้านข้าเช่นนี้!? แค่มาตกปลาก็แล้วไปเถิดแต่หากอีกฝ่ายเป็นศัตรูขึ้นมามันจะยุ่งยากน่ะสิ คนมานอนอยู่ทนโท่กลับไม่มีผู้ใดรู้ถึงตัวตนช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก ข้าคิดได้ก็ตัวเย็นเฉียบ ขมวดคิ้วจ้องแขกแปลกหน้าเขม็ง ลังเลใจว่าจะไปต่อหรือสะสางเรื่องนี้ก่อนค่อยไปดี
สังเกตอยู่สักพักใหญ่บุรุษคนนั้นยังคงนอนนิ่ง เห็นแบบนั้นข้าจึงถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจทำเป็นไม่สนใจ ก้มตัวหลบเอ็นตกปลาแล้วกำลังเตรียมตัวกระโดดออกไปจากจวน ทันใดนั้นเบ็ดตกปลาก็ถูกกระตุกดึงกลับขัดขวางข้าอีกครั้ง
นี่มันอันใดกัน!?
ข้าหันขวับไปมองบุรุษเจ้าของคันเบ็ด ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ หากจะบอกว่าจงใจก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะตอนนี้ข้าอยู่ในอาณาเขตปกปิดตัวตนอันสมบูรณ์แบบ และถ้าบอกว่าบังเอิญมันก็ออกจะบังเอิญร้ายกาจเกินไป! ข้าพลันระแวงตัว เพ่งมองบุรุษชุดขาวนวล เป็นผ้าที่แปลกมาก อาภรณ์ชุดนั้นเป็นสีขาวก็จริงแต่กลับทอแสงนวลราวกับเป็นพระจันทร์อีกดวง
บุรุษผู้นั้นขยับมือหยิบหนังสือจากหน้าแล้วลุกขึ้นมองเบ็ดในมือด้วยสีหน้าเฉยชา ข้าผงะตกใจกับใบหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งไม่น่าอายุเกินยี่สิบห้า ในตอนแรกข้าคาดเดาไปถึงคนผู้หนึ่งที่ท่านแม่เคยกล่าวไว้ รวมกับชุดอาภรณ์ไม่ธรรมดา แต่อีกฝ่ายกลับเป็นเพียงชายหนุ่มรุ่นเยาว์ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนผู้นั้น บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาในทันที
ผ่านไปพักใหญ่ก็ไม่เห็นเขาจะทำอย่างอื่น นอกจากเอนตัวนอนอ่านหนังสือที่ใช้ปกหน้านอนเล่มเมื่อครู่ ข้าถอนหายใจโล่ง หลงนึกว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงตัวตนได้เสียอีก แสดงว่าเมื่อครู่เป็นแค่การบังเอิญเท่านั้น ข้าเคลื่อนตัวอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง ข้ากระโดดทะยานออกจากจวนสกุลเซี่ย ออกคำสั่งอาณาเขตเหาะไปยังวังหลวงด้วยความเร็วชั่วพริบตา
อึดใจเดียวข้าก็ลักลอบเข้ามาภายในวังหลวงได้อย่างราบรื่น เพราะมีอาณาเขตปกปิดตัวตนจึงไม่ต้องกลัวที่จะถูกทหารเฝ้ายามจับตัวได้ สิ่งที่ข้ากังวลมีเพียงเหล่าองครักษ์เกราะทองยอดฝีมือระดับแปดขององค์ฮ่องเต้เท่านั้น พวกเขาล้วนรับรู้ได้ถึงจิตลมปราณในตัวของนักฝึกยุทธ์แต่ละคนได้ อาณาเขตปกปิดตัวนี้ไม่สามารถปกปิดกลิ่นอายลมปราณได้มิด ข้าเคลื่อนไหวรวดเร็วและระมัดระวังไปยังคุกหลวง
คุกหลวงอยู่ทางทิศใต้ของพระราชวังอันโออ่ามโหฬารแห่งนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าหลอกถามจากสองหนุ่มหยก ข้าตั้งหน้าตั้งตาพุ่งตรงไปยังทิศใต้เรื่อยๆ ในระหว่างนั้นก็มองไปรอบตัว แม้จะอยู่ในอาณาเขตปกปิดตัวตนแล้วแต่ข้าก็ไม่อาจจะประมาทเลินเล่อได้
“หนุ่มน้อย เจ้ากำลังไปผิดทาง”
เสียงเรียบๆ ดังขึ้นอย่างเนิบนาบ น้ำเสียงของเขาราวกับทั้งโลกไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขาต้องเร่งรีบร้อนรนใดๆ ได้ ข้าได้ยินก็พลันสะดุ้งตกใจ สมาธิถูกทำลายชั่วพริบตา ร่างพลันหยุดชะงักจนสะดุดขาตัวเองล้มกลิ้งไปกับพื้น บ้าเอ๊ย! ข้ารีบสำรวจปิ่นโตที่นำมาด้วยพอเห็นว่ามันไม่เป็นอันใดก็พ่นลมหายใจโล่งอก แล้วหันมองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดหวั่นก่อนจะสะดุดตาที่บุรุษชุดขาวนวล เขายืนอยู่ด้านข้างตั้งแต่เมื่อไรข้าก็ไม่รู้ตัวเลย เมื่อหันไปเห็นข้าก็ตกใจแทบสิ้นสติ
บุรุษในชุดขาวนวลผ่องลวดลายเมฆาเสี้ยวจันทร์ เหน็บคันเบ็ดไว้ด้านหลัง มือขวาถือตำราแนบอก ด้วยรูปร่างสูงโปร่งและดวงหน้าหล่อเหลา เขานับว่าเป็นหนุ่มรูปงามชวนตะลึงผู้หนึ่งเลยทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้ข้าตกใจนหน้าเปลี่ยนสีมิใช่รูปลักษณ์พิเศษของเขา แต่เป็นเพราะตอนนี้เขากำลังจ้องมองตรงมาที่ข้า ราวกับมองเห็นข้าได้ทั้งที่ข้าอยู่ในอาณาเขตของตัวเองอยู่แท้ๆ!
“คุกหลวงไปทางนี้” เขามิได้สนใจสีหน้าจากขาวซีดกลายเป็นเขียวของข้าเลยแม้แต่น้อย ดวงหน้าหล่อเหลาติดจะปรือตาคล้ายคนเบื่อหน่ายเล็กน้อยนั้นยังคงราบเรียบ นัยน์ตาที่เห็นเพียงครึ่งกลอกไปทางด้านซ้ายมือ เขายกมือชี้บอกทางอย่างมีน้ำใจ แต่นั้นยิ่งทำให้ข้าตกใจมากกว่าเดิม ขนทั่วตัวพร้อมใจกันลุกเกรียว!
เขาเห็นข้าจริงๆ ด้วย!
ข้ารีบคว้าปิ่นโตกระโดดถอยหลังสร้างระยะห่างจากบุรุษชุดขาว รีบสำรวจอาณาเขตที่ยังอยู่ดี ไม่ได้หายหรือเสียหายใดๆ นั้นยิ่งทำให้ข้าตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นราชันยอดยุทธ์!? ไม่สิ น่าจะมากกว่านั้น นัยน์ตาของข้าจับจ้องมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแบบไม่กล้ากะพริบ ใจเต้นระทึกไม่สงบนิ่ง เหงื่อเย็นซึมเต็มแผ่นหลัง ยอดฝีมือท่านนี้มีเป้าหมายอะไรกันแน่? เหตุใดถึงตามข้ามาเงียบๆ เช่นนี้? ที่สำคัญฝีมือของเขาจะต้องแข็งแกร่งมากเป็นแน่ เขาคือใครกัน!?
การเคลื่อนไหวพรวดเดียวของข้าทำให้เขายกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ได้ทำสิ่งใด ความเงียบงันเข้ามาแทรกกลางระหว่างพวกเรา ไม่มีใครขยับเคลื่อนไหว ข้าขมวดคิ้วเคร่งเครียด ส่วนอีกฝ่ายกลับยืนเฉยชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“ทางนั้น” บุรุษชุดขาวเอ่ยซ้ำ น้ำเสียงของเขาเบื่อหน่ายเล็กๆ ข้ายังคงยืนนิ่งเตรียมท่าพร้อมจะปะทะทุกเมื่อ ติดที่บุรุษคนนั้นไม่ได้พุ่งเข้ามาลงมือโจมตีใดๆ ตรงกันข้าม ไม่สนใจท่าทีระแวงจัดของข้า ซ้ำยังเปิดหนังสืออ่านพร้อมกับเดินไปตามทิศทางที่เพิ่งชี้นำให้แก่ข้า เขาเดินออกไปได้ระยะหนึ่งข้าถึงค่อยๆ ลดความระแวงลงกลายเป็นยืนเซ่อซ่าอยู่กับที่แทน นี่มันอะไรกันแน่? ชั่วอึดใจข้าก็ตัดสินใจเดินตามอีกฝ่ายไป จับตามองเขาอย่างไม่ไว้วางใจง่ายๆ
พวกเราเดินมาครึ่งชั่วยามก็มาถึงคุกหลวงโดยไม่ถูกผู้ใดจับได้ แถมยังไม่เห็นใครสักคนเดินผ่าน ข้าครุ่นคิดจนเหม่อลอยจนกระทั่งเกือบเอาหน้าถูกประตูคุกหลวง ข้าเงยหน้าขึ้นไปมองป้ายคุกหลวงแล้วอ้าปากน้อยๆ นิ่งงันไปราวกับถูกป้ายบนประตูขนาดใหญ่หล่นกระแทกศีรษะ ข้าหันไปมองด้านหลังเห็นบุรุษชุดขาวคนนั้นก็กระโดดผลุบหายเข้าไปข้างใน ข้าไม่รอช้ารีบกระโดดข้ามประตูทางเข้าที่ถูกปิดไปข้างในคุกหลวง
เมื่อเข้าไปได้บุรุษชุดขาวก็ไม่สนใจอันใดอีก เขาหาต้นไม้แถวนั้นแล้วกระโดดขึ้นไปเอนตัวนอนอ่านหนังสือ ข้ามองตามไปอย่างฉงนสนเท่ห์ ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ข้าไม่เคยรู้จักเขาด้วยซ้ำ เหตุใดเขาถึงช่วยนำทางมายังคุกหลวงเช่นนี้เล่า? ข้าพยายามคิดเหตุผลแต่ก็คิดไม่ออกสักข้อ
“ยังไม่รีบเข้าไปอีก เด็กๆ น่ะไม่ควรนอนดึก”
ข้าสะดุ้งเมื่อเขาเอ่ยเตือนทั้งที่ยังนอนอ่านหนังสือในมือ ข้ารีบโค้งตัวเอ่ยขอบคุณแล้วหันหน้าเดินเข้าไปในคุกหลวง หากมิได้มีเจตนาร้ายก็ถือว่าเป็นพระคุณยิ่งที่อุตส่าห์ยื่นมือมาช่วย แม้จะอยู่ในอาณาเขตข้าก็เดินย่องเท้าแผ่วเบาระมัดระวัง ผ่านพื้นที่เฝ้ายามเดินลงบันไดเข้าไปในคุกใต้ดินที่มืดสลัว มีเพียงคบเพลิงเป็นสิ่งให้แสงสว่าง
ค่อยๆ ย่างเท้าลงไปอย่างใจเย็น มองหาคุกที่ขังฉินอ๋องไว้ ระหว่างเดินลงไปนั้นข้าก็โบกมือส่งอาณาเขตไปครอบตัวนักโทษคนอื่นๆ บัญชาให้พวกมันค่อยๆ หลับไป เท้าก้าวเข้าไปข้างในเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงในสุด ข้าหยุดอยู่หน้าคุกด้านขวา ทอดมองไปข้างในห้องขังแล้วเม้มปากเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่นอนหลับพิงกำแพง
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูอ่อนล้า หนวดเคราขึ้นเขียวครึ้ม เส้นผมยุ่งเหยิงดูไม่ได้ ผอมลงอีกด้วย เห็นสภาพเช่นนี้ของเจ้าแมวข้าก็อดสะท้อนใจมิได้ ฉินอ๋องเป็นคนรักสะอาดมากผู้หนึ่ง แทบไม่มีเวลาใดที่เขาจะปล่อยให้ตนเองโทรมเช่นนี้ แม้กระทั่งยามรบฉินอ๋องยังคงสภาพเนียบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่ดูเถิด ยามนี้เพียงเพราะต้องการแต่งงานกับข้าถึงถูกละทิ้งจนดูไม่ได้ เป็นแมวโง่จริงๆ หัวกลวงนัก!
ข้าโบกมือออกคำสั่ง เดินทะลุเข้าไปในกรงขังซึ่งมีเจ้าแมวนอนหลับอยู่ อากาศในคุกค่อนข้างหนาวกว่าข้างนอกเพราะมันอยู่ใต้ดิน หนำซ้ำพื้นยังไม่มีแม้กระทั่งฟางปูให้ความอบอุ่น ข้ายกเลิกอาณาเขตที่ครอบตัวออก ยืนมองเขา แววตางุนงงและสับสนไม่เข้าใจ ไยต้องทำขนาดนี้ด้วย รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เขาต้องรู้อยู่เต็มอกว่าจะได้รับโทษจากฮ่องเต้ แล้วเหตุใดถึงได้ดันทุรังไม่เลิก ข้าทั้งโมโหและซาบซึ้งไปพร้อมๆ กันราวกับเป็นคนบ้าอารมณ์แปรปรวน
เจ้าแมวผู้เย่อหยิ่งของข้า ยามนี้กลับมอมแมมกลายเป็นแมวจรจัดไปเสียแล้ว!
ในใจของข้าสงสารระคนเอ็นดู
“มองพอหรือยัง? ข้าหิวแล้ว”
“ทะ ท่านตื่นอยู่แล้วไยต้องแสร้งหลับ!” ข้าสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆ คนนอนหลับตาพริ้มก็ลุกพรวดขึ้นมาเอ่ยเอาแต่ใจด้วยสีหน้าราบเรียบเย็นชา ถูกจับได้ว่ายืนมองอยู่ตั้งนานเช่นนี้มันทำให้ข้าขัดเขินจนต้องต่อว่าเขากลบเกลื่อน ฉินอ๋องเงยหน้าขึ้นมาชายสายตามองข้าก่อนจะตอบหน้านิ่ง
“ให้เวลาเจ้ามองข้าจนหายคิดถึงอย่างไรเล่า”
ข้าถอนหายใจหลับตาลง เม้มปากเป็นเส้นตรง ไม่อาจมองหน้าเขาตรงๆ ได้ มิใช่เขินอายแต่เป็นเพราะกลัวอดใจมิให้เขวี่ยงปิ่นโตในมือทำลายความหลงตัวเองของแมวบางตัวน่ะสิ คำพูดคำจาไร้ยางอายเพียงนี้ยังกล้าพูดออกมา หลังจากระงับอาการให้สงบลงข้าก็เดินไปวางปิ่นโตให้เขาแล้วนั่งลง มองฉินอ๋องเปิดปิ่นโตทีละชั้นๆ จากนั้นก็เริ่มลงมือกินอย่างรวดเร็ว
รอกระทั่งเจ้าแมวกินอิ่มข้าจึงเริ่มเข้าเรื่องเข้าราวไม่ชักช้ารีรอใดๆ แม้ว่าจะซาบซึ้งใจเพียงไรก็ตามแต่ก็มิอาจมองข้ามความเป็นจริง และไม่อยากให้เจ้าแมวต้องทนอยู่ในสภาพนี้อีกต่อไป แค่เขาแสดงความจริงใจเช่นนี้ก็มากเกินกว่าที่ข้าคาดหวังเอาไว้แล้ว เรื่องนั้นจะมิได้ก็ช่างมันเถิด
“ท่านอย่าได้ดื้อรั้นอีกต่อไปเลย เรื่องนี้เอาไว้...”
“อย่าได้พูดเรื่องนี้เลย ข้าตัดสินใจแล้ว”
“แต่ว่า...”
ฉินอ๋องยกมือห้ามหยุดยั้งมิให้ข้ากล่าวอันใดต่อไป ใบหน้าราบเรียบเย็นชานั้นจริงจังและดูมั่นใจเป็นอย่างมาก ข้ากะพริบตาจ้องมองเขาอยู่สักพักใหญ่ก็ถอนหายใจออกมา ท่าทางไม่ยอมจำนนนั้นทำให้ข้าต้องเป็นฝ่ายล่าถอยแทน ข้าเม้มปากไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดจึงหลบตาก้มเก็บปิ่นโต
“หวีผมให้ข้า”
“.....”
“ข้ารู้ว่าเจ้าพกหวีมาด้วย”
นายท่านที่เคารพและเอาแต่ใจของข้าเอ่ยด้วยความมั่นใจก่อนจะหมุนตัวหันหลังมาไม่รอฟังคำพูดใดๆ จากทาสอย่างข้าเลยสักนิด ข้าเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองแผ่นหลังกว้างขวางของเขาแล้วขยับคุกเข่าชิดตัวฉินอ๋อง มือล้วงเอาหวีที่ซ่อนไว้ในเสื้อ แกะมวยผมของเขาแล้วค่อยๆ ใช้หวีเขาเหมาหนิว(จามรี)สางผมเส้นเล็กอ่อนนุ่มอย่างเบามือ
ไม่นานผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงก็กลับมาเรียบร้อยเป็นระเบียบน่ามองอีกครั้ง ข้ารวบผมที่ทิ้งตัวปล่อยสยายขึ้นเกล้าแล้วรัดอย่างชำนาญ กี่ปีแล้วกันนะที่มิได้เกล้าผมให้แก่เขาเช่นนี้... ช่างเถิด ข้าไม่ควรคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว สิ่งที่ตัวฉินอ๋องในชีวิตที่แล้วกระทำลงไปมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับฉินอ๋องที่อยู่ตรงหน้าของข้า หากเอาความขุ่นเคืองในอดีตมาโยนให้ฉินอ๋องคนปัจจุบันก็แลจะไม่ยุติธรรมสักเท่าไรนัก
ข้าเก็บหวีไว้ที่เดิมแล้วขยับตัวเว้นช่องว่างออกมา ฉินอ๋องสำรวจผมของเขาก่อนจะพยักหน้าพึงพอใจ ใบหน้าทะนงตนนั้นเชิดเล็กๆ หรี่ตาลงมองมาด้วยสายตาเป็นประกาย ข้าแอบหัวเราะขำ เพียงเท่านี้ก็กลับมาเป็นเจ้าแมวหน้าหยิ่งเสียแล้ว ระหว่างพวกเราคล้ายมีความเงียบก่อตัวขึ้นขยายครอบคลุมตัว ข้าไม่พูด เขาไม่เอ่ย เนิ่นนานจนแทบหายใจมิออก ปลายนิ้วเรียวยาวก็ยื่นมาเชยคางข้านุ่มนวลบังคับให้เงยหน้าขึ้น
“จิ้งถิง เจ้าเคยเห็นข้าลงมือทำสิ่งใดโดยไม่มีแผนมาก่อนรึ?”
ข้าจ้องมองดวงหน้าเคร่งขรึมตรงหน้าอยู่เนิ่นานก่อนจะส่ายหน้า ฉินอ๋องถอนหายใจ ยกมือลูบศีรษะของข้าเบาๆ ปลอบใจพร้อมกับให้ความมั่นใจแก่ข้า แล้วค่อยๆ ลดฝ่ามือลงมาวางไว้บนไหล่ของข้า เขาจ้องเข้ามาที่ดวงตาของข้าแล้วทำการสั่งด้วยท่าทางเผด็จการ
“จงรอและเชื่อมั่นในตัวข้า เข้าใจหรือไม่?”
“....” แล้วจะทำอะไรได้เล่า? ข้าถอนหายใจแล้วพยักหน้าเสียมิได้ ถ้าหากเขาตัดสินใจแน่วแน่เพียงนี้แล้วไม่ว่าจะมีผู้ใดเอ่ยกล่อมเพียงใดก็คงมิอาจเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเจ้าแมวดื้อด้านผู้นี้ด้วย อุตส่าห์เป็นห่วงแท้ๆ ความกังวลในหลายวันมานี่ช่างสูญเปล่ายิ่งนัก!
เอาละ ถึงข้าจะบ่นไปเยอะอย่างนั้นแต่อันที่จริงแล้วค่อนข้างปลาบปลื้มไม่น้อย เสียแต่อย่างเดียวที่กำลังรบกวนจิตใจ ข้ากลัวอย่างเดียว กลัวว่าในวันข้างหน้านั้นฉินอ๋องจะเสียใจที่ตัดสินใจวู่วามในวันนี้ หากอนาคตเขา...เขาได้เปลี่ยนใจเล่า? มิใช่ว่าหนทางสู่การเป็นใหญ่จะยากลำบากยิ่งกว่าเดิมหรอกหรือ? ข้าลอบมองเจ้าแมวที่นั่งชันเข่าหลับตาพิงผนังพักผ่อน
“รู้หรือไม่ว่าหากแต่งกับข้าแล้วท่านจะหมดสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์”
“ย่อมรู้” เจ้าแมวตอบกลับเสียงราบเรียบไม่สนใจแม้แต่น้อย ข้าเม้มปากไม่เชื่อถือ แม้ตัวเขาจะไม่อยากแต่ใช่ว่าคนรอบตัวของเขาจะไม่ต้องการไปด้วย อีกอย่าง...ข้านั้น... มือที่วางอยู่บนตักค่อยๆ ขยุ้มชายแขนเสื้อแน่นก่อนจะปล่อยแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเอ่ยบางสิ่งที่อยากจะพูดให้ชัดแจ้ง
“ข้าไม่ยอม...ไม่ยอมให้ท่านแต่งอนุหรอกนะ!”
“อืม”
ข้าขมวดคิ้วหันขวับไปมองเจ้าแมวที่ยังคงหลับตาไม่นำพาใดๆ ไยเมื่อครู่ข้าถึงได้ยินเสียงตอบของเขาคล้ายกลั้นหัวเราะขบขันเช่นนั้นเล่า!? นี่ข้าจริงจังนะ มิได้เล่นปาหี่ชวนหัว!
“นั่นหมายความว่าท่านจะไม่มีทายาทสืบสกุล! แต่หากท่านอยากจะรับอนุมาตั้งครรภ์กำเนิดบุตรแล้วล่ะก็จะต้องหย่ากับข้าเสียก่อน แล้วตอนนั้นท่านจะอยากแต่งอนุหรือชายาเอกชายารอง จะมีลูกมีหลานสืบสกุลสักโหลก็จงทำให้เต็มที่ แต่อย่าคาดหวังว่าข้าจะอยู่กับท่านในตอนนั้น ท่านเข้าใจหรือไม่?”
“เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นคำว่าหย่า” ฉินอ๋องลืมตาขึ้นมา เขาขยับใบหน้าส่งสายตามาสบประสานแล้วพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักแน่นราวกับกำลังลั่นวาจาสาบาน ข้าที่พยายามเก็กหน้าจริงจังข่มขู่ก็พลันอ้าปากอย่างไม่คาดหมาย บ้าจริง ไยถึงได้ปัญญาอ่อนเออออตามเสียง่ายๆ เช่นนี้เล่า ท่าทางของเจ้าแมวดูไม่สนใจเรื่องพวกนี้จริงๆ จนกระทั่งข้ายังต้องฉงน จ้องมองเขาอย่างคนโง่งม เอ่ยถามเงอะงะทำอะไรมิถูก
“ทะ...ท่านไม่ต้องการ...สิ่งนั้นหรือ?”
เจ้าแมวจ้องมองข้าวูบหนึ่ง นัยน์ตาคมเย็นเยือกคู่นั้นพลันประกายขบขัน เขากวักมือเรียกข้าเข้าไปหา ข้าลังเลใจไม่นานก็ขยับตัวเข้าไปใกล้เขา แม้จะมิได้สื่อชัดเจนว่าหมายถึงสิ่งใดแต่ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เมื่อข้าขยับเข้าไปใกล้เจ้าแมวก็ยกมือให้สัญญาณหยุด กะพริบตามองเขาอย่างงุนงง จะพูดอันใดไยต้องลีลาท่ามากเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดจะมาได้ยินเสียหน่อย คนเหล่านั้นถูกข้าทำให้หลับสบายไปแล้ว
ฉินอ๋องไม่ได้ตอบ เขาทิ้งตัวลงนอนใช้ตักข้าต่างหมอนหนุนนอน ข้าก้มมองดวงหน้าคมคายที่หลับตาพริ้มด้วยสีหน้าพึงพอใจ พอข้าขยับขาทำการประท้วงเจ้าแมวก็ส่งเสียงขู่ดังในลำคอทันที บ่าวผู้นี้ขออภัยอย่างยิ่งที่ขยับ! ข้าตกใจจนต้องหยุดนั่งนิ่งๆ ให้นายท่านนอนอย่างสะดวก แม้ใบหน้าจะบึ้งตึงแต่ก็ยังยอมให้เจ้าแมวนอนบนตักไม่ขยับขยุกขยิกกวนใจ ข้าจ้องมองขนตายาวเป็นแพของเขา อยากจะเอานิ้วไปเขี่ยเล่นยิ่งนัก
คนนอนขยับพลิกตัวแล้วพึมพำกับตักของข้า
“เทียบกับบัลลังก์แข็งๆ นั้นข้าชอบตักนุ่มๆ ของเจ้ามากกว่า”
ข้าสะดุ้งตัวโหยงเมื่ออยู่ๆ ก็ถูกริมฝีปากร้อนผ่าวจูบบนต้นขา ส่วนที่ถูกสัมผัสนั้นร้อนวูบวาบ ทั่วร่างพลันเต้นระริกด้วยความตื่นเต้น ปลายนิ้วหยาบกร้านแตะบนสะโพกของข้าแผ่วเบาแทบไม่ทันได้รู้สึกตัว ฝ่ามือข้างนั้นลูบวนไปมา ข้าเหลือบลงไปมองก็รีบปัดมือข้างนั้นออกจากตัว ในอกยังคงดังตุบๆ ไม่หาย ข้าพ่นลมหายใจเอ่ยเสียงแข็งบอกปัดอีกฝ่าย
“เลือกที่เสียบ้าง ข้าไม่ยอมให้แมวสกปรกมานัวเนียด้วยหรอกนะ”
พูดจบข้าก็โยนศีรษะแมวที่เริ่มลามกออกจากตักแล้วตีตัวออกห่างไปอย่างรวดเร็ว คนโดนโยนทิ้งกุมมือที่ถูกปัด ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นคล้ายบูดบึ้งอยู่หลายส่วน ริมฝีปากได้รูปสวยขยับยื่นประท้วง นัยน์ตาจ้องเขม็งมาที่ข้าวาวโรจน์ชวนขนลุก ข้ากลืนน้ำลายเริ่มหวาดหวั่นจะถูกแมวกระโจนตะครุบ รีบฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหวหยิบปิ่นโตลุกขึ้น ตัดบทล่ำลาอย่างรวดเร็ว
“ข้ากลับก่อนดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว”
เจ้าแมวส่งสายตาเศร้าสร้อยมาตัดพ้อต่อว่าราวกับกำลังถูกเจ้าของทอดทิ้ง ข้าพยายามจะไม่มองท่าทางน่าสงสารของแมวมากเล่ห์ หากเผลอใจอ่อนเพียงวูบข้าต้องถูกล่อลวงให้ติดกับแน่ จุดประสงค์ที่มาที่นี่ก็เพราะอยากเห็นสภาพของเขา เห็นว่าแข็งแรงดีอยู่ก็เป็นอันหายห่วงแล้ว มิได้มาเป็นเหยื่อให้แมวหยอกเล่นยามดึกหรอกนะ
“อืม อายุแค่นี้กลับเป็นถงเซียนได้นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ได้รับโชคมากมายและยังฝึกฝนอย่างหนัก บุตรชายข้ากว่าจะก้าวถึงขั้นนี้เสียเวลาไปกว่าสี่สิบปีทีเดียว สู้กระทั่งเด็กในราชวงศ์เล็กๆ นี้ยังมิได้ เฮ้อ ช่างน่าขายหน้านัก” บุรุษชุดขาวนวลปรือตาที่ปิดไปกว่าครึ่งกวาดมองฉินอ๋องอย่างไม่ใส่ใจนัก คำพูดคำจาช่างยกตนสูงส่ง แม้กระทั่งราชวงศ์ยังไม่อยู่ในสายตา
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันนี้ทำให้ข้ากับฉินอ๋องตกใจจนสะดุ้งเฮือก โดยเฉพาะฉินอ๋องที่รีบถอยห่างหันไปจ้องมองบุรุษในชุดสีขาวนวลเขม็งเคร่งเครียด ข้ามองบุรุษแปลกประหลาดผู้นั้นด้วยความสงสัยอย่างมาก ทั้งข้าและฉินอ๋องไม่อาจรู้ถึงตัวตนของเขาได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า ช่างน่าตื่นตกใจอะไรเช่นนี้!
ฉินอ๋องเหงื่อแตกพลั่กๆ ขณะที่ถูกบุรุษชุดขาวนวลจับจ้องด้วยดวงตาปรือไปกว่าครึ่ง เขากัดฟันกรอดราวกับดิ้นรนสู้กับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ฉินอ๋องกัดฟันกรอดเข่าข้างหนึ่งกำลังทรุดลง ลมหายใจหอบหนัก ขณะที่อีกฝ่ายเพียงจ้องมองเงียบๆ ข้ามองอย่างงุนงงไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น และตกใจกับสภาพย่ำแย่ของฉินอ๋องราวกับถูกโจมตีอย่างหนัก ข้าขยับตัวเข้าไปดูอาการของเจ้าแมว ฉินอ๋องกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงลอดฟันอย่างยากลำบาก
“ผู้อาวุโส ข้ากับท่านไม่มีเรื่องขุ่นเคืองใดๆ โปรดยั้งมือด้วย!”
“ดึกแล้วรีบกลับเสีย เด็กไม่ควรนอนดึก” เมื่อบุรุษผู้นั้นหันมาเอ่ยเรียบๆ กับข้า ฉับพลันฉินอ๋องก็ผงะเซซัดถอยไปพิงกับผนังอย่างอ่อนล้า เขาหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ใบหน้าซีดเผือด หัวคิ้วขมวดมุ่น สีหน้าข่มกลั้นความเจ็บปวด นัยน์ตาคมแดงก่ำราวกับเลือดคั่ง พริบตานั้นฉินอ๋องกระอักเลือดออกมามิหยุด
ข้ารีบพุ่งเข้าไปหาเขาเอ่ยถามอย่างร้อนใจ พอแตะตัวของเขาก็พลันต้องสะบัดมือหนี ตัวของฉินอ๋องมันร้อนราวกับเป็นกองเพลิง ข้าเงยหน้ามองเขาแววตาสะท้อนความเป็นห่วงและร้อน เสียงลมหายใจของเขาสับสน ลมปราณภายในตัวปั่นป่วนจนต้องกัดฟันกลั้น
“ออกมา”
ข้าหันไปมองบุรุษชุดขาวที่ยืนนิ่งอยู่นอกห้องขังอย่างไม่เข้าใจ เขาเอ่ยพลางจ้องมายังข้า ฉินอ๋องที่บาดเจ็บหนักพยายามทรงตัวขยับร่างเอาตัวมาบังข้าเอาไว้ ดวงตาคมกริบจ้องมองไปยังคนที่ยืนอยู่นอกกรงขังเขม็ง อีกฝ่ายมองท่าทางพยายามของฉินอ๋องด้วยนัยน์ตาปรือไปกึ่งหนึ่งก่อนจะเอ่ยเตือนราบเรียบ ไม่ใส่ใจท่าทางไม่ยินดีของฉินอ๋อง
“จงนั่งลงปรับลมปราณเสียจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นจากดีจะกลายเป็นตายแทน”
“กลับได้แล้วไว่เจิงซุนจึ” เมื่อพูดกับฉินอ๋องจบเขาก็หันมาพยักหน้าให้แก่ข้า ข้าอ้าปากเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำที่อีกฝ่ายเรียกขาน
ไว่เจิงซุนจึ!?
ตอนแรกข้าคาดเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นท่านตาผู้นั้น แต่คำเรียกของเขาราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางตัว ข้ายืนทึ่มทื่ออยู่ค่อนวันถึงสะดุ้งตื่น รีบจับมือของเจ้าแมวห้ามและกระซิบบอกเขา จากนั้นก็เดินออกไปจากห้องขัง
ข้าหันไปมองฉินอ๋องที่นั่งลงปรับลมปราณที่พุ่งพล่านในตัวแล้วถอนหายใจ รีบเดินตามบุรุษชุดขาวที่หันตัวเดินออกไปก่อนแล้ว ปลดอาณาเขตทุกอย่างในคุกหลวง สร้างอาณาเขตปกปิดตัวตนที่ตัวเอง เหาะเหินขึ้นไปในอากาศตามติดคนด้านหน้า ข้าจ้องมองเขาทั้งอึ้งทั้งทึ่งและไม่อยากจะเชื่อไปพร้อมๆ กัน อย่างไรข้าก็ยังเชื่อไม่ลงอยู่ดี จนกระทั่งมาถึงจวนสกุลเซี่ยระหว่างทางไม่มีผู้ใดพบเห็นเลยสักคนราวกับพวกเรากำลังเดินอยู่ในทุ่งร้างไร้ผู้คน
“เอาละ จงเข้านอนเสีย” บุรุษชุดขาวนวลเดินมาส่งถึงหน้าเรือน ข้ายังไม่ขยับตัวเดินไปไหน ยืนจ้องมองคนตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่รู้สึกถึงพลังใดๆ บนตัวของอีกฝ่าย เขาเดินเฉยๆ ไม่มีอะไรคุ้มกันแต่กลับไม่มีผู้ใดเห็นตัวของเขา! ขนาดไป๋หู่ที่นอนบนหลังคาเฝ้ายามยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่สักนิด ข้าจ้องใบหน้าหล่อเหลาอ่อนเยาว์ของเขา หากสายตาของข้าเป็นมีดใบหน้านั้นคงจะพรุนเป็นรูนับไม่ถ้วนแล้ว ข้าอ้าปากพะงาบๆ สติกระเจิดกระเจิงจนหาเสียงมิเจอแล้ว!
“ท่าน...ท่าน...ท่านคือทวดเยว่ไฉหลาง?”
“อืม” บุรุษชุดขาวนวลพยักหน้ารับเรียบๆ
เยว่ไฉหลาง
ไว่เจิงซุนจึ = เหลนชาย
โฮะๆๆๆ อย่าได้ถามถึงท่านตา ท่านทวดหน้าเบบี้เฟซมาเองเลย!
บอสใหญ่ของตระกูลเยว่ออกโรงแบบเซอร์ไพรส์!
แค่ยืนมองเฉยๆ ก็ทำให้ฉินอ๋องกระอักเลือด เทพขนาดไหนคิดดู!
ตกใจ ตกใจละซี!!!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พลังของท่านทวดต้องแข็งแกร่งขนาดไหนถึงขนาดยืนเฉยๆแต่พี่ฉินอ๋องทรุดไปขนาดนั้น
ท่านทวดคือลาสบอสสินะคะ ฮุๆๆ มองเฉยๆก็ทำเอาเจ้าแมวกระอักเลือด เทพที่แท้