ตอนที่ 76 : ตอนที่ ๗๒ วันงาน
ตอนที่ ๗๒ วันงาน
กว่าฉินอ๋องจะมาส่งข้าที่ห้องเกือบจะถูกท่านพ่อที่อยู่ๆ ก็แวะมาหายามดึกจับได้ว่าออกไปข้างนอกมา เล่นเอาข้าใจหายใจคว่ำหมด โชคดีที่มาถึงห้องก่อนที่ท่านพ่อจะมาไม่งั้นถูกทำโทษ และเจ้าแมวถูกท่านพ่อเขม่นมากกว่าเดิมอีกเป็นแน่ ท่านพ่อชวนคุยเรื่อยเปื่อยพลางเดินไปรอบๆ ห้องคล้ายมาตรวจตราหาสิ่งผิดปกติ พอไม่เห็นก็บอกให้ข้ารีบเข้านอนเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ ข้าพยักหน้าทำตามคำสั่งของบิดาอย่างว่าง่าย
รุ่งเช้าข้าตื่นขึ้นตามเวลาปกติ ไม่เช้าเกินไปไม่สายเกินไป พวกจื่อลู่เปิดประตูเข้ามาเมื่อข้าส่งเสียงอนุญาตไป พวกเขาช่วยกันปรนนิบัติข้าเป็นอย่างดี หลังจากถูกฉุกลากออกมาจากเตียงก็ถูกพามานั่งที่โต๊ะกินข้าว ข้ามองดูอาหารเช้าเพียงแวบหนึ่งแล้วลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
“วันนี้นายน้อยอารมณ์ดีแต่เช้าเลยนะขอรับ” ชิงลู่เอียงหน้ายิ้มกว้างพูดทักขึ้นมาระหว่างที่ข้ากำลังกินข้าว ข้าหยุดมือเล็กน้อยก่อนจะขยับเคลื่อนไหวตามปกติ ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้มอยู่เหมือนเดิม ข้าไม่ได้พูดอันใดตอบกลับแต่ในใจก็อดคิดมิได้ว่าสีหน้าของข้ามันออกอารมณ์มากจนคนรอบข้างสังเกตเห็นได้เพียงนี้เลยอย่างนั้นหรือ?
นี่คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนแน่ๆ ตอนที่ท่านพ่อบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงวันครบรอบวันเกิดให้นั้นข้ารู้สึกรอคอยวันนี้อยู่เล็กน้อย แต่พอเจ้าแมวบอกว่าจะพิสูจน์ความจริงใจต่อข้ามันทำให้ตื่นเต้นและอารมณ์ดีอย่างยิ่ง คาดเดาไปต่างๆ นานาว่าฉินอ๋องคิดจะทำสิ่งใดในวันนี้กันแน่นะ พิสูจน์ความจริงใจอย่างนั้นรึ? ปกติแล้วเรื่องเช่นนี้คนทั่วไปเขาทำเช่นไรรึ? เพราะเรื่องนี้จึงทำให้ข้าอดที่จะตื่นเต้นมิได้
กินข้าวเสร็จข้าก็เตรียมตัวไปอาบน้ำแร่แช่น้ำนมอบน้ำหอมเตรียมพร้อมต้อนรับแขกเหรื่อที่จะมาในงานวันนี้ ที่จวนสกุลเซี่ยประดับตกแต่งด้วยโคมแดงมงคล วันเกิดของข้านั้นตรงกับวันลอยโคมพอดีจึงค่อนข้างที่จะสะดวกในการจัดตกแต่งจวน ได้จัดสองงานพร้อมกันมิต้องเปลืองค่าใช้จ่ายให้มาก ในช่วงเช้านั้นข้าจะต้องไปไหว้ทำความเคารพบิดามารดา ตามด้วยทำความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ของตระกูลซึ่งได้แก่ท่านปู่ท่านย่า
หลังจากแต่งตัวเตรียมพร้อมเสร็จข้าก็เคลื่อนขบวนไปทำความเคารพบิดาก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าวังหลวง อันที่จริงแล้ววันนี้ท่านพ่อขอลาหยุดแต่ฮ่องเต้กลับประท้วงไม่ยินยอม พระองค์ต่อรองจนกระทั่งท่านพ่อยอมไปทำงานครึ่งวัน ข้าได้ยินเรื่องนี้ก็อดจะกลอกตาขึ้นฟ้ามิได้ พระบิดาของฉินอ๋องช่าง...ไร้คำจะบรรยายจริงๆ!
เมื่อทำความเคารพได้รับคำอวยพรจากบิดาเรียบร้อย ข้าก็ไปที่ศาลบรรพบุรุษเพื่อเซ่นไหว้และบูชาป้ายวิญญาณของท่านแม่ ตามด้วยไปทำความเคารพท่านปู่ท่านย่าตามพิธี ทั้งสองยอมออกมารับการเคารพจากข้า แม้ว่าใบหน้าจะดูไม่ยินดียินร้ายนักแต่ข้าก็มิได้ใส่ใจ เมื่อทำความเคารพทั้งสองเสร็จข้าก็กลับมาไปยังบ้านของเหล่าคุณลุง
ในตอนที่เข้าไปทำความเคารพท่านลุงใหญ่เซี่ยเหยียนจินที่เพียงเหลือบมองข้าแบบเลยผ่านไม่ใส่ใจ ข้าก็มิได้เก็บมันมาใส่ใจนัก หากเขาทำตัวดีๆ จะปล่อยให้เสพสุขจากทรัพย์สินเงินทองสกุลเซี่ยต่อไปก็ได้ แต่หากว่าเขาเริ่มสร้างเรื่องให้ผู้อื่นเดือดร้อนมันก็เลี่ยงมิได้ที่จะกำจัดเขาไปก่อนที่ทุกคนในจวนจะได้รับความเสียหาย
ตอนที่ออกมาจากเรือนของลุงใหญ่ข้าเปรยหางตาไปมองลูกพี่ลูกน้องที่ปั้นหน้าบึ้งตึงมาให้ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผลผลิตจากลุงใหญ่เซี่ยเหยียนจินผู้ขยันขันแข็งในการขยายครอบครัว มากมายเสียจนบางวูบความคิดข้าก็อยากจะใช้อาณาเขตเยว่ตี้สั่งทำหมันลุงใหญ่ผู้นี้เหลือเกิน เฮ้อ ทรัพย์สินทั้งหมดถูกผลาญเพราะคนพวกนี้เสียส่วนใหญ่ หนำซ้ำยังไม่ละลายใจ ใช้จ่ายกันสุรุ่ยสุร่ายนัก ด้วยความรักเงินรักทองของข้าคิดแล้วมันก็ปวดใจหนึบๆ
“หึ! อย่าได้ใจไปหน่อยเลย สวะก็เป็นสวะอยู่วันยันค่ำ!”
“นายน้อย” พวกชิงลู่ได้ยินถ้อยคำไม่ระรื่นหูก็รู้สึกโกรธเคืองแทนข้า พวกเขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ข้าหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้ามิได้กล่าวอะไรตอบไป มองอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กน้อยที่ดีนะส่งเสียงดังระคายหูเท่านั้น เด็กพวกนี้มิควรค่าให้ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าข้าไม่รู้สึกรู้สาอันใดพวกจื่อลู่ก็ถอนหายใจเดินตามหลังมากันเงียบๆ
หลังจากนั้นข้าก็ไปเยี่ยมเยียนท่านลุงสามและเลี่ยงรุ่ย พูดคุยกับท่านลุงสามที่นานๆ ครั้งจะกลับมาอยู่ที่จวน ครั้งนี้อุตส่าห์เดินทางกลับมาเพื่อร่วมงานเลี้ยงวันครบรอบวันเกิดของข้า คุยไปได้สักหน่อยข้าก็ถูกเลี่ยงรุ่ยลากไปซักฟอกความจริงระหว่างข้ากับฉินอ๋อง เขาซักถามไม่หยุด ถามจนข้าเริ่มอึดอัดขัดเขิน เรื่องส่วนตัวขนาดนี้ยังกล้าถามออกมา! ข้าทำตาคว่ำใส่เขาแล้วรีบสะบัดตัวเดินหนีออกมา
กลับมาถึงเรือนก็ได้เวลามื้อกลางวันพอดี ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ สิ่งแรกที่ทำคือถอดชุดหลายชั้นบนตัวออก แม้อากาศจะค่อนข้างเย็นแต่พอสวมใส่ชุดเป็นทางการพวกนี้แล้วเดินไปเดินมามันก็ร้อนเหงื่อไหลชุ่มได้เช่นกัน ถอดออกไปข้าพลันโล่งตัวเย็นขึ้นมาในทันที
จากนั้นข้าก็ไปนั่งกินข้าวมื้อเที่ยงโดยมีท่านแม่ร่วมโต๊ะ วันนี้ท่านแม่ก็มิได้เข้าวังไปหาเรื่องกลั้นแกล้งฮ่องเต้เช่นทุกที ปกติยามที่ท่านพ่อเข้าวังนางไม่เคยพลาดที่จะไปกลั้นแกล้งบุรุษผู้นั่งเหนือบัลลังก์มังกรผู้นั้น นางกล่าวว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดของข้าดังนั้นจึงอยากจะอยู่กับบุตรชายในวันสำคัญเช่นนี้ ข้าก็มิได้ขัดอันใด ดีใจด้วยซ้ำ
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นใบหน้างดงามของท่านแม่ก็พลันตื่นตกใจ นางผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้หันไปมองด้านอย่างอย่างระแวงระวัง ข้าถูกท่าทางตึงเครียดของมารดากระตุ้นให้ตื่นตัว ปล่อยกระแสลมปราณไปรอบตัวตรวจสอบสิ่งผิดปกติ ก่อนที่จะขมวดคิ้วงุนงงเพราะไม่มีสิ่งใดผิดแผกไปแม้แต่น้อย ข้าหันไปมองมารดาที่ยังคงยืนทำหน้าเข้มขึง
“ท่านแม่...”
“ถิงเอ๋อร์ เมื่อครู่แม่จับสัมผัสลมปราณของท่านตาของเจ้าได้ แต่เพียงแค่เสี้ยวลมหายใจมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ช่างเถิด บางทีแม่อาจจะคิดไปเองกระมัง” ท่านแม่ค่อยๆ นั่งลงที่เดิม จากนั้นนางก็หันมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ข้ายกเลิกเล็กน้อยมิได้ออกอาการมากนัก เพราะเกรงว่าคนรับใช้ที่ยืนรายล้อมจะตกใจไปด้วย ข้าพูดคุยกับท่านแม่ผ่านทางจิต
“ท่านตาน่ะหรือขอรับ?”
“อืม แต่มันเพียงเสี้ยวอึดใจ แม่เองก็ไม่แน่ใจนัก สัมผัสได้เพียงแวบหนึ่งจากนั้นก็ไม่พบสิ่งใดอีก จิตลมปราณมิใช่จะซุกซ่อนกันง่ายๆ”
ข้าพยักหน้านิดๆ เข้าใจสิ่งที่มารดากล่าว เพราะมันเป็นบทเรียนที่นางเพิ่งสั่งสอนข้าครั้นที่เห็นว่าพลังของข้านั้นใกล้จะขึ้นขั้นเจ็ดเต็มที นางสอนการใช้ลมปราณออกมาจากภายนอกตัว ซึ่งมันมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ใช้ต่างอาวุธหรือการตรวจสอบสิ่งผิดปกติรอบตัว
และยังได้กล่าวถึงจิตลมปราณ ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนจะมีจิตลมปราณอยู่ในตัว แต่ละคนมีจิตลมปราณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีเพียงราชันยอดยุทธ์เท่านั้นที่จะรับรู้จิตลมปราณนี้ได้ นั่นทำให้ราชันยอดยุทธ์รับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตที่เข้าใกล้พวกเขาได้ในชั่วพริบตา แม้ว่าจะปกปิดลมหายใจหรือกลิ่นอายจนหมดสิ้นอย่างไรแล้วก็ตาม
อย่างเช่นข้าเมื่ออยู่ใต้อาณาเขตเยว่ตี้ที่มีคำสั่งปกปิดตัวตนอันสมบูรณ์แบบ มีเพียงราชันยอดยุทธ์ขึ้นไปเท่านั้นที่จะรับรู้ถึงตัวตนของข้าได้ เพราะพวกเขาสัมผัสจิตลมปราณได้นั่นเอง และการที่จะปกปิดจิตลมปราณได้นั้นเป็นเรื่องยากที่แม้แต่ราชันจ้าวยุทธ์ยังไม่สามารถทำได้ มีเพียงจักรพรรดิราชันจ้าวยุทธ์ในตำนานที่สามารถหลบซ่อนจิตลมปราณของตนเองได้
“ท่านแม่ บางทีท่านตาอาจจะ...”
ขั้นสิบ จักรพรรดิราชันจ้าวยุทธ์!
ท่านแม่ทำหน้าสับสนก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางก้มหน้าคล้ายจะรู้สึกผิด
“เป็นไปมิได้ แม่เพิ่งได้ยินข่าวมาว่าท่านตาของเจ้าล้มป่วยด้วยโรคทางใจ ความเจ็บปวดขมขื่นใจสะสมจนกลายเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไม่อาจทะลวงพลังขึ้นไปอีกขั้นมาตั้งนานแล้ว”
ข้าเงียบไปในทันที ดูจากท่าทางหลุกหลิกของมารดา ข้าคาดเดาว่านางจะต้องคิดว่าตนเองเป็นสาเหตุทำให้บิดาป่วยเป็นแน่ นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางกลุ้มใจจนต้องใช้สุราดับทุกข์
“ท่านแม่อย่าคิดมากเลยขอรับ อีกไม่นานท่านตาก็จะมาที่นี่แล้ว”
“อืม วันนี้เป็นวันที่น่ายินดีของเจ้า ไม่สิ วันที่น่ายินดีของแม่ต่างหาก เพราะมันเป็นวันที่ลูกรักของข้ากำเนิดขึ้นมาอย่างไรเล่า” ท่านแม่มองข้าก่อนจะระบายยิ้มออกมา นางถอดหายใจยาวเหยียดปรับอารมณ์มาสดใสเช่นเดิม เอื้อมมือมาหมายจะจับตัวข้า ทว่ามันกลับทะลุผ่านข้าเย็นเยือกในทันที
เมื่อปัดเป่าบรรยากาศไม่รื่นเริงนั้นไปได้ พวกเราก็กลับมาพูดคุยกันด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มสดใส หลังจากกินอาหารเรียบร้อยข้าก็ลุกไปเดินทอดน่องย่อยอาหารในกระเพาะ ความเงียบสงบในสวนถูกอีกาดำจอมจ้อทำลายหมดสิ้น อู้หย่ากระโดดพรวดพราดเข้ามาเล่นเอาชิงลู่กรีดร้องตกใจออกมา เจ้ากาดำหน้ามึนไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย ซ้ำยังหัวเราะขบขันให้แก่หนุ่มหยกฟ้าอย่างชอบอกชอบใจอีกต่างหาก ผลที่ได้รับคือสายตาค้อนขวับของหนุ่มน้อยหน้าใสนั่นเอง
“อู้หย่า” ข้าเอ่ยห้ามปรามอีกาดำเสียงจริงจัง อีกฝ่ายก็พลันสงบสีหน้าหันมาโค้งเคารพข้าผู้เป็นเจ้านายอย่างเป็นงานเป็นการ ข้าโบกมือให้คนติดตามรับใช้ที่เดินตามหลังถอยออกไป ชิงลู่ก้มตัวแล้วพาเด็กรับใช้เดินออกไปอย่างรู้กาลเทศะ เมื่อเหลือเพียงข้ากับอู้หย่าตามลำพังข้าก็พยักหน้าให้เขาเริ่มรายการความคืบหน้าที่ไปจับตามองคนๆ นั้น
ข้าฟังแล้วตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่ชั่วใหญ่ ก่อนจะให้อู้หย่าไปเฝ้าระวังอยู่ที่จวนสกุลหยางแทน ข้าคิดว่าคนร้ายจะต้องลงมือในวันนี้อย่างแน่นอน วันนี้เป็นวันเทศกาลโคมไฟที่ผู้คนจะออกมาจากบ้านเพื่อเข้าร่วมชมเทศกาลรื่นเริง ระหว่างนี้ความคิดหรือการระวังตัวก็จะลดหย่อนลงโดยไม่รู้ตัว เป็นช่วงที่เหมาะสำหรับการลงมือยิ่ง
ลับร่างอู้หย่าข้าก็พลันรู้สึกถึงสายตาของใครบางคนจับจ้อง แต่พอหันไปมองรอบๆ หรือพยายามใช้กระแสลมปราณตรวจสอบเพียงใดก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ข้างุนงงไม่เข้าใจ หรือว่าจะคิดมากไปเองกันนะ ข้าหันตัวเดินกลับไปยังเรือน เอ้อระเหยอยู่หน้าลานเล็กน้อยก่อนจะถูกจื่อลู่และชิงลู่จับตัวไปยังห้องอาบน้ำ
ข้าถูกทั้งสองหนุ่มขัดถูทานั่นนี่บำรุงมากมายจนรู้สึกราวกับว่าร่างจะเปื่อยไหลไปกับน้ำในถัง พอผ่านขั้นตอนอบน้ำหอมอาบน้ำโรยกลีบบุปผาหอมเสร็จก็มาเผชิญด่านนวดน้ำมันหอมต่อ ข้าอดจะโอดครวญมิได้ ทั้งสองหนุ่มทำหน้าเคร่งขรึมเอ่ยคล้ายจะเตือนสติที่ทำให้ข้านั้นหน้าแดงไปหมด
“นายน้อยต้องอดทนนะขอรับ หากจะมัดใจท่านอ๋องจะต้องบำรุงผิวพรรณและรูปร่างให้มากๆ ผิวต้องขาวใสผุดผ่องนวลเนียนเรียบรื่นดุจผ้าไหมกำมะหยี กลิ่นกายก็ต้องหอมหวนตราตรึงหัวใจยามได้ดอมดมก็ชื่นอุราทุกครา หากร่วมกับรูปโฉมของนายน้อยที่งดงามเป็นหนึ่งแล้วละก็ย่อมต้องทำให้ท่านอ๋องหลงใหลจนไม่เหลียวแลผู้ใดอีก”
ข้าคร้านจะเอ่ยแก้อันใดทำเพียงรับฟังเงียบๆ ในหัวครุ่นคิดอย่างจริงจัง เหตุใดคนรอบข้างข้าถึงได้จริงจังกับความสวยความงามกันนักนะ ตั้งแต่เสี่ยวชีนี่ยังแพร่กระจายมาถึงสองหนุ่มหยก เฮ้อ หนีไม่พ้นจากเรื่องพรรค์นี้ได้เลยจริงๆ หลังจากผ่านพิธีกรรมอันยุ่งยากแสนลำบากมาข้าก็ถูกจับแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดหลายชั้นอีกครั้ง จากนั้นก็ทำผมรวบมัดเพียงครึ่งศีรษะม้วนเป็นจุดเพื่อสวมใส่ที่ครอบศีรษะ อีกครึ่งสางแล้วปล่อยให้ยาวสลวยตามธรรมชาติ
เวลาการแต่งตัวในครั้งนี้ยาวนานเป็นชั่วยาม ในตอนที่ข้าเดินย่างออกมาจากข้างในห้องมายังห้องโถงก็เห็นเลี่ยงรุ่ยนั่งจิบน้ำชารออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นข้าเดินออกไปเขาก็วางถ้วยน้ำชาเงยหน้ามองสำรวจข้าแล้วทำสีหน้าพึงพอใจอย่างยิ่งยวด ลูกพี่ลูกน้องจอมกะล่อนของข้าลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเอ่ยชมเชยด้วยดวงตาวิบวับดูเจ้าชู้ยิ่ง
“ไม่เลวๆ พอแต่งตัวแล้วเจ้าก็ดูงดงามยิ่ง ทำเอาข้าตะลึงไปวูบหนึ่งเชียว”
“สายตาเจ้าทำให้ข้าขนลุกยิ่งนัก” ข้ามองคนที่พยายามจะใช้มือมาลามลวนอย่างเย็นชา ปัดมือของอีกฝ่ายไปทันที เลี่ยงรุ่ยมองมือที่ถูกปัดแวบหนึ่ง เขาไม่โมโหใดๆ กลับหัวเราะหึๆ เอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง
“โธ่ ใช่ซี ข้ามิใช่ฉินอ๋องนี่นะ หากเป็นฉินอ๋องเจ้าคงอ่อนระทวยเลยงั้นสิ”
ข้าอดใจยกมือขึ้นเฉาะหน้าอันชวนหงุดหงิดนั้นมิได้ เลี่ยงรุ่ยจับสันมือที่เกือบจะฟาดลงมาบนสันจมูกของเขา ก่อนจะรีบร้อนถอยหลังออกไปยืนในระยะปลอดภัย ข้ากลอกตาเอือมระอา เลี่ยงรุ่ยโค้งตัวผายมือออกไปข้างตัวก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสนสุภาพนอบน้อม
“เชิญขอรับคุณชาย”
ข้าหัวเราะรับเบาๆ แล้วส่ายหน้าก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปพร้อมกับคนเชิญ พวกเราเดินเคียงข้างไปถึงห้องโถงใหญ่ที่เรือนหลักซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันนี้ ข้ามองไปรอบห้องโถงกว้างขวางที่ตกแต่งด้วยดอกไม้และผ้าสวยงามแปลกตา รอบบริเวณมีโต๊ะชุดที่ตั้งเรียงรายรอคอยแขกเข้ามาประจำที่ ตรงกลางยกสูงเป็นเวทีนั้นมีไว้สำหรับการแสดงร่ายรำ
ท่านพ่อยืนอยู่มุมหนึ่งของห้องโถงโดยมีท่านแม่ยืนอยู่เคียงข้าง เมื่อข้าเดินเข้าไปหาทั้งสองก็เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา จากนั้นพวกเราก็แย่งย้ายกันทำหน้าที่ของตนเอง ข้ากับท่านพ่อรอคอยรับแขกเหรื่อในฐานะเจ้าภาพงานเลี้ยงในครั้งนี้ เมื่อเข้ายามโหย่ว(๑๗-๑๙น.)หน้าจวนสกุลเซี่ยก็เริ่มมีรถม้าแล่นทยอยเข้ามาจอดเทียบ จากนั้นแขกผู้ทรงเกียรติทั้งหลายก็ลงจากรถม้าเดินเข้ามาทักทายและอวยพรข้าด้วยท่าทางเป็นมิตร
“ท่านอำมาตย์เซี่ย โอ้ว! นี่คงจะเป็นคุณชายน้อยที่ผู้คนร่ำลือ งดงามยิ่งกว่าคำเล่าลือเสียอีก คุณชายเซี่ย”
ข้ารีบผงกศีรษะทักทายคนผู้นั้นพลางกับยิ้มจางๆ อยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ท่านพ่อเอ่ยแนะนำแขกคนแล้วคนเล่า พวกเขาก็มอบของขวัญพร้อมกับอวยพรข้าด้วยถ้อยคำสละสลวย ข้ายิ้มรับเอ่ยตอบกลับอย่างสุภาพ จากนั้นก็ส่งต่อให้คนอื่นๆ พาแขกเข้าไปในห้องโถงเพื่อกินเลี้ยงชมการแสดงที่เริ่มขึ้นแล้ว
“ท่านอำมาตย์เซี่ย ขอบพระคุณที่เชิญพวกเรามาร่วมงานครั้งนี้”
“คารวะท่านอำมาตย์เซี่ย”
พ่อลูกสกุลหมิงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสว่างไสว โดยเฉพาะผู้เป็นบิดา ใต้เท้าหมิงหน้าบานดีใจยิ่งกว่าบุตรชายเสียอีก เขาเอ่ยจ้อกับท่านพ่ออย่างกระตือรือร้น ดวงตาตี๋ๆ คู่นั้นฉายแววปลาบปลื้มเปล่งประกายระยิบระยับ ข้าแอบขบขำเล็กน้อยกับอาการดีใจออกหน้าออกตาของใต้เท้าหมิงผู้ชื่นชมในตัวบิดาของข้า
“ยินดีด้วย เจ้าโตขึ้นอีกปีหนึ่งแล้ว” คุณชายหมิงโถมตัวเข้ามากอดข้าแน่นแล้วเอ่ยแสดงความยินดีแบบถึงเนื้อถึงตา ข้าพยักหน้ารับยิ้มๆ พยายามแกะตัวอีกฝ่ายออก จากนั้นก็สองพ่อลูกสกุลหมิงก็พากันเข้าไปยังห้องโถง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าทุกครั้งที่ส่งแขกเข้าไปในห้องโถงข้าก็จะเงยหน้าทอดสายตาไปข้างหน้าอยู่เสมอ รอคอยรถม้าที่มีสัญลักษณ์พยัคฆ์น้ำแข็งซึ่งเป็นเครื่องหมายประจำตัวของใครบางคน ส่งไปคนแล้วคนเล่าก็ยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าแมว ข้ายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่เจ้าภาพที่ดีต่อไป จนกระทั่งขบวนรถม้าที่แล่นเข้ามาพร้อมกันราวกับนัดหมายกันมาก่อน ข้ามองภาพตรงหน้าขมวดคิ้วยุ่งยากใจวูบหนึ่งก่อนจะรีบปรับเป็นราบเรียบเช่นเดิม
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท คารวะเหลียงอ๋อง โจวอ๋อง” ท่านพ่อมีสีหน้าเรียบนิ่งคล้ายกับไม่รู้สึกอันใดเลย เขาเดินก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับทำความเคารพทั้งสามบุรุษสูงศักดิ์ที่มาอย่างพร้อมเพรียงกัน ข้าเดินตามบิดาไปทำความเคารพทั้งสามหนุ่ม และสิ่งที่ข้ากำลังกังวลก็เกิดขึ้นแทบจะทันที การปะทะกันระหว่างทั้งสามพี่น้อง
“โอ๊ะโฮะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าน้องสามรู้จักเซี่ยจิ้งถิงมาก่อน หรือคิดจะใช้โอกาสนี้เข้ามาตีสนิทเหมือนกับคนอื่นๆ ที่เจ้าเคยทำเพื่อใช้ประโยชน์จากพวกเขาอย่างนั้นรึ?” คนเปิดสงครามตูมแรกคือองค์รัชทายาทที่แสยะยิ้มลูบคลำริมฝีปาก เหลืองดวงตามองพลางเอ่ยหาเรื่องน้องชายที่ยิ้มนิดๆ โบกพัดขนนกยูงในมืออย่างไม่สะทกสะท้าน
“เสด็จพี่ ไยถึงมีความคิดชั่วช้าเช่นนั้น ข้าเพียงอยากจะมีร่วมแสดงความยินดีต่อคุณชายน้อยเซี่ยเท่านั้น มิได้คิดอะไรเช่นที่ท่านได้กล่าวหา ตัวข้าแม้จะมิได้รู้จักคุณชายเซี่ยเป็นการส่วนตัวแต่ก็เสื่อมใสความสามารถของคุณชายเซี่ยเป็นอย่างมาก เสียมารยาทแล้วที่ฉวยโอกาสอันน่ายินดีนี้มาทำความรู้จัก ท่านอำมาตย์เซี่ยโปรดอย่าได้เข้าใจเราผิดเลย”
โจวอ๋องหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็กล่าวตอบโต้ด้วยน้ำเสียงแหลมสูงคล้ายอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาถอนหายใจส่ายหน้ามองพี่ชายด้วยแววตาผิดหวังปนเหนื่อยหน่ายใจ จากนั้นก็หันมาพูดจาน้ำเสียงเป็นมิตรและเป็นกันเองกับข้า ศีรษะที่สวมที่ครอบศีรษะทองคำผงกให้ข้าเล็กๆ แล้วหันไปพูดอย่างเกรงอกเกรงใจกับท่านพ่อของข้า
องค์รัชทายาทแค่นเสียงดูแคลนออกมาแล้วมิได้พูดอันใดต่อ เขาเหลือบมองข้าเร็วๆ รอบหนึ่งแล้วเดินพรวดพราดเข้าไปในจวนไม่รอให้ผู้ใดเอ่ยส่ง โจวอ๋องแย้มยิ้มอิ่มเอมในชัยชนะเขาผงกศีรษะให้แก่ท่านพ่อแล้วเดินนำคนติดตามเข้าไปในจวนตามหลังพี่ชายไปติดๆ เหลือเพียงเหลียงอ๋องที่ยืนเงียบไร้ตัวตนอยู่เนิ่นนาน เมื่อพี่ชายและน้องชายเดินไปแล้วเขาถึงมีโอกาสส่งเสียงทักทายพวกเรา เสียงอันอ่อนโยนทว่าแฝงไปด้วยความอ่อนแรงดังขึ้นอวยพรให้ข้าอย่างตั้งอกตั้งใจ ข้าแย้มยิ้มก้มศีรษะรับ
“ขอบพระคุณขอรับท่านอ๋อง”
“อืม...” เหลียงอ๋องส่งเสียงรับ ข้าเงยหน้าขึ้นมาประสานเข้ากับสายตาลำบากใจของเหลียงอ๋อง ชายหนุ่มผู้อยู่ในอาภรณ์สีขาวสะอาดทำท่าลังเลคล้ายอยากจะเอ่ยบางอย่างกับข้า ทำปากพะงาบๆ ส่งเสียงอึกๆ อักๆ แต่สุดท้ายเขาก็มิได้พูดสิ่งใดออก เหลียงอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่มองข้าด้วยแววตาเห็นใจก่อนจะเดินเข้าไปในจวนเมื่อท่านพ่อเอ่ยปากเชิญ
ข้ามองตามแผ่นหลังผอมบางของเหลียงอ๋องไปอย่างสงสัย เมื่อครู่เขาทำท่าอยากจะบอกบางอย่างกับข้าแน่นอน แล้วเหตุใดเขาถึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นด้วยเล่า? ข้าเหม่อลอยไปวูบหนึ่งได้เสียงเตือนจากบิดาจึงกลับมาทำหน้าที่เจ้าภาพต่อไป ละทิ้งไม่คิดเรื่องท่าทางแปลกๆ ของเหลียงอ๋อง ครึ่งชั่วยามต่อมาข้ากับท่านพ่อก็ต้องเดินเข้าห้องโถงไปเพื่อดูแลพูดคุยกับแขกเหรื่อในงานเลี้ยง ข้ายืนลังเลอยู่หน้าประตูจวนจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้าที่ไร้รถม้ามาเยือนแล้ว ท่านพ่อเอ่ยเรียกให้ตามไปข้ากัดฟันหันตัวเดินเข้าไปในจวน
เจ้าแมวอาจจะติดธุระจึงมาช้าสักหน่อยกระมัง!
“ท่านอำมาตย์เซี่ยช่างน่าอิจฉายิ่งนักที่มีบุตรชายรูปงามพร้อมไปด้วยความสามารถเช่นนี้ ข้าได้ยินมาว่าคุณชายน้อยมีฝีมือรักษาราวกับหมอเทวดาเสียอีก ถึงกับรักษาพิษร้ายในตัวของตงฮองเฮาที่แม้กระทั่งหมอหลวงเฉินยังจนปัญญา”
“มิได้ บุตรชายของข้านั้นยังอ่อนประสบการณ์นัก หวังว่าใต้เท้าจะไม่ถือสาหากเขาทำเสียมารยาทอันใดไป”
“บิดาเป็นเช่นไรบุตรย่อมเป็นเช่นนั้น เป็นคำพูดที่เหมาะสมกับท่านอำมาตย์เซี่ยและคุณชายน้อยยิ่งนัก”
“ใต้เท้าเอ่ยเกินไปแล้ว”
ข้าแย้มยิ้มบางๆ อยู่ด้านหลังของบิดาที่สนทนาพาทีกับเหล่าขุนนางมากหน้าหลากตาอย่างไหลลื่น ได้ยินถ้อยคำสรรเสริญชื่นชมเสียจนเริ่มเอียน พวกเขายิ้มแย้มอ่อนน้อมต่อท่านพ่อ แทบจะเป็นประจบประแจงเสียด้วยซ้ำ ข้ามองด้วยดวงตาว่างเปล่าพยายามยิ่งยวดที่จะไม่แสดงสีหน้ารังเกียจออกไป
เวลาดำเนินต่อไปไม่มีหยุด เสียงดนตรีและเสียงขับร้องขับกล่อมแขกในงานให้เพลิดเพลิน ยังมีเสียงพูดคุยเจรจาสนุกสนานของผู้คนในงาน ทั้งหมดนั้นมิได้อยู่ในสายตาของข้าแม้แต่น้อย ข้ากวาดสายตามองไปทั่วห้องโถงแล้วหลุบตาต่ำเมื่อไม่เห็นคนที่รอคอย ข้างในใจก่อเกิดกลุ่มก้อนความกังวลขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย
ยิ่งผ่านไปนานเท่าใดรอยยิ้มบนใบหน้าของข้าก็เริ่มลดลงมากเท่านั้น จนกระทั่งเลยผ่านยามซวี(๑๙-๒๑น.)มาครึ่งชั่วยามแขกที่มาร่วมงานทยอยกันกลับ ข้ากับท่านพ่อเดินส่งแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายถึงหน้าประตูจวนขบวนแล้วขบวนเล่า และแล้วเสียงดนตรีในห้องโถงก็หยุดหลังจากแขกคนสุดท้ายเดินออกไปจากจวน รอยยิ้มที่ปั้นแต่งบนหน้าของข้าก็พลันสลายหายไปในทันที ท่านพ่อหมุนตัวเดินเข้าจวนไปทันทีที่ส่งแขกกลุ่มสุดท้ายแล้ว เหลือเพียงข้าที่ยืนมองไปข้างนอกจวนอย่างเฝ้ารอ
หมายความว่าอย่างไร? เหตุใดป่านนี้แล้วฉินอ๋องถึงยังไม่มา? จนกระทั่งงานได้เลิกไปแล้วเขาก็ยังไม่มา! ข้ายืนอยู่ที่หน้าประตูจวนอย่างเดี่ยวดาย รู้สึกว่าลมในค่ำคืนนี้หนาวเหน็บกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ร่างกายของข้าสั่นไหวพร้อมๆ กับดวงตาที่เริ่มพร่ามัว ข้ารีบยกมือเช็ดดวงตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้ง
ฉินอ๋องอาจจะกำลังจะมาก็เป็นไปได้!
ยังไม่พ้นวันนี้เลยข้าจะคิดไปเองมิได้ ข้ายืนหยัดรอคอยเขาอยู่หน้าจวนต่อไปแม้ว่าชิงลู่จะมาเอ่ยชวนให้ไปรอที่เรือนข้าก็ไม่สนใจ จื่อลู่เดินเข้ามาช่วยกันพูดแต่ข้าก็ไม่ฟังยังคงยืนรอฉินอ๋องอย่างเชื่อมั่น เลยผ่านเข้าสู่ยามห้าย(๒๑-๒๓น.)ข้าที่ยืนนิ่งอยู่หน้าจวนเริ่มใจไม่ดี หรือว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับฉินอ๋อง!?
ข้าพยายามจะคิดในแง่ที่ดีภาวนาขอให้เขาเพียงติดธุระจำเป็น จะว่าไปแล้วแม้แต่ส่านอ๋องเองก็มิได้โผล่มาเช่นกัน เกิดอันใดขึ้นกับพวกเขาหรือเปล่า? ใจของข้าเริ่มร้อนรน ตะโกนเรียกไป๋หู่ออกมาสั่งให้เขาไปที่วังหย่งเฮ่าเพื่อสืบข่าว จากนั้นข้าก็มิย่ำเท้าไปมาชำเลืองสายตามองถนนหวังจะเห็นใครบางคนเดินหน้าง่วงงุนเข้ามาเหมือนทุกครั้ง
ผ่านไปครึ่งชั่วยามไป๋หู่ก็กลับมาพร้อมกับบอกว่าในวังหย่งเฮ่าปกติดีทุกอย่าง ข้ายืนงุนงงแล้วถามถึงฉินอ๋องแต่ทว่าไป๋หู่เองก็มิเห็นเขาอยู่ในวังเช่นเดียวกัน ถ้าเขาไม่อยู่ในวังแล้วจะไปอยู่ที่ใดกันเล่า? ข้ายืนเคว้งคว้าง เสียงรื่นเริงของดอกไม้ไฟในงานเทศกาลมิได้ทำให้ข้าคลายความกังวลแต่แม้แต่น้อย
อีกไม่ถึงชั่วยามก็จะพ้นผ่านวันนี้ไปแล้วแต่ข้ายังไม่เห็นแม้เงาของฉินอ๋องเลย! นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน!? พิสูจน์ความจริงใจ? นี่เขาพิสูจน์ความจริงใจประสาอะไรถึงให้ข้ายืนรอเขาจนจะข้ามวันใหม่เช่นนี้! ข้าหน้าซีดคล้ายจะโซเซไม่มีแรงจะทรงตัวยืน พิสูจน์ความจริงใจ? แล้วการที่เข้าไม่มีปรากฏตัวเลยแม้แต่เงานี่มันหมายความว่า....?
“เจ้านั่นมันมาไม่ได้หรอก อย่าเสียเวลารอมันเลย” เสียงแหบเครือเล็กๆ เอ่ยแทรกความวุ่นวายใจของข้า น้ำเสียงของเขาเยาะเย้ยและดูแคลนเหมือนทุกครั้งที่เอ่ยปากพูด ข้าเหลือบไปมองร่างสูงโปร่งในอาภรณ์หรูหราอย่างไม่พอใจ ไยคนผู้นี้ถึงยังอยู่ที่นี่!? องค์รัชทายาทไม่ใส่ใจสีหน้าของข้าแม้แต่น้อย เขาเดินมาหยุดตรงหน้าข้าแล้วก้มลงมาแสยะยิ้มชวนสะพรึงก่อนจะเอ่ยถ้อยคำตอกย้ำหัวใจที่เกิดรอยร้าวของข้า
“ตัดใจจากมันเสียเถิด อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้หรอก!”
องค์รัชทายาทยืดหน้าหงายหน้าหัวเราะสะใจเสียงดังไปทั่วทั้งจวน ข้ากัดฟันกำหมัดแน่น
“ทั้งเจ้าและมันช่างน่าสมเพช! น่าสมเพชยิ่งนัก! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เฝ้ารอเพียงท่าน แต่ท่านกลับไม่มา
ฮ่าฮ่าฮ่า! ดริฟแบบร้อยแปดสิบองศา! ขบวนสู่ขอเป็นหมันรถอ้อยโดนเผาเรียบจ้างานนี้
ไปก่อนละเดี๋ยวมีคนปาระเบิดใส่ กลัววววว~~~
ปล. ลี่ฮุ่ยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉินอ๋อง นั่นมันเรื่องชาวบ้าน เสี่ยวชีเม้าธ์เรื่องคนอื่นเฉยๆ
ปล.๑ แต่งนิยายข้ามปีกันเลยทีเดียว เฮ้อ ปีนี้ช่างแห้งแล้ง มีเพียงโน้ตบุ๊คเป็นเพื่อนข้ามปี กระซิกๆ
‘สวัสดีปีใหม่’!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ถ้าคนที่เหลียงอ๋องเห็นในวันนั้นคือเหลียงอ๋องล่ะก็ วันนี้ถเงถิงจะต้องออกอาการกลัวเหมือนเจ้าชายแน่ แต่นี่ไม่ เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่น่าใช่....นะ
เจ้าชาย แกเป็นอะไร 555445
พยายามให้เขาแตกแยกกัน โหยยย
ฉินอ๋อง เจ้าอ๋องแมว!! อ๋องไม้ไผ่ด้วย ไปอยู่ไหนกันทั้งคู่เลย เกิดอะไรขึ้น