ตอนที่ 75 : ตอนที่ ๗๑ บทเพลงที่คุ้นเคย
ตอนที่ ๗๑ บทเพลงที่คุ้นเคย
ข้าพยายามขุดความทรงจำอันเลือนรางภายในหัวจนกระทั่งพอจะจำเหตุการณ์เมื่อคืนวานได้ลางๆ ใบหน้าพลันร้อนผ่าวราวกับน้ำร้อนลวก เหตุใดเจ้าแมวถึงได้มาอยู่ที่นี่กันเล่า!? เขามิได้อยู่ที่ลั่งเฟ่ยหรอกหรือ? กลับมาแล้ว? เหตุใดถึงไม่บอกกล่าวกันสักคำ ข้ากลอกตาไปมาด้วยอารมณ์เขินปนโมโห
ให้ตายเถิด นี่แกล้งกันใช่หรือไม่? แล้วไยสองหนุ่มหยกฟ้าม่วงถึงได้แข่งกันหน้าแดงกับข้าเช่นนี้เล่า? พวกเขาเห็นอันใดอย่างนั้นหรือ? ข้ารู้สึกขัดเขินเกินจะเอ่ยปากถามจึงโบกมือให้ทั้งสองออกไปก่อนจะเอนตัวนอนเช่นเดิม ข้าทำหน้ามุ่ยพึมพำต่อว่าเจ้าแมวที่ฉวยโอกาสในตอนที่ผู้อื่นเมามายมิได้สติ หึ ร่างกายยังปกติดีอยู่คนผู้นั้นยังมิได้ทำอันใดเลยเถิด หากเขาทำจริงๆ ข้าจะไม่ยอมพบหน้าอีก จะทำการต่อจากนั้นควรทำในตอนที่ข้ามีสติสิ
ในตอนรับประทานมื้อเย็นทั้งท่านแม่และท่านพ่อมาร่วมรับประทานอย่างพร้อมหน้า ข้ายืนยันหนักแน่นว่าแข็งแรงดีจึงรอดพ้นการกรอกยาแสนขมไปได้อย่างหวุดหวิด หลังจากกินข้าวอิ่มแล้วท่านพ่อก็เอ่ยถึงงานเลี้ยงครบรอบวันเกิดของข้า แนะนำสิ่งที่ต้องทำและควรหลีกเลี่ยง ตัวข้าตื่นเต้นเล็กน้อย กลัวจะทำอันใดขายหน้าออกไปจริงๆ
จากนั้นทั้งสองก็ขอตัวจากไปพร้อมกัน ข้ามองตามพวกเขาและชำเลืองมองท่านแม่นานกว่าปกติ คืนวานนั้นแม้ว่านางจะมิได้บอกออกมาตรงๆ แต่ข้าก็ล่วงรู้ถึงความกังวลของมารดา เพราะมันใกล้เคียงกับความกังวลที่ข้าเองก็คิดมิตก ท่านแม่คงไม่อยากจากไปเช่นเดียวกับข้าที่ไม่อยากจากไปในยามนี้เลย
ในยามที่ความรักระหว่างเรากำลังผลิบานและหอมหวานเช่นนี้ หากตัดสินใจจะไปยังตระกูลเยว่แม้แต่ตัวข้าเองยังบอกไม่ได้ว่าจะกลับมาที่นี่ได้หรือไม่? หรือต้องใช้เวลานานเท่าไรก็มิอาจจะระบุได้ แม้ข้าจะดูใจเย็นแต่ข้างในนั้นกลุ้มใจจะแย่อยู่แล้ว ตัวข้าสนใจใคร่รู้เรื่องราวภายนอกนั้นเป็นอย่างมาก และที่สำคัญกว่านั้นคือ...การพัฒนาพลังเยว่ตี้
ข้าแบมือสร้างอาณาเขตกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือออกมา จับอาณาเขตนั้นหมุนไปเรื่อยๆ ต่างลูกข่าง ขณะที่มองเหม่ออาณาเขตในมือที่หมุนไม่หยุดก็ถอนหายใจออกมา
หากเลือกที่จะไปข้าย่อมสูญเสียเขาอย่างแน่นอน ทั้งเรื่องนายบำเรอมากมายนั้นที่จะเริ่มทยอยปรากฏตัว และยังไม่รวมถึงเรื่องที่เขาจะต้องอภิเษกอีก ข้าจึงไม่เต็มใจและหวาดกลัวอย่างยิ่งที่ต้องตัดสินใจเลือก ข้าไม่อาจคิดเพ้อฝันให้ฉินอ๋องเฝ้ารอ หากฉินอ๋องสัญญาว่าจะเฝ้ารอ แต่ผู้ใดจะรับประกันได้ว่าวันเวลาที่เลยผ่านไปนั้นใจของคนจะแปรเปลี่ยนกี่พันกี่ร้อยครั้ง
“นายน้อยต้องการอันใดอีกหรือไม่?”
“ไม่แล้วละ พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด อีกสักครู่ข้าจะเข้าไปห้องนอน”
“ขอรับ” จื่อลู่โค้งตัวรับคำก่อนจะหันไปผงกศีรษะบอกเหล่าคนรับใช้ด้านหลังให้แยกย้ายกันไปพักได้ ข้ามองตามพวกเขาไปเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปมองด้านนอกหน้าต่างที่เปิดอ้ากว้าง
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยข้าก็มานั่งอ่านตำราอยู่ที่ห้องเก็บตำรา เพราะมีเรื่องมากมายให้คิดทำให้เนื้อหาในตำราไม่เข้าสู่หัวแม้แต่นิด หลังจากไล่คนอื่นๆ ออกไปหมดข้าก็มองไปยังดวงจันทร์กลมคล้ายจะเต็มดวง อากาศในคืนนี้ยังเย็นอยู่บ้างแต่ก็มิได้หนาวอันใดมาก จึงสามารถเปิดหน้าต่างรับอากาศยามค่ำคืนได้
ผ่านไปครู่ใหญ่ข้าก็ถอนหายใจออกมา ปิดตำราในมือวางไว้บนโต๊ะแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปปิดหน้าต่าง ก่อนที่หน้าต่างจะทันได้ปิดสนิทข้าก็ได้ยินเสียงบางอย่างทำให้มือชะงักกลางคัน ข้าเอียงศีรษะฟังเสียงนั้นที่คล้ายจะเป็น...
“เมี้ยว~”
เสียงแมว?
ข้าค่อยๆ เปิดหน้าต่างกลับเช่นเดิม จากนั้นก็มองหาแมวหลงที่มาส่งเสียงร้องยามนี้ มีแมวจรจัดหลงมาแถวนี้หรือไรนะ? ข้าพยายามมองหาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่สักตัว หรือว่าข้าจะหูแว่วไปเอง? ข้าถอนหายใจกำลังจะปิดหน้าต่างก็พลันได้ยินเสียงแมวร้องออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ผิดแน่ ข้าได้ยินชัดเต็มสองหู แถมยังอยู่ใกล้ๆ แถวนี้อีกด้วย
“เมี้ยว”
ข้าตัวแข็งทื่อ ขนลุกซู่ เสียงร้องนั้นใกล้หูมากจนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆ ของใครบางคนได้ ข้ารีบยกมือปิดหูข้างที่ถูกเป่าลมใส่แล้วหันไปมองด้านข้าง เห็นแมวตัวโตยืนพิงขอบหน้าต่าง ส่งเสียงร้องออกมาด้วยใบหน้าอันนิ่งเฉยนั้น
“แง่ว!”
ข้าทนไม่ไหวถึงกับหลุดหัวเราะออกมา บ้าที่สุด! หน้าตากับเสียงมิได้ไปทางเดียวกันเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นแมวที่เกียจคร้านอะไรขนาดนี้ จะส่งเสียงอ้อนยังทำแบบขอไปที เฮ้อ! ข้าที่หัวเราะจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหลถูกเจ้าแมวขี้เกียจตัวนั้นบีบแก้มก็พยายามที่จะหยุดหัวเราะ แต่พอเงยหน้าไปเห็นดวงหน้าหล่อเหลา ภาพที่เขาร้องแง่วก็ผุดขึ้นมาทำให้หลุดขำออกมาอีกครั้ง ผ่านไปสักพักข้าก็กระแอมหยุดหัวเราะเงยหน้าเอ่ยหยอกล้อเขา
“แมวน้อย หลงมาแถวนี้อย่างนั้นรึ?”
“เกรงว่าจะไม่น้อย” เจ้าแมวแก้คำเสียงราบเรียบ ข้าชะงักกึก กลอกตาไปมา ยื่นริมฝีปากด้วยความหมั่นไส้ เหอะ! ไม่น้อยอย่างนั้นรึ? หมายถึงอันใดที่ไม่น้อย? ความหนาของใบหน้ารึ? ถ้อยคำน่าอับอายเช่นนี้ยังกล้าพูดออกมา
ฉินอ๋องไม่ใส่ใจท่าทางต่อต้านของข้า เขาผงกศีรษะบอกใบ้ให้ออกไป ข้าลังเลใจอยู่ชั่วครู่ก็ถูกสายตาข่มขู่กดดันให้ปีนหน้าต่างออกไป ที่นี่เป็นบ้านของข้าไยถึงต้องปีนออกทางหน้าต่างด้วย?
“เราจะไปไหนอย่างนั้นรึ?” ข้าถามอย่างแปลกใจระหว่างที่มองเขาผูกผ้าคลุมให้อีกชั้น พอผูกให้เสร็จก็ย่อตัวช้อนร่างข้าอุ้มขึ้น ฉินอ๋องไม่ได้บอกกล่าวอะไร เขาอุ้มพาข้ากระโดดออกไป
ด้านหลังพวกเรามีไป๋หู่ตามมาติดๆ ฉินอ๋องมิได้เอ่ยว่าอะไรปล่อยให้ผู้อารักขาของข้าตามมาได้ รอบๆ ข้างของฉินอ๋องเองก็น่าจะมีองครักษ์ของเขาตามมาอารักขาเหมือนกัน แม้จะไม่ได้รับคำตอบข้าก็ไม่ถามเซ้าซี้อีก ไม่นานพวกเราก็มาถึงท่าน้ำหลันเซ่อซึ่งข้าเคยมาล่องเรือกับพวกคุณชายหมิงครานั้น แต่เจ้าแมวมิได้ไปยังท่าเรือที่มีเรือลำน้อยใหญ่จอดเทียบท่า เขาพาข้ามายังริมตลิ่งที่ห่างไกล
ปลายเท้าของเขาจรดลงบนพื้นฝั่งตลิ่งทะเลสาบแล้วปล่อยตัวข้าลงยืนบนพื้น ข้ามองไปรอบตัวด้วยความสงสัยว่าเหตุใดเจ้าแมวถึงพาข้ามาที่นี่ ข้าหันกลับมายกคิ้วเป็นคำถาม เช่นเคยฉินอ๋องมิได้เอ่ยสิ่งใด เขายื่นมือออกไปฉับพลันก็มีเงาดำมืดร่างหนึ่งกระโดดโฉบลงมายืนด้านข้างพร้อมกับยื่นบางสิ่งให้แก่เจ้านาย ก่อนจะถอยหลังเร้นกายไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ
ข้ามองสิ่งที่อยู่ในมือของเจ้าแมวมันคือโคมไฟนั่นเอง แสงสว่างสีแสดอ่อนๆ สว่างสลัวขึ้นมาครั้งที่ถูกจุด ฉินอ๋องยื่นมือมาหาข้า ดังต้องมนต์สะกด สายตาของข้าถูกตรึงไว้ที่ดวงหน้าหล่อเหลางดงามที่แย้มยิ้มเล็กๆ ข้าส่งมือไปหาเขาอย่างง่ายดาย ฉับพลันแก้มของข้าก็อุ่นซ่านเมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิที่ร้อนนิดๆ จากฝ่ามือขนาดใหญ่ที่กอบกุมมือของข้าเอาไว้แน่น
แรงกระตุกนำพาข้าเดินไปข้างหน้า พวกเราก้าวเดินไปเนิบนาบ ข้าคล้ายล่องลอยตามปีศาจหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามไป ปลายเท้าแทบจะอยู่ไม่ติดกับพื้นเลยทีเดียว ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นตูมตามแทบจะระเบิด แสงจันทร์ปนแสงจากโคมกระทบต้องอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ทับด้วยเสื้อคลุมสีครามบนเรือนร่างสูงใหญ่ เขามัดรวบผมเป็นหางม้าเผยให้เห็นโครงหน้าปานสลักเสลา มันช่างเป็นภาพที่งดงามเลิศล้ำประเมินค่ามิได้
นี่ข้าโดนปีศาจหิมะหลอกมากินเนื้อเป็นแน่!
เดินมาครึ่งทางข้าก็พลันรู้สึกตัว ประเดี๋ยวก่อน! พวกเราหยุดยืนรับโคมไฟที่ริมตลิ่งจากนั้นก็เดินไปข้างหน้า ซึ่งข้างหน้านั้นเป็นทะเลสาบมิใช่รึ!? ข้าเบิกตากว้างหันรีหันขวางมองดูรอบข้างที่เป็นผืนน้ำอย่างตกใจ ก่อนจะรีบก้มมองพื้นแล้วกะพริบตาปริบๆ ข้ากำลังเดินอยู่บนธารน้ำแข็ง! ทั้งๆ ที่กระทั่งฤดูหนาวอันเย็นเยียบที่สุดทะเลสาบหลันเซ่อยังไม่เคยกลายเป็นน้ำแข็ง แต่บัดนี้มันกลับกลายเป็นเส้นทางน้ำแข็งให้พวกเราเดินย่ำ
ข้าระบายยิ้มออกมาเล็กๆ รับรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด หากมิใช่เพราะฉินอ๋องแล้วจะเป็นผู้ใดเล่าที่สามารถสร้างทางน้ำแข็งเช่นนี้ขึ้นมาได้ ตรงหน้าที่พักชั่วคราวปรากฏขึ้นในดวงตาของข้า ฉินอ๋องพาเข้าไปในที่แห่งนั้นที่ถูกประดับด้วยไข่มุกราตรีส่องแสงนวลตาราวกับเป็นดวงจันทร์ดวงย่อมๆ แสงจากมันทำให้ที่แห่งนี้สว่างไสวราวกับกลางวัน
เมื่อพวกเราเข้ามายังที่พักนั้นทางน้ำแข็งค่อยๆ แตกตัวเป็นชิ้นๆ จากนั้นมันก็ระเบิดกระจายตัวเป็นเกล็ดเล็กๆ ละเอียดราวกับเป็นหิมะโปรยปรายอยู่กลางอากาศ แสงจากดวงจันทร์และไข่มุกราตรีส่องกระทบโดนเกล็ดเหล่านั้นเปล่งประกายระยิบระยับราวกับดวงดาราบนฟากฟ้า ข้ายืนนิ่งเหม่อมองภาพอันงดงามตื่นตานั้นเงียบๆ
ชั่วขณะที่ลังเลใจก็ค่อยๆ ยื่นมือไปรองรับเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เกล็ดชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงลงบนฝ่ามือของข้าให้ความรู้สึกเย็นคล้ายหิมะ
ฉินอ๋องแกะผ้าคลุมให้แก่ข้าแล้วยืนเคียงข้างมองดูเงียบๆ ข้ากำเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้นแล้วยืนมองมันร่วงหล่นลงมาไม่หยุดราวกับเป็นฝนดาวตกท่ามกลางความมืดมิด ข้ามองตามเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้นจนกระทั่งมันตกลงไปในทะเลสาบ เกล็ดเรืองแสงจางๆ ล่องลอยอยู่ในทะเลสาบราวกับผืนนภาที่สอง ฉับพลันข้าก็ได้ยินเสียงบรรเลงผีผาคลอเป็นดนตรีเบาๆ
เบื้องหลังของข้านั้นมีบุรุษในอาภรณ์สีขาวทับเสื้อคลุมสีครามนั่งเอนกายผ่อนคลายทว่าสง่างามน่ามองนัก บนตักของเขามีผีผาที่กำลังถูกเรียวนิ้วยาวปานหยกสลักดีดบรรเลงเป็นบทเพลง มือขวาดีดมือซ้ายกดตามขั้นเปลี่ยนแปลงระดับเสียง ดวงหน้าคมคายหลับตาพริ้มราวกับเทพเซียนหนุ่มเล่นผีผาในยามเว้นว่างบนชั้นฟ้าของเขา
ข้าถูกเสียงผีผาและคนบรรเลงมอมเมาจนยืนทึ่มทื่ออยู่กับที่ เหม่อลอยมองภาพตรงหน้าราวกับคนโง่งม ภาพทิวทัศน์นับร้อยนับพันมิอาจเทียบกับภาพอันงดงามตรงหน้าของข้าได้เพียงเสี้ยว ข้าเคยเห็นคนเล่นผีผามาบ้างแต่มิเคยเห็นผู้ใดจะสง่างามน่ามองมากเท่านี้เลย เสียงไพเราะเสนาะหูมาจากฝีมือที่ร้ายกาจของเทพเซียนหนุ่มผู้ไม่แยแสสิ่งใดบนโลกหล้า
ฝีมือบรรเลงของคุณหนูชื่อดังทั้งสามก็มิอาจหาญสู้กับฉินอ๋องได้เลยจริงๆ! แม้ข้าจะเขลาในเรื่องนี้แต่ทว่าหูของข้ายังมิได้ดับ รับรู้ได้ถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของระดับฝีมือทั้งสองฝ่าย ข้าได้ยินมาว่าผีผาเป็นเครื่องดนตรีที่ฝึกฝนยาก จำเป็นต้องมีทักษะฝีมือที่สูงมากจริงๆ แต่เขาที่นั่งเล่นอย่างไร้ระเบียบเพียงนี้ยังบรรเลงออกมาได้ไพเราะยิ่ง คุณหนูทั้งสามคนนั้นได้มายินจะต้องร่ำไห้ด้วยความปลาบปลื้มเป็นแน่
ข้าเดินไปนั่งตรงกันข้ามกับเขา เฝ้ามองการบรรเลงเนิ่นนานกระทั่งนัยน์ตาคมสีเข้มคู่นั้นค่อยๆ ลืมขึ้น สายตาคู่นั้นจับจ้องตรงมาที่ข้าจากนั้นเสียงบรรเลงก็เปลี่ยนทำนอง ข้าบอกไม่ถูกว่าเปลี่ยนอย่างไรทว่าบรรยากาศรอบตัวก็พลันเปลี่ยนไปตามท่วงทำนองของเขา จากเยือกเย็นล่องลอยชวนให้คิดถึงหิมะที่โปรยปรายก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนหวานราวกับสายฝน
ข้าเริ่มหน้าร้อนผ่าว สายตาที่จับจ้องมองมาของเขานั้นไยถึงชวนรุ่มร้อนปานนี้? ฉินอ๋องจ้องมองตรงมาอย่างไม่ลดละ มือบรรเลงผีผาไปด้วย ท่วงทำนองช่างหวานอะไรเช่นนี้ ข้าแทบจะกระอักความหวานนี้ตาย ฟังคลอไปไม่นานก็ชะงัก ยืดตัวตั้งใจฟังเพลงนี้อย่างจริงจัง เหตุใดถึงคุ้นหูคล้ายเคยได้ยินเพลงนี้มาก่อนกันนะ?
ข้าตั้งใจฟังจนกระทั่งกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ นี่มันเพลงที่ฉินอ๋องมักจะเล่นในชีวิตที่แล้วมิใช่หรือ? เวลาที่เขามาหาข้าหากมีเวลามากหรือเขาอารมณ์ดีก็มักจะหยิบเครื่องดนตรีมาเล่นคลอไปเป็นเพลงบ้างไม่เป็นเพลงบ้าง ที่เล่นบ่อยสุดคือเพลงนี้ เจ้าแมวเล่นเพลงนี้ไปจ้องมองข้าไปด้วย ทำเอาข้าเพ้อฝันไปสามสี่วันเลยทีเดียว แม้จะรู้ว่าเขาเพียงเล่นไปเรื่อยเปื่อยไร้ความหมายแต่ก็ไม่วายหลงใหลเคลิบเคลิ้มตามไปอย่างโง่งม
แล้วเหตุใดถึงเป็นเพลงนี้อีกกันเล่า?
ข้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปสบสายตาอันลุ่มลึกเชื่อมหวานคู่นั้น หัวใจยิ่งกระตุกเต้นรัวแรง บทเพลงนี้มีความหมายว่าอย่างไรกัน มันสื่อถึงสิ่งใดอย่างนั้นหรือ? เหตุใดเขาถึงมักจะบรรเลงให้ข้าฟังเสมอ มันมิใช่บทเพลงทั่วๆ ไปอย่างนั้นรึ? มันมีความหมายพิเศษหรือว่าเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ?
เมื่อทุกเสียงหยุดเงียบลงข้าก็ปรบมืออย่างกระตือรือร้นให้แก่เขา ฉินอ๋องโยนผีผาไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ เขาจ้องมองข้าที่ยิ้มปรบมือแววตาวิบวับด้วยความชื่นชม เจ้าแมวทำหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านกับความชื่นชมของข้าราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เขาโบกมือให้ข้าหยุดแล้วหันไปมองด้านข้างกล่าวเสียงราบเรียบ
“ข้าเล่นเครื่องดนตรีพวกนี้ได้แทบทุกชิ้น หากเจ้าอยากจะฟังเพียงเอ่ยบอกข้า ไม่เพียงเท่านี้ แม้กระทั่งคัดอักษร วาดภาพ แต่งกลอน ข้าล้วนเชี่ยวชาญ”
ข้ากะพริบตารับ ไม่เข้าใจว่าฉินอ๋องต้องการจะพูดสิ่งใดกันแน่ นัยน์ตาสีดำเข้มราวกับน้ำหมึกชำเลืองมองข้าอย่างเอือมระอาแล้วถอนหายใจกับหัวน้อยๆ ที่คิดไม่ทันของข้า ข้าครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นก็เหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เขาเอ่ย ปัดโธ่เอ๊ย ข้าหาได้ใส่ใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย! ข้ายกมือปิดปากกลั้นยิ้มแล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“เรื่องนั้นข้ามิได้ใส่ใจ”
พวกคุณหนูเหล่านั้นจะเก่งศาสตร์และศิลป์อันใดก็มิเกี่ยวกับข้าเสียหน่อย ข้าทำไม่ได้ก็คือไม่ได้ มิได้คิดอยากจะนำตัวเองไปเปรียบเทียบพวกนางให้เหนื่อยเปล่า ข้าก็มีดีของข้า พวกนางก็มีดีของพวกนาง ล้วนแตกต่างไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ แต่ข้าก็ซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของเจ้าแมว นี่เขาคิดว่าข้าจะน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนั้นหรือ? น่าขำนัก ข้ามิได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ข้าแย้มยิ้มส่งไปให้บุรุษที่นั่งอยู่อีกฝากพลางเอ่ยเอาใจเขา
“คนรักของข้าทำได้ดีกว่าพวกนางทั้งหมดรวมกันเสียอีก เหตุใดข้าจะต้องใส่ใจด้วยเล่า?”
เจ้าแมวมองข้าด้วยแววตาประหลาดใจปนขัดเขิน เขากระแอมไอเบาๆ ข้าเห็นโหนกแก้มของเขาแดงระเรื่อขึ้นสีก็พลันขบขำออกมา นี่เขาเขินเพราะข้าเรียกเขาว่าคนรักหรือเขินเพราะถูกข้าชมกันนะ หึๆ ฉินอ๋องกลับมานิ่งเฉยเป็นปกติ เขาไม่พูดอันใดเพียงกวักมือเรียกข้าไปหา ข้าลุกขึ้นเดินไปหาเขาอย่างว่าง่าย นั่งบนตักของเขาปล่อยให้อีกฝ่ายสวมกอดจากด้านหลัง
“ความเป็นห่วงของข้าสูญเปล่าเสียจริงๆ” ฉินอ๋องแสร้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ กดปลายคางลงบนศีรษะของข้าพลางกระชับวงแขนโอบล้อมตัวข้า เขาเอ่ยตัดพ้อต่อว่าเบาๆ ข้าได้ยินก็ยิ้มออกมามิได้กล่าวตอบไป มิน่าเขาถึงได้มาหาข้าแล้วบังเอิญไปเจอข้าเมาหัวทิ่มเข้าเสียอีก เฮ้อ สุรานี่เป็นสิ่งไม่ควรแตะต้องเลยจริงๆ
“หากวันนั้นเจ้ามิได้คิดมากอันใดแล้วไยต้องดื่มจนเมามายเช่นนั้น?”
คำถามที่คล้ายกับต่อว่ากลายๆ มือดึงแก้มข้าจนปวดแปลบ ข้าทำหน้ามุ่ยลูบแก้มแล้วเอ่ยตอบไปด้วยเสียงโมโหนิดๆ ข้ามิได้ผิดเสียหน่อยเป็นเขาที่คิดไปเองต่างหาก แม้จะดึงเบาๆ ก็เถิดแต่เขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ย่อมมีเรี่ยวแรงมากกว่าคนทั่วไป แก้มของข้าใช่ว่าแดงไปหมดแล้วหรือไม่?
“ข้าดื่มเป็นเพื่อนท่านแม่ต่างหาก”
“เจ้าน่ะอย่าได้เลียนแบบมารดาของเจ้านัก ข้ามิใช่เซี่ยเหยียนจิ้งที่จะทนต่อพฤติกรรมป่าเถื่อนเช่นนั้นได้”
“ต้องอ่อนหวานให้เท่าคุณหนูที่หวงกุ้ยเฟยชื่นชมพวกนั้นหรือไม่?”
“กล้าประชดข้าเชียวรึ?”
“ข้ามิได้ประชดเสียหน่อย เพียงแค่เอ่ยตามเนื้อผ้าไปเท่านั้น เป็นท่านที่คิดไปเอง”
“หึ” เจ้าแมวทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่เชื่อถือ ก้มหน้าลงมาใช้จมูกซุกไซ้ไหล่และคอของข้า ประทับริมฝีปากบนไหล่ของข้าแล้วเงยหน้าเอ่ยหยอกล้อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าหมายถึงให้อ่อนหวานได้เหมือนตอนเมาต่างหากเล่า”
ข้าหน้าร้อนผ่าวอับอายจนพูดอันใดต่อมิได้ พอได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ที่ดังอยู่ใกล้หูก็หมั่นไส้ แทงศอกใส่ท้องแข็งแกร่งของเขา ทำแล้วก็รู้สึกขัดอกขัดใจยิ่งเพราะอีกฝ่ายไม่รู้สึกใดๆ แทนที่จะเป็นการประทุษร้ายกลับกลายเป็นสะกิดเขาแทนเสียนี่ นั่นเพราะเจ้าแมวหนังหนาเกินไปนั่นแหละ!
ข้าเมินหน้าหนีไปมองทิวทัศน์งดงามด้านนอก ฝนเกล็ดน้ำแข็งยังมิได้สร่างหายไปมันยังคงร่วงกรูลงมาไม่ขาด ข้าค่อยๆ สำรวจมองไปรอบๆ ที่พักชั่วคราวที่ตั้งอยู่บนเกาะน้ำแข็งแห่งนี้ แทนที่อากาศจะหนาวแต่ข้างในนี้กลับอบอุ่นไม่มีลมเย็นมากล้ำกราย ผ้าม่านสีม่วงทึบปิดซ้อนชั้นแล้วชั้นเล่า ลวดลายงดงามแปลกตา หมอนหนุนผ้าผวยเบาะนั่งและโต๊ะแจกันล้วนแล้วแต่ตกแต่งอย่างพิถีพิถัน ทุกสิ่งทุกอย่างกลมกลืนไปกับฝนเกล็ดน้ำแข็งที่สะท้อนแสงราวกับหิ่งห้อย ที่นี่เหมือนเป็นสรวงสวรรค์เล็กๆ เลยทีเดียว
“ชอบหรือไม่?”
“อืม เป็นของขวัญวันเกิดที่ยอดเยี่ยมประทับใจ ท่านพาข้ามาในวันนี้เป็นเพราะต้องการชิงมอบของขวัญให้ข้าเป็นคนแรกอย่างนั้นรึ?” ข้าหันกลับไปมองเขาพร้อมกับยิ้มกว้างอารมณ์ดีอย่างยิ่ง มองไปรอบๆ ก็รับรู้ได้ถึงการเอาใจใส่และให้ความสำคัญของเขา จะไม่ให้ข้าปลาบปลื้มแทบตายได้อย่างไร
ปลายนิ้วสากลูบไล้ริมฝีปากของข้า นัยน์ตาคมที่หลุบมองตามการเคลื่อนไหวของปลายนิ้ว เขามิได้เอ่ยตอบใดๆ เหมือนเคย ข้าหลุบตามองนิ้วมือที่เริ่มจะหมกมุ่นเกินธรรมดา ข้าอ้าปากงับปลายนิ้วของเขาเข้าไปในปากอย่างเผลอตัว พอทำไปข้าก็พลันตื่นตระหนก ดวงตางดงามคู่นั้นชำเลืองมองขึ้นมาอย่างแช่มช้อย ระลอกความร้อนจากดวงตาของเขาทำให้ข้าหน้าร้อนผ่าว หัวใจเต้นระรัวรีบปล่อยปลายนิ้วของเขาแล้วผละถอยหนี แต่ไม่ทันจะได้เคลื่อนตัวก็ถูกร่างสูงใหญ่โอบล้อมเบียดแนบชิด เจ้าแมวชิงความได้เปรียบก้มหน้าเข้ามาจุมพิตข้าไม่ยอมให้ขัดขืน
ข้าถูกเขาโยนความรุ่มร้อนและอ่อนหวานใส่อย่างจัง ในหัวมึนงงและว่างเปล่า มีเพียงการเคลื่อนไหวและเสียงครวญครางแผ่วเบาล่องลอยระหว่างเราสองคน จนกระทั่งข้าถูกช่วงชิงเรี่ยวแรงจนตัวอ่อนยวบฉินอ๋องถึงยอมผละริมฝีปาก แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยมือไปจากตัวข้า เขาขยับตัวขึ้นคร่อมร่างของข้าแล้วก้มตัวลงมากระซิบเสียงแหบพร่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ และพร่าสั่นไปด้วยความปรารถนาอันเข้มข้น
“พรุ่งนี้ข้าจะพิสูจน์ความจริงใจที่มีต่อเจ้า”
หมายความว่าอย่างไร? พิสูจน์ความจริงใจอย่างนั้นรึ? จะพิสูจน์อย่างไร? ข้ามัวแต่ครุ่นคิดตามคำพูดของเขา รู้ตัวอีกทีก็ถูกอีกฝ่ายกลืนกินเรียวปากไปอีกรอบแล้ว ความดึงดันเอาแต่ใจของฉินอ๋องทำให้ข้าไม่มีเวลาคิดสิ่งใดต่อ ข้าถูกจุมพิตและหยอกล้อจนหายใจหอบเครือ ท่ามกลางความเงียบงันของทะเลสาบหลันเซ่อข้าคล้ายได้ยินเสียงลมหายใจกระเส่าอย่างเปี่ยมสุข
หลังจากคลอเคลียหยอกเย้าจนข้าแทบจะหมดแรง ฉินอ๋องผู้ฉวยโอกาสตักตวงความสุขก็ยอมปล่อยให้ข้าเป็นอิสระ หรือว่าห่างกันไปหลายวันทำให้เจ้าแมวสะสมความตึงเครียดไว้มากมาย เขาเรียกร้องให้ข้าทำอย่างนั้นอย่างนี้ไม่หยุด ตกลงใช่เป็นวันเกิดของข้าหรือวันเกิดของเขากันแน่? ไยข้าถึงได้รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นของขวัญของเขาไปเสียอย่างนั้น
เจ้าแมวช่วยข้าสวมใส่เสื้อผ้าจนเรียบร้อย ข้าลอบชำเลืองมองเขาอยู่เงียบๆ อันที่จริงข้านั้นก็มิได้ขัดข้องหากเขาจะทำมากกว่าช่วยกันปลดปล่อยความต้องการให้แก่กัน แต่ฉินอ๋องกลับไม่ยอมแตะต้องจนกระทั่งถึงการร่วมภิรมย์อย่างจริงจัง ข้าทั้งเสียดายและโล่งใจไปพร้อมกัน รู้สึกว่าตัวเองดูสับสนอย่างไรพิกล ฉินอ๋องหยิบเซียวหยกมาจรดริมฝีปากแล้วเริ่มเป่าเป็นเพลง ข้านั่งมองดูเขาอย่างเพลิดเพลิน ทุกครั้งที่เห็นเขาเล่นดนตรีก็มักจะเผลอตัวจ้องมองเช่นนี้เสียทุกครั้ง
ข้านี่หลงบุรุษผู้นี้หัวปักหัวปำจริงๆ!
เดี๋ยวนะ ไปสัญญาว่าจะอัพทุกวันตอนไหนคะ ไม่เคยเลย แค่บอกว่าพยายาม...พยายามค่ะ 5555
ตอนนี้หวานไปเบาๆ ค่ะ กลัวคนอ่านจะเบาหวานขึ้นตา //สาบานว่านี่เบาแล้วเหรอ?
มีคนถามเข้ามาว่าปอยอัพนิยายยังไง บอกตามตรง...อัพแบบตามใจฉันค่ะ หึๆ
ไม่มีเวลาระบุเป็นกฎเกณฑ์หรือวันไหนจะอัพ แต่งเสร็จตอนไหนก็อัพตอนนั้นเลย
อยากถามอะไรก็ถามมาเลยค่ะ ตอบได้ก็จะตอบ ถ้าไม่ลืมไปเสียก่อน โฮะๆๆๆ
ปล. ตอนหน้าขอเรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วมแห่ขบวนสู่ขอของอ๋องแมวเจ้าค่ะ
สู่ขอคือวิธีพิสูจน์ความจริงใจที่ดีที่สุดแล้วเจ้าแมว! ถิงถิงโดนเอ็งเล็มไปเท่าไรแล้ว ห๊ะ!
นี่คือคำสั่งของเปิ่นซัวเจีย(ข้านักเขียนผู้นี้) จงทำซะ!!!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ภาพสวยคนวาดเก่งเอาลงในรูปเล่มรึเปล่า ใจละลาย
ฮ่าฮ่าฮ่า
พอมีบทละจัดเต็มมาก ดูจากคำบรรยายแล้วถิงถิงเหมือนจะหลงบุรุษคนนี้จนเกินจะเยียวยาแล้ว 55555 คนอ่านก็คงจะเช่นกัน เจ้าอ๋องแมวผู้น่าชัง
ปีใหม่แล้ว ขอให้ปอยสมหวังในทุกๆเรื่องนะคะ