ตอนที่ 66 : ตอนที่ ๖๓ งานประชันบุปผชาติ
ตอนที่ ๖๓ งานประชันบุปผชาติ
“นะ...นี่มันอะไรกัน...”
ข้ามองท่านแม่หายตัวเข้าไปในรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวแล่นผ่านหน้าไป ข้ามองตามรถม้าสกุลเซี่ยอยู่เนิ่นนานก็ยังหาเสียงตนเองมิเจอ นี่มันอันใดกัน!? เหตุใดท่านแม่กับฉินอ๋องถึงได้...หมายความว่าอย่างไรกัน!? ข้าสะบัดหน้ากลับมาเบิกตาจ้องมองเจ้าแมวที่ยืนตัวทำหน้านิ่งราวกับมิได้เจ็บปวดใดๆ ทั้งที่เลือดไหลเปื้อนไปครึ่งหน้าแล้ว รอยแผลจากแส้สีชาดนั้นบาดลึกสาหัสยิ่งนัก โดยเฉพาะแผลที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขา เพียงมองยังรู้สึกเจ็บแทน
“รีบขึ้นรถม้าเถิด ข้าจะรักษาให้ท่าน”
ข้าอยากจะจี้ถามตรงนี้ให้รู้เรื่องยิ่งนัก แต่พอเห็นอาการบาดเจ็บมิใช่น้อยของเขาแล้วก็ใจอ่อน เอาเถิด เรื่องถามจะถามเมื่อใดย่อมขึ้นอยู่กับเวลา ตอนนี้ควรจะรักษาบาดแผลเสียก่อน หากปล่อยเอาไว้นานเลือดไหลมากเกินไปอาจตายได้ แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ส่งเสียงร้องหรือแสดงอาการเจ็บปวดแต่คนสติดีย่อมรู้ว่ามันสาหัสแค่ไหน
ฉินอ๋องพยักหน้าปีนขึ้นรถม้า มีคนขับรถม้าที่หน้าซีดหวาดกลัวแทนเจ้านายช่วยพยุงขึ้นรถม้า ข้ากำลังจะตามขึ้นไปกลับมีเสียงคร่ำครวญของบุรุษผู้ถูกหลงลืมรั้งเอาไว้เสียก่อน ข้าหันไปมองส่านอ๋องที่วิ่งมาหยุดตรงหน้าแล้วร้องไห้ฟูมฟายเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ตนเองอย่างรู้สึกผิด ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นข้าก็ลืมเขาไปเสียสนิท ข้าเอ่ยขอโทษเร่งให้อีกฝ่ายขึ้นรถม้าเพื่อจะรีบไปรักษาแผลพี่ชายของเขา ส่านอ๋องพยักหน้าเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เขากระโดดขึ้นรถม้า ข้าเองก็รีบตามไป
ในรถม้าฉินอ๋องนั่งพิงมุมนิ่งเงียบ ไม่มีท่าทีเหมือนคนได้รับบาดเจ็บปางตาย หากเป็นผู้อื่นคงจะร้องครวญอย่างเจ็บปวดเจียนตายแล้ว แต่สำหรับอ๋องผู้เรียกกล่าวขานว่าเป็นปีศาจสงครามกลับทำเพียงนั่งทำหน้าเย็น ทำราวกับว่าเลือดแดงฉาดบนตัวนั้นเป็นของผู้อื่น ส่านอ๋องเห็นบาดแผลของพี่ชายแล้วขมวดคิ้วฉับ เขาพ่นลมหายใจพึมพำต่อว่าคนลงมืออย่างหัวเสีย
“ถึงแม้ว่าท่านพี่จะลักลอบไปหาจิ้งถิงจะเป็นเรื่องจริงก็เถิด แต่อำมาตย์เซี่ยไม่ควรลงมือทำร้ายท่านพี่รุนแรงเพียงนี้ ท่านพี่มิใช่คนธรรมดาสามัญ เป็นถึงอ๋อง โอรสขององค์ฮ่องเต้ เขามิเกรงกลัวพระราชอาญาหรืออย่างไร? หรือถือดีว่าเป็นคนสนิทของเสด็จพ่องั้นรึ? อีกอย่างดันเดินออกไปทั้งที่ยังมิได้จ่ายเงินค่าอาหาร เป็นข้าต้องควักเงินจ่ายให้ มันใช้ได้เสียที่ไหน!?”
ส่านอ๋องกัดฟันกรอด แววตาเต็มไปด้วยความคั่งแค้นสุดหัวใจ
ที่บ่นๆ เหมือนห่วงพี่ชายในตอนแรกนั้นมิใช่ประเด็นหลัก ประเด็นสำคัญอยู่ประโยคหลังต่างหาก เพียงแค่โดนหลอกให้จ่ายค่าอาหารมื้อเดียวอ๋องผู้มีบรรยากาศเรียบง่ายสง่างามถึงกับกัดฟันกรอดๆ ข้ามองส่านอ๋องเพียงแวบเดียว จดจ่อสมาธิกับเจ้าแมวที่เอนตัวพิงหมอนอิง ข้าสร้างอาณาเขตออกมาประมาณกล่องสี่เหลี่ยมสองฝ่ามือ ค่อยๆ เคลื่อนมันไปที่บาดแผลบนใบหน้าของเขา พึมพำออกคำสั่งรักษา บาดแผลเหวอะหวะนั้นก็ค่อยๆ สมานเข้าหากันทีละนิดทีละน้อยจนกระทั่งหายสนิทเป็นปกติ ข้าทยอยรักษาบาดแผลอื่นๆ ตามตัวที่สาหัสไม่แพ้กัน
ท่านพ่อลงมือได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก!
ข้าพยายามรักษาเท่าที่เห็นด้วยตาเปล่า เสื้อผ้าหนาปกปิดร่างกายกำยำไว้ จึงไม่อาจทราบได้ว่ามีบาดแผลตรงที่ใดบ้าง ฉินอ๋องยังคงหลับตานิ่งคล้ายจะหลับไปแล้ว แต่ทว่าข้ารู้ว่าเขายังมิได้หลับ เพียงแค่ปิดตานิ่งๆ เท่านั้น
“ยังเหลือบาดแผลอยู่หรือไม่?”
ฉินอ๋องส่งเสียงตอบกลับมาสั้นๆ ข้าจ้องมองใบหน้าเปื้อนเลือดด้วยสายตาเป็นกังวล เขาเป็นอันใดกัน ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถม้าก็ไม่ยอมพูดจาใดๆ หรือเจ็บมากจนพูดมิได้ ข้าครุ่นคิดอยู่ชั่วระยะหนึ่งก่อนนึกขึ้นมาได้ว่ายังเหลือบาดแผลที่ด้านหลัง ข้าดึงเจ้าแมวขี้เซาผิดเวลาขึ้นมานั่ง ให้เขาหันหลังแต่อีกฝ่ายกลับอิดออดไม่ยอมทำ ข้าจ้องดวงหน้าเย็นเยือกที่นิ่งเฉยก็ชักจะหงุดหงิด ก่อนจะรู้ตัวข้าก็ได้ลงมือตีเจ้าแมวดื้อไปเพี้ยะหนึ่งแล้วสั่งให้เขารีบหันหลังเสียงเฉียบขาด
ฉินอ๋องตอนโดนตีนั้นช่างน่าเอ็นดูจริงๆ หากมิใช่กำลังทำหน้าจริงจังข่มขู่อยู่ข้าคงหลุดขำออกไปแล้ว มันคล้ายแมวกำลังก่อกวนเล่นตามใจตนเองแต่พอถูกดุก็ตกใจสับสนว่าตนเองทำอันใดผิด พอเขาหันหลังมาข้าเกือบอุทานออกมาก่อนจะต่อว่าบิดาของตนเอง ท่านพ่อบ้าบอ! หลังของฉินอ๋องมีบาดแผลเหวอะยับเยินทั่วแผ่นหลัง แม้สวมเสื้อผ้าหนาก็ยังถูกหวดจนขาดวิ่น ข้าเม้มปากแตะปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังของเขาเบาๆ หลุบตาลงต่ำ รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า
“ท่านไม่เจ็บหรืออย่างไร?”
เป็นถึงขนาดนี้ยังทำตัวปกติราวกับไม่เจ็บไม่ปวดอยู่อีก นี่เขาโดนยกย่องกว่าเป็นปีศาจสงครามเสียจนเลอะเลือนกระมัง ลืมไปว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเขาก็เป็นคนมีเลือดมีเนื้อผู้หนึ่ง ส่านอ๋องสูดลมหายใจเข้าเสียงดังทันทีที่เห็นบาดแผลของพี่ชาย เขาหน้าซีดคล้ายจะเป็นลมแทนพี่ชายของเขา
ฉินอ๋องไม่ตอบอะไร เขานั่งเงียบเหมือนเดิม ข้าถอนหายใจไม่เซ้าซี้ถามอันใดต่ออีก ลงมือรักษาบาดแผลทันที ชั่วอึดใจบาดแผลก็สมานตัวหายสนิทราวกับไม่เคยมีบาดแผลใดๆ มาก่อน เสื้อผ้าที่ขาดกระจุยข้าก็ใช้พลังเยว่ตี้ซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม พร้อมกับชำระคราบโลหิตตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าออกไปด้วย
“แปลก อำมาตย์เซี่ยมิได้ใช้พลังลมปราณแม้แต่น้อย อีกทั้งท่านพี่มีพลังลมปราณที่แข็งแกร่ง มิได้ใช้ปกป้องตนเองงั้นรึ? เหตุใดถึงได้บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้เล่า?” ส่านอ๋องลูบคางทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะโพล่งข้อสงสัยของเขาขึ้นมาท่ามกลางความเงียบของรถม้าที่แล่นไปตามถนน
พอได้ยินเช่นนั้นข้าก็ชะงักปลายนิ้วที่ลูบไล้ปลอบประโลมเรือนร่างล่ำสัน ฉุกคิดตามสิ่งที่ส่านอ๋องกล่าวออกมา ความสงสัยของข้าพุ่งขึ้นสูงทะลุเพดาน ข้าเหลือบไปมองเจ้าแมวที่ลืมตาขึ้นมาแล้วจ้องมองน้องชายอย่างดุร้าย ส่านอ๋องอ้าปากเหวอก่อนที่เขาจะทันคิดอันใดออกมา รีบส่งสายตาปริบๆ เป็นเชิงขออภัยแล้วหดตัวหลบสายตาพิฆาต กลิ้งตัวไปนอนตะแคงหันหน้าเข้าผนังรถม้า โบกมือไปมาราวกับกำลังจะบอกว่าตนเองไม่รู้ไม่เห็นใดๆ ทั้งสิ้น
ข้าเรียกสายตากลับมาที่ตนเอง ก้มมองมือที่กำเสื้อไว้แน่น ริมฝีปากเม้มแน่น ถึงแม้ข้าจะไม่ฉลาดมากนัก แต่เรื่องนี้ก็พอคาดเดาได้สองสามส่วน ข้าตกใจแทบตาย! กลับกลายเป็นว่าเขาจงใจปล่อยให้ท่านพ่อทำร้ายโดยไม่ป้องกันตนเองเลย หากฉินอ๋องใช้พลังลมปราณคุ้มกันตัวเอง ต่อให้ท่านแม่มาฟาดแส้เองก็ยังพูดไม่เต็มปากว่าจะทำอันตรายเขาได้ ข้าอุตส่าห์เป็นห่วง!
นี่มันน่าโมโหเกินไปแล้ว! แมวเจ้าเล่ห์พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส! พอคิดย้อนไปตอนที่ข้าผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดถลาเข้าไปปกป้องเขา พร้อมทั้งยังได้พูดเรื่องน่าอายมากมายต่อหน้าผู้คนอีก นี่มัน...ข้ากัดฟันกรอด ทั้งอายทั้งโมโหจนหน้าแดงก่ำไปหมด ขาดเพียงควันพวยพุ่งออกจากศีรษะเท่านั้น
ข้าตวัดดวงตาที่คุโชนเพลิงเดือดดาลไปแผดเผาเจ้าแมวกะล่อนตัวดี
“จงอธิบายมา อย่าได้คิดปิดบังสิ่งใดกับข้า” ข้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นานถึงสามารถพูดออกไปได้ เสียงลอดไรฟันแข็งกร้าวไม่ยอมผ่อนปรนใดๆ อย่างไรเสียมันก็เกิดไปแล้ว อยากจะกู้หน้ากู้ตากลับมาก็คงมิทัน เรื่องน่าอายเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด แต่ข้าจะต้องล่วงรู้ความจริงทั้งหมดให้ได้
ฉินอ๋องมองข้าอยู่เนิ่นนาน ใบหน้านิ่งเยือกเย็นนั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา นัยน์ตาคมกริบยังคงหยั่งถึงยาก ยิ่งเห็นท่าทางไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ของเขาข้าก็เหมือนถูกกระตุ้นโทสะ ข้าโกรธจริงๆ แล้วนะ! เขาไม่รู้ตัวเลยหรือว่าทำผิดอันใดลงไป!? ข้ามิได้โกรธเขาที่เป็นต้นคิดละครงิ้วครั้งนี้ แต่ข้าโกรธเขาที่เจ็บตัวหนักเช่นนี้ต่างหาก!
“ข้าอยากจะประกาศกับพวกมันทุกคนให้ได้รับรู้ว่าเจ้าเป็นของข้าผู้นี้แต่เพียงผู้เดียว แม้ว่าเรื่องนี้ข้าจะมิใช่คนต้นคิดแต่มันก็ช่างตรงใจข้านัก ข้าจึงตามน้ำไปมิได้ขัด เจ็บนิดเจ็บหน่อยจะเป็นไรไป” ฉินอ๋องสีหน้าดุร้ายก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มข่มขู่ผู้คนที่จะมาแย่งเนื้อชิ้นดีไปจากอุ้งมือของเขา จากนั้นก็ยักไหล่หนาเอ่ยเสียงราบเรียบไร้ท่าทีสำนึกผิดอย่างสิ้นเชิง
“อ้อ เจ็บนิดเจ็บหน่อย? เก่งกาจเพียงนี้น่าจะอยู่คนเดียวได้สักอาทิตย์สองอาทิตย์” ข้าตอบรับเสียงต่ำเย็นเยียบ ก่อนจะส่งยิ้มที่ปั้นแต่งให้อ่อนหวานหยาดเยิ้มให้ไปเขา ฉินอ๋องเหลือบมามองข้า ใบหน้านิ่งแปรเปลี่ยน มันเจือความตกใจเข้าไปจางๆ ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งเข้ามาคลุกวงใน ทำแววตาเศร้าสลดอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“จิ้งถิง ข้าผิดไปแล้ว จิ้งถิง ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว จิ้งถิง”
ข้าทำคอแข็งกอดอกเชิดหน้าไม่ยอมใจอ่อนให้แก่แมวเจ้าเล่ห์ที่พยายามเรียกร้องความสนใจอย่างหนัก ทั้งเกลือกกลิ้งไปบนตัวของข้า ส่งเสียงหง่าวๆ อ้อนวอนให้อภัยราวกับจะขาดใจ ใช้ปลายนิ้วสะกิดแขนข้าเบาๆ อยู่หลายครั้ง ดวงตาที่นิ่งเย็นเยือกนั้นก็เต็มไปด้วยความโศกสลดสำนึกผิด
ส่านอ๋องชำเลืองมาเห็นก็ทำหน้าตกตะลึง เขาส่ายหน้าไปมาแล้วตบหน้าตนเองทรุดตัวลงนอน พึมพำเสียเบาราวกับกำลังสะกดจิตตนเอง
“ข้าต้องฝันอยู่แน่ ฝันแน่ๆ ท่านพี่ไม่มีทางทำเช่นนี้ ไม่มีทาง ไม่เด็ดขาด”
“จิ้งถิง...”
จิ้งถิงๆ อยู่นั่นแหละ!
ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันไปช้อนตามองเจ้าแมววายร้ายที่จ้องมองข้าอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเย็นชาแต่ทำไมมันดูหงอยเหงาเช่นนั้น ดวงตางดงามจ้องมองมาอย่างวิงวอนชวนเห็นใจ ผนวกกับเสียงทุ้มต่ำที่เอื้อนเอ่ยชื่อของข้าซ้ำๆ มันสั่นไหวน้อยๆ ราวกับจะขาดใจเสียให้ได้ ข้านิ่งงันไปในทันที เหมือนถูกโจมตีเข้ากลางใจอย่างจัง ข้าเม้มปากพยายามทำเสียงแข็งที่สุดแต่มันเหมือนอ่อนยวบไม่มีความน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
[มองตาข้า เจ้าจะรู้ว่าข้าเสียใจเพียงใด] ในใจ:ติดกับข้าละจิ้งถิง!
“อย่าทำอีกเล่า หากท่านยอมเจ็บตัวเช่นนี้อีก ไม่งั้นข้าจะไม่ไปหาท่านอีก”
“ข้ารับปาก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากเห็นข้าบาดเจ็บ เพราะเจ้ารักข้าใช่หรือไม่?” พริบตาเจ้าแมวตัวร้ายก็กลับมาเริงร่า ไม่มีวี่แววโศกเศร้าเหมือนเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังฉวยโอกาสถามข้าอย่างแนบเนียน ข้าผลักเขาออกไปแล้วเหลือบมองด้วยใบหน้าบึ้งตึง หึ! วันนี้ข้าถูกหลอกให้พูดไปแล้ว อย่าหวังว่าจะหลอกให้พูดคำนั้นอีก!
คนโดนผลักทำสายตาหงอยเหงาตัดพ้อมา ข้าเห็นแล้วขัดตาเป็นอย่างยิ่ง เชอะ! อย่าคิดว่าหน้าแมวหงอยนั่นจะทำให้ข้าใจอ่อนทุกครั้งนะ! ข้าไม่สนใจเจ้าแมวที่พยายามเรียกร้องความสนใจ กลับมาขบคิดเรื่องเดิมต่อ จากที่ฉินอ๋องได้กล่าวมา เขามิใช่คนต้นคิด แล้วจะเป็นใครกันเล่า ท่านพ่ออย่างนั้นรึ? ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าจะต้องเป็น...ท่านแม่เป็นแน่!
พอคิดถึงท่านแม่ข้าก็คิดบางอย่างออก
“แล้วท่านมองเห็น...ท่านแม่ของข้างั้นรึ? ตอนที่อยู่หน้าโรงเตี๊ยมท่านและนาง...”
“อืม” ฉินอ๋องพยักหน้าตอบมาในทันที ไม่คิดทบทวนอันใดก่อน ข้าแอบผงะตกใจ เขาเห็นอย่างนั้นรึ!? ฉินอ๋องมองเห็นมารดาผู้นั้นของข้า!? แล้ว...แล้วเขาเห็นตั้งแต่เมื่อไรกัน? ยังไม่ทันที่ข้าจะได้ถามข้อสงสัยออกไป ฉินอ๋องก็ชิงอธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกของเขา
“ข้าสัมผัสจี้หินบนสร้อยคอของเจ้า จากนั้นก็เห็นสตรีผู้นั้น ตอนแรกตกใจอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็คุ้นชิน”
“แล้วไยท่านไม่บอกข้าเล่า อีกอย่างท่านไม่สงสัยเลยรึว่าเพราะอันใดมารดาข้านางถึงเป็นเช่นนั้น...”
“หากไม่เป็นอันตรายต่อเจ้า ข้าก็ไม่สนใจนักหรอก” ฉินอ๋องส่ายหน้าแล้วเอ่ยไม่สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับมารดาของข้า แม้จะแปลกใจแต่ข้าก็รู้สึกโล่งอก หากเขาอยากรู้ขึ้นมาข้าคงต้องอธิบายลำบากเป็นแน่ ว่าแต่เขาไปสัมผัสหินซับจันทราเมื่อไรกัน? ข้าพยายามครุ่นคิดแต่ก็คิดมิออก ช่างเถิด ข้าใส่สร้อยเส้นนี้แทบจะตลอดเวลา บางทีเขาอาจจะจับดูยามข้าเผลอหรือนอนหลับก็เป็นไปได้
ข้าพ่นลมหายใจแล้วหลับตาลง ไม่นานนักข้าก็กลับมาสงบนิ่งเช่นปกติ ฉินอ๋องเอื้อมมือมากุมมือทั้งสองของข้าเอาไว้ พอข้าลืมตาขึ้นมาก็เห็นดวงหน้างดงามไร้ที่ติของเขาโน้มเข้ามาใกล้ มันทำให้ข้ารู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจสั่นไหว ให้ตายเถิด ดวงหน้านี้ช่างหล่อเหลามอมเมาผู้คนทั่วหล้าจริงๆ ไม่ต้องถามถึงข้าที่หลงจนโงหัวไม่ขึ้น นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ท่านพ่อจงใจฟาดแส้ใส่หน้าของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าก็เป็นไปได้
คิ้วเข้มเลิกคิ้วเล็กน้อย ริมฝีปากได้รูปสวยเอื้อนเอ่ยถามออกมาอย่างฉงนใจ
“จิ้งถิง เจ้าไม่ดีใจอย่างนั้นรึ? พวกเราสามารถคบกันอย่างเปิดเผยได้แล้ว อีกทั้งบิดาของเจ้ายังยอมรับข้าอย่างที่เจ้าปรารถนา ไยเจ้าถึงดูไม่ค่อยดีใจนัก?”
ข้าหลุบตามองมือหนาที่เกาะกุมมือของข้าอย่างอ่อนโยน ในอกเปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นอ่อนหวานแต่ในใจข้านั้นกลับขมเฝื่อน สองมือคู่นี้สังหารศัตรูของแคว้นฉิงมานักต่อนัก แสดงความร้ายกาจและแข็งแกร่งออกมาจนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพ มือที่หยาบกร้านเกิดจากการคลั่งไคล้การต่อสู้ตรากตรำฝึกฝนพลังยิ่งกว่าผู้ใด ผู้คนเรียกขานว่าเป็นปีศาจสงคราม อนาคตของเขานั้นก้าวไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เจ้าแมวโง่ตัวนี้จะรู้หรือไม่ว่าการประกาศเป็นคนรักของข้าซึ่งเป็นบุรุษ เป็นการละทิ้งอนาคตรุ่งโรจน์ของเขาเอง โง่ยิ่งนัก ผู้ใดเป็นคนพูดกันว่าฉินอ๋องเป็นอัจฉริยะที่ฉลาดเฉลียวยิ่งกว่าผู้ใด โกหกทั้งเพ เขาเป็นเพียงแมวโง่งมตัวหนึ่งเท่านั้น!
“เป็นอันใด? กังวลอยู่รึ?”
ข้าพยักหน้า ไม่คิดจะปกปิดความกังวลและเศร้าใจที่ก่อตัวขึ้น ฉินอ๋องปล่อยมือแล้วรั้งตัวข้าเข้าไปกอด ข้าซุกใบหน้าเข้าแผงอกแข็งแกร่งสูดกลิ่นหอมเย็นๆ ราวกับหิมะเย็นฉ่ำของเขาแล้วหลับตาฟังเสียงราบเรียบเยือกเย็น
“อย่ากังวล ข้าจะจัดการทุกอย่างให้ผ่านไปได้ด้วยดีเอง เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวคนรักของเจ้าสิ”
ข้าถอนหายใจมองคนที่ฉวยโอกาสจูบแก้มข้าแล้วซุกหน้าเข้าซอกคอผู้อื่น เจ้าแมวซุกหน้าหลับตาพริ้มหลังจากพูดโอ้อวดตนเอง จะให้เชื่อมั่นในตัวแมวโง่ๆ ที่เอะอะลวนลามผู้อื่นเช่นเขางั้นรึ!? หึ!
“จิ้งถิง ไยตัวเจ้าหอมเช่นนี้นะ?” เจ้าแมวลามกถูกจมูกไปมาก่อนจะเงยหน้ามาเอ่ยเสียงแหบพร่าสั่นไหว ลมหายใจร้อนผ่าวติดขัด แววตาของเขาคล้ายจะเข้มขึ้น ข้าสะดุ้งโหยง รีบดันศีรษะที่กำลังเลยเถิดกว่าการซุกไซ้ธรรมดา บ้าจริง เจ้าแมวลามกนี่! ไม่เห็นรึว่าน้องชายตนเองกำลังลอบมองด้วยแววตาวาวแสงอยู่ ข้าไม่อยากมีพยานรู้เห็นตอนพลอดรักหรอกนะ
“ทำตัวดีๆ หน่อย ไม่งั้นคืนนี้ท่านจะได้นอนผู้เดียว” ข้ากระซิบข่มขู่เสียงแผ่วเบา มิให้คนนอนตะแคงหูผึ่งอยู่อีกด้านได้ยิน
เจ้าแมวทำฮึดฮัดที่โดนขัดใจ อิดออดไม่ยอมปล่อยตัวข้าจนต้องใช้ศอกกระทู้เตือน เขาถึงยอมตัดใจคลายแขนที่รัดตัวข้าไว้แน่นยิ่งกว่าอสรพิษรัดเหยื่อของมัน ข้าถอนหายใจโล่งอก รีบผละออกมาหาที่มั่นของตนเอง พอหันกลับไปมองเจ้าแมวที่ทำนิ่งแต่รอบตัวเต็มไปไอเย็นเยียบชวนขนลุก นัยน์ตาเรียวคมจ้องส่านอ๋องเขม็งราวกับจะจับน้องชายกลืนลงท้อง
คนโดนจ้องพยายามเบียดกายแทบจะหลอมเข้ากับผนังรถม้า เอื้อมมือมาลูบหลังของตนเอง คาดว่าคงจะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ที่ถูกพี่ชายจ้องคาดโทษฐาน ข้าแอบสงสารส่านอ๋องมิใช่น้อย หวังว่าเขาจะรอดปลอดภัยจนไปถึงวังหย่งฝูของเขา กลับไปหาป่าไม้อย่างอวัยวะครบทุกส่วน มิโดนเจ้าแมวลากไปกำจัดทิ้งเสียก่อน
หลังจากที่ส่านอ๋องวิ่งบึ่งเข้าวังหย่งฝูอย่างปลอดภัย ฉินอ๋องก็มาส่งข้ายังจวนสกุลเซี่ย ล่ำลากันอยู่เนิ่นนานจนท่านพ่ออดไม่ไหวจับข้าลากเข้าไปในจวนพร้อมทั้งปิดประตูจวนใส่หน้าเจ้าแมว คืนนั้นข้ารู้สึกเหนื่อยกว่าปกติจึงนอนหลับไปถึงเช้ามิได้ไปหาฉินอ๋องแต่อย่างใด
หลัวจากวันที่เกิดเหตุในโรงเตี๊ยมข้าก็มิได้ออกไปจากจวนเลย เพราะมิอยากได้ยินหรือให้ผู้คนชี้ไม้ชี้มือชวนกันดูราวกับเป็นตัวประหลาด ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เห็นข้าโวยวายอันใดก็เผลอทำหน้าชวนหัวออกมา ข้าเกือบหัวเราะอยู่แล้วแต่เกรงว่าพวกท่านจะเข้าใจผิดว่าข้าเยาะเย้ย ดังนั้นจึงพยายามกลั้นขำไว้เต็มที่พร้อมกับโบกมือเอ่ยบอกว่าไม่ถือโทษโกรธเคือง
พอมาคิดๆ แล้วทั้งสองก็ทำเพื่อข้าผู้เป็นลูก แม้ว่าท่านพ่อก็แอบใส่แรงจูงใจส่วนตัวไปบ้าง แต่รวมๆ แล้วพวกท่านทำเพื่อความสุขของบุตรชาย โชคดีเพียงใดที่ท่านพ่อเห็นแก่ความสุขของข้า ยอมตัดขั้วหัวใจตนเองปล่อยมือบุตรชายไป ไม่ขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฉินอ๋องแล้ว แม้ท่านจะยังคงหาเรื่องรังแกฉินอ๋องไม่หยุดไม่หย่อนก็ตาม
หลังเกิดเหตุเพียงแค่วันเดียวเหล่าขุนนางที่ไม่ชอบใจท่านพ่อนัก รวมตัวกันเขียนฎีกาทูลต่อองค์ฮ่องเต้รายงานความผิดของท่านพ่อ โทษฐานจงใจทำร้ายราชนิกุลให้ถึงแก่ความตาย ความตายอันใดกัน ข้ายังเห็นเจ้าแมวเดินเชิดหน้าชูตามาเยือนจวนสกุลเซี่ย แทบจะขอพักค้างแรมจนท่านต้องมาใช้ไม้กวาดไล่กลับไป
ข้ากังวลอยู่เล็กน้อยตอนที่มีราชโองการเรียกตัวท่านพ่อเข้าเฝ้า ท่านแม่เล่าให้ฟังว่าขุนนางพวกนั้นโจมตีท่านพ่ออย่างหนัก ฮ่องเต้คล้ายจะเอนเอียงเห็นดีเห็นงามกับคนพวกนั้นด้วย หลังจากขุนนางพวกนั้นถ่มถุยความผิดที่อ้างว่าร้ายแรงจบฮ่องเต้กำลังมอบบทลงโทษ ตอนนั้นเองท่านพ่อก็ชิงขอพระราชทานอภัยโทษ พร้อมกับกล่าวว่าจะลงโทษตนเองด้วยการงดรับเงินเดือนหนึ่งปี และกักบริเวณตนเองไม่ออกไปจากจวนเป็นเวลาหกเดือนเต็ม
ฮ่องเต้ที่กำลังยิ้มกระหยิ่ม คิดจะลงโทษให้ท่านพ่อทำงานชดใช้อย่างหนักต้องหุบยิ้มลงฉับ ท่านแม่เล่าไปหัวเราะน้ำตาเล็ดไปด้วย นางกล่าวว่าสีหน้าฮ่องเต้ตอนนั้นน่าหัวร่อเป็นที่สุด
เหล่าขุนนางที่เป็นคนยื่นเรื่องฟ้องร้องไม่พอใจ กล่าวว่าโทษที่ท่านพ่อขอจากฮ่องเต้นั้นเบาเกินไป พวกเขาต้องการให้ท่านพ่อถูกถอดถอนตำแหน่ง ฮ่องเต้ได้ยินก็พิโรธฟ้าสั่นสะเทือน ทำเอาคนพวกนั้นกลัวหัวหดไม่กล้าพูดอันใดอีก ตอนแรกท่านพ่อยืนยันหนักแน่นว่าต้องการสำนึกผิดที่จวนไม่พบปะผู้คน สุดท้ายฮ่องเต้ต้องต่อรองลดโทษกักบริเวณ อนุโลมให้เพิ่มวังหลวงเข้าไปในพื้นที่กักบริเวณด้วย ทำให้คล้ายกับว่ามิได้ถูกลงโทษใดๆ เลย
ท่านพ่อยังคงปลอดภัยดีทุกประการ
ข้ายอมออกมาจากจวนหลังจากผ่านพ้นเกิดเหตุที่โรงเตี๊ยมมาแล้วสี่วัน ตั้งสี่วันแล้วข่าวเรื่องนั้นคงจะซาไปบ้าง ข้าถึงกล้าออกมาเดินเที่ยวเตร่ในเมือง ข้าแวะมาเยี่ยมเยียนเสี่ยวชีพร้อมขนมรสชาติดีเช่นเดิม กิจการร้านค้าของเสี่ยวชีเป็นไปได้ดีและราบรื่นไม่มีปัญหาใด ข้ารู้สึกดีใจแทนเขาจริงๆ พวกเรานั่งจิบน้ำชากินขนมพลางสนทนาไปเรื่อยเปื่อย
“ข้าไม่คิดเลยว่าฉินอ๋องจะลงทุนลงแรงประกาศตัวต่อหน้าธารกำนัลเช่นนั้น เป็นข่าวที่โด่งดังไม่แพ้ข่าวฆาตกรโรคจิตเชียวนะ สามสี่วันมานี่ทุกคนเอาแต่คุยเรื่องนี้กันมิได้หยุดหย่อน” เสี่ยวชียกน้ำชาขึ้นจิบก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมกับอมยิ้มดวงตาเปล่งประกายวิบวับรื่นรมย์ที่มีเรื่องสนุกๆ ได้ซุบซิบ ข้าได้ยินก็หดคอลง ไม่อยากจะรับรู้เรื่องนี้เลยจริงๆ เจ็ดน้อยทำเหมือนไม่เห็นท่าทีไม่เต็มใจของข้ายังคงเล่าต่อไป
“ตอนแรกผู้คนต่างต่อต้าน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับกลายเป็นว่าทุกคนต่างชื่นชมฉินอ๋องและเจ้าไปเสียอย่างนั้น พวกเขาว่าฉินอ๋องสมกับเป็นยอดบุรุษชายชาติทหารเปิดเผยจริงใจ ข่าวลือต่างๆ นานาล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องความดีความงามของเจ้าที่ควรทำเอาไว้ เก่งกาจ งดงาม จิตใจสูงส่ง คู่ควรกับฉินอ๋องอย่างที่สุด ราวกับกิ่งทองใบหยก พวกเขายังกล่าวกันอีกว่าเจ้ากับฉินอ๋องรักใคร่จริงใจต่อกันเป็นสิ่งประเสริฐสุด ดีงามควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างที่ดี”
ข้าอ้าปากค้างหลังจากฟังความอันเหลือเชื่อจากเสี่ยวชี
“เจ้าล้อเล่นใช่หรือไม่?”
“ล้อเล่นอันใด? ข้าได้ยินมาเช่นนี้จริงๆ! เจ้าไม่เชื่อข้าหรืออย่างไร คนอุตส่าห์ออกไปรวบรวมข่าวมาให้ เชอะ!”
เรื่องจริงรึ!?
ข้าตกใจแทบสิ้นสติ นี่มันหมายความว่าอย่างไร คนพวกนั้นมิได้ต่อว่าด่าทอข้างั้นรึ? ไม่มีใครเยาะเย้ยดูถูกฉินอ๋องงั้นรึ? เหตุใดถึงกลายเป็นชื่นชมยกย่องไปได้!? เป็นไปได้อย่างนั้นหรือ!? ข้ายังคงไม่เชื่อสนิทใจ กัดริมฝีปากกังวลไม่เปลี่ยน เสี่ยวชีถอนหายใจพลางส่ายหน้าเอ่ยเตือนสติอย่างเป็นห่วง
“อย่าได้ใส่ใจคำพูดผู้อื่นนัก เหนื่อยเสียเปล่าๆ เอาเวลาที่มานั่งกลุ้มใจไปพลอดรักหวานชื่นกับท่านอ๋อง มิดีกว่ารึ?”
“พลอดรักอันใด เจ้านี่ไร้สาระยิ่งนัก” ข้าแสร้งทำหน้าบึ้งต่อว่าเจ้าเด็กน้อยที่ยิ้มล้อเลียนมาให้อย่างน่าเกลียด เสี่ยวชีทำหน้าทะเล้นก่อนจะไหวไหล่ไม่ใส่ใจคำต่อว่าของข้า ใบหน้าน่ารักก้มจิบน้ำชาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามข้าอย่างกะทันหัน
“ว่าแต่เจ้าได้ทำตามสิ่งที่ข้าสอนไว้หรือไม่?”
ข้าที่ถูกถามกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้เรื่องรู้ราวตอบกลับไป ในใจดูแคลนท่าบริการตัวอ่อนอะไรนั่น ผู้ใดจะไปฝึกดัดตัวบ้าบอนั่นอีกกันเล่า? แค่ถูกบังคับให้ฝึกในตอนนั้นก็แทบแย่แล้ว! เสี่ยวชีจ้องหน้าข้าอยู่เนิ่นนาน สายตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยถ้อยคำต่อว่านับหมื่นนับพัน ข้าทนไม่ไหว ต้องหลบสายตาเหี้ยมของสหายตัวน้อย เหงื่อไหลตามขมับอย่างลำบากใจ เสี่ยวชีทำเสียงหึขึ้นจมูก โมโหฮึดฮัดอยู่ไม่นานเขาก็ทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะแย้มยิ้มมีเลศนัยเปรยขึ้นมาเบาๆ
“เอาเถิด บอกเจ้าไปก็มีค่าเท่าเดิม คงจะต้องกำชับท่านอ๋องแทนเสียแล้วกระมัง”
คำพูดของเสี่ยวชีทำให้ข้าหนาวเยือกไปทั้งตัว จินตนาการไปว่าเจ้าแมวลามกนั้นได้ยินเรื่องบ้าบอพรรค์นี้เข้าจะมีท่าทีอย่างไรก็ชวนให้ปวดหัวยิ่งนัก ข้าพยายามห้ามปรามเพื่อนตัวน้อยที่ฉีกยิ้มกว้าง กลอกลูกตาหลุกหลิกไปมาอย่างเจ้าเล่ห์น่าชัง
“เจ้าจะไปบอกเขาเรื่องนี้มิได้!”
“เอ๋ เอาอย่างไรดีนะ? เรื่องนี้แม้จะมองว่าไม่สำคัญนัก แต่แท้จริงแล้วมันสำคัญยิ่ง ข้ารึห่วงใยสหายเก่าแต่กลับไม่ซาบซึ้ง ซ้ำยังดูถูกดูแคลน หึ! แต่จะปล่อยปละไปก็มิได้ ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมฝึกแต่โดยดี เช่นนั้นคงเหลือเพียงแต่ท่านอ๋องแล้วล่ะ ข้าไม่อยากจะก้าวก่ายแต่เจ้ากลับบังคับข้าให้ทำเช่นนี้ จะโทษใครมิได้นอกเสียจากตัวเจ้าเองนะจิ้งถิง...”
“ได้ๆ ข้าจะฝึกๆ เจ้าห้ามบอกเรื่องนี้กับฉินอ๋องเด็ดขาด ตกลงหรือไม่?”
“เจ้ารับปากแล้วนะ?” เสี่ยวชีพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มชื่นมื่นสมใจ ตรงข้ามกับข้าที่ต้องถอนหายใจหน้าซีดเผือด เอาเถิด เสียเวลาเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เจ้าแมวได้ยินเรื่องพรรค์นี้ย่อมคุ้มค่า เสี่ยวชีเหลือบมองมาที่ข้าสำรวจหาบางอย่างก่อนจะเอ่ยเกริ่นด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่สนใจนัก
“อีกสองวันจะถึงงานประชันบุปผชาติแล้ว เจ้าจะทำเช่นไรต่อ?”
“ประชันบุปผชาติ?” ข้ายกคิ้วทวนคำนั้นอย่างไม่เข้าใจ เสี่ยวชีชะงัก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองข้าด้วยสายตาละเหี่ยใจ ริมฝีปากน้อยๆ นั้นเม้มเป็นเส้นตรงราวกับกำลังอดกลั้นไม่ให้พุ่งเข้ามาตีข้า ข้าทำเสียงแหะๆ กลบเกลื่อนก่อนจะแก้ต่างให้ตนเองในใจอย่างฉุนเฉียว
ช่วงนี้มีแต่เรื่องให้อกสั่นขวัญแขวน จะไปมีเวลานึกถึงเรื่องไกลตัวเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า!? อีกอย่างข้าเป็นบุรุษจะไปรู้เรื่องงานประชันบุปผชาติได้อย่างไร แต่พอเสี่ยวชีทักท้วงขึ้นมาข้าก็เริ่มคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง งานประชันบุปผชาติเป็นงานสำคัญของเหล่าสตรีที่จัดขึ้นเพื่อสตรีโดยเฉพาะ
งานประชันบุปผชาตินั้นมีสองวันด้วยกัน วันแรกเป็นวันแสดงความสามารถเชิงศิลป์ วันที่สองเป็นวันประลองความสามารถเชิงยุทธ์ หลังจากจบงานประชันบุปผชาติก็จะเป็นเทศกาลลอยโคม ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นงานประชันบุปผชาติวันที่สาม สองวันแรกเหล่าสตรีงดงามมากฝีมือได้แสดงความสามารถมากมาย มิใช่เพื่อเพิ่มความโด่งดังและเกียรติยศเท่านั้น แต่เป็นการแสดงความสามารถให้เหล่าบุรุษได้ชื่นชม
จากนั้นก็ส่งต่อไปในวันที่สามเทศกาลลอยโคม ในวันนี้นั้นบุรุษจะมอบโคมให้แก่สตรีที่เขาพึงใจ เป็นการแสดงออกว่าเขาต้องการสานสัมพันธ์กับสตรีนางนั้น หากสตรีตกลงปลงใจด้วยนางก็จะมอบผ้าเช็ดหน้าแทนใจให้แก่บุรุษผู้นั้น ตรงกันข้ามหากไม่ชอบนางจะไม่รับโคมจากบุรุษผู้นั้น สรุปแล้วงานประชันบุปผชาตินั้นเป็นงานจับคู่หนุ่มสาวดีๆ นี่เอง!
ปีนี้เจ้าแมวย่างเข้ายี่สิบปี ตามธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์เขาจะต้องแต่งชายาเข้าวัง แต่ชีวิตที่แล้วฉินอ๋องมิได้ตบแต่งสตรีใดเข้าวังจนกระทั่งอายุยี่สิบห้าปี เขาเพียงหมั้นหมายกับคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้หนึ่ง ขนาดส่านอ๋องยังต้องแต่งชายาเมื่ออายุครบยี่สิบ หากจำมิผิดในพี่น้องของเขามีเพียงแค่ฉินอ๋องเท่านั้นที่มิได้แต่ง เจ้าแมวมิได้แต่งชายาจนกระทั่งข้าตาย
มันช่างประหลาดยิ่งนัก!
เสวี่ยผู้บาดเจ็บเลือดท่วมตัวแต่ก็ไม่ร้องสักคำ //โชว์แมน?
การเขียนทอล์คนี่ยากพอๆ กับแต่งเนื้อเรื่องเลยอะ 55555
ฉินอ๋องคงไม่สนใจงานประชันบุปผชาติอะไรนี่หรอก
คงจะจดจ่ออยู่ในวันเทศกาลลอยโคม วันเกิดถิงถิงแทน แค่กๆ
ส่วนถิงถิงนางลืมไปด้วยซ้ำว่าต้องเผชิญหน้ากับอ๋องแมวตอนครบสิบห้า
อีกอึดใจเดียวจะถึงวันเกิดถิงถิงแล้ว อดทนไว้!//บอกอ๋องแมวหรอก ไม่ใช่คนอ่าน
ปล. ตอนหน้าคนช่วยเก็บหน่อไม้มาแน่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ป.ล. ขอมอบเพลงนี้ให้ฮ่องเต้ ขาดเธอไม่ได้หัวใจขอสารภาพพพพพ 555
ปล.ถ้าไม่บอกว่าเป็นแม่ทัพคงนึกว่าเป็นนักแสดงออสการ์ เล่นใหญ่ไม่ใช้สตั้นแมน55555