ตอนที่ 65 : ตอนที่ ๖๒ งิ้วซ่อนงิ้ว
ตอนที่ ๖๒ งิ้วซ่อนงิ้ว
ทุกคนรับประทานข้าวพลางพูดคุยสนทนากันไปด้วย ดูผิวเผินแล้วเป็นภาพที่รื่นเริงธรรมดาของคนรู้จักกัน เมื่อรับประทานอิ่มก็ตามด้วยสุราชั้นดีที่กลิ่นหอมตลบอบอวล พวกเขาก้มหน้าจิบคนละจิบสองจิบแล้วพยักหน้าอิ่มเอมใจ รินสุราสังสรรค์กันต่อราวกับเป็นงานเลี้ยงขนาดหย่อม มีเพียงตัวข้าเท่านั้นที่ไม่ได้แตะสุรากลิ่นหอมแต่ฤทธิ์แรงมหันต์ เพียงยกน้ำชาจิบกลมกลืนไปกับคนอื่น
หลวนเฟิงลอบมองท่านพ่อแวบหนึ่ง ก่อนจะวางจอกสุราบนโต๊ะแล้วแสร้งถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม
“เฮ้อ”
“เป็นอันใดรึใต้เท้าหลวน?” ส่านอ๋องที่เพลิดเพลินกับจิบสุราเหลือบเห็นมือปราบมากฝีมือทอดถอนใจยาวก็อดที่จะเอ่ยถามออกไปมิได้ ข้าลอบมองพวกเขาเล็กน้อย รู้สึกไม่แปลกใจอันใดที่ส่านอ๋องจะเป็นผู้สังเกตเห็นก่อนแล้วเอ่ยถามเป็นคนแรก อันที่จริงแล้วท่านพ่อกับฉินอ๋องอาจจะสังเกตเห็นแล้วเช่นกัน แต่ทั้งสองคนมีบุคลิกปากหนักพอกัน ไม่ใช่ตัวเลือกที่จะเป็นผู้เอ่ยปากไปคนแรก
หลวนเฟิงเหลือบมองส่านอ๋องแล้วหันมองรอบโต๊ะอย่างลำบากใจ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา เขาทำหน้าเคร่งเครียดเอ่ยระบายความในใจคล้ายอดกลั้นมันมิไหวแล้ว
“เสียมารยาทต่อหน้าทุกท่านแล้ว อันที่จริงข้ามีความกังวลใจอยู่ก้อนหนึ่ง พยายามสลัดมันออกจากหัวอย่างไรก็ทำมิได้”
“เรื่องอันใดหรือ?” อ๋องหนุ่มผู้เล่นขลุ่ยสีเขียวอ่อนใบไผ่ในมือเอ่ยถาม เขายักคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าฉงนสงสัยออกมาเต็มที่
“จะเป็นเรื่องใดอีกขอรับท่านอ๋อง ย่อมเป็นเรื่องคดีธิดาใต้เท้าถัง...”
“ท่านพ่อ! ท่านเมาแล้ว!” หลวนคุนชักสีหน้าที่เคร่งขรึม รีบรั้งตัวบิดาที่กำลังเผยเรื่องงานซึ่งเป็นความลับราชการ สีหน้าของหลวนคุนทั้งตกใจและวิตกสมจริง ข้าเริ่มงุนงงว่าจริงๆ แล้วหลวนคุนไม่รู้เรื่อง หรือกำลังผสมโรงไปกับงิ้วหลงโรงครั้งนี้กันแน่?
หลวนเฟิงหันไปตีสีหน้าจริงจังและเคร่งเครียดมองบุตรชาย แรงกดดันอันหนักหน่วงจากมือปราบอันดับหนึ่งของเมืองหลวงประกายแปลบตีแสกหน้าบุตรชายจนหน้าซีดเซียว หลวนคุนเม้มปากแน่น ดวงตาที่ยังอ่อนเยาว์มีแววดื้อดึงไม่ยินยอม แต่เขาก็ยอมปล่อยมือจากบิดาแล้วนั่งนิ่ง ข้าแทบจะลุกขึ้นปรบมือกับการแสดงงิ้วที่สมจริงของพ่อลูกสกุลหลวน นี่ถ้าข้าอ่านทางไม่ขาดคงโดนงิ้วฉากนี้หลอกเข้าเต็มเปาแน่ๆ
ฝีมือร้ายกาจ!
“คดีธิดาใต้เท้าถังงั้นหรือ? เราได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง เป็นคดีที่สั่นประสาทเหลือเกิน จริงสิ หากเราจำมิผิดมิใช่ว่าใต้เท้าหลวนเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้หรอกรึ?”
“ใช่แล้วขอรับ เป็นตัวข้าที่รับผิดชอบคดีนี้ แต่...เฮ้อ ท่านอ๋อง กล่าวตามจริงตอนนี้คดีไม่คืบหน้าไปไหนเลย แม้ว่าข้าจะทุ่มเทสืบคดีมากเท่าไรก็ยิ่งเจอแต่ทางตัน ไปต่อมิได้ ต้องยอมรับว่าคนร้ายเป็นผู้มีฝีมือและฉลาดเฉลียวอย่างยิ่ง” หลวนเฟิงพยักหน้าเมื่อส่านอ๋องถามกลับมา เขาถอนหายใจอีกครั้ง คิ้วขมวดคิ้วแน่น น้ำเสียงอับจนหนทางได้อย่างสมจริง จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าไปมา
“ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วเจ้ายังมิได้เบาะแสอันใดเลยรึ?” เสียงเย็นเฉียบดังขึ้นจากบุรุษที่มีใบหน้านิ่งราวกับรูปปั้นหิน ฉินอ๋องเอ่ยราวกับไม่เชื่อคำพูดของหลวนเฟิง ดวงตาคมกริบที่มีไอเยือกเย็นไปยังท่านพ่อที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
“มิใช่ว่าคดีนี้มีท่านอำมาตย์เซี่ยร่วมรับผิดชอบด้วยรึ?”
เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าใบหน้าหล่อเหลาที่เย็นชาประดุจภูเขาน้ำแข็งดูเยาะเย้ยคนถูกพาดพิง? ข้ากะพริบตามองเจ้าแมวเขม็งแต่ใบหน้านั้นก็มีเพียงความว่างเปล่าที่น่าขนลุกเท่านั้น ท่านพ่อไม่มีท่าทีตอบรับใดๆ กับคำพูดของฉินอ๋อง เขาหลุบตาลิ้มรสสุราอย่างนิ่งสงบ เป็นหลวนเฟิงที่ค่อยๆ เอ่ยแก้ต่างแทน
“เป็นอย่างที่ท่านอ๋องกล่าว ท่านอำมาตย์เซี่ยก็ร่วมทำคดีนี้ แต่อย่างที่ได้บอกพวกเราไม่อาจจะสืบสิ่งใดได้...”
ระหว่างที่หลวนเฟิงกำลังพูดอยู่นั้นฉินอ๋องก็แสยะยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน เขายกจอกสุราขึ้นซดแล้ววางลงบนโต๊ะเสียง ตัดบทพูดของหลวนเฟิงลงฉับ สุดยอดมือปราบเหลือบมองฉินอ๋องที่จ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นเฉียบ แม้กระทั่งคนที่เผชิญหน้ากับอันตรายมานับพันครั้งอย่างหลวนเฟิงก็ยังรู้สึกกดดัน ส่านอ๋องกะพริบตาปริบๆ มองพี่ชายของเขาสลับกับหลวนเฟิงอย่างงุนงง บรรยากาศรอบข้างหนักอึ้งเป็นพิเศษ แม้กระทั่งข้าเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“อำมาตย์เซี่ยเหยียนจิ้ง ไยถึงต้องวางแผนซับซ้อนล่อพวกเรามาถึงที่นี่ ซ้ำยังรบกวนยอดฝีมือเช่นใต้เท้าหลวนมาสอบปากคำพวกเราอีก เพียงแค่ท่านว่าที่พ่อตาเอ่ยปากถามออกมา เราที่หมายจะเขยของท่านต้องอยากเอาใจตอบออกไปตามตรงอยู่แล้ว” ฉินอ๋องหัวเราะเสียงเย็นเยียบ
“แค่กๆ!”
ข้าพ่นน้ำชาที่กำลังจิบ สำลักขึ้นจมูกไอออกมาอย่างทรมาน
“อ่า...” ส่านอ๋องทำเสียงแหลมๆ ก่อนจะเม้มปากกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นเทา ผิดจากใบหน้างดงามของท่านพ่อที่บิดเบี้ยวข่มกลั้นอารมณ์เกรี้ยวกราดโมโหเอาไว้จนคิ้วกระตุก ท่านแม่ทำหน้าเบื่อๆ ตั้งแต่พ่อลูกสกุลหลวนเข้ามา ตอนนี้กลับหัวเราะลั่นจนหงายหลังร่วงจากเก้าอี้
พ่อลูกสกุลหลวนเลิกคิ้วทำหน้ามึนงงกับสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อตรงหน้า
ฉินอ๋องทำหน้านิ่งหันมาลูบหลังให้แก่ข้าอย่างเอื้อเฟื้อ ข้าโบกมือบอกปัดความหวังดีของเขาก่อนที่หน้าของท่านพ่อจะดำเป็นก้นหม้อมากไปกว่านี้ นี่มันหมายความว่าอย่างไร ท่านพ่อวางแผนให้พวกเขาทั้งหมดมาที่นี่อย่างนั้นหรือ? ทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า? ส่านอ๋องกลั้นหัวเราะจนน้ำตาไหลปาดน้ำตาออกจากใบหน้า เอ่ยถามหลวนเฟิงด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายปนหัวเราะเล็กๆ
“โธ่ ใต้เท้าหลวน อยากจะสอบถามอันใดก็จงกล่าวมาตรงๆ เถิด เหตุใดอ้อมค้อมไกลเช่นนั้น หากพอจะช่วยอันใดคดีนี้ได้เรากับท่านพี่เหวินเสวี่ยย่อมยินดีให้ความร่วมมือ”
หลวนเฟิงหัวเราะเก้อๆ กลบเกลื่อนไปเล็กน้อย
“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านอ๋องทั้งสองแล้ว”
ยอดมือปราบปั้นหน้าเคร่งขรึมสอบปากคำทั้งสองอ๋องน้ำเสียงเข้มต่างจากปกติราวกับเป็นคนละคน
“ข้าเพียงอยากจะสอบถามเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยคดีนี้ที่มีเบาะแสน้อยยิ่ง ในฐานะที่ท่านทั้งสองนั้นมีความสัมพันธ์กับคนผู้นั้นข้าจึงอยากจะสอบถามเรื่องบางอย่าง”
“ผู้ต้องสงสัย!? พวกท่านทราบแล้วอย่างนั้นรึ!?” ส่านอ๋องคาดไม่ถึงขนาดหลุดอุทานออกมาเสียงดัง สีหน้าตกใจของเขาค่อยๆ สงบลงเมื่อหลวนเฟิงพยักหน้า ส่านอ๋องมองกลับด้วยแววตาเลื่อมใส ต่างจากฉินอ๋องที่ยังคงนิ่งเฉยไม่ตกใจราวกับเป็นเรื่องสามัญธรรมดา ชั่วขณะนั้นข้าเองก็ตกใจไม่แพ้ส่านอ๋องเช่นกัน พวกเขารู้ตัวคนร้ายแล้ว!?
“ช้าก่อน ผู้ต้องสงสัยมีความสัมพันธ์กับพวกเราอย่างนั้นรึ? ผู้ใดกัน?” ส่านอ๋องที่ถูกทำให้ตกใจก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เขาขมวดคิ้วเอ่ยถามอย่างสงสัยปนอยากรู้ ข้าก้มหน้ามองนิ้วมือที่วางอยู่บนตัก ใครคนนั้นจะใช่คนเดียวกันกับที่ข้าคาดคิดไว้หรือไม่? อยู่ๆ ร่างกายของข้าก็สั่นหนาวเยือกเมื่อคิดถึงเหตุการณ์สยองขวัญสั่นประสาทที่เจอในคืนเทศกาลลอยโคม
มือขนาดใหญ่ที่หยาบกร้านเอื้อมมากุมมือที่สั่นของข้าเอาไว้แนบแน่น ความร้อนจากฝ่ามือของเขาทำให้ข้าชะงัก ค่อยๆ พลิกมือแล้วจับมือของเขาไว้ ราวกับยึดไว้เป็นที่เหนี่ยวรั้งจิตใจที่สั่นกลัว
“เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน เพื่อพิสูจน์ว่าคนผู้นั้นมิใช่ฆาตกรจริงๆ ท่านอ๋องโปรดให้ความร่วมมือด้วย”
“แน่นอน แล้วผู้ต้องสงสัยคนนั้นคือใครกัน?” ส่านอ๋องเห็นสีหน้าเคร่งเครียดไม่ผ่อนคลายของพ่อลูกสกุลหลวนก็พยักหน้าตอบกลับจริงจังไม่แพ้กัน
“ฉินอ๋องอย่างไรเล่า” ท่านพ่อเอ่ยเสียงราบเรียบจ้องมองมาที่ฉินอ๋องด้วยสายตาจับพิรุธ
ข้ากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันไปมองคนด้านข้างแล้วหันกลับไปมองบิดาของตนเอง นี่มันเรื่องอันใดกัน? เหตุใดถึงเป็นฉินอ๋องได้เล่า!? ส่านอ๋องเบิกตากว้างตกใจไม่แพ้ข้า เขาโมโหวูบหนึ่งแต่ก็กดเอาไว้ก่อนจะแก้ต่างให้แก่พี่ชายเสียงหนักแน่น
“นี่มันเรื่องอันใดกัน! ท่านพี่เหวินเสวี่ยไม่มีทางทำเช่นนั้น!”
ท่านพ่อยิ้มเย็น
“เช่นนั้นขอถามว่าในคืนก่อนปีใหม่ฉินอ๋องอยู่ที่ใดงั้นรึ?”
“ย่อมเป็นวังหย่งเฮ่าอยู่แล้ว!”
“หากเป็นเช่นนั้นแล้วไยมีพยานพบเห็นฉินอ๋องในยามโฉ่ว(๑-๓น.)ใกล้บริเวณเกิดเหตุ”
“เรื่องนั้น...อาจจะเป็นเพียงคนหน้าคล้าย...อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้!”
ท่านพ่อไล่ต้อนส่านอ๋องจนมุม ส่านอ๋องกัดฟันยืนยันคำเดียวว่าไม่ใช่ หลวนเฟิงรับลูกจากท่านพ่อหันมาไล่บี้คนที่นั่งนิ่งราวกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่นี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับเขา
“ฉินอ๋อง ด้วยฝีมือระดับท่านมิใช่เรื่องยากที่จะก่อเหตุแล้วหลบหนีกองกำลังอารักขาจวนสกุลถังไปได้ อีกทั้งยังมีพยานพบเห็นท่านอยู่ระแวดใกล้เคียงที่เกิดเหตุในช่วงหลังจากที่ผู้ตายเสียชีวิต ไม่ทราบว่าคืนนั้นท่านอ๋องไปที่แห่งนั้นได้อย่างไร?”
“ใต้เท้าหลวน พยานที่พบเห็นเราผู้นี้คือใครงั้นรึ?”
“เรื่องนั้นทางเราบอกแก่ท่านมิได้ เพื่อความปลอดภัยของพยานในคดี”
“หึ หากพยานที่ว่าเป็นเพียงท่านกุเรื่องขึ้นมา เรามิแย่หรอกรึ?”
“ฉินอ๋อง! บิดาของข้านั้นทำงานอย่างซื่อตรงเสมอ ไม่มีทางที่จะบิดเบือนหรือกุเรื่องกล่าวหาลอยๆ หากไม่มีพยานจริง อย่าได้ดูเบากันเช่นนี้!” หลวนคุนกัดฟันกรอดโมโหแทนบิดาที่ถูกสบประมาท
“ฉินอ๋องท่านอยู่ที่ใดในคืนนั้น?” หลวนเฟิงถามย้ำอีกครั้ง จ้องกดดันมาที่ฉินอ๋องซึ่งยังคงนิ่งเฉยไม่สนใจจะบอกอันใด ข้ากลอกตามองไปรอบๆ โต๊ะแล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด อึดใจต่อมาก่อนจะพูดโพล่งผ่าบรรยากาศร้อนระอุ
“คืนนั้นฉินอ๋องอยู่กับข้า”
“.....” คนอื่นๆ ชะงักกึกตามกันไป ท่านพ่อเลิกคิ้วเสียอาการไปชั่ววูบ ฉินอ๋องหันมามองข้าพร้อมกับขมวดคิ้ว ข้ามองเขาแวบหนึ่ง รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบใจที่ข้าเอาตัวเองเข้ามายุ่ง แต่จะให้ทำเป็นไม่รู้เรื่องได้อย่างไรกัน ข้าไม่ยอมให้เขาถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ต้องสงสัย ชื่อเสียงดีงามที่เขาสะสมมาไม่ควรมาแปดเปื้อนเพราะข้า ข้าสูดลมหายใจแล้วอธิบายออกไปอย่างชัดเจนและละเอียด
“คืนนั้นฉินอ๋องมาหาข้าในยามจื่อ(๒๓-๑น) เพื่อชวนข้าดื่มสุราด้วยกัน พวกเราอยู่ด้วยกันจนกระทั่งถึงยามโฉ่ว ข้าง่วงมากเขาจึงส่งข้าเข้านอนที่ห้องถึงได้กลับไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นฆาตกรสังหารธิดาใต้เท้าถัง”
“เจ้าคนบัดซบ! บังอาจมาล่อลวงบุตรชายข้าถึงในจวน! งามหน้ายิ่งนัก!” ท่านพ่อตบโต๊ะดังปังแล้วลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ถลาข้ามโต๊ะมากระชากคอเสื้อของฉินอ๋อง เหวี่ยงร่างของเขาไปปะทะฉากบังลมจนล้มโครม ข้าอ้าปากเหวอ งุนงงปนตกใจ ไม่คิดว่าท่านพ่อจะระเบิดโทสะออกมารุนแรงเช่นนี้!
ฉินอ๋องลุกขึ้นจากซากไม้ที่หักเป็นชิ้น กุมคอที่ถูกกระชากแล้วกัดฟันอดกลั้น หลวนเฟิงมองดูภาพนั้นเงียบๆ หลวนคุนนั่งกะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นปุบปับตรงหน้า ส่านอ๋องเองก็ไม่ต่างจากข้า เขาอ้าปากพะงาบๆ หาเสียงไม่เจอ ท่านพ่อที่ทั่วตัวห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงกองมหึมาชี้หน้าฉินอ๋อง
“เจ้าลูกเต่าบัดซบ! บังอาจลักลอบมาเข้ามาข่มเหงบุตรชายข้าในจวน ไม่เห็นข้าอยู่สายตาใช่หรือไม่!? เจ้าถือตัวว่าเป็นอ๋องงั้นรึ? จะหยามหน้าข้าอำมาตย์ผู้นี้เกินไปแล้ว!”
ข่มเหง? เดี๋ยวๆ! ท่านพ่อ!?
หลังจากที่ท่านพ่อตวาดก้องดังไปทั่วโรงเตี๊ยม สีหน้าทะมึนตึงของเขาน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง คนในโรงเตี๊ยมรุกเข้ามามุงดูอย่างสนอกสนใจ ยิ่งเห็นว่าคู่กรณีเป็นถึงอำมาตย์เซี่ยและฉินอ๋องผู้โด่งดังก็ยิ่งกระตือรือร้นใคร่รู้ เรียกพรรคพวกมาร่วมกันมุง ข้าเห็นว่าเหตุการณ์มันชักจะบานปลายไปกันใหญ่ก็ลุกขึ้นจะเดินออกไปยุติ แต่ถูกท่านแม่ห้ามเอาไว้ ข้ามองมารดาอย่างไม่เข้าใจ ท่านไม่เห็นหรือว่าพวกเขาจะฆ่ากันอยู่แล้ว!?
ฉินอ๋องตีสีหน้าเย็นชาเป็นน้ำแข็งหมื่นปี แผ่ไอเยือกเย็นแช่แข็งรอบๆ ข้างของเขา ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับท่านพ่อด้วยสีหน้าเงียบขรึม ท่านพ่อกัดฟันกรอด จ้องมองฉินอ๋องราวกับจะจับเขาโยนลงจากชั้นสองเสียให้ได้ บรรยากาศตึงเครียดปะทุอย่างต่อเนื่องขนาดที่คนมุงทั้งหลายจ้องมองไม่กะพริบตาแทบจะลืมหายใจ
“โปรดอภัยให้แก่ความใจร้อนของเราด้วยท่านอำมาตย์เซี่ย”
“ใจร้อน? เหอะ! ผู้คนมีมากมายเหตุใดต้องเป็นบุตรชายของข้า ฉินอ๋อง เจ้าเป็นคนที่หลายคนให้ความนับถือแต่กลับทำเรื่องน่าละอายเช่นนี้กับบุตรชายข้า บุตรชายของข้ามิใช่ของเล่นแก้เบื่อหน่ายของราชนิกุลเช่นเจ้า หากวันนี้ข้าจะต้องเสียชีพก็ไม่ยอมให้คนเช่นเจ้าแตะต้องบุตรชายของข้าอีก!”
ผู้คนโดยรอบสูดลมหายใจเข้าเสียงดัง ก่อนจะซุบซิบกันไม่หยุด คาดเดาเรื่องของข้ากับฉินอ๋องไปต่างๆ นานาจากสิ่งที่พวกเขาได้ยิน แววตาของพวกเขาเปล่งประกายอย่างตื่นเต้นทวีพูน ท่านพ่อหยิบแส้สีชาดออกมาฟาดใส่ฉินอ๋องไม่ยั้งมือ ข้าตกใจจนพูดอะไรไม่ออก สถานการณ์ไยถึงลุกลามใหญ่โตเช่นนี้! นี่มันอันใดกัน!?
“อำมาตย์เซี่ย เรามิเคยเห็นจิ้งถิงเป็นของเล่น เราจริงใจกับบุตรชายท่าน” ฉินอ๋องยืนอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวหรือหลบหลีกแส้ที่ตวัดฟาดใส่ตัวของเขา ราวกับไม่สนใจเสื้อผ้าหนาๆ ที่ถูกฟาดจนขาด เขาจ้องมองท่านพ่ออธิบายด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม เสียงอุทานดังต่อกันเป็นทอดๆ เมื่อฉินอ๋องกล่าวออกมาเช่นนั้น
“หุบปาก!”
ท่านพ่อไม่ฟังคำใดจงใจฟาดใส่ใบหน้าของฉินอ๋องเต็มแรง แส้บาดหน้าของเขาจนเป็นแผลยาว เลือดสีแดงข้นไหลหยดลงพื้น ฉินอ๋องกุมใบหน้าของเขานิ่งอึ้ง ข้ารีบวิ่งไปขวางหน้าเขาไว้พร้อมกับร้องขอบิดาที่คลุ้มคลั่งเสียศูนย์
“ท่านพ่อ! พอเถิด เป็นข้าผิดเอง! อย่าได้โทษฉินอ๋องเลย เป็นข้าที่รักเขาเอง!”
“เจ้าลูกโง่! พ่นคำไร้สาระอันใดออกมา! เจ้าเป็นบุรุษ เป็นบุตรชายของข้าผู้นี้ จะไปรักกับบุรุษด้วยกันได้อย่างไร!”
“ท่านพ่อ ข้าทราบดีว่าตัวเองเป็นบุรุษ เพียงแต่มันมิได้เกี่ยวกันกับความรู้สึกของข้า แม้เขาจะเป็นสตรีหรือบุรุษ ข้าก็รักเขา รักก็คือรัก มิเกี่ยงว่าอีกฝ่ายจะเป็นสิ่งใด ท่านพ่อ ได้โปรด...” ข้าพูดออกไปอย่างหนักแน่นและราบเรียบมั่นคง ก่อนจะเอ่ยเรียกบิดาเสียงแผ่วเบา
ท่านพ่อหยุดชะงัก ข้าจ้องมองเขาอย่างปวดร้าวแกมอ้อนวอน ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด เพราะม่านน้ำตาเอ่อล้นหลั่งลงมาเป็นสาย แม้ข้าจะน้ำตานองหน้าแต่ก็ยังยืนขวางหน้าท่านพ่อเอาไว้ ท่านพ่อคล้ายจะสงบลงแต่แล้วเขาก็เม้มปากกัดฟันกรอด
“โง่เง่า!”
แส้ในมือของท่านพ่อตวัดวูบเข้าใส่ ข้าหลับตารอรับความเจ็บปวดแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่รู้สึกถูกดึงกระชากตัวหมุนคว้าง ร่างกายถูกโอบกอดแน่น ข้าได้ยินเสียงแส้ตวัดฟาดลงบนเนื้ออย่างรุนแรงจึงลืมตาขึ้น เห็นฉินอ๋องโอบกอดตัวข้า ใช้แผ่นหลังของเขารับการโจมตีจากแส้ของท่านพ่อ ฉินอ๋องกัดฟันอดทน เนิ่นนานท่านพ่อถึงหยุดมือลงยืนนิ่งเงียบอย่างโดดเดี่ยวอ้างว้าง ฉินอ๋องหายใจติดขัดปล่อยตัวข้าที่ร้องไห้สะอื้นฮัก จับมือของข้าแล้วคุกเข่าลงพื้น ข้าคุกเข่าลงตาม
“ท่านอำมาตย์เซี่ย ข้าจริงจังกับบุตรชายของท่าน ได้โปรดส่งเสริมพวกเราด้วย”
“หึ! มันก็แค่ลมปากที่พ่นออกมา ไหนเลยจะเชื่อถือได้”
“ข้าขอสาบานต่อเทพเซียนทุกองค์ และทุกคนในที่นี่จงเป็นพยาน ข้า เหวินเสวี่ยผู้นี้จะไม่มีวันทอดทิ้งเซี่ยจิ้งถิง! เขาจะเป็นคนรักหนึ่งเดียวของข้า จากวันนี้และตลอดไป!” ฉินอ๋องเงยหน้ามองท่านพ่ออย่างจริงจัง เขาอ้าปากสาบานเสียงดัง ดวงตาคมกริบเปล่งประกายแรงกล้าหนักแน่น ข้าสูดลมหายใจมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หากเจ้าทำให้บุตรชายของข้าเสียใจ วันนั้นจะเป็นวันตายของเจ้า ต่อให้เจ้าจะเป็นโอรสฮ่องเต้ข้าก็จะสังหารเจ้าให้ได้”
“ขอบคุณท่านอำมาตย์เซี่ย”
“ท่านพ่อ...”
ท่านพ่อสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่เหลียวหลังมองกลับมา หลวนเฟิงถอนหายใจลุกขึ้นเดินออกไปเช่นเดียวกัน ตามด้วยหลวนคุนที่ยังมึนงง ข้าตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก ท่านพ่อยอมรับแล้ว! แม้จะเกิดเหตุการณ์น่าตกใจแบบปุบปับชวนสับสนแต่ท่านพ่อก็ได้ยอมรับแล้วจริงๆ! ข้าถอนหายใจโล่งอกมองไปยังฉินอ๋องที่คงก้มตัวคำนับท่าเดิมด้วยสีหน้าราบเรียบ ข้ายิ้มออกมาขยับตัวแตะต้นแขนของเขาเบาๆ รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
เขาเป็นถึงอ๋องแต่กลับยอมคุกเข่าก้มหัวให้แก่บิดาของข้า!
คล้อยหลังท่านพ่อฉินอ๋องก็เงยหน้าขึ้นแล้วหันมามองข้าที่หน้าตาดูไม่ได้เพราะเปรอะเปื้อนน้ำตา เขาถอนหายใจแล้วเอื้อมมือมารั้งตัวข้าเข้าไปในอ้อมแขน สักพักข้าก็พาร่างอันบอบช้ำของฉินอ๋องออกไปจากโรงเตี๊ยมเพื่อไปรักษา ระหว่างที่กำลังจะขึ้นรถม้านั้นข้าก็หันไปมองรถม้าของท่านพ่อที่ยังจอดอยู่ที่เดิม ท่านแม่ยืนอยู่หน้ารถม้า นางมองมาแล้วชูกำปั้นขึ้นจากนั้นก็หัวเราะร่า พอดีกับที่ฉินอ๋องก็ชูกำปั้นขึ้นแสยะยิ้มตอบกลับ ข้ากะพริบตาปริบๆ
เอ๋ เอออออออออออออ๋!
ถิงถิง : เหมือนพวกเราลืมอะไรบางอย่างนะ?
อ๋องห้า : ลืมข้านี่ไง! ลืมจ่ายเงินด้วย!
ไม่เลยค่ะ ไม่ดราม่าเลย แค่ตั้งคำถามไปเท่านั้น และไม่ใส่ใจคำพูดนั้นเลย
เพียงแค่แรงกดดันจากคนใกล้ตัวค่ะ บางทีท่านมักจะว่าถามว่า
‘แล้วเมื่อไรมันจะจบแล้วได้เงินล่ะ?’
ตัวปอยเองตอบไม่ได้ แต่คนที่อยากให้จบมากที่สุด คือ ผู้แต่งอยู่แล้วค่ะ 5555
บางคนพูดเหมือนว่าการแต่งนิยายมันง่าย... เพราะเขาไม่เคยทำ ไม่เคยสัมผัส
ส่วนตัวแล้วไม่เคยดูถูกงานไหนเลย เพราะคิดว่างานทุกอย่างมันยากในแบบของมันเอง
เพียงแค่เราไม่รู้เท่านั้น เพราะเราไม่เคยไปทำหรือสัมผัสงานนั้นๆ
ที่ปอยเริ่มแต่งนิยายและแต่งมาเรื่อยๆ ก็เพราะทำแล้วมีความสุข!
รู้มานานมากแล้วว่า...อา นี่แหละ งานที่เราอยากจะทำ
ปล. ไม่ได้เปลี่ยนนามปากกาบ่อย แค่มีนามปากกาหลายชื่อเท่านั้น (สามชื่อเอ๊ง)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

55555555555. สนับสนุนกันดีแท้
มองเห็นกันด้วยรึ
ท่านพ่อหวงหนักมากกก5555555
55++++
โอ้ยยยยยย ยิ้มจนแก้มปริไปหมดแล้ววววว ฮือออ
ขอบคุณที่แต่งนิยายดี ๆ ให้อ่านนะคะ รู้สึกเสียดายตามอ่านช้าไปด้วยซ้ำ 55555