ตอนที่ 64 : ตอนที่ ๖๑ บังเอิญ
ตอนที่ ๖๑ บังเอิญ
รถม้าคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ข้าแหวกผ้าม่านออกไปมองทิวทัศน์ภายนอกรถม้า แม้จะเป็นฤดูหนาวแต่คนที่เดินตามถนนอยู่มิใช่น้อย รวงร้านทั้งสองข้างทางเปิดค้าขายหนาแน่น ข้าจำได้ว่าเป็นถนนเส้นนี้เป็นถนนที่คึกคักที่สุดในเมืองหลวง
“เชิญขอรับนายท่าน”
ม่านประตูรถม้าถูกเลิกขึ้นพร้อมกับคำเชิญแสนเคารพยกย่อง ท่านพ่อลงจากรถม้าเป็นคนแรก ตามด้วยข้าที่จื่อลู่พยายามจะพยุงลงโดยไม่สนใจว่าเขาสูงน้อยกว่าข้า ท่านแม่ทะลุรถม้าออกมาล่องลอยอยู่ข้างนอกก่อนแล้ว ท่านพ่อออกตัวเดินนำขบวนขึ้นไปยังโรงเตี๊ยม แม้จะไม่หรูหรามากนักแต่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตกแต่งได้สวยงามสบายตา มีลูกค้ามาใช้บริการเยอะพอสมควรแสดงว่าค่อนข้างมีคุณภาพ
“กี่ที่ขอรับ?” เสี่ยวเอ้อวิ่งออกมาต้อนรับ ดวงตาเปล่งประกายทันทีที่เห็นท่านพ่อและข้าที่เดินตามมาติดๆ ท่านพ่อยกมือตอบไปเสี่ยวเอ้อก็พยักหน้ายิ้มกว้างรีบเชิญพวกเราไปหาโต๊ะนั่ง
แขกที่กำลังทานข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยเงยหน้าขึ้นมามองก็พลันหยุดนิ่ง กระทั่งชิ้นเนื้อที่คีบอยู่หล่นจากตะเกียบพวกเขาก็ยังจ้องมองมาที่พวกเราอย่างตื่นตะลึง ข้าหน้าบางเริ่มประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย พวกเขาคิดจะมองไปอีกนานหรือไม่? แม้กระทั่งเสี่ยวเอ้อที่กำลังรินน้ำชาก็ยังมองมา รินน้ำชารดขาลูกค้าจนร้องลั่น
“นั่นมัน...”
“อำมาตย์เซี่ยเหยียนจิ้ง!”
“แล้วคุณชายน้อยที่เดินตามมานั้นเล่า?”
“หรือว่าจะเป็น...บุตรชายในข่าวลือที่ว่า...เซี่ยจิ้งถิง!”
“สมกับเป็นพ่อลูกกันจริงๆ สง่างามเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน”
“แม้กระทั่งคนตาบอดยังรู้เลยว่าพวกเขาเป็นพ่อลูกกัน”
“ตรงนี้ขอรับนายท่าน” เสี่ยวเอ้อที่เดินนำพวกเรายิ้มแฉ่งเห็นฟันครบทุกซี่ก้มศีรษะผายมือเชิญพวกเราอย่างนบน้อม ข้ากับท่านพ่อเดินไปนั่ง โต๊ะของพวกเรานั้นเป็นโต๊ะไม้ฉลุอย่างประณีต ตั้งอยู่ริมระเบียงที่มีผ้าม่านบางเบาลอยพลิ้วเป็นคลื่นนุ่มนวล ด้านข้างเป็นฉากตั้งลายวาดพู่กันที่ละเอียดอ่อนทั้งสวยงามและสร้างความเป็นส่วนตัว
ท่านพ่อมองแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าพอใจตกรางวัลเป็นเงินให้แก่เสี่ยวเอ้ออย่างหนัก เสี่ยวเอ้อยิ้มตาหยีในโชคหล่นทับ ก่อนจะกระตือรือร้นแนะนำอาหารจานเด็ดของโรงเตี๊ยมพวกเขา ข้าหันไปมองท่านแม่ที่นั่งข้างท่านพ่อ นางยิ้มอ่อนหวานพลางเอ่ยสั่งอาหารเจื้อยแจ้ว ข้ากะพริบตาปริบๆ นางสั่งราวกับจะสั่งมากินเสียเอง ทั้งที่คนกินจริงๆ คือข้ากับท่านพ่อต่างหาก ท่านแม่กลอกตามามองข้าแล้วสั่งอาหารที่ข้าชอบด้วย ข้าถึงยิ้มออกมาแล้วหันไปมองข้างนอกโรงเตี๊ยม
พวกเรานั่งอยู่ที่ชั้นสอง เมื่อมองลงไปจะเห็นผู้คนที่เดินเลือกซื้อของตามร้านริมถนน เดินแวะเข้าร้านนู่นนี่อย่างไม่กลัวลมหนาว ข้ามองดูผู้คนเพลินหันมาอีกทีก็ไม่เห็นเสี่ยวเอ้อคนนั้นแล้ว บนโต๊ะมีชุดน้ำชาสีขาวลวดลายดอกโบตั๋นสีทอง มันช่างงดงามจริงๆ ข้ารินน้ำชาแล้วยกขึ้นมากุมไล่ความหนาวเย็นอยู่สักพักก็ยกขึ้นมาจิบ
อา กลิ่นและรสชาติดียิ่งนัก! เป็นชาที่ดีๆ
ระหว่างที่ข้ากำลังดื่มด่ำกับชารสเยี่ยมก็พลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ข้าหันไปมองท่านพ่อที่นั่งหลุบตาสีหน้าสงบเยือกเย็นพร้อมกับยกถ้วยชาจิบอย่างสง่างามน่ามอง ท่านแม่มองสามีของนางอย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล ข้ากระแอมเบาๆ เรียกสายตาท่านพ่อมาที่ตนเอง ท่านแม่เปรยตามามองข้าอย่างเย็นเฉียบที่ไปขัดขวางการเสพสุขของนาง
“ข้ามีเรื่องสงสัยขอรับ”
“ว่ามา” ท่านพ่อพยักหน้าตอบรับ
“เหตุใดท่านพ่อถึงให้ข้าเพิ่มพิษทานจันทราเข้าไปด้วยเล่า?”
อันที่จริงแล้วตามรายชื่อที่คนแซ่เฉินเขียนมาให้นั้นไม่มีพิษที่ชื่อทานจันทรา แต่ระหว่างเดินทางไปยังวังหลวงท่านพ่อได้เอ่ยเรื่องนี้ และขอให้ข้าเพิ่มพิษทานจันทราลงไปด้วย ตอนแรกข้าไม่คิดว่าองค์รัชทายาทจะสนใจเรื่องพรรค์นี้ แต่ฉินอ๋องกับท่านพ่อกลับคาดเดาออกว่าเขาจะต้องถามหาชื่อพิษได้อย่างแม่นยำราวกับมองอนาคตได้ ตอนที่องค์รัชทายาทแปลกใจกับชื่อพิษนี้ข้าถึงกลับเหงื่อกาฬไหลหลั่ง
ท่านพ่อมิได้ตอบ ดวงตาของเขากลอกไปมา สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ข้ายิ้มออกมาเล็กน้อยเหลือบไปมองท่านแม่อย่างมีความหมาย ท่านแม่ยิ้มรับอย่างรู้ความนัย นางหันไปบอกท่านพ่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
「ท่านกังวลอันใด ไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เราพูดคุยกันหรอก ข้ากางม่านพลังคลุมพวกเราไว้แล้ว」
ท่านพ่อยกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะตอบสิ่งที่ข้าถามออกมาสั้นๆ
“วางเหยื่อล่อ”
ข้ากับท่านแม่ทำหน้างุนงง ท่านพ่อไม่ยอมพูดอันใดต่อ อมพะนำสีหน้าราบเรียบ ท่านแม่จิปากอย่างไม่พอใจต่อว่าท่านพ่อเล็กน้อยว่าขี้เหนียวไม่ยอมแบ่งปันเรื่องสนุกๆ ให้ลูกเมีย คนถูกตราหน้าว่าขี้เหนียวยังคงทำหน้าเฉยไม่สะทกสะท้านใดๆ ข้าถอดใจไม่ซักถามต่อเพราะดูท่าท่านพ่อจะไม่ยอมปริปากง่ายๆ
เหยื่อล่อ? องค์รัชทายาท?
ข้าพยายามครุ่นคิดแต่ก็คิดอันใดมิออก เมื่ออาหารถูกยกเข้ามาข้าก็โยนเรื่องนี้ทิ้งในทันที ตอนนี้ท้องของข้านั้นร้องประท้วงโครกครากน่าขายหน้าออกมาแล้ว จานอาหารถูกวางเรียงเต็มโต๊ะ ข้าลงมือทานอย่างสบายใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่กลับมาจากชายแดน ไม่มีหน้าบูดๆ สายตาดุร้ายของใครจับจ้องเวลากินแล้ว ช่างเป็นการกินข้าวที่มีความสุขอะไรอย่างนี้!
“จริงสิ ข้าลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง” ท่านพ่อมองข้าที่ทานข้าวรวดเร็วไม่หยุด ท่าทางหิวกระหายสุดๆ ก็เอ่ยเกริ่นขึ้นมา ข้าชะงักมือเงยหน้าขึ้นไปมอง ท่านพ่อถอนหายใจเบาๆ มองข้าด้วยดวงตาอ่อนแสง
“จากวันนี้ไปข้าอนุญาตให้เรือนหงเหมยทำอาหารกินเองได้ เจ้าไม่ต้องมากินที่เรือนใหญ่อีก”
ข้าเบิกตาโต ในใจดีใจจนแทบจะตีลังกาแต่ก็รีบระงับอาการออกหน้าออกตาเอาไว้ เอ่ยถามออกไปด้วยท่าทางเกรงใจ
“แต่ว่าหากทำเช่นนี้แล้วพวกเขาอาจจะไม่พอใจได้”
“ไม่พอใจแล้วอย่างไร เจ้าบ้านเช่นข้าอนุญาตแล้วใครจะกล้าพูด” ท่านพ่อทำเสียงหึในลำคอ เอ่ยอย่างไม่สนใจใยดี สีหน้าและน้ำเสียงนั้นทะนงตัวยิ่งนัก ข้านี่อ้าปากอยากจะโห่ร้องออกมาอย่างยินดีปรีดา ท่านแม่ยิ้มออกมาอย่างขบขัน ท่านพ่อจ้องมองข้าพร้อมกับเอ่ยสีหน้าจริงจัง
“กินให้มากๆ เป็นบุรุษกลับผอมกะหร่องเช่นนี้ใช้ได้เสียที่ไหน”
ข้านี่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องมองบิดาด้วยดวงตาว่างเปล่า
ตัวท่านก็ผอมไม่ต่างจากข้านักหรอก ท่านพ่อ!
แต่ช่างเถิด นี่เป็นผลประโยชน์ของข้าล้วนๆ ไม่รับก็เสียดายแย่ ข้าไม่พูดโต้แย้งอันใดอีก เอ่ยตอบรับแล้วขอบคุณท่านพ่อ ท่านพ่อพยักหน้าเรียบๆ ระหว่างนั้นท่านแม่ก็สะกิดไหล่ของท่านพ่อยิกๆ ท่านพ่อหันไปมองนางแล้วถอนหายใจควักของบางอย่างออกมาวางไว้บนโต๊ะ ดวงตาของท่านแม่เปล่งประกายอย่างมีความสุข ข้ากะพริบตามองของสิ่งนั้นอย่างงุนงง
นั่นมัน...อะไรกัน...คล้ายจะเป็นเตา?
「จานนี้ จานนี้ นี่ด้วย!」ท่านแม่ยืดตัวขึ้นมองไปทั่วโต๊ะแล้วชี้นิ้วเลือกอาหารราวกับกำลังจับจ่ายซื้อของ ท่านพ่อล้วงกระดาษคล้ายยันต์ออกมาแปะลงบนจานเหล่านั้น แล้วสะบัดทิ้งยันต์กระดาษลงไปในเตาด้วยท่าทีราบเรียบไม่ติดขัด ข้ายังคงกะพริบตาปริบๆ มองบิดาจุดเตาเผากระดาษด้วยสีหน้าอึ้งสุดชีวิต
ท่านแม่ขยายยิ้มบนใบหน้าพร้อมกับปรบมืออย่างสดใส ในมือของนางปรากฏถ้วยข้าวพูน จากนั้นท่านแม่ก็ใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากทำหน้ามีความสุข นางหันไปยิ้มเอียงตัวคลอเคลียร่างสูงโปร่งด้านข้างอย่างออดอ้อนน้ำเสียงอ่อนหวาน
「ข้ารักท่าน!」
“อืม” ท่านพ่อพยักหน้ารับทื่อๆ เหมือนไม่สนใจ แต่แก้มขาวซีดของเขามีสีระเรื่อเล็กน้อย ข้ามองบิดามารดาด้วยสายตาว่างเปล่า รู้สึกหวานเลี่ยนจนอยากจะกระโจนลงจากโรงเตี๊ยมนี่จริงๆ
ดีที่มีฉากตั้งบังตาคนรอบข้าง มิเช่นนั้นภาพพจน์อำมาตย์เซี่ยเหยียนจิ้งในสายตาคนทั่วไปคงจะป่นปี้เป็นแน่แท้ ท่านพ่อโดนท่านแม่ล้างสมองไปแล้ว ท่านแม่ช่างน่ากลัวจริงๆ น่ากลัวอะไรอย่างนี้! ข้าก้มหน้าพยายามตั้งหน้าตั้งตากินข้าวไปเงียบๆ ไม่สนใจว่าคู่นกยวนยางตรงหน้าจะทำอันใดที่น่าตื่นตะลึงอีก
“แหมๆ บังเอิญเสียจริง ท่านอำมาตย์เซี่ย!” เสียงหัวเราะสดใสของชายหนุ่มเจ้าสำราญดังขึ้นพร้อมกับพัดลายไผ่เขียวที่โบกสะพัดไปมาอย่างน่ามอง
ส่านอ๋องผู้มีบุคลิกสบายตาน่าคบเดินเข้ามาในฉากที่ครอบครัวของข้านั่งกินข้าวกันอยู่ ข้าหันไปมองเขาแล้วยิ้มออกมา มองเลยไปเห็นใครบางคนยืนทำหน้าเย็นชาอยู่ด้านหลัง ก็ยิ่งทำให้รอยยิ้มของข้านั้นกว้างขวางยิ่งขึ้น ส่านอ๋องขยับตัวเข้ามาให้พี่ชายของเขาตามเข้ามาได้ ฉินอ๋องผงกศีรษะทักทายท่านพ่อของข้าเสียงเยือกเย็น
“อำมาตย์เซี่ย”
“ฉินอ๋อง” ท่านพ่อหน้าตึงขึ้นมาในพริบตา อารมณ์เบิกบานแก้มแทบปริกลายเป็นหน้าแข็งทื่อยิ่งกว่ารูปปั้นหิน ส่านอ๋องแจกยิ้มสดใสจงใจไม่รับรู้อารมณ์ขุ่นมัวของท่านอำมาตย์เซี่ย เขาหัวเราะเบาๆ เอ่ยอธิบายเสร็จสรรพไม่รอให้ต้องถามไถ่
“เรากับท่านพี่เหวินเสวี่ยมากินข้าวกันที่นี่ ได้ยินลูกค้าในโรงเตี๊ยมเอ่ยถึงท่าน คราแรกเราเชื่อเพียงครึ่ง แต่ก็คิดว่ามาที่นี่แล้วน่าจะแวะทักทายตามประสาคนรู้จักกัน มิคิดเลยว่าจะเป็นท่านอำมาตย์เซี่ยจริงๆ บังเอิญจริงๆ”
ท่านพ่อมิได้เอ่ยสิ่งใดกลับไป ทำเพียงรับฟังสีหน้าราบเรียบ แต่ส่านอ๋องนั้นฝึกปรือฝีมือรับคนหน้าตายมานานนับยี่สิบปี เพียงแค่นี้ไม่ทำให้เขาถอยหลังง่ายๆ ชายหนุ่มในชุดขาวบริสุทธิ์ลายไผ่เขียวอ่อนเปิดปากเอ่ยต่อไป
“ถ้างั้นเราขอร่วมโต๊ะด้วย นานๆ จะได้มีโอกาสได้พบปะท่านอำมาตย์เช่นนี้ เราย่อมไม่พลาดโอกาสพูดคุยเป็นแน่ ท่านพี่นั่งๆ ยืนทื่อเป็นเสาอยู่ไย มิใช่ว่าท่านเพิ่งพูดถึงท่านอำมาตย์อยู่หรอกรึ?” ส่านอ๋องพูดรวบรัดไม่รอให้ใครบางคนได้มีโอกาสปฏิเสธ ทำการเชิญตัวเองนั่งเก้าอี้ที่ว่างพร้อมลากฉินอ๋องที่ยืนนิ่งเงียบให้นั่งลงด้วยคน ฉินอ๋องพยักหน้าเดินอ้อมมานั่งเก้าอี้ข้างๆ ข้า
“.....” ท่านพ่อมองสองพี่น้องอ๋องด้วยสายตาดุร้ายอย่างเงียบงัน ช่างเป็นสายตาที่ชวนขนลุกนัก แต่ทว่าไม่สะเทือนผิวหนังของสองอ๋องพี่น้อง ท่านแม่มองสองพี่น้องอ๋องแล้วยิ้มกว้าง ท่านพ่อเหลือบมองสีหน้าเบิกบานออกหน้าออกตาของท่านแม่แล้วทำเสียงขึ้นจมูก อารมณ์ดิ่งวูบติดลบยิ่งกว่าเดิม ข้าก้มหน้ากินข้าวต่อเงียบๆ ไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกไป กลัวจะไปสะกิดอารมณ์ท่านพ่อมากเกินไป รีบๆ กินก่อนที่จะมีใครคนใดคนหนึ่งทนไม่ไหวล้มโต๊ะไปเสียก่อน
ส่านอ๋องเรียกเสี่ยวเอ้อมาสั่งอาหารและข้าวเพิ่ม
“เจ้าเพิ่งหายป่วย กินเสียสิ” ฉินอ๋องได้ตะเกียบมาก็หยิบฉวยอาหารที่ข้าชอบมาวางบนถ้วยข้าวของข้า เอ่ยสั่งเสียงเย็นชาคล้ายไม่ใส่ใจ ข้าเอียงหน้าไปมองด้านข้างของเขาแล้วก้มหน้ากินต่อเงียบๆ รับรู้ถึงสายตาแผดเผาขั้นสูงของบิดาจ้องมองมา มือเรียวสวยคีบอาหารมาวางให้ข้าเงียบๆ ข้าเงยหน้าไปมองท่านพ่อแล้วเอ่ยขอบคุณ
ท่านพ่อพยักหน้ารับเรียบๆ จากนั้นรับประทานของตัวเองไป ฉินอ๋องหันมาหยิบอาหารวางใส่ถ้วยข้าอีกครั้ง ตามด้วยท่านพ่อที่ไม่ยอมพ่ายแพ้หยิบวางตามมาชั่วพริบตา ทั้งสองตีสีหน้านิ่งใส่กัน สายฟ้าจากดวงตาทั้งสองคู่ปะทะกันเปรี้ยงปร้างกลางอากาศ ปริมาณอาหารในถ้วยของข้าเริ่มเยอะจนล้นกินไม่ทัน ข้าท้องตึงอิ่มไม่รู้จะอิ่มอย่างไร แต่สองบุรุษหน้าตายก็ยังไม่ยอมหยุดมือเสียที หยิบมาใส่ถ้วยข้าวของข้าเหมือนจะแข่งขันกันอย่างไรอย่างนั้น
“เอ่อ...ข้าคิดว่าข้าอิ่มแล้ว...” ข้าบอกพวกเขาทั้งสองเสียงแผ่วเบาแต่เหมือนพวกเขาจะไม่ได้ยิน ข้าปั้นยิ้มลำบากใจมองไปหามารดาที่เบือนหน้าหนีศึกตะเกียบไปเนิ่นนาน วางตัวเป็นคนนอกเต็มที่ ส่วนส่านอ๋องนั้นคงหัวเราะร่าเริงเหมือนไม่รับรู้บรรยากาศมาคุแปลกๆ ข้าอยากจะร้องไห้ออกมา ที่พึ่งเดียวตอนนี้คงจะมีเพียงตัวเองนี่แหละ!
“อย่าให้ข้ากินผู้เดียวเลย ท่านก็กินบ้างสิ” ข้าตัดสินใจหยิบอาหารในถ้วยข้าวตนเองไปวางใส่ถ้วยของฉินอ๋อง เจ้าแมวชะงักมองถ้วยข้าวของตนเองนิ่งๆ ก่อนจะคีบขึ้นมากินด้วยสีหน้าราบเรียบ กินไปคำหนึ่งก็หันมามองข้าด้วยแววตาลึกซึ้งชวนขวยเขิน ข้าหน้าร้อนวูบรีบหลบหน้าหนีสีหน้าราบเรียบที่เปี่ยมความพึงพอใจของเขา
พอได้ยินเสียงฮึ่มๆ ไม่พอใจดังมาจากอีกฝั่งข้าก็รีบฉีกยิ้มออกมาแล้วหยิบอาหารให้แก่ท่านพ่อบ้าง จากนั้นก็เอ่ยถ้อยคำห่วงใยเสียงนุ่มนวลลูบอารมณ์ร้อนๆ ให้ดับมอด ท่านพ่อพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ข้าแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเหนื่อยอย่างยิ่ง! ทำไมถึงเป็นข้าที่ติดอยู่ในศึกครั้งนี้กัน!? ข้าทานต่อเล็กน้อยก็ประกาศตัวว่าอิ่ม ยกน้ำชาขึ้นมาจิบปิดท้าย
สงครามตะเกียบจึงจบไปด้วยดี
ส่านอ๋องกลั้นขำจนหน้าแดงก่ำตัวสั่นกึกๆ ข้าเหล่มองเขาอย่างไม่พอใจ ฉินอ๋องเองก็เห็นท่าทางน่ารังเกียจของน้องชายก็เผยยิ้มเย็นชวนสยดสยองออกมา เขาหยิบอาหารเติมใส่ถ้วยข้าวของน้องชายอย่างรวดเร็ว
“ไม่ต้องอิจฉา ข้าดูแลน้องชายอย่างดีแน่”
“ส่านอ๋อง นานๆ จะเจอกันที เชิญๆ” ท่านพ่อหยิบอาหารเพิ่มใส่ถ้วยส่านอ๋องแล้วกล่าวเสียงราบเรียบ ตอกตะปูย้ำดอกสุดท้ายอย่างสวยงาม!
“อา...” ส่านอ๋องมองถ้วยข้าวของเขาแล้วขมวดคิ้วแน่น มันเต็มไปด้วยผักสีเขียวนานาชนิด! ข้าอยากจะหัวเราะสะใจออกมาดังๆ เสียจริง สีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนตอนกินผักเข้าไปของส่านอ๋อง มันตลกยิ่งนัก!
“ท่านอำมาตย์เซี่ย บังเอิญยิ่งนักขอรับ” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวเข้มเดินเข้ามาเอ่ยอย่างนบน้อม ก้มหน้าทักทายท่านพ่อด้วยท่าทางดีใจ ข้าเงยหน้าไปมองแล้วเลิกคิ้ว ตอนแรกข้าก็ไม่รู้ว่าเขาผู้นี้เป็นใคร แต่พอมองเลยไปด้านหลังของเขาเห็นหลวนคุณยืนปั้นหน้าจริงจัง ก็พอจะคาดเดาว่าบุรุษผิวเข้มผู้นี้เป็นใคร มิใช่หลวนเฟิง บิดาของหลวนคุนแล้วจะเป็นผู้ใดอีกเล่า!
“อา บังเอิญจริงๆ หลวนเฟิง เจ้ามากินข้าวที่นี่งั้นหรือ?”
“ขอรับท่านอำมาตย์” หลวนเฟิงตอบกลับอย่างนอบน้อม สายตาคมกริบที่ฉายแววฉลาดล้ำของเขาเหลือบมองสองอ๋องที่นั่งร่วมโต๊ะอย่างแปลกใจวูบหนึ่ง ก่อนจะตีสีหน้าราบเรียบแล้วทำความเคารพทั้งสองอ๋องหนุ่ม ท่านพ่อเอ่ยชวนสองพ่อลูกหลวนเข้ามาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกัน แน่นอนว่าพวกเขาไม่ปฏิเสธ
ข้าเฝ้าดูเงียบๆ แล้วแย้มยิ้มออกมาบางๆ ดวงตาเปล่งประกาย เชื่อมโยงเรื่องได้อย่างรวดเร็ว
ช่างบังเอิญราวกับนัดกันไว้!
สิ่งใดที่ทำให้ชีวิตของเจ้ามีค่า ร่ำเรียนจนจบรึ? ทำงานงั้นรึ?
ได้ยินคนผู้หนึ่งกล่าวไว้ ‘ทำงานเสียชีวิตจะได้มีค่า’
ข้าพยักหน้ายิ้มแย้มรับคำ ในใจคิดผู้ใดเล่าไม่อยากมีชีวิตที่มีค่า?
หากยึดคำกล่าวนั้นชีวิตของข้าคงไร้ค่างวด เพราะข้าเป็นเพียงบัณฑิตว่างงาน
แต่แล้วตัวข้าก็ฉุกคิดขึ้นมาได้หลังจากไล่อ่านความคิดเห็นของผู้อ่าน
ทั้งวันไร้ความสุขแต่เพียงอ่านนิยายของข้าก็ยิ้มและความสุขขึ้น
ชีวิตไร้ค่าเช่นนี้ข้ายังได้มอบความสุขให้แก่ผู้อ่านไม่มากก็น้อย
ชีวิตของข้ามันไร้ค่าจริงๆ น่ะหรือ? สิ่งใดที่เป็นตัวตัดสินว่าชีวิตคนผู้นั้นไร้ค่ากัน?
ขอบคุณความคิดเห็นของทุกท่านที่ทำให้ข้าฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างน้อยชีวิตของข้าก็มีค่าบ้าง
บัณฑิตว่างงาน
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/poypoy.land
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อยากได้เล่มมมม อยากเปย์
อยู่ที่ว่าใครจะเห็นค่า
มากกว่า
ที่รู้ๆคือไรท์มีค่า
กับพวกเรามากค่ะ