ตอนที่ 53 : ตอนที่ ๕๒ ข่าวสะเทือนขวัญ
ตอนที่ ๕๒ ข่าวสะเทือนขวัญ
“ข้าคงไม่ดีเช่นเจียวเพ่ยเจวียนคนงาม” ข้าหยุดมือที่กำลังยกโอบร่างของเขาไว้กลางคัน ข้าขยับถอยหลังดึงตัวออกมาจากเขา เงยหน้ายิ้มเย็นพร้อมกับกล่าวตอบกลับน้ำเสียงเย็นไม่แพ้กัน โหดร้ายอย่างนั้นรึ? ข้าน่ะหรือ? ช่างเป็นการกล่าวหาอย่างไร้เหตุผลเสียจริง
ฉินอ๋องมองมือตัวเองที่ค้างอยู่ท่าเดิมแล้วเงยหน้ามองมาที่ข้า เขาจ้องอยู่สักพักถึงหัวเราะออกมาเบาๆ ทำหน้าขบขันราวกับตลกนักหนา ข้าเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าไยถึงได้จ้างคณิกาชายเหล่านั้นมายังวังหย่งเฮ่าอย่างเอิกเกริก ไม่กลัวจะเสียชื่อเสียงบ้างหรือไร?
เฮ้อ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่มีท่าทีจะสนใจเรื่องทำนองนี้แท้ๆ ประเดี๋ยวก่อน ชีวิตก่อนเขาเองก็หันมาสนใจพวกคณิกาชายอย่างปุบปับเช่นกัน ตอนแรกฉินอ๋องเริ่มเที่ยวเพียงเพราะต้องการปลอบประโลมจิตใจหดหู่ จากศึกหน้าหนาวซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตาย แรกๆ สนใจเพียงเหล่าคณิกาหญิงตามประสาบุรุษวัยคึกคะนองอารมณ์ร้อนแรง ไม่นานฉินอ๋องก็หันมาสนองสนใจคณิกาชายแทน หรือจะถึงเวลานั้นแล้ว?
ข้ามองเจ้าแมวอย่างกังวลใจ สำรวจสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายที่นิ่งจัดจนคาดเดาอันใดมิได้เลยแม้แต่น้อย ฉินอ๋องเห็นข้ามองเขาอย่างสำรวจตรวจตรา ใบหน้าคมคายของเขาก็ผุดรอยยิ้มขันขึ้นมาจางๆ จากนั้นก็เอื้อมมือมาคว้าตัวข้าเข้าไปใกล้แล้วถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า
“เจออันใดหรือไม่? จะดมหาด้วยก็ได้ ข้าอนุญาต”
“ข้าไม่ใช่แมวเสียหน่อย” ข้าพึมพำบอกปัดแล้วผลักเขาออกอย่างรวดเร็ว ดมอะไรกันเล่า? ใช่ว่าข้าจะจมูกเช่นเดียวกับพวกหมาแมวสักหน่อย แต่เมื่อครู่ไม่ได้กลิ่นน้ำหอมน้ำปรุงอื่นจากตัวของเขาเลย หรือว่าไม่ได้ให้คนพวกนั้นมาปรนนิบัติอย่างสนิทสนมงั้นหรือ? แต่ยังไงมันก็ไม่ถูกต้อง ถึงแม้จะไม่มีการใกล้ชิดกันแต่คงนั่งชมระบำรำร้องอย่างสุขสำราญเป็นแน่ ชิชะ ถึงได้เพลิดเพลินจนกลับดึกดื่นเช่นนี้อย่างไรเล่า!
“จิ้งถิง เจ้าหึงหวงได้น่ากลัวยิ่ง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีมุมเช่นนี้ด้วย” ฉินอ๋องมองข้าที่ทำตัวแปลกๆ พลางครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยราบเรียบขึ้นมาอย่างแปลกใจ
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นข้าใจหายวาบ รู้สึกตัวหยุดแง่งอนอย่างรวดเร็ว ข้าลืมตัวจนได้ ไม่ควรแสดงความหึงหวงออกมาให้เขาเห็น ข้ายังจำได้แจ่มแจ้ง คราวนั้นมีนายบำเรอสองคนแสดงความหึงหวงออกมาจนทะเลาะกันวุ่นวายทำให้ฉินอ๋องกริ้วอย่างหนัก นายบำเรอสองคนนั้นไม่ถูกโปรดอีกเลย
ฉินอ๋องเป็นแม่ทัพเป็นนักรบย่อมรู้สึกรำคาญไม่ชอบใจเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้ เมื่อชีวิตก่อนข้าไม่เคยแสดงความหึงหวงเขาเลยแม้สักครั้ง เพราะกลัวว่าจะทำให้เขาขุ่นเคืองใจแล้วไม่ยอมมาหาอีก ตอนนี้ข้ากลับชะล่าใจเริงตัวจนเกินไปจนเลอะเลือนเผลอแสดงความหึงหวงออกไปเสียได้ ข้าจับมือตัวเองแน่นไม่กล้าเผชิญหน้ากับเขา ชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยเปลี่ยนไปเรื่องอื่น
“ข้า...ข้าขอโทษ จริงสิ ท่านรีบอาบน้ำเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว”
“เหตุใดต้องขอโทษกันเล่า? ข้าไม่ได้โกรธเจ้าเสียหน่อย ไม่สังเกตเลยรึว่าข้าออกจะชอบด้วยซ้ำ เจ้าหึงหรือหวงข้านั่นก็แสดงว่าเจ้ารักและสนใจข้า เหตุใดจะต้องขอโทษด้วย” ฉินอ๋องเงียบไปอยู่สักพักแล้วเขาก็ค่อยๆ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไร้ท่าทีโกรธเคืองหรือไม่พอใจใดๆ ข้าเงยหน้ามองเขาที่จ้องมองมาที่ข้าด้วยแววตานิ่งเย็นเย็นเป็นปกติ
“ท่านมิได้ไม่ชอบใจหรอกหรือ?” ข้าถามเขาเสียงเบาแผ่วพร้อมกับสังเกตสีหน้าท่าทางของฉินอ๋องอย่างหวาดหวั่น ฉินอ๋องเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เหลือบมามองข้าแล้วขยับตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับกล่าวเสียงนุ่ม
“ข้าบอกแล้วว่าชอบให้เจ้าหึงข้าเช่นนี้แต่ว่าอย่าโกรธ เข้าใจหรือไม่? แล้วก็จงเชื่อใจข้า เพราะข้ามีเพียงแค่เจ้าผู้เดียวเท่านั้น”
ข้ายืนนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกดตั้งแต่ฉินอ๋องค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้ เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นก็จ้องมองมาอย่างจริงจัง ความจริงจังของเขาทำให้ข้าแทบกลั้นหายใจ อย่าเข้ามาใกล้มากเพียงนี้ได้หรือไม่? แค่นี้ข้าก็คิดอันใดมิออกอยู่แล้ว ใจของข้าเต้นกระหน่ำเสียงดังภายในอก ข้าพยักหน้าหงึกๆ ราวกับคนโง่งมที่ถูกทำให้คล้อยตามโดยง่าย พอเหลือบขึ้นไปมองด้านหน้าก็เจอกับดวงตาเรียวยาวที่จ้องประชิด ข้าหายใจขัดก่อนจะเอ่ยปรามไม่ให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ไปมากกว่านี้
“พูดเฉยๆ ก็ได้ ไยต้องขยับเข้ามาใกล้เพียงนี้”
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่เห็นความจริงใจมากพอ” ฉินอ๋องยังคงขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ข้า เขากระซิบบอกเสียงเบา เรียวปากขยับเปล่งเสียบนริมฝีปากของข้า เจ้าแมวเจ้าเล่ห์กลับมาอีกครั้ง พยายามพาตัวมาเข้าใกล้ข้าอย่างแนบเนียน ขโมยจูบข้าไปอย่างรวดเร็ว พอได้สิ่งที่ต้องการก็ยิ้มอย่างชอบอกชอบใจ ข้ามองสีหน้ามีความสุขของเขาแล้วถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ ช่างเถิด แค่จูบนิดๆ หน่อยๆ ข้าก็มิใช่คนหวงเนื้อหวงตัวขนาดนั้น
“แล้วเหตุใดท่านถึงได้จ้างพวกเขามาแสดงที่วังเล่า?”
ข้าเกือบลืมแล้วไหมล่ะ นี่คงมิได้จะพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของข้าอยู่หรอกนะ? เจ้าเล่ห์ยิ่ง เกือบทำให้ข้าหลงกลเสียแล้ว ข้าเดินตามฉินอ๋องที่เดินมาถอดเสื้อผ้าต่อ ฉินอ๋องขยับตัวถอดเสื้อผ้าอย่างใจเย็นไม่รีบไม่ร้อนจะตอบคำถามของข้า จนกระทั่งเหลือเสื้อด้านในสุดตัวสุดท้าย เจ้าแมวถอดไปได้ครึ่งทางก็เหลียวมามองข้าด้วยแววตายั่วเย้าเล็กๆ
“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ไว้ให้ข้าอาบน้ำเสร็จก่อนค่อยมาตอบ หรือว่าเจ้าจะไปอาบน้ำพร้อมข้าระหว่างนั้นข้าจะตอบจนกว่าเจ้าจะพอใจดีหรือไม่”
“ข้าอาบน้ำแล้ว” ข้ามองดวงหน้าคมสันที่ยกยิ้มหล่อเหลาอย่างหมั่นไส้ คิดว่าข้ารู้ไม่ทันสินะ หากข้าไปอาบน้ำด้วยคงไม่ได้ฟังคำถามใดๆ จากปากของเขาหรอก ข้าส่ายหน้าปฏิเสธออกไปอย่างหนักแน่น ฉินอ๋องร้องขอพลางยิ้มเยือนใจเย็น
“อาบอีกรอบจะเป็นไรไป ไม่มีกฎใดห้ามไว้เสียหน่อย”
“รีบไปอาบได้แล้ว ประเดี๋ยวน้ำจะเย็นเอา อากาศยิ่งหนาวๆ อยู่” ข้าหมั่นไส้เจ้าแมวที่พยายามอ้อนและใช้เรือนร่างมายั่วยวน โธ่ คิดว่าจะทำให้ข้าหวั่นไหวอย่างนั้นรึ? ข้าทำใจแข็งจิตใจแข็งแกร่งเยี่ยงเหล็กกล้า เดินเข้าไปดึงเสื้อขาวตัวสุดท้ายที่เจ้าแมวมากลีลาไม่ยอมถอดเสียที จากนั้นเร่งให้อีกฝ่ายไปอาบน้ำแล้วเดินไปรอที่ฉากอาบน้ำ
สักพักฉินอ๋องก็ได้ฤกษ์ลงอ่าง
“ที่ข้าจ้างพวกเขามาแสดงก็เพราะต้องการฉิวเฟยอิน”
“หือ?” ข้าที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากอ่างน้ำทำเสียงขึ้นสูง เจ้าแมวรีบอธิบายต่ออย่างว่องไว
“ไม่ใช่ต้องการฉิวเฟยอินแบบนั้น ข้าหมายถึงต้องการใช้งานพลังของฉิวเฟยอินต่างหาก พลังของฉิวเฟยอินมีประโยชน์มากในการสำรวจพื้นที่รกร้างลั่งเฟ่ย”
“พลังของฉิวเฟยอิน? เขามีพลังอะไรอย่างนั้นรึ?” ข้าทำหน้าแปลกใจอยู่วูบหนึ่ง ตอนนี้ฉินอ๋องรับผิดชอบการสำรวจพื้นที่ลั่งเฟ่ยอยู่ แต่ที่ข้าแปลกใจก็คือพลังของฉิวเฟยอินต่างหาก
ข้าครุ่นคิดความทรงจำในชีวิตที่แล้ว พลังของฉิวเฟยอิน? ข้าจำไม่ได้ว่าเขามีพลังอันใด จำได้เพียงแค่ฉิวเฟยอินเป็นคณิกาชายที่ถนัดการขับร้องและร่ายรำ มักจะทำหน้าเย้ยหยัดเหมือนรู้ทุกสิ่งอย่างที่คนอื่นไม่รู้ รักสบาย ปากร้าย และเย่อหยิ่ง
“ที่ลั่งเฟ่ยมีอันตรายมากมายเป็นเพราะที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยภาพมายา ฉิวเฟยอินมีพลังที่สามารถลบล้างภาพมายาได้ การเดินทางไปยังพื้นที่ลั่งเฟ่ยนั้นค่อนข้างลำบากเพราะมีภาพมายามาขัดขวางทำให้หลงทิศหลงทางเส้นทางวกวน หากได้ฉิวเฟยอินนำทางและเปิดทางให้ย่อมทำให้ภารกิจนี้ราบรื่นขึ้นมาก เพราะภาพมายาใดๆ ไม่สามารถทำอะไรเขาได้”
ข้ารู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่ฉิวเฟยอินมีพลังร้ายกาจเพียงนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะซ่อนเขี้ยวเล็บเอาไว้ คนที่มีพลังแบบนี้เหตุใดถึงได้มาเป็นนายบำเรอกันนะ แทนที่จะใช้พลังของตนเองให้เป็นประโยชน์ พอข้าคิดถึงนิสัยรักสบายของฉินเฟยอินผู้มีพรสวรรค์ร่ายรำและมีเสียงอันไพเราะก็เลิกสงสัยแทบจะทันที มั่นใจเลยว่าในตอนที่ฉินอ๋องไปขอร้องให้เขาช่วย ฉิวเฟยอินผู้นั้นต้องปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยอย่างแน่นอน
“แล้วเกี่ยวอันใดกับที่ท่านจ้างเขามาแสดงที่วัง?”
“เขาปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ หากไม่เกรงว่าเขาจะตกเป็นเป้าหมายของมือสังหารอีกครั้งก็คงจะขู่บังคับไปแล้ว ไม้แข็งเช่นนั้นมีแต่จะทำให้งานเสียคนตาย ข้าจึงส่งคนไปขอร้องบ่อยๆ จนกระทั่งฉิวเฟยอินยื่นข้อเสนอมาให้” ฉินอ๋องเล่าด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่แฝงความไม่พอใจจางๆ กระทั่งสุดท้ายเขาหยุดพูดลง ข้าหันไปมองแล้วเอ่ยถาม
“ข้อเสนอที่ว่าคือให้ท่านจ้างเขามาแสดงอย่างนั้นหรือ?”
ฉินอ๋องเหลือบสายตามามองข้าอย่างระมัดระวัง เหมือนกับแมวที่ไปขโมยเนื้อปลามากินแล้วกลัวเจ้าของล่วงรู้ ข้าจ้องมองท่าทางเช่นนั้นของเขาพร้อมกับมีลางสังหรณ์บางอย่างในใจ ข้าแค่นเสียงในใจ ฉิวเฟยอินผู้นั้นคงไม่ต้องการเพียงแค่การมาแสดงที่นี้กระมัง เมื่อคิดถึงข้อเสนอที่ฉิวเฟยอินผู้นั้นน่าจะเสนอมาข้าก็หัวเราะเยือกเย็นแล้วเอ่ยถามออกไป
“คงมิใช่ว่าให้ท่านรับเขาเป็นนายบำเรอหรอกนะ?”
“เดาได้แม่นราวตาเห็น จิ้งถิงของข้าช่างเก่งกาจจริงๆ” เจ้าแมวแอบตกใจเล็กน้อยที่ข้าเดาข้อเสนอนั้นได้ตรงเผง เขาแสร้งปรบมือชมเชยหัวเราะกลบเกลื่อน แต่พอถูกข้าจ้องเขม็งไม่สนุกสนานไปด้วยเขาก็รีบกระแอมแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าปฏิเสธไปแล้ว”
“เช่นนั้นฉิวเฟยอินคงไม่พอใจมากแน่”
“ใช่ เขาเลยยื่นข้อเสนอให้ข้าจ้างพวกเขามาแสดงที่วังเจ็ดวันด้วยกัน จากนั้นจะรับพิจารณาอีกทีว่าจะช่วยหรือไม่ ข้าถึงได้จ้างพวกเขามาแสดงอย่างไรเล่า แต่ข้าไม่เคยไปดูพวกเขามีเพียงเหวินถงที่ไปดู รับรองว่าข้าไม่เคยนอกใจหรือนอกกายเจ้า แม้แต่คิดก็ยังไม่เคย ดูสิข้าชอบเจ้าเพียงใด”
ฉินอ๋องพยักหน้ากล่าวต่อไปด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะตบท้ายด้วยการยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเองเสียงหนักแน่น และไม่วายพูดอวดอ้างความดีของตนเอง ข้าไม่สนใจเจ้าแมวที่พยายามวาดลาดลายเรียกร้องความสนใจ ข้าขบคิดเรื่องของฉิวเฟยอินต่อ
“ข้าคิดว่าครบเจ็ดวันฉิวเฟยอินคนนั้นคงไม่ยอมอยู่ดี เพราะหากทำเช่นนี้ต่อไปย่อมยกระดับตนเองให้มีราคาสูงยิ่งขึ้นได้ วันนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขามาแสดงที่นี้ หากเราไม่จ้างมาต่อย่อมต้องมีคนสงสัยว่าพวกเขาทำให้ท่านไม่พอใจ จากนั้นแขกที่เคยเรียกใช้ฉิวเฟยอินจะลดน้อยลง เพราะไม่มีผู้ใดอยากจะผิดใจกับฉินอ๋องอย่างแน่นอน จากนั้นเราไม่ต้องติดต่อเขาสักสี่ห้าวันให้คนผู้นั้นร้อนใจอยู่หลายๆ วันเสียก่อน แล้วค่อยไปขอร้องใหม่ คงจะมีโอกาสสำเร็วจมากขึ้นแน่”
ข้าคิดแผนการเกลี่ยกล่อมคนอย่างฉิวเฟยอิน จากนั้นก็เอ่ยแผนนี้ให้เขาฟัง เจ้าแมวมองข้าอย่างแปลกใจก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยทีเล่นทีจริง
“ใจสื่อถึงใจกระมัง ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
ข้าไม่น่าเปลืองปัญญาไปขบคิดแผนการให้แก่คนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าแมวเลย คนเช่นนี้ย่อมคิดวิธีจัดการฉิวเฟยอินได้อยู่แล้ว ข้าลุกขึ้นจะเดินออกไป ฉินอ๋องเห็นข้าลุกขึ้นก็รีบชี้นิ้วสั่ง
“เดี๋ยวก่อน เจ้าเอาผงสมุนไพรขัดตัวตรงนั้นมาให้ข้าหน่อย”
ข้าหันไปมองตามนิ้วที่ชี้มาก็หยิบโถกระเบื้องใส่สมุนไพรขัดตัวส่งให้คนอาบน้ำ ฉินอ๋องรับโถกระเบื้องไปวางไว้แล้วกวักน้ำสาดใส่ข้าจนเปียก เจ้าแมวลุกขึ้นพรวดทั้งๆ ที่เปลือยล่อนจ้อน ข้าสะดุ้งตกใจผงะจะถอยหลังไปแต่ก็ถูกมือใหญ่คว้าแขนทั้งสองไว้หมับ เจ้าแมวเผยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เจ้าเปียกแล้วจิ้งถิง มาอาบน้ำด้วยกันเถิด”
พูดจบฉินอ๋องก็ดึงข้าลงอ่างน้ำไปด้วย ข้าขัดขืนไม่ทัน ตั้งสติได้ก็เปียกไปทั้งตัว แถมยังลงมาแช่น้ำทั้งชุดอีกต่างหาก ข้าทำหน้าบึ้งฟาดแขนตีน้ำกระจายใส่เจ้าแมวหน้ามึน โธ่เอ๊ย เสียรู้อีกจนได้! ฉินอ๋องลูบน้ำออกจากหน้าแล้วจ้องตรงมายังข้าตาไม่กะพริบ ข้าเริ่มหวั่นๆ แต่ก็ยังพยายามทำหน้าบึ้งประท้วงไร้เสียง ร่างหนาที่เปียกปอนน้ำจนมันวาวเคลื่อนกายมาใกล้ มือหยาบกระด้างยกลูบไล้ตามใบหน้า ร่างร้อนผ่าวค่อยๆ แนบชิด เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูข้า
“ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก เจ้าไม่คิดถึงข้าบ้างรึ?”
ไม่ ข้าต้องใจแข็งไว้!
“คิดถึงอันใด เจอกันอยู่ทุกวัน”
“ข้าหมายถึงคิดถึงเช่นนี้ต่างหาก”
ว่าจบริมฝีปากได้รูปสวยของฉินอ๋องที่คลอเคลียแก้มของข้าก็เลื่อนมาหยอกล้อกลีบปากของข้าอย่างนุ่มนวล ข้ากำมือแน่น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หวั่นไหวไปตามเจ้าแมว ข้ายังนิ่งไม่ยอมขยับทั้งที่ใจสั่นระรัวไปหมด ฉินอ๋องตั้งหน้าตั้งตาขบกัดเบาๆ ผละจากริมฝีปากก็ค่อยๆ ลามไปยังใบหูอันอ่อนไหว ข้าตัวสั่นระริก ความอดทนเริ่มสั่นคลอน
“จิ้งถิง”
ทุกสิ่งทุกอย่างของข้าพังครืนลงไม่เป็นท่า เพียงแค่เสียงเรียกเดียว เสียงเรียกที่ฟังรบเร้าเว้าวอนจนใจข้าอ่อนยวบ
หึๆ จิ้งถิงรึจะรู้ทันข้า หึๆๆๆ//ลูบไล้ขัดถู
“จิ้ง...”
ข้ายกมือกั้นริมฝีปากที่กำลังเอื้อยเอ่ยเรียกชื่อของข้าด้วยน้ำเสียงแสนหวาน นิ้วเปียกชื้นร้อนผ่าวเมื่อแตะริมฝีปากได้รูปนั้น นัยน์ตาเรียวคมพยายามจ้องมองเข้ามาในดวงตาของข้าไม่ลดละ ริมฝีปากร้อนจัดขยับอ้าแล้วขบนิ้วมือของข้าที่ปิดกั้นเขาไว้ ลิ้นสากโลมเลียตามนิ้วของข้าแล้วจรดจูบกลางฝ่ามือ ข้ารีบชักมือออกมาแต่ก็ถูกเขาจับเอาไว้เสียก่อน ข้าหยุดชะงักเหม่อสบดวงตาตรงหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ ถูกตรึงนิ่ง ราวกับสิ่งรอบข้างค่อยๆ หยุดชะงักตาม ลมหายอุ่นๆ ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เสียงกระซิบที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนาดังแผ่วครอบงำสติของข้า
“ข้าชอบเจ้า ชอบยิ่งนัก จิ้งถิง”
“ทำให้ข้าชอบเจ้ามากกว่านี้เถิด ทำให้ข้าขาดเจ้าไม่ได้ยิ่งกว่านี้”
ข้าหมดเรี่ยวแรงจะต่อต้านใบหน้าคมคายที่รุกเร้าหนักหน่วง ใบหน้าออดอ้อนขอร้องของเจ้าแมว ข้าถอนหายใจแผ่วเบาแล้วจ้องมองไปยังดวงตาวาวแสงที่เฝ้ารอคอย ริมฝีปากแห้งผากเม้มเข้าหากันแล้วค่อยๆ ก้มหน้าผงกศีรษะเบาๆ แทบจะมองไม่เห็น ฉินอ๋องยิ้มรับคำตอบนั้น เขาดึงข้าเข้าไปกอดในอ้อมอก กดริมฝีปากจูบลงบนขมับของข้าแรงๆ แล้วกระซิบเสียงพร่าพราย
“จิ้งถิง ข้า...ชอบเจ้า”
“อืม”
เสื้อที่ห่มตัวของข้าถูกมือหนาปลดออกอย่างเชื่องช้า ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมดกหนาสีดำก้มลงจูบหัวไหล่ค่อยๆ ประทับริมฝีปากไปตามร่างกายที่เปียกชื้น ลมหายใจของข้าค่อยๆ แรงขึ้น ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้เปลื้องปลดอาภรณ์ที่ขวางกั้น ปากร้อนระอุเลื่อนลงต่ำดุนดันดูดยอดอกอ่อนไหว ข้ากอดร่างหนาเอาไว้หอบกระเส่า ฝ่ามือใหญ่มอบสัมผัสไปทั่วกายของข้า เขาเคลื่อนลงต่ำไปหาจุดอ่อนไหวตรงกลางลำตัว ผิวมือที่หยาบและร้อนทำให้ข้าบิดกายกลั้นเสียงคราง ใบหน้าของข้าเริ่มแดงและร้อนเป็นถ่านไฟ สติเริ่มเลือนรางทำเพียงร้องเรียกชื่อของเขา
“เสวี่ย...”
การอาบน้ำดำเนินไปยาวนานเหมือนจะไม่สิ้นสุด เราสองคนช่วยกันปลดปล่อยความสุขสมบรรเทาความต้องการลึกล้ำให้แก่กัน โดยเฉพาะเจ้าแมวบ้าที่เอาแต่เรียกร้องนู่นนั่นนี่ พอข้ายอมให้ก็รีบตักตวงเอาผลประโยชน์ที่เรียกได้ว่าได้กำไรจนร่ำรวยในพริบตา คิดดูเถิด ข้าเหนื่อยจนไม่มีแรงขยับออกจากอ่างน้ำเอง เดือดร้อนท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์อุ้มออกไปและช่วยเช็ดตัวสวมเสื้อผ้าให้ พอเข้านอนเจ้าแมวก็ยังไม่ยอมปล่อย คลอเคลียนัวเนียจนข้าหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัวเลย
กว่าข้าจะตื่นก็ปาไปยามเฉิน(๗-๙น.) ข้ารีบลุกจากเตียงวิ่งเข้าอาณาเขตที่กางทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานเพื่อกลับไปยังห้องตนเอง ทันเวลาที่ชิงลู่และจื่อลู่จะเปิดประตูเข้ามาพอดี ข้าแอบถอนหายใจโล่งอกแล้วบ่นให้เจ้าแมวบ้าที่เป็นต้นเหตุทำให้นอนตื่นสาย แล้วยังไม่ยอมปลุกข้าอีกด้วย
“วันนี้นายน้อยคงนอนเต็มตื่นเลยกระมัง รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดขอรับ ป่านนี้อู้หย่าเกอเกอคงจะรอนานแล้ว”
“นี่ขอรับนายน้อย”
ข้ายิ้มรับไม่พูดอะไรตอบกลับ เอื้อมมือไปรับผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำหมาดๆ จากจื่อลู่มาซับหน้า หลังจากผ่านพ้นวิกฤตการถูกแซวเรื่องตื่นนอนช้าจากอีกาหนุ่ม กิจวัตรของข้าก็เริ่มกลับมาเหมือนเดิมเช่นทุกวัน เย็นวันนั้นข้าไม่ได้ไปหาฉินอ๋องเพราะอยากจะสั่งสอนเจ้าแมวแสบตัวนั้นเสียบ้าง เหอะ ให้เขานอนกอดตัวเองนอนไปเถิด
และแล้ววันสุดท้ายของปีก็มาถึง ที่จวนตระกูลเซี่ยจัดงานเลี้ยงอย่างเรียบง่ายตามอุปนิสัยของเจ้าบ้าน นี่หากเจ้าบ้านคือท่านลุงใหญ่ล่ะก็งานเลี้ยงจะต้องยิ่งใหญ่ฟุ่มเฟือยยิ่งกว่างานเลี้ยงในวังหลวงเป็นแน่ โชคดีที่เจ้าบ้านคือท่านพ่อถึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายจนเป็นหนี้ ในวันสุดท้ายของปีท่านพ่อใช้ของขวัญต้อนรับปีใหม่แก่สมาชิกครอบครัวเท่าๆ กัน และแจกจ่ายให้แก่คนรับใช้ในจวนอีกด้วย ท่านปู่ท่านย่าก็มอบของขวัญแก่ลูกหลานตามธรรมเนียม
ที่ข้าดีใจมากที่สุดก็คือเลี่ยงรุ่ยกลับมาฉลองปีใหม่พร้อมกับท่านลุงสามที่จวน!
ในที่สุดข้าก็ได้เจอเลี่ยงรุ่ยสักที เลี่ยงรุ่ยเห็นข้าก็ปรี่เข้ามากอดแน่นพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก เขาตบไหล่ข้าแล้วมองสำรวจอยู่หลายรอบค่อยเปิดปากด้วยสีหน้าดีอกดีใจ
“เด็กขี้ขลาดเยี่ยงเจ้าก็เติบโตเป็นหนุ่มหล่อแล้วสินะ เสียดายที่หล่อน้อยกว่าข้าเล็กน้อย”
ข้าอมยิ้มขบขันคำพูดยกย่องตนเองของเลี่ยงรุ่ยแล้วพยักหน้าเออออตามไป
“อ่า ขออภัยจริงๆ ที่ดันหล่อน้อยกว่าเจ้า ว่าแต่หนุ่มหล่อแห่งตระกูลเซี่ยเช่นเจ้าเมื่อไรจะแต่งงานแต่งการเล่า? ได้ข่าวมาว่าท่านลุงสามกลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องนี้นัก”
“เรื่องนี้ต้องโทษความหล่อเหลาของข้าแล้วล่ะ มากมายเสียจนเลือกมิถูกเลยจริงๆ”
ข้ามองคนหลงตัวเองอย่างเอือมระอาก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน ข้ากับเลี่ยงรุ่ยพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ในขณะที่เซี่ยเหยียนเหว่ยต้องนั่งเงียบอยู่คนเดียวข้างๆ มารดาของตนเอง ครอบครัวของท่านลุงใหญ่ที่ค่อนข้างใหญ่นั่งจับจองเก้าอี้อีกด้านจนหมด ทางฝั่งข้ามีเพียงหน่อยนิดขนาดสองครอบครัวรวมกันยังไม่เท่าสมาชิกครอบครัวท่านลุงเหยียนจิน
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นพร้อมหน้าตระกูลเซี่ยเป็นครั้งแรก แต่ละครอบครัวก็เริ่มทยอยกันขอตัวกลับเรือนตนเอง ท่านลุงใหญขอตัวลาจากบิดามารดาเฒ่าแล้วพาครอบครัวเป็นโขยงกลับไป ในห้องโถงใหญ่เงียบเสียงลงในทันที จากนั้นท่านย่าท่านปู่ก็ขอตัวไปพักผ่อนพร้อมกับท่านย่าน้อย ตามด้วยลุงสามและเลี่ยงรุ่ยขอตัวกลับเรือนตนเอง เหลือเพียงข้า ท่านพ่อ ฮูหยินสามและบุตรชาย
ตามประเพณี ‘โสว่ซุ่ย’ ในวันส่งท้ายปีเก่าทุกคนจะต้องอยู่โต้รุ่งเพื่อต้อนรับวันปีใหม่ ห้ามหลับไปก่อนมิฉะนั้นปีต่อไปจะโชคร้าย ผ่านไปครึ่งชั่วยามแห่งความอึดอัดท่านพ่อลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยข้าให้ไปโต้รุ่งกันที่เรือนหงเหมย ข้าพยักหน้าลุกเดินตามหลังบิดา ก่อนออกไปข้าแอบเหลือบมองสองแม่ลูกที่ผงะหน้าซีดเผือดตามๆ กัน ข้าหันกลับมาแล้วถอนหายใจ พอคิดดูแล้วเซี่ยเหยียนเหว่ยผู้นั้นก็น่าสงสารมิใช่น้อยเลย เขาไม่รู้เรื่องอันใดด้วยแท้ๆ
ข้ากับท่านพ่อนั่งโต้รุ่งด้วยกันที่เรือนหงเหมยโดยมีท่านแม่ร่วมด้วยอีกคน ตอนแรกๆ นั้นพวกเราก็นั่งเล่นหมากรุกสลับกันไปมา และแล้วท่านแม่โวยวายเลิกเล่นไปก่อนเหลือเพียงข้ากับท่านพ่อ ข้าเล่นกับท่านพ่อรู้สึกว่าง่ายกว่าเล่นกับฉินอ๋องนัก เป็นเพราะท่านพ่อนั้นออมมือให้แก่ข้าบ้าง ไม่เหมือนเจ้าแมวงี่เง่านั่นที่เล่นทุ่มทุกอย่างไม่ออมฝีมือไว้เลย ช่างไร้ความเมตตาต่อมือใหม่หัดเล่นจริงๆ
พอคิดถึงเจ้าแมวข้าก็สงสัยว่ายามนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ วันนี้มีงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่วังหลวง ฉินอ๋องคงจะอยู่ในงานเลี้ยงในวังหลวงกระมัง ข้าเหม่อลอยอยู่แวบหนึ่งจนท่านพ่อต้องส่งเสียงกระแอมเรียกสติให้กลับคืนมา ข้ารีบตั้งสติกลบเกลื่อนอาการเหม่อลอยเมื่อกี้แล้วตั้งใจเล่นหมากกระดานต่อ ตอนนี้ข้าควรจะจดจ่ออยู่กับหมากกระดานตรงหน้า ไม่ควรจะคิดถึงเจ้าแมวงี่เง่านั่น
「จุดพลุแล้ว!」
ท่านแม่ที่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายมองพวกเราเล่นหมากกระดานพลันตาลุกวาวเมื่อได้ยินเสียงพลุดังขึ้น นางรีบลุกขึ้นถลาทะลุออกไปข้างนอก ท่านพ่อมองตามพร้อมกับขมวดคิ้วใส่ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินตามไปบ่นพึมพำเรื่องท่าทางไม่เรียบร้อยของท่านแม่ ข้าชำเลืองมองท่านพ่อที่เดินออกไปข้างนอกแล้วหยิบหมากแอบวางไปหลายจุด วางจนคิดว่าตนเองได้เปรียบแล้วถึงลุกขึ้นไปดูพลุที่ทางวังหลวงเป็นผู้จุด และดูเหล่าคนรับใช้จุดปะทัดต้อนรับปีใหม่
ข้ายืนเอามือไขว้หลังแหงนหน้ามองพลุดอกแล้วดอกเล่าบนท้องฟ้าสีครามเข้ม ทุกคนต่างตื่นตาตื่นใจกับพลุหลากสีที่บานสะพรั่งเต็มฟ้าที่มืดมิด พวกเขายืนมองพลุจนกระทั่งมันจางหายไปถึงทยอยกันเดินกลับเข้าไปในห้อง ข้ายังยืนมองท้องฟ้าแม้จะไม่มีพลุแล้วก็ตาม บางทีตอนนี้ฉินอ๋องอาจกำลังมองท้องฟ้าอยู่ที่วังหลวงก็เป็นไปได้ เขาคงนั่งโต้รุ่งกับพระมารดากระมัง? ข้ายิ้มบางๆ แล้วหันตัวเดินกลับไปข้างในเพื่อเล่นหมากกระดานกับท่านพ่อต่อ
ข้านั่งลงที่เดิมรอคอยท่านพ่อที่กำลังหลอกล่อท่านแม่ด้วยการเผาขนมไปให้ พอทำให้ท่านแม่สงบลงได้ท่านพ่อก็เดินกลับมานั่งตรงกันข้ามกับข้าเพื่อเล่นหมากกระดานต่อ ข้ามองหน้าท่านพ่อแวบหนึ่งแล้วก้มมองหมากกระดานนิ่งๆ ท่านพ่อมองกระดานหมากนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามามองข้าแวบหนึ่งแล้วหยิบวางหมากต่อ ข้าตกใจแวบนึกว่าท่านพ่อจับได้ที่แอบโกง
พวกเรานั่งเล่นหมากเงียบๆ ใช้เวลาอยู่นานก็จบลงด้วยการพ่ายแพ้ยับเยินของข้า ครั้งนี้ข้ารู้สึกว่าท่านพ่อไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยสักนิด ฟาดฟันข้าอย่างจริงจังจนข้าพ่ายอย่างอนาถ หรือว่าจริงๆ แล้วท่านพ่อรู้ว่าข้าแอบโกงกันนะ ให้ตายเถิด ข้าถอนหายใจแล้วลุกขึ้นบิดเนื้อตัวก่อนจะเอ่ยขอออกไปเดินเล่นเปลี่ยนกิริยาบถ
“ท่านพ่อ ลูกขอตัวไปเดินเล่นแก้ง่วงก่อนนะขอรับ”
「ถิงเอ๋อร์ อย่าแอบไปนอนเล่า」
“ข้าทราบแล้วท่านแม่”
ข้าลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกเรือนเพื่อเดินเล่นแก้ง่วง ข้าหยุดมองดอกไม้ใบหญ้าไปเรื่อยๆ บางครั้งก็แหงนหน้ามองดวงจันทร์ดวงดาราบนฟากฟ้า ข้างนอกหนาวจนจะแช่แข็งร่างกาย ข้าขยับถูมือเพื่ออบอุ่นร่างกายก่อนจะหยุดชะงักหันไปมองด้านหลัง ข้าระวังตัวทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องมองอยู่ ข้าค่อยๆ เดินไปยังที่ที่มีใครบางคนหลบซ่อน แต่ทว่ากลับไม่พอเห็นผู้ใด ข้ารู้สึกว่ามันแปลก หากครั้งนี้เป็นครั้งแรกคงไมรู้สึกกังวลอันใด แต่สองสามวันมานี้ข้ารู้สึกคล้ายถูกใครบางคนจ้องมองมาอยู่หลายครั้งหลายคราด้วยกัน
“ไม่หนาวรึ?”
เฮือก!!!
ข้าสะดุ้งตกใจกระโดดหนีคนที่เข้ามากอดแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง พอหันกลับไปตั้งท่าป้องกันตัวเต็มที่ก็เห็นฉินอ๋องทอดมองมาอย่างขบขัน ข้ามองเขาอยู่นานจนแน่ใจว่าเป็นตัวจริงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ต่อว่าเจ้าแมวที่โผล่มาให้ตกใจเช่นนี้ ฉินอ๋องยักไหล่ไม่ใส่ใจเดินเข้ามาดึงข้าเข้าไปกอด
“ข้าอุตส่าห์มาหาเจ้า อย่างอนเลย ดูสิ ข้าเอาอะไรมาฝาก”
“ข้ามิใช่ผีสุราเสียหน่อยถึงจะดีใจที่ท่านหิ้วไหสุรามาฝาก”
“ใช่ๆ เจ้าไม่ใช่ผีสุรา แต่ช่วยดื่มร่วมกับข้าได้หรือไม่?”
ข้าไม่ตอบเพราะอย่างไรสุดท้ายก็ต้องดื่มร่วมกับเขาอยู่ดี อากาศหนาวๆ เช่นนี้ได้สุรามาอุ่นร่างกายก็ไม่เลว ฉินอ๋องคว้าเอวของข้าทะยานขึ้นไปบนหลังคา โชคดีที่วันนี้ไม่มีหิมะ ถ้ามีหิมะตกคงกลายสภาพเป็นรูปปั้นหิมะกันเป็นแน่ ฉินอ๋องเหยียบลงบนหลังคาอย่างนิ่มนวลและเบาแทบไม่เกิดเสียงอันใด เขานั่งลงโอบกอดข้าจากด้านหลัง ใช้ผ้าคลุมห่มร่างของข้าเอาไว้ ดึงข้าเข้าไปอิงชิดแผ่นอกของเขา
ฉินอ๋องยื่นจอกสุราให้แก่ข้า ส่วนตัวเขานั้นยกซดจากไหโดยตรง พวกเรากระซิบกระซาบต่อกันพลางเงยหน้ามองดวงดาวบนฟ้าไปด้วย เรื่องที่คุยไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย ไม่นานพวกเราก็เงียบลงไม่มีใครเอ่ยสิ่งใด ข้าจ้องมองจอกว่างเปล่าในมือนิ่งๆ ฟังเสียงลมหายใจของเขาก็รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ข้าเอนตัวซบร่างแกร่งด้านหลังแล้วผ่อนลมหายใจหลับตาลง ฉินอ๋องไม่พูดอันใดเช่นกันกอดข้าแน่นขึ้น
เช้ารุ่งขึ้นข้าตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนของตนเองอย่างงุนงง เมื่อคืนข้านอนหลับไปตอนไหนกันนะ? จำได้เพียงว่าตัวข้าหลับตาอยู่ในอ้อมกอดของฉินอ๋อง ข้าอยู่บนเตียงตัวเองพร้อมกับชุดเดิมของเมื่อวาน หรือว่าฉินอ๋องจะเป็นผู้ที่พาข้ามานอนบนเตียงกัน? ข้าลงมาจากเตียงแล้วเดินออกไปข้างนอก จังหวะเดียวกับชิงลู่และจื่อลู่เดินถืออ่างน้ำเข้ามา ข้าเปลี่ยนชุดเป็นชุดใหม่ที่ตัดเย็บเพื่อใช้ในวันปีใหม่ตามธรรมเนียมแล้วออกไปรับประทานมื้อเช้าพร้อมกับเดินสายกราบไหว้ผู้อาวุโส
ระหว่างทางเห็นคนรับใช้จับกลุ่มพูดคุยกันแต่ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องวันปีใหม่กัน พอมาถึงห้องรับประทานอาหารเห็นเพียงฮูหยินสามและเซี่ยเหยียนเหว่ยและท่านย่าน้อย ข้าเดินไปนั่งท่านย่าน้อยก็เอ่ยให้เริ่มรับประทานได้ ข้ามองท่านย่าน้อยอย่างแปลกใจ ท่านพ่อยังไม่มาแท้ๆ เหตุใดถึงลงมือกินก่อนแล้ว ข้าถามท่านย่าน้อยทันที
“มีคนตายถัดที่บ้านถัดจากจวนของเราสองหลัง เหยียนจิ้งจึงไปดูแลความเรียบร้อยน่ะ”
ข้าพยักหน้าไม่ถามอันใดต่อ ก้มหน้าทานจนอิ่มแล้วรีบเดินกลับไปยังเรือนหงเหมย ข้าครุ่นคิดบางอย่างแล้วเอ่ยถามเรื่องคนตายจากชิงลู่
“อ้อ เรื่องนี้กำลังเป็นที่โจษจันกันเลยขอรับ คนตายคือธิดาใต้เท้าถัง ฆาตกรลงมือเหี้ยมโหดนัก มันใช้ของมีคมกรีดและแทงร่างคนตายจนยับเยิน เหลือเพียงใบหน้าที่ขาวผ่องไร้รอยขีดข่วน น่ากลัวจริงๆ เรื่องเกิดขึ้นไกลจากจวนของพวกเราเพียงบ้านสองหลังเท่านั้น เฮ้อ ปีใหม่แท้ๆ กลับเกิดเรื่องอัปมงคลเสียแล้ว”
“...!!?”
ข้าขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ความทรงจำในคืนวันลอยโคมของข้าแวบเข้ามาในหัวทันที
มีบางคนบอกว่าช่วงนี้เริ่มเรื่อยๆ เนิบๆ งั้นขอเปิดภาคโคนัน ตามหาฆาตกรกัน!
ทุกคนคาดหวังอะไรคะ? เจ้าแมวเป็นแมวสุภาพบุรุษ (เหรออออออ)
ก็บอกแล้วว่าอ๋องแมวร้อยตอน ไม่ต้องลุ้นค่ะ ร้อยตอนเมื่อไรจะให้โอกาสแมวเมื่อนั้น โฮะๆ//ยกมือป้องปาก
ปล. วันนี้มาช้าเพราะเมื่อตอนบ่ายฝนตกค่ะ ไฟดับทุกอย่างมืดมิดไปหมด
รอจนฝนหยุดไฟมาก็ต้องมานั่งแต่งอยู่หน้าบ้านให้ยุงกัดแบบบุฟเฟ่ต์ทีเดียว ลำบากลำบนจริงๆ นะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สงสารแมวก็สงสาร จะบอกว่าสมน้ำหน้าก็สมน้ำหน้า เฮ้ออ
แค่กๆ-
กะจะลากถิงถิงลงน้ำอย่างเดียวเลย