ตอนที่ 5 : ตอนที่ ๐๕ เจ้าแมว
ตอนที่ ๐๕ เจ้าแมว
“ท่านอ๋อง เกรงว่าข้าจะทำชุดอันมีค่าของท่านเสียหาย...” ข้ามองแขนเสื้อที่ยื่นมาตรงหน้าแล้วเอ่ยหลีกเลี่ยง
ไม่ไหวๆ ขืนข้ารับปากทำให้จริงๆ อาจเผลอมือสั่นเย็บผิดพลาดทำให้ชุดงดงามชุดนี้มีตำหนิได้ อันที่จริงข้ามั่นใจฝีมือเย็บปักของตนเองพอสมควร แต่ข้าไม่ไว้ใจจิตใจที่พร้อมจะอ่อนยวบราวขี้ผึ้งลนไฟเมื่อได้เข้ามาใกล้บุรุษผู้นี้น่ะสิ ข้าไม่เคยเอาชนะเขาได้เลยสักครั้ง จิตใจของข้ามันพร้อมยอมแพ้ต่อเขาเสมอ นั่นทำให้ในอดีตพอข้าอยู่ใกล้เขาเมื่อไรมักจะตัวสั่นใจเต้นทำอะไรก็เหมือนคนไม่ได้เรื่อง มาคิดๆ ดูแล้วนี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฉินอ๋องเบื่อหน่ายข้าก็เป็นไปได้
พอพูดถึงมันก็เริ่มอีกแล้ว หัวใจของข้าเต้นอย่างหนักหน่วง
“ช่างเถิด เราเห็นเจ้าเย็บถุงนั่นได้ชำนาญนักจึงได้เอ่ยปากขอไป เจ้าอย่าได้คิดมาก” ฉินอ๋องค่อยๆ เก็บแขนเสื้อของเขากลับไปแล้วเอ่ยบอกข้าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ คล้ายไม่ใส่ใจ แล้วเขาก็มิได้พูดอันใดอีก ทำเพียงหันไปมองนอกศาลาอีกครั้งเหมือนตอนแรกที่ข้าเห็น
ข้าค่อยๆ เหลือบไปมองชายหนุ่มรูปงามใต้แสงจันทรานวลกระจ่าง กะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่ข้าสัมผัสถึงความผิดหวังจากน้ำเสียงเรียบๆ ของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเหมียวหน้าหยิ่งตัวนี้กำลังทำหน้าหงอยหรือเปล่านะ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ข้าอาจจะเข้าใจผิด ต้องเข้าใจผิดแน่ๆ อย่างว่าละ ข้าจะไปเข้าใจจิตใจของฉินอ๋องได้อย่างไร
“เอ่อ...” ข้าพยายามเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ดวงหน้าคมคายค่อยๆ หันมามอง สีหน้ายังราบเรียบเช่นเดิม นั่นสินะ ข้าคงจะคิดไปเองจริงๆ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
“.....” ฉินอ๋องไม่ตอบรับใดๆ เขามองนิ่งๆ ด้วยสายตาเย็นชาทำเอาข้าสะท้านเฮือก รอบกายหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที หัวใจเต้นระส่ำอย่างสับสน อะไร เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ? ข้าทำอันใดผิดอย่างนั้นรึ!?
ข้าลอบมองท่านอ๋องที่หันหน้าไปมองนอกศาลาคล้ายไม่สนใจ เอายังไงดีเล่า ในเมื่อเจ้านายยังไม่อนุญาตให้ไปแบบนี้ ข้าควรทำเช่นไร? หรือว่าเขาไม่ได้ยิน? ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเมื่อครู่ฉินอ๋องยังมองมาแวบหนึ่ง หรือว่าเขาตั้งใจให้ข้านั่งอยู่เช่นนี้ทั้งคืนเพื่อลงโทษฐานปฏิเสธคำขอของเจ้านาย นั่นสิ ฉินอ๋องเป็นคนรักศักดิ์ศรีตนเองมาก การที่ถูกข้าปฏิเสธเช่นนั้นย่อมต้องโมโหเป็นธรรมดา
ระหว่างที่ข้ากำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรให้หลุดพ้นจากการเป็นอาหารมื้อดึกของเหล่ายุง ข้าก็เห็นฉินอ๋องโบกสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นเขาก็ก้มลงมองแขนเสื้อที่มีเส้นด้ายลุ่ยๆ นั้นแล้วขมวดคิ้วแวบหนึ่งราวกับไม่ชอบใจ ข้ากะพริบตาปริบๆ จริงสิ ฉินอ๋องเป็นจำพวกชอบความสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง ทุกสิ่งของเขาจะต้องเป็นของชั้นหนึ่ง การที่แขนเสื้อชุดของเขาเสียหายแม้แต่เล็กน้อยก็ส่งผลให้เขาอารมณ์เสียได้ แล้วข้าที่เป็นคนรับใช้ผู้หนึ่งกลับปฏิเสธจะช่วยเหลือ นั่นยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม ข้ายืดตัวขึ้นตัดสินใจอย่างกล้าหาญ เอาน่า กล้าๆ หน่อย ข้าไม่อยากเป็นเหยื่อยุงแถวนี้หรอกนะ
“ท่านอ๋องขอรับ หากไม่ถือสาฝีมืออ่อนด้อยของข้า ให้ข้าซ่อมแขนเสื้อนั้นให้ได้หรือไม่ขอรับ?”
ฉินอ๋องหันมามองข้าด้วยแววตาเย็นชา ข้าก้มหน้ากลั้นลมหายใจรอคอย ไม่ได้ยินเสียงตอบรับใดๆ ก็เริ่มใจแป้ว หรือฉินอ๋องจะโมโหมากกว่าที่คิด ข้าใช้เรี่ยวแรงในการพูดใจกล้าออกไปก็เริ่มจะหมดแรง ก่อนจะคิดทำสิ่งใดต่อก็มีผ้าไหมชั้นเลิศปกคลุมลงบนศีรษะ ข้านิ่งไปอึดใจแล้วเงยหน้าขึ้นมาด้วยความยินดียิ่ง มองผ้าต่วนชั้นดีอย่างตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น ข้าหน้าแดงก่ำ หัวใจก็เต้นรัวแรง ฉินอ๋องไม่พูดอันใดเพียงแค่ยื่นแขนเสื้อมาให้ข้านิ่งๆ แค่นี้ข้าก็ปลื้มใจจะแย่แล้ว!
ข้ารีบล้วงเอาตลับเงินที่ใส่อุปกรณ์เย็บปักออกมา ฉินอ๋องเหลือบมามองตลับในมือของข้าเล็กน้อยแล้วเบือนสายตาไปมองด้านอื่น ข้าจับแขนเสื้อพลิกดูความเสียหายแล้วเลือกด้ายสีใกล้เคียงกันออกมา ข้าจดจ่อสมาธิในการซ่อมแซมชุดอยู่ครู่ใหญ่แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองเบื้องหน้า ดวงตาของข้าสบเข้ากับดวงตาคมที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ข้ากลั้นใจด้วยความตกใจ หัวใจอันเอื่อยเฉื่อยพลันเต้นรัวเร็วอีกครั้ง ในหัวว่างเปล่าไปหมดสิ้น แย่แน่ ข้าไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย
“โอ๊ย!” ก่อนที่ข้าจะเสียมารยาทจ้องหน้าเจ้านายไปมากกว่านี้ เข็มในมือก็ทิ่มนิ้ว ข้าสะดุ้งตื่นจากมนตราเสน่ห์ของบุรุษรูปงาม หลุดอุทานออกมาเบาๆ ข้ารีบก้มดูนิ้วมือ ไม่มีเลือดก็รู้สึกโล่งใจ ถ้าเลือดออกแล้วไปเปื้อนชุดของเขาละก็เป็นเรื่องแน่ๆ ระหว่างที่กลับมาตั้งใจซ่อมชุดต่อ ข้าก็ได้ยินเสียงถอนหายใจราวเบื่อหน่ายของคนด้านบนชัดถนัดหู ข้าเม้มปาก รีบทำงานตัวเองให้เสร็จโดยเร็ว
แมวตัวนี้นอกจากจะหน้าง่วงแล้วยังขี้เบื่อขนาดหนัก ข้าทราบว่าเขากำลังเบื่อสิ่งใด มือของข้าสั่นไหวเล็กๆ เพราะหน้าตาของเขาเป็นเช่นนี้จึงทำให้คนมีปฏิกิริยาหวั่นไหวด้วยมากมาย มากเสียจนเจ้าตัวยังเบื่อหน่าย แค่นั่งเฉยๆ ให้ข้าซ่อมชุดก็ทำให้เขาเบื่อหน่ายมากพออยู่แล้ว ข้ายังเผลอทำท่าทางโง่ๆ ตอนมองใบหน้าของเขาอีก ดีแค่ไหนที่เขาไม่เอาเรื่อง ข้าพยายามตั้งสติควบคุมตัวเองอย่างหนัก ไม่ให้เผลอทำตัวงี่เง่าเช่นนั้นอีก
“เราเมื่อย” อยู่ๆ ฉินอ๋องก็เอ่ยโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ ข้าหยุดมือแล้วเงยหน้ามองเขาที่ก้มมองข้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบเช่นเดิม ข้าก้มหน้าพึมพำตอบออกไป
“ข้าจะเร่งทำโดยเร็วขอรับ”
“เจ้าไม่เมื่อยรึ?”
“มิได้...”
“แต่เราเมื่อยยิ่งนัก”
“.....” แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรเล่าเจ้าแมวขี้เบื่อนี่!?
ข้าไม่พูดอันใดออกไปแต่พยายามเร่งมือให้ไวที่สุด ฉินอ๋องก็เงียบไป แต่ไม่นานเขาก็เอ่ยออกมาอีก
“เจ้าขึ้นมานั่งได้หรือไม่ เราปวดคอ”
ก็อย่าก้มสิ!
“ขอรับ” ข้าเงยหน้าเอ่ยรับพยายามข่มใจไม่ให้โวยวาย อีกฝ่ายเป็นอ๋องเป็นเจ้านาย หากหลุดประชดประชันไปสักคำ ลมหายใจของข้าย่อมดับเป็นแน่แท้ ข้าค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งด้านบนพร้อมเอ่ยขออนุญาตเบาๆ อีกนิดหน่อยก็จะเสร็จแล้วข้าต้องอดทนให้จงได้ ข้าก้มหน้าทำงานต่อ ยังไม่ทันปักเข็มก็ชะงักตัวแข็งทื่อ อยู่ๆ มืออุ่นๆ ขนาดใหญ่ก็วางแหมะลงบนต้นขา ข้าแอบสูดลมหายใจ เงยหน้ามองเจ้าของมือที่เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“อืม ค่อยยังชั่ว ไม่เมื่อยแล้ว”
ข้านี่อึ้งจนพูดประท้วงมิออก มองคนด้านข้างที่ทำหน้านิ่งราวกับไม่มีอะไรผิดแปลก ใบหน้าคมคายหันมองไปด้านอื่นเหมือนกับว่าการวางมือบนขาผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องปกติ ข้าพยายามตั้งสติอีกครั้งแล้วเริ่มทำงานต่อ คนอย่างฉินอ๋องคงไม่คิดจะกินเต้าหู้(แตะอั๋ง)ผู้อื่นกระมัง ข้าคิดไปในแง่ที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด เขาอาจจะเมื่อยจริงๆ...
แล้วเหตุใดมือถึงไม่หยุดนิ่งเสียที!
ข้ากู่ร้องอยู่ในใจ คิ้วกระตุกยิกๆ อดกลั้นต่อมือของคนข้างๆ ที่ขยับไปมา ฉินอ๋อง! ท่านเป็นคนที่นิ่งอย่างยิ่งมิใช่รึ เหตุใดถึงมีมืออยู่ไม่สุขเช่นนี้!?
“เสร็จแล้วขอรับ” ข้าตัดด้ายรีบเก็บตลับเงินไว้ในเสื้อแล้วเลื่อนตัวลงไปนั่งพื้น รีบขอตัวไปอย่างรวดเร็วหลังจากทำภารกิจซ่อมชุดเสร็จ “ถ้าเช่นนั้น...”
“ตลับเงินนั้นเป็นของหายากและมีราคาแพงมาก”
ข้าเลิกคิ้วขึ้นเมื่อฉินอ๋องพูดเช่นนั้น แต่แล้วหัวใจของข้าก็กระตุก หรือว่าเขากำลังสงสัยว่าข้าขโมยมันมาอย่างนั้นรึ? ข้าไม่รีบร้อนแก้ตัว เพราะอาจจะดูมีพิรุธ พยายามอธิบายที่มาของมันอย่างใจเย็น
“ข้าทราบขอรับ ท่านองครักษ์หลิวเป็นผู้มอบให้”
“เช่นนั้นถุงปักลวดลายม้าคงทำให้หลิวจิ้นสินะ?”
“ขอรับ เป็นของตอบแทน”
“เกรงว่าเจ้าจะตอบแทนผิดคนแล้วกระมัง” ฉินอ๋องลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา พูดจบก็สะบัดตัวเดินออกไปทันที ปล่อยให้ข้านั่งงงไม่เข้าใจ
ตอบแทนผิดคน?
หมายความว่าอย่างไรกัน?
ข้าขมวดคิ้วคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จิ้นเกอเป็นผู้นำมาให้ ข้าย่อมตอบแทนเขาก็เป็นเรื่องที่ถูกที่ควรแล้วนี่ แล้วไยฉินอ๋องถึงได้เอ่ยเช่นนั้นกัน หรือว่าตลับเข็มนี่จะเป็นของผู้อื่นมอบให้จิ้นเกออีกที? แล้วใครกันเล่าจะนำตลับเข็มมามอบให้องครักษ์ผู้หนึ่ง จะบ้ากระมัง เอาเถิด คิดไปก็ปวดหัว ข้าส่ายหน้าเลิกคิดแล้วลุกขึ้นเดินกลับไปเรือนนอน หวังว่าเสี่ยวชีจะยังไม่หลับ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเขาสักหน่อย
ข้าเดินกลับด้วยความเบิกบาน อ่า นานมากแล้วที่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาเช่นนี้ ตั้งแต่วันที่ข้าทำให้ฉินอ๋องโมโหแล้วถูกไล่ออกมาจากห้อง เขาก็ไม่เคยเรียกหาหรือมาหาข้าอีก ซ้ำความโกรธของเขามิใช่เล็กน้อย ฉินอ๋องสั่งให้ข้ากลับไปทำงานเป็นข้ารับใช้เช่นเดิมอีก วันนั้นข้าเพียงลังเลที่จะไม่ตอบคำถามของเขาก็ทำให้เขาโกรธขนาดนั้นเชียวรึ? ข้าไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด หรือจริงๆ แล้วเขาเพียงเบื่อหน่ายข้าจึงหาทางไล่ออกไป แต่จะว่าไปแล้วก่อนหน้านั้นเขาก็มีท่าทางครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา บางทีเขาอาจกำลังหาทางขับไล่ข้านั่นแหละ เฮ้อ แล้วข้าจะขุดเรื่องราวพรรค์นี้ขึ้นมาให้เจ็บปวดทำไมอีกกัน ไม่คิดนะดีแล้ว ยิ่งคิดก็เหมือนจะยิ่งเจ็บ
เมื่อเดินมาถึงห้องนอนรวมของเด็กรับใช้ก็เห็นเด็กน้อยสองคนนั่งคุยกันอยู่บนเตียง พอข้าเดินเข้าไปพวกเขาก็หันมากวักมือเข้าไปหา ข้าเดินไปหาพวกเขาแล้วยิ้มนิดๆ เอ่ยทักอย่างปกติ
“พวกเจ้ายังไม่นอนอีกรึ?”
“เจ้าต่างหาก หายไปไหนมา?” เสี่ยวชีทำหน้าบึ้งก่อนจะเอ่ยถามข้ากลับมาด้วยความสงสัย อีกสองคนนั้นหันมามองด้วยสายตาสงสัยเช่นเดียวกัน ข้าถอนหายใจมองพวกเขาอย่างน้อยอกน้อยใจ
“เหตุใดถึงมองข้าเช่นนั้น ข้าอุตส่าห์ทำงานหนักเพื่อได้ขนมมาแบ่งพวกเจ้ามิใช่รึ?”
“อ้อ จริงสิ ขอบใจเจ้ามาก ถิงเกอ” เด็กน้อยอายุสิบสองอีกคนหันมาเอ่ยขอบคุณข้า แล้วหยิบถุงขนมที่ข้าเอามาวางไว้ก่อนจะไปที่ศาลาริมน้ำขึ้นมาดูด้วยสีหน้าอิ่มเอม ข้าพยักหน้ายิ้มๆ ให้กับเสี่ยวหยุน เจ้าเมฆน้อย ที่อมยิ้มดีใจกับขนมที่ข้าแบ่งให้ เสี่ยวชีเองก็รีบยิ้มเอาอกเอาใจร้อมกับขยับเข้ามาบีบนวดประจบประแจง
“เจ้าเหนื่อยมากหรือไม่ มานั่งก่อนสิ ยืนนานจะพานเหนื่อยกว่าเดิม มาๆ” เสี่ยวชีฉีกยิ้มประจบอย่างน่าหมั่นไส้ ข้ามองค้อนเขาเบาๆ ไม่จริงจังนักแล้วนั่งลงบนเตียงของพวกเรา
ข้ามองไปยังเสี่ยวหยุนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มของพวกเรากำลังเคี้ยวแก้มตุ้ยอย่างมีความสุข ข้ายิ้มนิดๆ กับภาพเด็กกินขนมจนแก้มตุ้ยเช่นนี้ ขนมเหล่านี้มีเยอะมาก ข้าสามารถเก็บเอาไว้กับตัวเองได้ก็เพราะข้าเป็นคนทำเองนี่น่า เป็นขนมชนิดเดียวกับที่มีในงานเลี้ยงนั่นแหละ ในส่วนที่ข้าเก็บไว้นั้นเป็นขนมที่รูปร่างไม่สวยหรือเป็นเศษที่เหลือ ข้ารวบรวมใส่ถุงผ้าที่เย็บง่ายๆ นำมาแจกแก่สหายร่วมห้อง พูดจากใจ ข้าทำไปเพื่อหวังผลตอบแทนด้วยเช่นกัน
เสี่ยวหยุนนั้นแม้จะเป็นเด็กแต่ทว่าเขามีเรี่ยวแรงมหาศาลซึ่งเป็นพลังวิเศษของเขา ตอนที่เขาอายุน้อยกว่านี้ยังล้มผู้ใหญ่ตัวโตๆ มานักต่อนัก เดิมทีเขาเป็นเด็กเร่ร่อนไม่มีที่อยู่เป็นหัวขโมยน้อยที่ลักเล็กขโมยน้อยทั่วไป จนกระทั่งลุงเถียนไปเจอเขาพบว่ามีเด็กน้อยมีแรงมากจึงนำตัวมาทำงานที่วังหย่งเฮ่า จากนั้นเสี่ยวหยุนก็ไปเตะตาหัวหน้าองครักษ์จางเข้าจึงรับเข้าเป็นลูกศิษย์ ตอนนี้เสี่ยวหยุนจึงเป็นองครักษ์ฝึกหัดของฉินอ๋อง แต่ในอนาคตนั้นฝีมือของเขาจะยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกทำให้เสี่ยวหยุนกลายเป็นยอดฝีมือที่อายุน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากผูกสัมพันธ์กับเสี่ยวหยุนไว้ เผื่อวันข้างหน้าจะได้พึ่งพาเมื่อเจอเหตุร้าย
พวกเราพูดคุยกันเรื่องงานเลี้ยงอย่างออกรสออกชาติ ส่วนใหญ่เป็นเสี่ยวชีกับเสี่ยวหยุนที่ผลัดกันเล่าเรื่อง ส่วนข้าทำหน้าที่รับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เสี่ยวชีได้ทำหน้าที่ยกอาหารเข้าไปวางให้แขกในงาน ส่วนเสี่ยวหยุนรับหน้าที่ยกของขวัญที่เหล่าแขกผู้มียศศักดิ์นำมาอวยพรท่านอ๋อง ผ่านไปนานพอสมควรพวกเรากำลังแยกย้ายกันไปนอน ตอนนั้นเองสหายร่วมห้องคนสุดท้ายก็เดินเข้ามา
“จมูกโต เหตุใดเจ้าถึงกลับมาช้าเพียงนี้?” เสี่ยวชีทักขึ้นเป็นคนแรก จมูกโตหรือไช่ชิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ตาของเขาแทบจะปิดอยู่แล้ว ก็สมควรแล้วละ นี่มันก็ดึกมากแล้ว พวกเราควรนอนกันเสียที พรุ่งนี้ยังมีงานอีกมากให้ต้องทำกัน ไช่ชิงเดินคลำทางมาถึงเตียงก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นถุงขนมที่ข้าวางเอาไว้ เขาหยิบขึ้นมาดูอย่างแปลกใจ
“ข้าให้เจ้า” ข้าเอ่ยบอกเบาๆ ไช่ชิงหันมามองข้าแล้วพยักหน้าหลบหน้าออกไป เขาเก็บถุงขนมเอาไว้แล้วขึ้นมานั่งบนเตียง ไช่ชิงรับหน้าที่ดูแลคอกม้า เขามีพลังวิเศษสามารถพูดคุยกับม้าได้ แต่ในอนาคตนั้นเด็กหนุ่มอายุสิบหกผู้นี้จะพัฒนาตนเองจนได้รับตำแหน่งนายพลหัวหน้าผู้ดูแลทหารม้าในกองทัพ แน่นอนว่าข้าไม่ลืมที่จะติดสินบนเขาอีกคน
เสี่ยวชีที่ยังไม่ได้คำตอบก็เซ้าซี้ถามต่อ คนตัวโตและอายุมากที่สุดถอนหายใจ ตอบเสี่ยวชีอย่างเสียมิได้
“ข้าถูกใช้ให้ไปนำเกี้ยวของท่านอ๋องออกน่ะ”
“หือ ทำไมต้องเอาเกี้ยวออกดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้ แขกที่มางานกลับกันไปหมดแล้วมิใช่หรือ?” เป็นเสี่ยวชีที่ถามคำถามในใจแทนทุกคน ข้านั่งเงียบแต่ก็รู้สึกสนใจอยู่บ้าง เสี่ยวหยุนเองก็เบิกตาพยักหน้าเห็นคล้องอย่างกระตือรือร้น ไช่ชิงทำหน้าครุ่นคิดแล้วเอ่ยบอกอย่างไม่แน่ใจ
“ข้าได้ยินพวกเขาพูดกันว่าท่านอ๋องมีคำสั่งให้ไปรับเจียวเพ่ยเจวียนมาที่วังน่ะ”
ข้าตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงกลางอก มันแสบแปลบขึ้นมาทันที
“อ่า เจียวเพ่ยเจวียนคนดังคนนั้นน่ะรึ?” เสี่ยวชีขมวดคิ้วพึมพำเช่นเดียวกับเสี่ยวหยุนที่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ข้ากะพริบตาพยายามซ่อนสีหน้าเอาไว้แล้วหันไปมองเสี่ยวชี เจ็ดน้อยหันมาเห็นสายตาข้าก็หัวเราะเบาๆ เอ่ยหยอกล้อข้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยเล่า
“เจ้าไม่รู้ละสิว่าเจียวเพ่ยเจวียนคนนั้นคือผู้ใด เฮ้อ นี่ละน้า ข้าบอกให้เจ้าออกไปข้างนอกบ้าง เจียวเพ่ยเจวียนผู้นั้นก็คือชายคณิกาที่งดงามและเก่งกาจอันดับหนึ่งอย่างไรเล่า เฮ้อ ข้าได้ยินมาว่าเจียวเพ่ยเจวียนคนนั้นมิได้ขายเรือนร่างมิใช่รึ? เหตุใด...นี่คงมิใช่ว่าข่าวลือว่าคนผู้นั้นมีคนในดวงใจแล้ว คงจะมิใช่ฉินอ๋องกระมัง?” เสี่ยวชีเล่าไปแล้วขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยลอยๆ อย่างข้องใจ เขาหันมามองพวกข้าที่กะพริบตาตอบปริบๆ เสี่ยวชีทำหน้าเหลอหลาแล้วถอนหายใจออก
“ท่านอ๋องคงมิได้จะรับมาเป็นอนุหรอกนะ?”
“ท่านอ๋องไม่มีคนปรนนิบัติสักคน จะรับอนุสักคนแล้วจะแปลกอันใดเล่า” เสี่ยวหยุนขมวดคิ้วมองเสี่ยวชีอย่างไม่เข้าใจแล้วเอ่ยแย้งออกมา เสี่ยวชีทำเสียงจิ๊จ๊ะแล้วพ่นลมหายใจเอ่ยแก้ต่างให้กับตนเอง
“ข้านึกว่าท่านอ๋องตั้งใจครองตัวรออภิเษกพระชายาซะอีก หึ ที่แท้ก็ไม่ต่างอะไรจากอ๋ององค์อื่น” ไม่วายนินทาเจ้านายจนไช่ชิงที่ค่อนข้างจริงจังหันขวับมาดุ เสี่ยวชีที่ถูกดุก็หดตัวเล็กลงแต่พอไช่ชิงหันหลังเพื่อล้มตัวนอน เขาก็เงยหน้าแลบลิ้นใส่อย่างซุกซน ข้าถอนหายใจอย่างเอือมๆ แล้วเอ่ยเรียกเสี่ยวชี เจ็ดน้อยหันมามองข้าแล้วเลิกคิ้วขึ้น
“พรุ่งนี้ข้าอยากจะไปซื้อของเสียหน่อย เจ้าจะพาข้าไปได้หรือไม่?”
“เอ๋? เจ้าจะไปซื้อสิ่งใดงั้นรึ?” เสี่ยวชีมองข้าอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินว่าข้าขอร้องให้เขาพาไปนอกวัง เสี่ยวชีค่อยๆ ยิ้มแล้วขยับเข้ามาหาข้าอย่างกระตือรือร้น ข้ายิ้ม เสี่ยวชีชอบที่จะออกไปนอกวังมากจริงๆ ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“ข้าอยากจะทำบุญไปให้ท่านแม่น่ะ ตั้งแต่ท่านแม่จากไปข้าก็ไม่เคยทำให้นางเลย ข้ารู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นลูกอกตัญญูนัก”
“งั้นรึ? แปลกจัง เจ้าจำแม่ของเจ้าได้ด้วยรึ?” เสี่ยวชีทำหน้าเข้าใจก่อนจะเอียงหน้าเอ่ยถามข้าอย่างแปลกใจ ข้าชะงักตัวเล็กน้อยแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยหลีกเลี่ยงเพื่อกลบเกลื่อนความจริง
“อ้อ ไม่หรอก เพียงแค่ข้าฝันถึงนางเป็นเงาลางๆ น่ะ เมื่อตอนเด็กนางเคยมาเยี่ยมข้าสองสามครั้ง”
“ดีจัง ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือผู้คลอดข้าออก เฮ้อ อยู่ในเรือนเลี้ยงข้ารับใช้ชั้นสูงมาตลอด จนถูกทางวังหย่งเฮ่าซื้อตัวมาทำงานนี่แหละ” เสี่ยวชีเอ่ยคล้ายเป็นเรื่องปกติ เขายักไหล่ไม่รู้สึกว่ามันน่าเศร้าเท่าใดนัก
ข้าเห็นใจพวกเขาเล็กน้อย เหล่าข้ารับใช้ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากเรือนค้าข้ารับใช้ สถานที่เพาะบ่มข้ารับใช้โดยเฉพาะ พวกเขาจะมีสตรีรับจ้างตั้งครรภ์ พอคลอดออกมาก็ถูกนำตัวมาเลี้ยงที่เรือนค้าข้ารับใช้ ทำให้ข้ารับใช้ส่วนมากแม้แต่มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นผู้ใดนั้นก็ยังไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้
“ไว้หลังทำงานเสร็จแล้วข้าจะพาเจ้าไปซื้อของทำบุญละกัน”
“ขอบใจ”
ข้ากับเสี่ยวชียิ้มให้แก่กันแล้วค่อยๆ ล้มตัวนอนลง ข้าพลิกตัวไปอีกด้าน จ้องมองกำแพงห้องแทนที่จะมองเสี่ยวชี อ่า ข้าไม่อยากให้เสี่ยวชีเห็นสีหน้าของข้าในตอนนี้ ข้าอาจจะเผลอทำหน้าตาแปลกๆ ออกมาก็เป็นไปได้
เจียวเพ่ยเจวียน...
ข้ารู้จักชื่อนี้ดี เจียวเพ่ยเจวียน ชายคณิกาผู้งดงามเฉิดฉายเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถทางด้านดนตรี ผู้เป็นนายบำเรอคนแรกของฉินอ๋อง ด้วยรูปโฉมและพรสวรรค์ทางดนตรีทำให้เจียวเพ่ยเจวียนถูกใจฉินอ๋องอย่างมาก ในตอนแรกนั้นชายคณิกาผู้นี้จะถูกเรียกให้มาบรรเลงดนตรีที่วังหย่งเฉ่าเป็นประจำ และทุกครั้งก็จะกลับไปยามสายๆ ของวันต่อมาทุกครั้ง เป็นเช่นนี้อยู่นานเป็นเดือน ฉินอ๋องก็ตัดสินใจรับเจียวเพ่ยเจวียนมาเป็นนายบำเรอประจำตัว อาศัยอยู่ที่เรือนสวนกล้วยไม้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในปีต่อไปมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้เกิดขึ้นเร็วนัก? ข้ารู้สึกแปลกใจเหตุใดเวลาถึงได้คลานเคลื่อน หรือเพราะข้าย้อนอดีตกลับมาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ข้าพยายามนอนไม่คิดเรื่องราวของเจียวเพ่ยเจวียนให้ปวดหัวอีก ยังไงซะหากพรุ่งนี้ข้ายังอยู่ที่นี่ละก็จะต้องคิดหาวิธีผ่านพ้นวิกฤตเสี่ยงตายในวัยยี่สิบให้ได้ ใช่แล้ว ความปรารถนาของข้ามีเพียงแค่อยู่ให้นานมากขึ้นเท่านั้น มิได้หวังอะไรที่ใหญ่โตเกินตัว เพราะหากคิดเช่นนั้นข้าต้องคิดหนักจนบั่นทอนสุขภาพเป็นแน่
หึ ตอนนี้เจียวเพ่ยเจวียนจะทำให้เจ้าแมวนั่นกลายเป็นพยัคฆ์กี่รอบก็มิใช่เรื่องของข้าหรอก!
เฮ้อ ข้ายังอยู่ในอดีต!
แสดงว่าข้ากลับมาเกิดใหม่ในอดีตจริงๆ สินะ มิน่าเล่า ยมทูตถึงได้เมินข้านัก ไม่มารับเสียที เอาเถิด อุตส่าห์มีชีวิตกลับมาใหม่ทั้งทีข้าจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี ต้องอยู่รอดไปนานๆ นี่คือเป้าหมายหลักของข้า อืม ตอนนี้มีเป้าหมายเดียวนี้ไปก่อนละกัน ข้าลุกขึ้นจากเตียงไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปทำงานในครัว ลุงเถียนมองข้าด้วยสีหน้าประหลาดอีกครั้ง เฮ้อ ลุงเถียนท่านจะหยุดทำหน้าเช่นนั้นได้หรือไม่ จากนี้ไปข้าจะตื่นแต่เช้าตั้งใจทำงาน เพราะฉะนั้นท่านควรรายงานพฤติกรรมดีๆ ของข้าให้พ่อบ้านหม่าฟังบ่อยๆ นะ เบี้ยเลี้ยงของข้าจะเพิ่มขึ้นกับเขาบ้าง
เช่นเดิมพ่อครัวหวังแบ่งหน้าที่ของวันนี้ให้แก่ทุกคน ข้าได้รับหน้าที่ทำขนมอย่างถาวร พ่อครัวหวังให้ข้าทำขนมหนึ่งชนิดเพื่อแจกจ่ายให้แก่คนในวัง และอีกสองสามชนิดเพื่อยกไปให้เจ้านาย ข้าครุ่นคิดมองส่วนผสมตรงหน้าแล้วค่อยๆ ทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจ ใช้เวลาไม่นานก็ทำขนมเสร็จ ข้าจัดใส่จานเรียงให้สวยงามแล้วเดินไปหาพ่อครัวหวังที่เตรียมยกข้าวเช้าไปให้เจ้านาย เมื่อข้ายกขนมหวานมาสมทบก็เป็นอันเตรียมของครบถ้วน
พ่อครัวหวังยิ้มอย่างพอใจแล้วสั่งให้คนยกไปตั้งโต๊ะรอคอยฉินอ๋อง ก่อนจะกลับไปทำหน้าที่ต่อข้าคุยกับพ่อครัวหวังเรื่องจะทำถุงผ้าใส่ขนมมอบแก่ทุกคนในวัง พ่อครัวหวังพยักหน้าแล้วบอกว่าจะไปปรึกษากับพ่อบ้านหม่าให้ จากนั้นข้าก็ขอเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บไว้กับพ่อครัวหวังเพื่อนำไปซื้อของให้กับท่านแม่ พ่อครัวหวังได้ยินก็เอ่ยชมข้าว่ามีใจกตัญญู ข้าก้มหน้าแล้วขอตัวเดินออกมา
ข้าทำขนมให้แก่คนในวังหย่งเฮ่าเสร็จก็ลุล่วงเข้ายามซื่อ(๙-๑๑น.) ข้าเดินออกจากครัว เหล่าคนครัวไม่มีใครว่าอะไรให้ พวกเขายิ้มแย้มแก้มตุ้ยโบกมือให้อย่างมีความสุข ข้าเดินมาหาเสี่ยวชีที่กำลังทำงานตัดแต่งต้นไม้ เห็นเจ้าเจ็ดน้อยกำลังตัดพุ่มไม้ทางเดินแถวเรือนพักขององครักษ์พลางร้องเพลงคลออย่างมีความสุข พอมองดีๆ แล้วเสี่ยวชีไม่ได้แค่กำลังทำงาน ข้ามองเลยไปยังลานฝึกเห็นองครักษ์หนุ่มๆ ที่กำลังฝึกวรยุทธ์ รู้เลยว่าสิ่งใดทำให้เสี่ยวชีอารมณ์ดีเช่นนี้!
ข้ากลอกตาเอือมระอาก่อนจะตัดสินใจแกล้งเจ็ดน้อยสักหน่อย ข้าค่อยๆ ย่องเข้าหาฝีเท้าแผ่วเบา พอไปถึงตัวก็คว้าไหล่ของเขาอย่างแรง เสี่ยวชีอุทานตกใจจนสะดุ้งโหยง
“แอร๊!”
พอหันมาเห็นเป็นข้ากำลังหัวเราะขำก็ถลึงตาใส่ทันที
“เจ้า! หูจิ้งถิง! ข้าตกใจหมด เล่นอะไรของเจ้า”
“แหม ข้าเห็นเจ้าตั้งใจทำงานเหลือเกิน จึงอยากจะผ่อนคลายให้บ้าง”
“ผ่อนคลายกะผี” เสี่ยวชีทำเสียงขึ้นจมูก สะบัดหน้าส่งค้อนให้ข้า จากนั้นก็ก้มลงหิ้วถังไม้ใส่อุปกรณ์ตัดแต่งต้นไม้เดินหนีไป ดูเหมือนเจ็ดน้อยจะงอนเสียแล้วสิ! ข้าคลี่ยิ้มออกมาแล้วเดินตามง้อคนตัวเล็กทันที เสี่ยวชีสะบัดหน้าหนีไปมาจนข้ากลัวเขาจะคอเคล็ดเสียก่อนจะง้อสำเร็จ นานเข้าเสี่ยวชีก็ยังไม่ยอมอ่อนให้ ข้าจึงงัดท่าไม้ตายออกมาง้อ ข้าช้อนตาละห้อยมองไปน้ำตาคลอเล็กน้อย และครั้งนี้ก็ถูกเวลาด้วย เสี่ยวชีหันมามองข้าแล้วสะดุ้งเฮือก ใบหน้าแดงแปร๊ดอย่างรวดเร็ว
“ข้าขอโทษ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
“กะ...ก็ดี...ละแล้ว คราวหน้าอย่าทำอีกล่ะ!” เสี่ยวชีเอ่ยตะกุกตะกักก่อนจะสะบัดหน้าหนีแล้วเตือนเสียงสูงปี๊ด ข้าพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วแล้วยิ้มแผล็วออกมา เสี่ยวชีเหลือบมามองแล้วทำเสียงขึ้นจมูกคล้ายหมั่นไส้ ข้าไม่พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มหวานๆ ให้กับเขา เสี่ยวชีตกใจรีบหันหน้าแดงๆ หนีไปอีกครั้งและบ่นพึมพำกับตัวเอง
“ข้าเหลืองานอีกนิดหน่อย ไม่นานหรอก” เสี่ยวชีหันมาบอกข้าแล้วถือถังไม้ลอยตัวขึ้นไปบนต้นไม้สูง ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของเขาต่อ
“อืม ไม่เป็นไร ข้ารอได้”
เสี่ยวชีนั้นรับผิดชอบตัดแต่งต้นไม้สูงเพราะพลังวิเศษของเขาสามารถลอยตัวได้ เฮ้อ นึกถึงเรื่องนี้ข้าก็เศร้าจริงๆ ดูสิเสี่ยวชียังใช้พลังวิเศษทำงาน เสี่ยวหยุนก็เช่นกัน แม้แต่ไช่ชิงก็ยังมีพลังวิเศษไว้ทำงาน มีเพียงข้าผู้เดียวที่ไม่มีพลังวิเศษไว้หาเงินเลี้ยงชีพ หึ! เอาเถิด อย่างไรข้าก็พอเชี่ยวชาญงานฝีมืออยู่บ้าง หากคิดจะออกไปจากวังหย่งเฮ่าทำมาหากินเองก็น่าจะรอดอยู่
ข้านั่งรอเสี่ยวชีอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่นานเสี่ยวชีก็กระโดดลงมาหาข้าด้วยสีหน้าตื่นเต้นคล้ายมีเรื่องน่าสนใจ เขาไม่บอกอะไรก็รวบตัวพาข้าลอยตัวขึ้นไปบนต้นไม้ ข้าหันมามองเสี่ยวชีอย่างงุนงง อะไรของเขากัน เสี่ยวชีหัวเราะคิก ชี้นิ้วไปด้านล่างบอกใบ้ให้ข้ามองไป ข้าหันมองตามแล้วชะงักเมื่อเห็นหนุ่มผู้มีใบหน้างดงามผู้หนึ่งเดินทอดเท้ามาอย่างเนิบๆ ข้างๆ เขามีเด็กรับใช้อีกคนติดตามมาด้วย
นั่นมัน ‘เจียวเพ่ยเจวียน’ นี่!
เขากำลังกลับหอหว่านเซียงอวี่กระมัง นี่ก็สายมากแล้ว... บางทีชายคณิกาคนงามอาจจะร่วมรับประทานมื้อเช้ากับฉินอ๋อง บรรเลงดนตรีให้ฟังอีกรอบสองรอบก่อนกระมัง ข้ามิได้สนใจเลยสักนิด เพียงแต่ข้องใจเท่านั้น สายโด่งป่านนี้ท่านอ๋องที่เคารพผู้นั้นไม่เข้าวังไปเข้าเฝ้าพระมารดาหรืออย่างไร หึ
“เมื่อวานยามฉินอ๋องได้เห็นหน้าพี่เจียวก็ตกตะลึงตาค้าง สายตาของฉินอ๋องมองพี่เจียวตาไม่กะพริบ แถมยังไม่ยอมให้ท่านกลับจนกระทั่งรุ่งเช้า พี่เจียวงามขนาดนี้มิแปลกอันใดเลย อีกไม่นานพี่เจียวต้องมาอยู่ที่วังหย่งเฮ่าแห่งนี้แล้วกระมัง พี่เจียวอย่าได้ลืมข้านะขอรับ” เด็กรับใช้ที่เดินตามหลังเจียวเพ่ยเจวียนเอ่ยสอพลอเสียงหวานน่าฟัง เจียวเพ่ยเจวียนหยุดเดินแล้วถอนหายใจเบาๆ ใบหน้างามมีร่องรอยเหนื่อยล้าอ่อนแรง ก่อนจะระบายยิ้มบางๆ เอ่ยห้ามปรามเด็กติดตามของตน
“เจ้าอย่าได้พูดเพ้อเจ้อ หากมีผู้ใดมาได้ยินพวกเราจะเดือดร้อนเอาได้ รีบกลับหอกันเถิด”
“พี่เจียวละก็ เมื่อคืนใครๆ ต่างก็เห็นทั้งนั้นละขอรับว่าฉินอ๋องชื่นชมท่านเพียงใด”
“เจ้านี่น้า พอเถิด หากไม่รู้จักสงบคำบ้าง เจ้าจะตามข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เจียวเพ่ยเจวียนที่มีสีหน้ามาดหมายอยู่วูบหนึ่งก่อนจะตีสีหน้าปกติต่อว่าคนติดตามอีกครั้งเสียงเข้ม
“ขอรับพี่เจียว ข้าจะสงบปากสงบคำ”
คำพูดของเจียวเพ่ยเจวียนทำเอาข้าต้องขมวดคิ้ว นี่คนงามผู้นี้คิดว่าจะได้มาอยู่วังแล้วหรือ ช่างมั่นใจในตนเองนัก อีกไม่นานฉินอ๋องก็จะกลับชายแดนแล้ว หากจะได้เข้ามาอยู่ก็ต้องปีหน้านู้น คิดไปแล้วก็สงสารจริงเชียว ต้องอดทนรอเป็นปีกว่าจะได้อย่างที่คาดหวัง เฮ้อ นี่ละน้า หวังไว้มากย่อมต้องแบกรับความหนักหน่วงตามไปด้วย อย่างข้านี่แหละดีแล้ว หวังน้อยๆ ไม่ต้องแบกรับอะไรมากมายใส่หลัง
“เหอะ คนแซ่เจียวผู้นี้ช่างน่าหมั่นไส้นัก คิดว่าตนเองจะได้มาอยู่ที่นี่แล้วงั้นรึ!” เสี่ยวชีพ่นคำที่อยู่ในใจของข้าออกมาหมดสิ้น ข้ารู้สึกโล่งเล็กน้อยที่เสี่ยวชีพูดความในใจแทน เสี่ยวชีฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก็พาข้าลงมาจากต้นไม้อย่างนุ่มนวล ข้ามองสีหน้าบูดบึ้งของเสี่ยวชีแล้วเอ่ยเตือนเขาเล็กน้อย
“เสี่ยวชี หากคุณชายเจียวเข้ามาอยู่ที่วัง เจ้าต้องไม่ไปหาเรื่องเขานะ”
“นี่เจ้าคิดว่าข้าว่างไปหาเรื่องนักหรือไง?” เสี่ยวชีหันมามองอย่างไม่พอใจ ข้ายิ้มรับเล็กน้อย ได้เตือนเสี่ยวชีไว้บ้างก็ดีแล้ว ในอนาคตนั้นเสี่ยวชีมักจะถูกเจียวเพ่ยเจวียนรังแกอยู่บ่อยครั้ง อาจเป็นเพราะเสี่ยวชีชอบมองเจียวเพ่ยเจวียนด้วยสายตาไม่พอใจกระมัง และบางทีอาจจะเป็นเพราะข้าด้วย เจียวเพ่ยเจวียนผู้นั้นชอบข่มขู่รังแกและดูแคลนข้าอยู่เสมอ
“เหอะ เจียวเพ่ยเจวียนผู้นั้นคิดว่าตนเองงดงามมากสินะ รอให้จิ้งถิงโตกว่านี้สักหน่อยเถิด เจียวเพ่ยเจวียนก็เป็นได้แค่ก้อนกรวดเท่านั้นแหละ หึ คิดจะมาเทียบจิ้งถิงของข้าละก็ฝันไปเถิด” เสี่ยวชียังคงแขวะชายคณิกาผู้นั้นไม่หยุด ข้ามองเสี่ยวชีอย่างลำบากใจ อย่าได้นำข้าไปเปรียบเทียบหรือข่มเขาได้หรือไม่ หากมีใครมาได้ยินจะหัวเราะได้น่าเสี่ยวชี “จะว่าไปแล้ว ดวงตาของเจียวเพ่ยเจวียนผู้นั้นก็คล้ายดวงตาของเจ้ามากทีเดียว” เสี่ยวชีหันมาจ้องมองข้าแล้วเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ข้าเลิกคิ้วแล้วส่ายหน้าเอ่ยปฏิเสธไป
“จะเหมือนได้อย่างไร ดวงตาของเขางามกว่าข้าที่เป็นเด็กรับใช้นัก”
“เพ้ย! เจ้าคนรังเกียจนี่ หึ เจ้ามันขี้เหร่หาดีมิได้สักส่วน พอใจรึยัง!?” เสี่ยวชีทำหน้ายี้ใส่ข้าแล้วเอ่ยประชดประชันเสียงแข็ง ถึงข้าไม่อยากให้ชมแต่ก็ไม่อยากให้ต่อว่าหรอกนะเสี่ยวชี เจ็ดน้อยหมุนตัวลอยขึ้นต้นไม้เพื่อทำงานต่อ ปล่อยให้ข้านั่งรออยู่ด้านล่างเช่นเดิม
“เอาละ ข้าทำงานเสร็จแล้ว จะพาเจ้าออกไปข้างนอก” ไม่นานนักเสี่ยวชีกระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วเอ่ยอย่างร่าเริงผิดกับเมื่อครู่ที่ปั้นหน้าบูดบึ้ง ข้าพยักหน้ารับ แอบถอนหายใจเบาๆ ที่เขาไม่คิดเรื่องเจียวเพ่ยเจวียนอีก ส่วนตัวข้านั้นก็มิได้คิดอันใดต่อ เพียงแค่คิดหาทางป้องกันเจียวเพ่ยเจวียนเอาไว้บ้างป้องกันมิให้ซ้ำรอยเดิมที่เคยเกิดขึ้น
“กินข้าวก่อนแล้วค่อยออกไปกัน”
“อืม” ข้าพยักหน้ารับเมื่อเสี่ยวชีกล่าว นั่นสินะ ก่อนออกไปข้างนอกข้าควรจัดการกับใบหน้าเรียกภัยนี้ให้ดูเรียบร้อยเสียก่อน ข้ากับเสี่ยวชีเดินกลับไปที่โรงครัวพร้อมกัน
เจียวเพ่ยเจวียน
โอ้! หายแล้วค่ะ เมื่อคืนนี้ทรมานมาก ปวดท้องสุดๆ กว่าจะนอนได้เลยเที่ยงคืนแน่ะ
เสียดายเวลามากๆ นอนปวดท้องไม่ได้ทำอะไรเลย เฮ้อ แต่ก็คิดรายละเอียดของเรื่องไปพลางๆ
ในส่วนของฉินอ๋องนั้นจะยังไม่แต่งนะจ้ะ ค่าตัวแพงเกินไป ออกมานิดๆ หน่อยๆ พอ 555
ให้ถิงถิงน้อยเป็นคนดำเนินเรื่องนี่แหละดีแล้ว เจอกันตอนหน้าวันนี้หรือพรุ่งนี้นู้นแหละน่า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หรือเราคิดไปเอง แค่อ่านไม่กี่ตอนก็คิดไปไกลมาก 555
รู้ว่าเป็นนิยายวาย แต่ดูเหมือนจะไม่มีผู้หญิงเลยนะ ยังไง
แบนเจ้าเเมวก่อนนะ น้องปลงตกสุดๆไปเลย
เจ้าแมว คิดถึงก็ต้องไปหาตัวจริงนะ มองคนตาเหมือนไม่ได้ช่วยอะไร