ตอนที่ 40 : ตอนที่ ๓๙ ข่าวลือ
ตอนที่ ๓๙ ข่าวลือ
ข้าถูกแบกผ่านเหล่าผู้คนที่ยืนอ้าปากค้างคนแล้วคนเล่า ไม่นานฉินอ๋องก็เดินหลุดออกมาจากกลุ่มผู้คนมายังม้าของเขา เจ้าแมวดันข้าขึ้นไปบนหลังม้าแล้วปีนขึ้นมานั่ง ไม่สนใจเหล่าผู้คนที่กลายร่างเป็นหินเลยแม้แต่น้อย ข้าอยู่ในสภาพคิดอันใดมิออก ปล่อยดวงหน้าใต้หน้ากากร้อนผ่าวราวเป็นไข้ หัวใจเต้นโครมครามไม่หยุดตั้งแต่ได้เห็นรอยยิ้มนิดๆ เหมือนไม่มีของเจ้าแมว และตอนที่ได้เห็นดวงตาคู่งามที่จับจ้องมายังข้าผู้เดียว
รองหัวหน้าองครักษ์เฉินที่นั่งม้าถัดไปไม่ไกลทำหน้ายิ้มๆ อย่างน่าเกลียด เขามองมาที่ข้ากับเจ้าแมวด้วยดวงตาเป็นประกาย ที่น่าหมั่นไส้กว่านั้นคือแววตาเทิดทูนบูชาเจ้านายราวกับวีรบุรุษตัวอย่างอันดีเยี่ยมนี่สิ ส่วนหัวหน้าองครักษ์จางนั้นคงทำหน้านิ่งเป็นศิลาเงยหน้านับฝูงนกบนฟ้าราวกับมิรับรู้ว่ามีเหตุการณ์น่าตกใจเกิดขึ้น ทหารที่จูงม้าของฉินอ๋องหลีกทางให้แก่เจ้านายอย่างรู้จังหวะ ม้าสีขาวโพลนค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ข้าที่ซุกหน้าหลบสายตาของผู้คนอยู่ตรงอกกว้างก็ค่อยๆ ชะโงกคอไปมองเด็กหนุ่มในชุดสีแดงที่มีสีหน้าอับอายปนเศร้าใจด้วยความกังวล
คุณชายหมิงชอบเจ้าแมวมากแต่กลับถูกทำให้เสียหน้าต่อผู้คนมากมายเพียงนี้ เขาจะต้องเสียใจมากเป็นแน่ จังหวะที่ฉินอ๋องหยุดยืนตรงหน้าของเขา ดวงตาของคุณชายหมิงประกายไปด้วยความคาดหวัง ข้าแอบใจหายวูบกับภาพนั้น มีความรู้สึกบางอย่างล้นเอ่อออกมาจากใจ ข้ากำลังสูญเสียเขาไปอีกครั้งแล้ว ห้วงเวลาที่คิดว่าเขาจะหลุดมือไปนั้นมันทำให้ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก โดยไม่รู้ตัวข้ากำลังจะก้าวเท้าออกไป ข้าไม่รู้ว่าจะเดินออกไปแล้วทำหรือพูดอันใด ข้าไม่ทันได้คิดมีเพียงความรู้สึกอันแรงกล้าที่ไม่อยากสูญเสียเขาไปอีกเหมือนชีวิตที่แล้ว
แต่พอฉินอ๋องดันคุณชายหมิงแล้วมองตรงมาที่ข้า อึดใจนั้นมันเหมือนทุกสรรพสิ่งมันหยุดนิ่ง บรรยายเป็นความรู้สึกมิถูกเลยจริงๆ ตื่นเต้นและไม่อยากจะเชื่อ เขากำลังเดินตรงมาที่ข้าและมองเพียงข้า! เป็นภาพที่ทำให้ข้าแทบเสียสติ รู้สึกตื้นตันใจจนลืมสิ่งรอบกายไปทั้งหมด ณ เวลานั้นประสาทรับรู้ของข้ามีเพียงแต่เจ้าแมวที่เดินเยื้องย่างเข้ามาอย่างสง่า แม้ว่าตอนนี้ข้าจะรู้สึกผิดต่อคุณชายหมิง แต่อย่างไรข้าก็ยินดีที่มันเป็นเช่นนี้ อ่า ข้านี่มันช่างแย่จริงๆ แต่ขออภัยจริงๆ คุณชายหมิง
ขอเจ้าแมวให้ข้าเถิด!
อีกครั้งกับการถูกอุ้มเข้ากระโจมของท่านแม่ทัพ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ออกจะโจ่งแจ้งยิ่งกว่าครั้งก่อนมากเป็นเท่าตัวอย่างที่เทียบกันมิติด หลังจากเดินเข้ามาในกระโจมเจ้าแมวก็อุ้มข้าเดินวนเวียนไปมาไม่ยอมปล่อยเสียที เป็นอันใดของเขากัน? ข้ามองอย่างงุนงงแล้วพยายามดิ้นลงเพื่อให้เขาปล่อยข้าลง เจ้าแมวถึงหยุดเดินปล่อยข้าลงแต่โดยดี เป็นอะไรของเขากัน? ข้าเงยหน้ามองเขาอย่างงุนงงแวบหนึ่งก่อนจะถอดหน้ากากหันไปช่วยเขาถอดชุดเกราะเพื่อทำความสะอาดร่างกายและทำการรักษาบาดแผล ฉินอ๋องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่นานนักก็ปลดชุดอันหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อออกจากตัวของเขาหมด ข้าเดินออกไปนอกกระโจมเพื่อจะไปเอาผ้าและอ่างน้ำมาเช็ดตัวให้แก่ฉินอ๋อง ส่วนฉินอ๋องก็ค่อยๆ ถอดเสื้อผ้าของเขาอย่างรู้หน้าที่โดยมิต้องให้บอกกล่าวมากความ
เพียงแค่โผล่หน้าออกไปของที่ต้องการก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้าทันที ข้าเงยหน้าขึ้นไปมองรององครักษ์เฉินที่ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีอย่างน่าหมั่นไส้ด้วยแววตาระแวงระวัง ขึ้นชื่อว่าคนแซ่เฉินแล้วข้ามิไว้ใจง่ายๆ หรอก บุรุษที่มีรอยยิ้มไม่น่าไว้วางใจเอนตัวมาใกล้ข้าแล้วทำการกระซิบกระซาบมีนัยแอบแฝง
“วันนี้ท่านอ๋องกำลังใจดียิ่ง ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยึดเมืองได้ในวันนี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่แน่พอจบสงครามนี้แคว้นเหลียวทั้งแคว้นอาจจะถูกยึดก็เป็นไปได้ ถิงถิง อย่าหาว่าพี่ชายผู้นี้จู้จี้เถิด เจ้าช่วยให้กำลังใจท่านอ๋องเยอะๆ ได้หรือไม่? พลีกายให้สักสองสามครั้งข้าเชื่อว่าท่านอ๋องจะต้องฮึดจนบุกยึดเมืองของแคว้นเหลียวได้มากกว่านี้เป็นแน่ เผลอๆ อาจจะยึดทั้งแคว้นได้ด้วยซ้ำไป หากเป็นเช่นนั้นสงครามต้องสิ้นสุดลงเร็วอย่างยิ่ง เจ้าลองคิดดูเถิด สละตนเองเพื่อส่วนรวมมิใช่วิถีของวีรบุรุษหรอกรึ!?”
ข้ามองคนแซ่เฉินพร่ำน้ำลายแตกฝอยอยู่นานแล้วเม้มปากพยายามยิ้มตอบกลับไปอย่างอ่อนหวานนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยแนะนำกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หากท่านคิดเช่นนั้น มิเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวมเองเล่า?”
“หากท่านอ๋องต้องการข้าก็พร้อมจะสละ แต่ท่านอ๋องนั้นมิได้ต้องการข้าผู้นี้ เฮ้อ ถ้าเพื่อความสงบสุขของใต้หล้าแม้นว่าข้าจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนก็จะยอมเสียสละตนเอง หึ ข้าไม่เหมือนคนใจดำไม่แยแสใต้หล้าเช่นใครแถวนี้หรอก...”
ข้ารับอ่างน้ำพร้อมกับผ้ามาแล้วปิดกระโจมใส่หน้าคนแซ่เฉินที่พูดประชดประชันโกรธเคืองราวกับข้าลงมือฆ่าบิดาของเขาอย่างไม่สนใจจะต่อบทสนทนา ข้ายกอ่างน้ำมาตั้งไว้ใกล้ๆ เจ้าแมวที่นั่งอยู่บนตั่ง เขามองข้าด้วยสายตานิ่งๆ แต่เพราะเหตุใดข้าถึงได้รู้สึกเขินอายเช่นนี้กันเล่า? ข้าหลบสายตาของเขาเฉไปมองอ่างน้ำแล้วหยิบผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดร่างกายของฉินอ๋องเงียบๆ เจ้าแมวนั่งนิ่งตลอดช่วงที่ข้าทำความสะอาดและรักษาบาดแผลให้ ดวงตาคมกริบคู่นั้นคอยมองตามข้า ไม่ว่าข้าจะขยับเคลื่อนไหวไปที่ใดเขาก็จะขยับสายตามองตามไม่ลดละ จนกระทั่งรักษาบาดแผลเสร็จข้าวางผ้าพาดขอบอ่างน้ำไว้แล้วหันกลับมา เจ้าแมวยังคงจ้องมองมานิ่งๆ
“ท่านต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่? ข้าจะได้ไปนำมาให้” ข้าเอ่ยถามเขา แล้วไยเสียงของข้ามันถึงได้แผ่วเบาเช่นนั้น ข้าหน้าร้อนวูบเมื่อเจ้าแมวทำเสียงขึ้นจมูกแล้วดึงข้าเข้าไปใกล้ ข้าช้อนดวงตาขึ้นมองใบหน้าคมคายงดงามเบื้องหน้าแล้วกลั้นหายใจเมื่อสบตาเข้ากับดวงตาที่เจือแรงปรารถนาเข้มข้น สายตานั้นของเขาทำให้ข้าร้อนไปทั้งตัว สบสายตากับเขาไม่ได้อีกต่อไป เหตุใดต้องมองกันด้วยสายตาเช่นนี้ด้วยเล่า!? ข้าเขินจนจะละลายลงไปกองกับพื้น ผ่านไปเนิ่นนานฉินอ๋องถึงได้เปิดปากเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่คาดหวังแต่ทว่ากลับมีกระแสออดอ้อนเล็กๆ
“เอาเถิด เจ้าจะให้รางวัลใด เราก็ยินดีทั้งนั้น”
“เหตุใดข้าต้องให้รางวัลท่าน? ข้ามิเคยเอ่ยไว้เสียหน่อย”
“เด็กเมื่อทำดียังมีรางวัล ไฉนเราชนะศึกยึดเมืองศัตรูได้เพียงนี้จะมิได้อันใดตอบแทนเลยหรือ?”
“ข้าเชื่อว่าท่านย่อมได้รับรางวัลจากราชสำนักมากมายเป็นแน่” ข้าพยายามไม่หัวเราะที่เจ้าแมวดึงเอาเด็กน้อยมาเปรียบเทียบกับตนเองเพื่อเรียกร้องเอารางวัลอย่างไม่ยอมแพ้ ข้าพยักหน้าไม่เอ่ยแย้งใดๆ จากนั้นก็บอกเขาด้วยความเสียงเย็นชา ฉินอ๋องจ้องข้าด้วยแววตาไม่พอใจ เขาดึงแขนของข้าไปแล้วก้มลงกัดด้วยท่าทางเหมือนหงุดหงิด ข้ายอมให้เจ้าแมวดุร้ายอาละวาดตามใจชอบจนกระทั่งอีกฝ่ายหยุด ปล่อยแขนของข้าแล้วนั่งนิ่งๆ ไม่เงยหน้าขึ้นมามองข้า ข้ามองเขาที่นั่งนิ่งด้วยใบหน้าเย็นชาแข็งกระด้างเป็นแผ่นศิลาไม่สนใจไยดีข้าแล้วอดยิ้มออกมามิได้
นี่คือ แมวงอนงั้นรึ?
จิ้งถิง ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว ฮึ!//งอนแรง
ข้ายืนนิ่งเงียบมองแมวหน้าเย็นทำงอน ข้ายกมือขึ้นวาดไปวางลงบนไหล่ของเขาแล้วก้มตัวใช้ปากสัมผัสริมฝีปากได้รูปสวยของเขาอย่างรวดเร็ว ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อเหมือนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ข้าค่อยๆ เคล้าเรียวปากจูบอย่างค่อยเป็นค่อยไป เจ้าแมวเองก็เริ่มผ่อนคลายลงตอบรับจุมพิตจากข้าอย่างกระตือรือร้น ลิ้นของเราเกี่ยวกระหวัดดูดดันไปมาในโพรงปากร้อนชุ่ม ข้าค่อยๆ ถูกเขาไล่ตามและสุดท้ายฉินอ๋องก็เป็นฝ่ายนำจนได้ สักพักเราก็ค่อยๆ ผละริมฝีปากจากกัน ข้าลืมตามองไปยังดวงหน้าของบุรุษตรงหน้าที่อยู่ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของเขา
“พอใจหรือยังขอรับท่านอ๋อง?” ข้ามองดวงตาคู่สวยของเขาที่แผ่กระแสความสุขออกมาอย่างชัดเจนแล้วยิ้มหวานเอ่ยถามอีกฝ่ายคล้ายจะล้อเลียน ฉินอ๋องหลุบตาลงแล้วเหยียดยิ้มยื่นหน้าเข้ามาหาข้าพลางเอ่ยตอบเสียงแหบพร่า
“ไม่พอ เรายังต้องการอีกมาก”
ก่อนที่ริมฝีปากได้รูปจะแตะปากของข้า ข้ายกมือขึ้นมากั้นเอาไว้ก่อนแล้วแย้มยิ้มปลอบขวัญเจ้าแมวโลภมากที่ทำตัวได้ชุ่นเอาฉื่อ ฉินอ๋องหยุดชะงักลืมตาขึ้นมามองข้านิ่งๆ ดวงตาสีดำขลับประกายวูบ เรียวปากนุ่มจูบลงกลางฝ่ามือแล้วลิ้นสากร้อนค่อยๆ เล็มเลียไปตามฝ่ามือและนิ้ว ข้าหน้าร้อนวูบรีบชักมือกลับมาก่อนที่มันจะถูกแมวแทะหมด จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นรีบเดินหนีไปอีกด้านของกระโจม ฉินอ๋องมองตามด้วยแววตาคล้ายขบขัน ข้าเห็นสีหน้านั้นของเขาก็ถลึงตาใส่อย่างโมโห อีกฝ่ายก็ยังคงทำหน้ามึนไม่รับรู้อะไรแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระสิ่งสกปรก ข้ามองตามไปแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเขาพลางถอดเสื้อคลุมออก เจ้าแมวหันมามองข้านิ่งเหมือนจะถามข้าด้วยสายตา
“ข้าแค่จะช่วยท่านอาบน้ำ หรือท่านจะอาบเองข้าก็ไม่ว่าอันใด” ข้าตอบออกไปแล้วกำลังจะหันตัวกลับแต่ถูกมือใหญ่คว้าตัวไว้หมับอย่างรวดเร็วแทบจะตะครุบเลยทีเดียว ข้าเงยหน้าไปมองฉินอ๋องที่ก้มหน้ามาดมตัวข้าแล้วส่ายหน้าก่อนจะทำหน้าจริงจังเอ่ยเตือนข้าเหมือนจะหวังดี
“เจ้าเองก็ทำงานมาทั้งวัน มาอาบด้วยกันเถิด”
ไม่รอให้ข้าตอบเขาก็ดึงไปยังอ่างอาบน้ำพร้อมกับรีบสาละวนถอดเสื้อผ้าให้แก่ข้า ข้ามองเจ้าแมวด้วยสายตาว่างเปล่า เหตุใดแมวหน้าหยิ่งตัวนี้ถึงได้ทำตัวลามกมากขึ้นทุกที เอาเถิด ถือเสียว่าข้ากำลังสละตนเองให้แมวลูบๆ คลำๆ เป็นรางวัลปลอบใจอีกฝ่ายก็แล้วกัน คนแซ่เฉินจะพูดอันใดมิได้อีก เพราะว่าข้าได้สละตนเองเพื่อความสุขสงบของใต้หล้ามากขนาดนี้แล้ว!
ข้าอยู่ในกระโจมท่านแม่ทัพทั้งคืนไม่รู้เรื่องใดๆ ข้างนอกเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งวันต่อมาฉินอ๋องลุกขึ้นแต่งตัวเพื่อนำกองกำลังไปยังเมืองซู่ไป๋เพื่อเปลี่ยนเวรเฝ้าระวัง และให้รองแม่ทัพสวินหยางกลับมาพักผ่อนเอาแรง ส่วนรองแม่ทัพสวินลี่นั้นหลังจากจัดการตามจับเชลยศึกมาขังเอาไว้ได้แล้วนางก็กลับมาพักผ่อนที่ค่ายตอนเช้ามืด ข้าที่ออกไปส่งฉินอ๋องเห็นนางกับขุนพลคนสนิทสั่งงานกันอยู่หน้ากระโจม หลังจากฉินอ๋องออกไปข้าก็มองไปยังรองแม่ทัพสวินลี่ที่พยักหน้าหงึกหงักมาให้แก่ข้าพร้อมกับรอยยิ้มกว้างขวาง ข้าผงกศีรษะรับแล้วยิ้มกลับไปให้นาง มองอีกฝ่ายเดินลับไปในกระโจมแล้วค่อยเปิดกระโจมเดินกลับเข้าไป ข้าใช้เวลาสักพักเพื่อแต่งตัวใส่หน้ากากเดินออกไปนอกกระโจมอีกครั้ง
วันนี้ท่าทางของคนในค่ายแตกต่างจากวันก่อนๆ ลิบลับ เหล่าทหารมองข้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นทั้งที่เมื่อก่อนนั้นแทบจะเมินไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ข้ารู้สึกอึดอัดใจกับสายตาที่จ้องมองมายิ่งนักแต่ก็พยายามที่จะไม่สนใจ ข้าทำเป็นไม่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของผู้คนตรงไปทำงานที่กระโจมรักษา ซึ่งวันนี้ไม่น่าจะมีงานเยอะเท่าไรนักเพราะไม่มีการรบราฆ่าฟัน นับว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีจริงๆ คนบาดเจ็บจะได้พักผ่อนให้ร่างกายแข็งแรง ส่วนเหล่าทหารก็จะได้พักเอาแรงไว้ต่อสู้ในศึกครั้งหน้า พอข้าเดินเข้าไปในกระโจมรักษาซึ่งมีคนบางตากว่าที่เคย คนในกระโจมต่างพากันหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ ทำงานในมือของตนต่อโดยไม่เหลือบมองมาที่ข้า ข้าหวั่นๆ กับบรรยากาศอึมครึมน่าอึดอัดแต่ก็ไม่คิดอันใดมากหันตัวไปดูแลคนบาดเจ็บตามหน้าที่อย่างเงียบสงบจนกระทั่ง...
“อ้าว นี่เจ้าก็มาทำงานด้วยรึ? ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาทำงานเสียแล้ว มีความรู้สึกอย่างไรบ้างเล่าที่สามารถแย่งท่านแม่ทัพไปจากผู้อื่นได้เช่นนี้ เจ้าไม่ละอายบ้างเลยรึยังมีหน้ามาที่นี้อีก”
“แต่งตัวเช่นนี้คงจะต้องการดึงดูดความสนใจสิท่า สมใจเจ้าแล้วละ”
“ข้าสงสัยนักว่าเจ้าตาบอดหรือไรถึงไม่รู้ว่าหมิงอิงชอบท่านแม่ทัพ นี่คงไปยั่วยวนท่านแม่ทัพจนหน้ามืดตามัวสินะ สะเออะอยากบินเกาะกิ่งไม้ทอง นี่คงอยากได้ตำแหน่งนายบำเรอมากล่ะสิ แม้แต่ตำแหน่งนายบำเรอเจ้าก็ยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ เจ้าสู้อันใดหมิงอิงมิได้เลยสักอย่าง!”
“หมิงอิงคิดว่าเจ้าเป็นสหายผู้หนึ่ง เหตุใดถึงทรยศเขาเช่นนี้ ไร้ยางอายยิ่งนัก”
ข้าหันไปมองเหล่าสหายผู้ดีของคุณชายหมิงที่โกรธแค้นแทนสหาย เมื่อพวกเขาเข้ามาในกระโจมและพอเห็นข้าก็รีบตรงดิ่งมาหาเรื่องด่าเสียไม่มีดี ข้ากะพริบตาปริบๆ ราวกับย้อนไปอยู่ในวังหย่งเฮ่าที่เหล่านกหงส์หยกตีฝีปากจิกกัดข้า แต่ตอนนี้ตรงหน้าข้าคือสหายของคุณชายหมิงที่เดือดร้อนแทนเพื่อน ข้าเหลือบสายตาไปมองคนอื่นๆ ที่ทำราวไม่สนใจเหตุการณ์นี้แต่ทว่าพวกเขากลับตั้งหน้าตั้งตาแอบมองสถานการณ์อย่างเกาะติด ข้าถอนหายใจเฮือกอย่างปลงตก
เจ้าแมวจะรู้บ้างหรือไม่ว่าก่อเรื่องเดือดร้อนให้แก่ข้า!
“ข้าย่อมมาทำงานตามหน้าที่อยู่แล้ว พวกเจ้าพอแค่นี้เถิด หากยังพูดต่อไปผู้อื่นจะเห็นได้ว่าคุณชายหมิงมีสหายสิ้นคิดที่เอาแต่โวยวายใส่ผู้อื่น อีกอย่างหนึ่งพวกเจ้าจะใช้คำว่าแย่งมิได้ เพราะข้าไม่เคยแย่งผู้ใดจากใคร” ข้าพูดออกไปอย่างราบเรียบและจริงจัง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา หวังจะให้พวกเขาหยุดกล่าววาจาเท็จเช่นนั้น ข้าไม่เคยแย่งเขามาจากผู้ใด มีแต่คนจะแย่งเขาไปจากข้าเสียมากกว่า เจ้าแมวไม่ใช่ของคุณชายหมิง เขาเป็นของข้าต่างหาก!
“เจ้า! ปากคอเราะร้ายชั้นต่ำยิ่งนัก!”
ข้าขมวดคิ้วมองคนพวกนั้นที่ชักสีหน้าอย่างเอาแต่ใจตามลักษณะนิสัยคุณหนูผู้มีสกุล พวกเขายกมือชี้หน้าด่าข้าซึ่งเป็นการกระทำที่หยาบคายอย่างยิ่ง หากพูดกันจริงๆ แล้วบิดาของข้ามีตำแหน่งสูงกว่าคนในครอบครัวของพวกเขารวมกันเสียอีก ใครกันแน่ที่ชั้นต่ำ? และมิใช่ว่าพวกเขาหรอกรึที่ด่าทอข้าเสียๆ หายๆ ก่อน ช่างไม่ดูตนเองบ้างเลย ข้าพ่นลมหายใจแล้วหันมาทำหน้าที่ต่อไม่สนใจพวกเขาอีกต่อไป
“หยุดนะ! พอได้แล้ว!” คุณชายหมิงปรากฏตัวขึ้นมาในกระโจมเขาตะโกนสั่งให้สหายของเขาหยุดการกระทำใดๆ ที่คิดจะทำต่อข้า คนพวกนั้นทำหน้าฮึดฮัดไม่ยินยอมกำลังจะเถียงกลับไป แต่คุณชายหมิงทำหน้าจริงจังและขึงตาที่ขอบตาแดงใส่อย่างโมโห ข้าหันไปมองคุณชายหมิงที่เดินเข้ามาดันสหายของเขาออกไปด้วยความหวาดหวั่น
เมื่อไล่พวกสหายออกไปได้เขาก็หันมามองข้าด้วยแววตาแข็งทื่อ สีหน้าของคุณชายหมิงมีทั้งโกรธเคือง อับอายและอิจฉา ความรู้สึกของคุณชายหมิงรุนแรงออกมาทางใบหน้าของเขาที่ราวกับร้องไห้มาทั้งคืน ข้านิ่งเงียบรู้สึกผิดกับเขาจริงๆ แต่ทว่ามันก็แค่รู้สึกผิดเท่านั้น ข้าไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ข้าไม่ได้แย่งเขามาจากใคร เขาเป็นคนรักของข้า การที่ข้ากับฉินอ๋องจะใกล้ชิดกันก็ไม่ใช่ความผิดอันใด คุณชายหมิงจ้องมองข้าอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วสะบัดหน้าเดินออกไปไม่พูดอะไรใดๆ กับข้าสักคำ เสี่ยวคุนมองข้าแวบหนึ่งแล้วรีบเดินตามคุณชายหมิงไปอย่างเป็นห่วง ข้ามองตามพวกเขาไปแล้วถอนหายใจหดหู่
แม้จะถูกเมินหน้าแต่ข้าก็ไม่ได้โกรธคุณชายหมิงแม้แต่น้อย เมื่อคิดดูดีๆ แล้วการที่เขาจะมีท่าทางเช่นนั้นมันก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง คุณชายหมิงเป็นคนดีคนหนึ่งแต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน หากไม่รู้สึกอะไรเลยหลังจากที่คนที่ชอบเดินไปหาคนอื่นต่อหน้าต่อตาแสดงว่าเขาก็ไม่ได้ชอบอันใดฉินอ๋องมากมาย ดูจากท่าทางคุณชายหมิงแล้วคงชอบเจ้าแมวจริงๆ จังๆ บวกกับเพราะทุกคนส่งเสริมเขาสนับสนุนเขาทำให้คุณชายหมิงคิดไปไกลกว่าความเป็นจริง เมื่อไม่เป็นไปตามที่คิดเอาไว้ย่อมรู้สึกโกรธและอับอายเป็นธรรมดา โดยเฉพาะคุณชายหมิงซึ่งน่าจะมีมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่านัก เขาเป็นท่านชายน้อยตระกูลใหญ่ที่ถูกพะเน้าพะนอเอาใจมาแต่เด็ก คนเช่นนี้ต้องมิเคยพบเจอกับความผิดหวังมาก่อนในชีวิต ไม่แปลกที่ไม่อาจทำใจยิ้มรับความผิดหวังอย่างง่ายดายเพียงชั่วข้ามคืนได้
เหตุการณ์ในกระโจมครั้งนั้นเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ทุกคนคล้ายจะเข้าข้างคุณชายหมิงหมด ทำราวกับข้านั้นเป็นตัวร้ายที่รังแกและทำร้ายคุณชายหมิง โดยการหลอกลวงเขาใช้ความไว้ใจของเขาแย่งฉินอ๋องไป พูดไปไกลขนาดที่ว่าข้าทำเสน่ห์ใส่แม่ทัพจนอีกฝ่ายหลงหัวปักหัวปำ มีโอกาสก็กระแหนะกระแหนข้าว่าสู้อันใดคุณชายหมิงมิได้ ไม่นานก็จะถูกท่านแม่ทัพเบื่อหน่ายบ้างล่ะ พูดว่าสักวันท่านแม่ทัพจะตาสว่างมองเห็นเพชรที่แท้จริงแล้วทิ้งก้อนกรวดในมือบ้างล่ะ แต่ละถ้อยคำทิ่มแทงข้าจนพรุนไม่มีชิ้นดี ข้าอดทนไม่สนใจคำพูดพวกนั้น
ส่วนเจ้าแมวตัวต้นเหตุก็ดีเหลือเกินทำตัวน่ารักอย่างยิ่ง หึ! นี่เขากลัวว่าข้าจะไม่ตายดีงั้นรึ? ขยันหาเรื่องให้เหลือเกิน เวลาว่างๆ ที่ผลัดเปลี่ยนเวรเขาก็จะเดินๆ นั่งๆ วนเวียนอยู่กับข้าราวกับกำลังสร้างอาณาเขตของตนเอง ปกติทุกคนก็ไม่เข้าใกล้ข้าอยู่แล้วยิ่งมีเจ้าแมวก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาข้าเลยสักคน ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายหมิงเหมือนยิ่งถูกทำร้ายจิตใจหนักกว่าเดิม สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ทุกขณะ สหายของเขามองข้าด้วยสายตาคุโกรธอย่างน่ากลัว โดยเฉพาะเสี่ยวคุนที่จ้องมองมาด้วยสายตาที่อยากจะเข้ามาแทงข้าให้ตายใจจะขาด ช่วงนี้ข้าจึงแบกหน้าไปพึ่งรองแม่ทัพสวินหยางที่เวลาว่างๆ มักจะสวดมนต์นั่งสมาธิในกระโจมของเขา ตอนนี้ก็เช่นกัน!
“พวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ไม่ทราบความจริงอภัยให้พวกเขาเถิด หากไม่ใช่เรื่องจริงเจ้าก็อย่าได้คิดมากเลย”
สาธุ~ ไม่สิ! ข้าลืมตัวไป รองแม่ทัพสวินทั้งสองรู้ว่าข้านั้นเป็นใครเพราะฉินอ๋องเป็นคนบอก เจ้าแมวบอกว่าสองคนนี้ไว้ใจได้ดังนั้นเขาจึงไม่ห่วงหากทั้งสองล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า แต่คนอื่นฉินอ๋องไม่ไว้ใจจึงให้ข้าอำพรางตัวตนเหมือนเดิม ข้าเริ่มจะสัปหงกเมื่อรองแม่ทัพสวินหยางทำการสวดมนต์บทยาวเหยียดของเขาอีกครั้ง อ่า เอาเถิด ที่นี้ไม่มีคำพูดระคายหูและไม่มีเจ้าแมวหน้ามึนชวนโมโหนั่น จะง่วงสักหน่อยจะเป็นอันใดไป ข้านั่งหลับขณะที่รองแม่ทัพสวินหยางนั่งสมาธิ ดูๆ ไปข้าก็กลมกลืนมิใช่น้อย
หลังจากนั้นรองแม่ทัพสวินหยางก็ออกเวรไปเฝ้ายามที่เมืองซู่ไป๋ หลายวันมานี่ฉินอ๋องไม่ทำการเคลื่อนทัพใดๆ เขายังอยู่ที่เดิมเพื่อดูท่าทีของแคว้นเหลียว ข้าได้ยินมาว่าเขาส่งสารไปยังราชสำนักแคว้นเหลียวตั้งเงื่อนไขในการสงบศึก หากแคว้นเหลียวไม่ยอมเป็นเรื่องแน่นอนที่ฉินอ๋องจะยกทัพบุกต่อไป ตอนนี้ฉินอ๋องกำลังรอคำตอบจากราชสำนักแคว้นเหลียวว่าจะยอมแพ้หรือไม่ยอมแพ้ ข้าเดินออกมาจากกระโจมรองแม่ทัพสวินหยางเจอเข้ากับเจ้าแมวที่ยืนมองมาด้วยสายตาไม่พอใจอย่างรุนแรง
“ในกระโจมสวินหยางมีอันใดดีกันนะ?” ฉินอ๋องบ่นลอยๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีความหมาย ข้าหันไปมองทางอื่นทำเป็นไม่ได้ยินคำถามนั้นแล้วเดินออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย ฉินอ๋องเดินตามข้ามาเพียงก้าวไม่กี่ก้าวเขามาก็ถึงตัวข้า แล้วจับข้าเปลี่ยนทิศทางไปยังกระโจมของเขาแทน
“ทำไมเจ้าถึงชอบไปอยู่ในกระโจมสวินหยางนัก?” พอเข้ามาในกระโจมเจ้าแมวไม่รอช้าทำการซักไซข้าแบบประชิด ข้าอึกอักแล้วเอ่ยตอบออกไปแบบไม่จริงนัก
“ข้าแค่ไปฟังบทสวดเท่านั้นเอง”
“หากเจ้าอยากฟังนัก เดี๋ยวเราจะสวดให้ฟัง” ฉินอ๋องทำสายตาเหมือนรู้ทันก่อนจะเอ่ยตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ข้านิ่งไปชั่วขณะแล้วยิ้มขำออกมา บ้าจริง พอข้านึกภาพเจ้าแมวสวดมนต์แล้วมันทำให้ข้าอดขำไม่ได้ คงเป็นภาพที่ตลกมากเป็นแน่ ข้ารู้ว่าเจ้าแมวไม่ถูกกับเสียงสวดมนต์ทำพิธีต่างๆ ขนาดเข้าไปในกระโจมของรองแม่ทัพสวินหยางเขายังไม่เข้าเลย ต้องหึงหน้ามืดมากแค่ไหนถึงลืมตัวบอกว่าจะสวดมนต์ให้ข้าฟังเช่นนี้ได้? พอเห็นข้าหัวเราะฉินอ๋องก็ดึงข้าไปนั่งบนตักของเขาแล้วกอดข้าจากด้านหลัง ขบติ่งหูข้าเบาๆ ให้จั๊กจี้เล่น ข้าดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนของเขา ประท้วงการกระทำอันดุร้ายของเจ้าแมวที่เอะอะก็กัด
“หัวเราะอะไร?”
“ข้ากับท่านรองแม่ทัพสวินหยางไม่มีอะไรกันเสียหน่อย ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” ข้าถอนหายใจแล้วเอ่ยตอบไปคนละเรื่องที่เขาถาม ใครจะไปบอกว่าข้าขำเขาที่จะสวดมนต์ให้ฟังกันเล่า ขืนพูดออกไปจะโดนทำอันใดก็มิรู้ แค่โดนทำอยู่ตอนนี้ข้าก็คิดว่ามันมากเกินไปด้วยซ้ำ
“หึ ถ้าหากมันคิดอะไรกับเจ้า ข้าจะปล่อยให้มันเข้าใกล้เจ้าอย่างนั้นรึ? เอาเป็นว่าเจ้ามาอยู่ที่กระโจมของพวกเรา ห้ามไปอยู่กระโจมสวินหยางอีก”
“ถ้าหากท่านไม่เข้ามานัวเนียข้าตลอดเวลา ข้าคงไม่ต้องหลบไปอยู่ที่กระโจมของรองแม่ทัพสวินหยางหรอก” ข้าได้ยินคำสั่งเอาแต่ใจของเขาก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยประชดออกไปเสียงเบา แต่ไม่พ้นหูปีศาจของเจ้าแมว เขาใช้แขนรัดตัวข้าแน่นมากขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก นี่เขาโมโหอยู่ใช่ไหม? โอ๊ยยยย!
“ทำอย่างไรได้ ก็ข้าชอบเจ้า”
ฉินอ๋องกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาชวนวาบหวิวจากนั้นก็ขบใบหูของข้า ข้าตัวสั่น หัวใจเหมือนเต้นแรงมากขึ้นทุกที บ้าจริง ถ้อยคำนี้อย่างกับป้ายอภัยโทษ พอเขาพูดทีไรข้าเป็นต้องตัวอ่อนปวกเปียกยอมใจอ่อนให้ทุกที ไม่ดีเลยจริงๆ สุดท้ายข้าก็ถูกลากเข้าไปในกระโจมเป็นของเล่นแมวยามว่างทุกที ให้ตายเถิด สงสัยข้าต้องหาที่หลบใหม่แล้วละ กระโจมรองแม่ทัพสวินหยางคงไม่ใช่ที่หลบที่ดีนัก แถมยังเกิดข่าวลือไม่ดีเพิ่มขึ้นมาอีก เดิมทีมีข่าวลือว่าข้านั้นทั้งทำเสน่ห์ใส่แม่ทัพเพื่อแย่งมาจากคุณชายหมิง ตอนนี้เพิ่มข่าวลือว่าข้านั้นพยายามล่อลวงรองแม่ทัพสวินหยางอีกคน ข้ากลายเป็นคนไม่มีใครคบไปอย่างสมบูรณ์แบบ อ้อ ยกเว้นรองหัวหน้าองครักษ์เฉินที่เข้ามาคุยกับข้าอย่างเป็นปกติ ไม่รู้เรียกว่าคุยหรือเข้ามาตอกย้ำซ้ำเติมกันแน่? ทุกครั้งจบลงด้วยการที่ข้าเดินหนีออกมาอย่างอดทนไม่ไหว เช่นเดียวกับตอนนี้
“อ้าว เดี๋ยวสิ! เจ้าไม่อยากรู้แล้วรึว่าพวกเขาพูดอะไรถึงเจ้าบ้าง พวกเขาบอกว่าเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวแต่ยังเผยอตัวเข้าหาท่านแม่ทัพอย่างไม่เจียมตัว เห็นท่านแม่ทัพหลงเจ้าอย่างกับอะไรดีต้องเป็นเพราะเจ้าทำเสน่ห์มนต์ดำแน่ เจ้ากลายเป็นคนอัปลักษณ์ที่ใช้มนต์ดำทำเสน่ห์ไปแล้ว เร็วๆ นี้ยังมีข่าวบอกว่าเจ้าพยายามทำเสน่ห์ใส่รองแม่ทัพสวินหยางอีกคน แต่ทำไม่สำเร็จเพราะรองแม่ทัพสวินหยางมั่นสวดมนต์ไหว้พระทำให้มนต์ดำของเจ้าเสื่อมใช้การไม่ได้ คราวนี้พวกทหารที่ห่วงใยท่านแม่ทัพต่างพากันนำตำราสวดมนต์มาให้ท่านแม่ทัพกันยกใหญ่ แม้จะงุนงงแต่ท่านแม่ทัพก็รับเอาไว้มาเปิดอ่านแถมยังฝึกท่องอีกด้วย! อ้อ แล้วก็นะ...ไยเจ้าเดินไม่หยุดเช่นนี้เล่า ข้าเหนื่อยแล้วนะ!”
ข้าเดินหนีคนแซ่เฉินสุดจะทนเสียงพูดพร่ำที่เดินตามหลังมาไม่ได้หยุด ก่อนที่ข้าสติแตกลงมือสังหารปิดปากคนพูดมาก ข้าก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่สามารถจัดการคนแซ่เฉินได้เพียงคำพูดเดียว ข้ารีบเร่งเดินเข้าไปหารองแม่ทัพสวินลี่ที่กำลังยืนหลบๆ ซ่อนๆ หลังกระโจม ข้าพุ่งไปหานางอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายหันมามองอย่างตกใจ แต่พอเห็นเป็นข้านางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะว่าข้ามัวแต่คิดวิธีหยุดคนพูดมากจนไม่ทันสังเกตท่าทางของรองแม่ทัพสวินลี่จึงไม่เห็นท่าทางแปลกๆ ของนาง เมื่อวิ่งมาถึงข้าก็เอ่ยถามนางแบบไม่หยุดพักหายใจ
“สวินลี่เจี่ยเจีย ชอบคนพูดมากหรือไม่?”
“ไม่ เกลียดด้วยซ้ำ” รองแม่ทัพสวินลี่แม้จะงุนงงแต่นางก็ตอบคำถามข้าอย่างชัดเจนและรวดเร็ว คนแซ่เฉินวิ่งมาทีหลังหุบปากเงียบเมื่อได้ยินคำตอบของสตรีผู้ปราดเปรียว ข้าผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดเสียงน่ารำคาญก็สงบลงเสียที
ข้าหันไปมองรองแม่ทัพสวินลี่อย่างซาบซึ้งก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าลับๆ ล่อๆ อันใดกัน? ข้ากำลังอ้าปากถาม รองแม่ทัพสวินลี่ก็ยกนิ้วขึ้นส่งสัญญาณบอกให้เงียบแล้วโบกมือบอกข้าให้มาอยู่ด้านหลังนาง ข้ารีบเงียบแล้วเดินเข้าไปหานาง คนแซ่เฉินขยับเข้ามายืนอยู่ด้านหลังรองแม่ทัพสวินลี่พลางวางมือบนไหล่ของนางแล้วชะโงกมองตาม ข้ามองคนแอบเนียนกินเต้าหู้ผู้อื่นด้วยสายตาเอือมระอา พอกันกับเจ้านาย ฉวยโอกาสทุกเมื่อ! ข้าส่ายหน้าแล้วหันไปมองอีกด้านของกระโจมที่มีเด็กหนุ่มสองคนยืนกอดปลอบใจกันอยู่ ข้าขมวดคิ้วเมื่อเห็นพวกเขาชัดๆ
คุณชายหมิงกับเสี่ยวคุน!
จะเริ่มถึงเทศกาลเก็บตัวอ่านหนังสือสอบแล้ว
เออ อันที่จริงควรอ่านแล้ว มัวแต่แต่งนิยายนี่แหละ 5555
ถ้าถึงช่วงนั้นก็คงจะมาอัพบ่อยๆ เช่นนี้ไม่ได้แล้วละ บอกเอาไว้ก่อนนะจ๊ะ
ปล. อ๋องแมวไม่ร้อยตอน...แต่สองร้อยตอนเป็นไง?//หัวเราะอย่างชั่วร้าย
ทิ้งท้ายด้วยแฟนอาร์ตอันดีงามต่อจิตใจ~ ขอบคุณมากค่ะ ชอบมากเลย~
สร้างสรรค์ผลงานโดย Wyn'n Vilar
สร้างสรรค์ผลงานโดย Panggy ZamaSang
สร้างสรรค์ผลงานโดย keloooly
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พวกลิ่วล้อนี่น่ากลัวจริงคับ พวกทหารนี่ก็เป็นไปกะเขาด้วยเหรอ ลืมแล้วหรอว่าใครรักษาแก ไม่รู้บุญคุณจริงๆ อินเว่อ