ตอนที่ 34 : ตอนที่ ๓๓ ไม่อาจทำใจได้
ตอนที่ ๓๓ ไม่อาจทำใจได้
พอมาถึงค่ายท่านรองหัวหน้าองครักษ์เฉินก็ยังสวมวิญญาณเล่นใหญ่ต่อเนื่องมิหยุดพัก เขาถูลู่ถูกังลู่ชุนเข้ามาหาเจ้านาย พอเดินมาถึงก็สะบัดลู่ชุนทิ้งอย่างไม่ใยดีแล้วคุกเข่าร่ำไห้น้ำตาไหลพรากอย่างเสียอกเสียใจ ข้ามองคนที่ยังเล่นไม่เลิกด้วยความเอือมระอาแล้วปีนลงม้าไปหลังจากคนเจ็บลงไปก่อนแล้ว ฉินอ๋องยืนเซอ่อนแรง พอดีกับที่ข้าลงมาจากหลังม้าเขาก็เอนตัวซบข้าหายใจแผ่ว หน้าของเขาซีดเซียวราวกับไก่ต้ม สมบทบาทกับการเป็นคนบาดเจ็บสาหัสจริงๆ ข้ายิ่งรู้สึกเอือมระอามากขึ้น ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องมิได้แตกต่างกันเลย!
แต่เพราะว่านี่คือการแสดงที่แสดงให้คนกลุ่มหนึ่งเห็น ดังนั้นข้าจึงช่วยพยุงเจ้าแมวให้ยืน มิเคยรู้มาก่อนว่าท่านแม่ทัพจะอ่อนแอปานนี้ ท่านรองเฉินรีบเอ่ยปากบอกให้พาท่านแม่ทัพไปยังกระโจมเพื่อทำการรักษา นี่เล่นละครมากไปจนลืมไปสินะว่าตนเองมีพลังรักษา แต่ช่างเถิด ในแผนที่วางไว้ฉินอ๋องถูกธนูอาบยาพิษต้องนอนเจ็บไปสามวัน ข้าพยักหน้าก้าวเท้าพาคนที่ท่าทางจะหมดแรงเลือดท่วมตัวออกไป แต่ก่อนที่พวกข้าจะได้เดินออกไปก็มีเสียงของคนบางคนเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“เอ่อ...คือข้า...”
“อ๊ะ จริงสิ เจ้าพาท่านอ๋องไปรักษา ส่วนเรื่องสอบสวนให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” รองหัวหน้าองครักษ์เฉินหยุดชะงักพร้อมกับข้า เขาทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้แล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะบอกข้าพลางพยักพเยิดหน้าให้ข้ารีบพาเจ้านายของเขาไปรักษาเสียที จากนั้นเขาก็แสยะยิ้มอย่างน่ากลัวเมื่อหันไปมองลู่ชุนที่มีสภาพอนาถ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนมอมแมมไปด้วยฝุ่นและเลือด
ข้าเหลือบไปมองลู่ชุนที่หน้าเริ่มซีด แววตาสะท้อนความหวาดกลัวต่อคนแซ่เฉิน มันหันมาส่งสายตาขอความเมตตากับข้าที่กำลังมองอยู่ โถ ลู่ชุน เจ้าทำสายตาเช่นนั้นข้าก็มิเข้าใจ เพราะว่าข้าโง่เขลาอย่างไรเล่า ข้ากะพริบตาปริบๆ มองตอบอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินลากเจ้าแมวที่เหมือนจะหลับออกไป หรือว่าเมื่อคืนนอนน้อยเกินไปถึงได้เอะอะก็นอนเช่นนี้ เอาเถิด สามวันต่อจากนี้เขาจะได้นอนสมใจอยากแน่ ข้าลากฉินอ๋องเดินไปยังกระโจม ส่วนคนแซ่เฉินก็จับลู่ชุนลากออกไปอย่างไม่สนใจอาการดิ้นรนของมัน ลู่ชุนพยายามร้องเรียกให้ข้าช่วยมัน แต่ขออภัยด้วยจริงๆ คนผิดต้องได้รับโทษ!
“คุณชายเยว่! คุณชายเยว่ขอรับ!”
“ร้องอะไรนัก มาสนใจคุณชายเฉินผู้นี้เถิด คนที่จะพาเจ้าไปหาสุดที่รักที่คิดถึงเจ้า ร้องเรียกหาเจ้าทุกค่ำเช้า”
“อะ อะไรนะ!?” ลู่ชุนหันไปมองคนแซ่เฉินที่แสยะยิ้มมีเลศนัยด้วยความตกใจและหวาดระแวง มันพยายามดิ้นหนีและร้องโวยวายด้วยอาการเสียจริตความเรียบร้อยสุภาพ
ข้าถอนหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างปลดปลง ในเมื่อทำผิดก็ต้องรับผลกรรมที่กระทำไว้ ข้าหันตัวพยุงฉินอ๋องเดินไปยังกระโจมต่อ พอเข้าไปในกระโจมข้าก็สลัดคนสำออยออกจากตัว คนที่หมดเรี่ยวแรงแสร้งได้รับบาดเจ็บสาหัสก็พลันยืนทรงตัวนิ่งไม่เหมือนคนบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ข้ามองเสื้อผ้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดด้วยใบหน้ายู่ยี่ไม่พอใจ ให้ตายเถิด นี่ชุดใหม่เสียด้วยสิ ข้าไม่น่าใส่ชุดนี้เลย ข้าถอนหายใจด้วยความเสียดาย ก่อนจะเงยหน้าไปเห็นดวงตาคมกริบที่จ้องมองมานิ่งๆ เห็นสภาพของเขาที่เละยิ่งกว่าข้าก็ต้องถอนหายใจ บอกเขาให้ถอดเสื้อผ้าเพื่อชำระร่างกายให้สะอาดสะอ้าน ฉินอ๋องพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วเดินเข้าไปยังฉากกั้น ส่วนข้าก็ไปนำน้ำอาบมาให้แก่เขา
ระหว่างนั้นก็สวนทางกับเหล่าแพทย์ทหารและหัวหน้ากองต่างๆ ผู้รับบทบาทเป็นนักแสดงสมทบซึ่งเป็นคนกลุ่มที่สี่ที่ข้าได้กล่าวไว้ พวกเขาทำหน้าเคร่งเครียดจริงจัง สีหน้าแต่ละคนซีดเซียวและมีความกังวล ข้ารู้สึกว่ากองทัพเป่าอี้ล้วนแล้วแต่มีนักแสดงชั้นยอด สมบทบาททุกผู้ทุกคนจริงเชียว! พวกเขาเหลือบมองข้าเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปในกระโจมอย่างรีบเร่งเพื่อแสดงละครฉากต่อไป ข้าไม่สนใจพวกเขาเดินไปนำน้ำอาบให้แก่ฉินอ๋อง ข้ากำกับให้ทหารผู้น้อยลำเลียงถังน้ำร้อนมาที่กระโจม พอนำน้ำอาบส่งไปให้แก่เจ้าแมวที่นั่งรออยู่แล้วก็เดินเข้าไปในกระโจม เห็นเหล่านักแสดง ไม่สิ ขุนพลระดับหัวหน้ากองผลัดกันเดินเข้าออกจากกระโจม บางคนก็เดินออกมายืนเก๊กหน้าดำคล้ำเครียดอยู่ตรงหน้ากระโจม ไม่เพียงเท่านั้นบางคนก็จับกลุ่มพูดคุยปรึกษาเคร่งเครียด นี่ถ้าข้าไม่รู้เรื่องแผนมาก่อนล่ะก็คงเชื่อสนิทใจว่าฉินอ๋องถูกลอบสังหารจริงๆ เป็นแน่
หลังจากฉากการแสดงที่สมจริงสมจังของเหล่าหัวหน้ากองและคณะแพทย์ทั้งหมดผ่านหมดไปก็เกือบค่อนคืน พวกเขาเหล่านั้นถึงได้เดินจากไปด้วยสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย และไม่วายส่งท้ายการแสดงอย่างสมบทบาทด้วยการบอกให้ข้าดูแลฉินอ๋องดีๆ ข้าพยักหน้าตามน้ำไปแล้วกลับเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง เห็นเจ้าแมวกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงโมด้วยท่าทางเกียจคร้าน ข้ามองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะหันตัวไปจัดการสภาพเหนียวเหนอะของตนเองบ้าง มันไม่สมควรนักที่จะอาบน้ำชำระกายตอนที่กำลังวุ่นวายเพื่อรักษาบาดแผลฉินอ๋อง หากผู้ใดล่วงรู้เข้าอาจจะจับสังเกตได้ ข้าจึงมิได้อาบน้ำถึงกระทั่งถึงเวลานี้นั่นเอง ข้าอาบน้ำเสร็จก็เตรียมตัวจะเข้านอนเพราะตอนนี้ดึกมากแล้ว
เมื่อเดินไปยังเตียงซึ่งมีคนบาดเจ็บสาหัสนอนหลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่? เหตุใดชุดนอนของเขามันถึงได้ร่นลงจากไหล่มากเพียงนั้น เปิดอ้าให้เห็นทั้งไหล่หนาอกกว้างจนไปถึงหน้าท้องอันแข็งแกร่งเฉกขุนพลนักรบ ข้าจ้องอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆ เบือนหน้าอันแดงก่ำไปทางอื่น บ้าจริง ตั้งใจใช่หรือไม่? เหตุใดมันถึงได้ดู... ข้าเหลือบไปมองอีกครั้งก่อนจะสะบัดหน้าหนีราวโดนน้ำร้อนกระเด็นใส่ หัวใจของข้าเต้นระส่ำพร้อมกับดวงหน้าร้อนผ่าว ข้าสูดลมหายใจเข้าออกแล้วค่อยๆ เขยิบไปที่เตียง เอียงตัวนอนหันหลังให้แก่แมวที่นอนยั่วน้ำลายผู้อื่นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
รู้สึกดีใจขึ้นมาอีกครั้งที่อยู่ในร่างอายุสิบสี่ หากเป็นตอนอายุสิบเจ็ดสิบแปดมานอนยั่วเช่นนี้คิดหรือว่าข้าจะปล่อยไปง่ายๆ ข้าย่อมกระโดดเข้าไปฟัดเจ้าแมวน่ารังเกียจตัวนี้แล้ว อ่า ข้าล้อเล่นน่ะ อย่างข้าในชีวิตที่แล้วน่ะหรือจะกล้าทำเช่นนั้นกับท่านอ๋อง ก่อนที่จะทำสำเร็จข้าคงถูกหอกน้ำแข็งแทงทะลุร่างตายไปเสียก่อนน่ะสิ ก่อนที่ข้ากำลังเคลิ้มหลับเจ้าแมวที่นึกว่าหลับไปแล้วก็คว้าตัวข้าไปกัดหัวไหล่ ข้านี่สะดุ้งโหยงตาสว่างขึ้นมาทันที เขากัดๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงข้อศอกก่อนจะทำเสียงหึ ใช้มือตบหน้าผากของข้าเบาๆ ข้าที่โดนทำร้ายได้แต่งุนงงสับสนกับพฤติกรรมดุร้ายของเจ้าแมว อันใดของเขากัน? อยู่ดีๆ ก็มากัดมาตบกัน มิได้นอนแล้วหรอกหรือ? ข้างุนงงปล่อยให้ฉินอ๋องเบียดตัวเข้ามากอดซุกตัวข้าแล้วนอนหลับนิ่งไป ข้าหันคอไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ หรือว่าจะละเมออีกแล้วรึ?
ข้ากะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจตัดสินใจหลับตานอนต่อ
หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารฉินอ๋องก็ผ่านไปสี่วันแล้ว ระหว่างสี่วันมานี้มีความโกลาหลเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลู่ชุนกลายเป็นกบฏ เรื่องการลอบสังหารฉินอ๋องจนบาดเจ็บสาหัส ต่อด้วยการกลับมาที่ไม่ธรรมดาของท่านรองแม่ทัพสวินทั้งสอง ในเรื่องของลู่ชุนนั้นข้ายอมรับเลยว่าคนแซ่เฉินช่างมีพรสวรรค์ในการสอบสวนคนร้ายยิ่งนัก ผ่านไปเพียงครึ่งวันลู่ชุนผู้นั้นก็ยอมสารภาพรับผิดทุกอย่าง ซึ่งข้ามิรู้ว่าเขาใช้วิธีการใดในการสอบสวน ขู่จะทรมานมันงั้นรึ? พอข้าแย้มๆ ถามไปคนหน้าด้านก็ทำสีหน้าประหนึ่งภาคภูมิใจโอ้อวดใส่ข้าแล้วตอบว่าใช้ความฉลาดเฉลียวของตนเอง ข้าทำสายตาว่างเปล่าเย็นชาใส่เขา คนแซ่เฉินถึงได้กระแอมไออธิบาย เขาเล่าว่าขู่จะลากลู่ชุนไปขังรวมกับสายลับแคว้นเหลียวผู้นั้น ลู่ชุนกลัวถูกฆ่าตายในคุกจึงรีบร้อนสารภาพ เพื่อทำการผ่อนโทษหนักให้เป็นเบา
ในส่วนข่าวลือลอบสังหารของฉินอ๋องนั้นสี่วันมานี้ถูกโหมกระหน่ำปล่อยข่าวลือไปต่างๆ นานา จากปากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง ยิ่งผ่านไปไกลมากเท่าไรอาการบาดเจ็บของฉินอ๋องก็หนักขึ้นตามไปด้วย จนข้าแอบคิดว่าเมื่อถึงเมืองหลวงข่าวนี้ต้องมีเนื้อความว่าฉินอ๋องสิ้นชีพไปแล้วเป็นแน่ หน่วยข่าวกรองช่างทำหน้าที่ได้ดียิ่งนัก กระพือข่าวลือไปทุกทิศทุกทางตามบัญชาของเจ้านาย ภาพของหัวหน้ากองยืนทำหน้าดำคล้ำเครียด และการวิ่งเข้าออกของแพทย์ประจำกองทัพก็ยิ่งทวีคูณความเชื่อถือ และน้ำแดงฉานที่ขนย้ายออกไปจากกระโจมก็ยิ่งตอกย้ำความเป็นจริง จนทุกคนหลงเชื่อในข่าวลวงครั้งนี้เอามาก อันที่จริงน้ำพวกนั้นเป็นน้ำอาบชำระตัวของฉินอ๋องเท่านั้น เลือดที่ทำให้น้ำแดงฉานก็มิใช่เลือดของเขา
ข่าวลือแพร่สะพัดไปไกลในขณะที่ตัวจริงของท่านแม่ทัพนอนหนุนตักข้าอย่างอ้อยอิ่งพลางอ่านตำราพิชัยสงคราม ข้าที่กลายเป็นหมอนและของเล่นของแมวตลอดสามวันรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก
ที่เมืองหลวงพอได้รับข่าวฉินอ๋องต่างพากันตื่นตระหนกตกใจ ฮ่องเต้และหวงกุ้ยเฟยเร่งส่งยาล้ำค่าควรเมืองมาที่ค่ายอย่างมากมาย เหลียงอ๋องและส่านอ๋องเองก็ส่งยาชั้นดีมาให้เช่นกัน แม้กระทั่งขุนนางน้อยใหญ่ต่างก็แสดงความห่วงใยฉินอ๋องส่งสารส่งสมุนไพรมากันไม่ขาดสาย ชาวบ้านเองก็ต่างมาเมียงมองอาการท่านแม่ทัพ พวกเขารุดเข้ามาหาที่หน้าค่ายพร้อมกับนำข้าวของดีที่สุดที่จะหาได้มาให้ด้วย แม้จะมิได้เข้ามาในค่ายแต่พวกเขาก็ยังมา ข้ามองดูภาพนั้นแล้วรู้สึกอบอุ่นใจยิ่งนัก แม้แต่ชาวบ้านยากดีมีจนก็พยายามช่วยเหลือเขาเท่าที่จะกระทำได้ แสดงถึงความรักความห่วงใยของพวกเขาที่มีต่อเจ้าแมวเป็นอย่างดี ป่านนี้ข่าวการลอบสังหารของฉินอ๋องน่าจะไปถึงหูของพวกแคว้นเหลียวแล้วเป็นแน่ อีกไม่นานสงครามหน้าหนาวก็จะเริ่มต้นขึ้น ข้ารู้สึกสะท้อนใจยามมองเหล่าทหารที่รู้จักหน้ารู้จักตา เมื่อคิดว่าบางคนในที่นี้อาจจะต้องล้มตายในสนามรบ แม้จะรู้ตัวก่อนและสามารถวางแผนรับมือทันแต่ทว่าสงครามก็ย่อมมีคนตายคนเจ็บเป็นธรรมดา การที่คิดว่าคนรู้จักอาจจะตายมันทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจ
และเรื่องสุดท้ายซึ่งเกิดขึ้นในตอนเช้ามืดของวันนี้ อยู่ๆ ในค่ายก็มีผู้คนถูกต้อนเข้ามามากมาย ข้ากับฉินอ๋องตื่นขึ้นมาพร้อมกันแล้วรีบแต่งตัวเดินออกไปดูสถานการณ์ ในคราแรกข้าตกใจกลัวนึกว่าข้าศึกแคว้นเหลียวบุกโจมตีกะทันหัน แต่มิใช่อย่างที่ข้าคิด ทั่วค่ายสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากคบเพลิงที่ถูกจุด ฉินอ๋องเดินเร่งนำหน้าไปจนกระทั่งไปเจอกับรองแม่ทัพสวินชายหญิงที่ยืนอยู่หน้ากลุ่มคนมากมาย ข้ากวาดสายตาไปมองคนที่ถูกมัดอย่างตกใจ พวกมันเป็นคนแคว้นเหลียวอย่างแน่นอน ดูจากการแต่งกายที่ค่อนข้างหนาเป็นพิเศษ ซึ่งแคว้นเหลียวนั้นมีอากาศหนาวกว่าแคว้นฉิงมาก
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินอ๋องเอ่ยถามขุนพลทั้งสองของเขาที่ยืนควบคุมนักโทษแคว้นเหลียว รองแม่ทัพสวินลี่แย้มยิ้มกว้างออกมาก่อนจะยักไหล่เอ่ยตอบเสียงแจ่มใส
“แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเรียบร้อยดี ข้ากับพี่หยางลอบกวาดต้อนทหารแคว้นเหลียวที่ปลอมตัวเป็นโจรมาปล้นสะดมตามหมู่บ้านชายแดนทั้งหมดแล้ว”
“พวกมันรู้ตัวหรือไม่?”
“ไม่ เราทำตามที่ท่านบอก ปลอมตัวเป็นกลุ่มโจรปล้นและฆ่าพวกมันอีกที ก่อนจะกลับมาพวกเราแสร้งฉลองชัยชนะที่ยึดหมู่บ้านได้และกลบฝังศพมันบางส่วนที่ตาย เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้วพวกข้าถึงจับกุมพวกนักโทษแคว้นเหลียวที่เหลือกลับมาค่ายอย่างลับๆ พวกมันน่าจะคิดว่าถูกโจรปล้นแทนที่จะเป็นถูกพวกเราจับกุม” เป็นท่านรองแม่ทัพสวินหยางเป็นผู้ตอบในครั้งนี้แทน ฉินอ๋องพยักหน้าพอใจก่อนจะเปรยสายตาไปมองเชลยศึกแคว้นเหลียวด้วยสายตาเย็นชา
“อย่าประมาท จงไปสืบว่าพวกมันระแคะระคายบ้างหรือไม่? ส่วนคนพวกนี้สวินลี่เจ้าจัดการ เราให้เวลาพวกเจ้าจัดการธุระและพักเอาแรง เมื่อถึงยามเว่ย(๑๓-๑๕น.)ให้มาประชุมวางแผนรับศึกที่กระโจมโถงประชุม” ฉินอ๋องเงยหน้ามามองรองแม่ทัพทั้งสองแล้วเอ่ยสั่งอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของเขานั้นเด็ดขาดและเยือกเย็น รองแม่ทัพสวินทั้งสองก้มเอวกำมือประสานรับคำสั่งอย่างแววตาสีหน้ามุ่งมั่น
“ขอรับ/เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ!”
สั่งเสร็จฉินอ๋องก็หันตัวเดินออกมา เขาชะงักมองข้าเล็กน้อยแล้วเดินต่อไปยังกระโจมที่พัก ข้ารีบเดินตามเขาเข้าไปในกระโจม ฉินอ๋องกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า คาดว่าเขาต้องไปพูดคุยงานกับหัวหน้ากองคนอื่นๆ เป็นแน่ ข้าช่วยเขาแต่งตัวแล้วมองส่งเขาออกไปจากกระโจม พอเจ้าแมวเดินออกไปด้วยใบหน้าราบเรียบแฝงไปด้วยความจริงจัง ไม่เหมือนสามวันที่ผ่านมาเขาเอาแต่หยอกข้าอย่างสนุกสนาน แต่ก็ไม่แปลกอันใดเพราะอีกไม่กี่วันจะเกิดสงครามขึ้นแล้ว ข้านอนลงบนเตียงแล้วครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เหลืออีกไม่กี่วันแล้วข้าสังหรณ์ใจว่าไม่พรุ่งนี้ก็มะรืนนี้ฉินอ๋องจะต้องส่งข้ากลับเมืองหลวง ข้าไม่อยากไปแต่ทำเช่นไรได้ข้าอยู่ที่นี้ก็มีแต่จะทำให้เขาพะวงและเป็นตัวถ่วง
แม้ว่ารองแม่ทัพสวินทั้งสองจะกลับมายังค่ายแล้วแต่มีเพียงหัวหน้ากองขึ้นไปเท่านั้นที่ทราบเรื่องนี้ คนอื่นๆ ถูกปิดข่าวเอาไว้เงียบ และทหารในค่ายก็ยังซบเซาเช่นเดิม ตกบ่ายหลังจากฉินอ๋องเดินเข้าไปยังกระโจมประชุมข้าก็เดินไปหาพวกเสี่ยวชีที่อยู่ในกระโจมที่พัก พอเข้าไปก็เห็นทั้งสามคนกำลังเก็บข้าวของกันอยู่ ข้าเลิกคิ้วเดินเข้าไปหาพวกเขาอย่างแปลกใจ
“พวกเจ้าเก็บข้าวของ...”
“ใช่แล้ว ท่านรองเฉินบอกให้พวกเราเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับเมืองหลวง เฮ้อ บรรยากาศที่นี้ดูเครียดๆ อย่างไรชอบกล มันจะเกิดอันใดขึ้นงั้นรึถึงขนาดให้พวกเรากลับเมืองหลวงเช่นนี้” เสี่ยวชีไม่รอให้ข้าเอ่ยจบเขาพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับทำหน้าสงสัย ข้าที่รู้อยู่แล้วว่าเกิดอันใดขึ้นแต่ก็มิได้บอกกล่าวพวกเขาแต่อย่างใด เรื่องนี้เป็นความลับทางทหาร หากบอกผู้ใดไปอาจทำให้ข่าวรั่วไหล มิใช่ว่าข้าไม่ไว้ใจพวกเขาแต่เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ต่างหาก
“แล้วเจ้าเล่าเก็บข้าวของหรือยัง?” เสี่ยวชีหันมาถามข้า
“อ้อ เดี๋ยวกลับไปข้าจะเก็บแล้วละ” ข้าตอบหลบเลี่ยงไปไม่ให้มีพิรุธ แต่ทว่าในใจนั้นรู้สึกขมๆ อย่างไรชอบกล เหตุใดฉินอ๋องถึงไม่บอกข้า หรือว่าเขาจะรอบอกตอนเย็นของวันนี้งั้นรึ?
“ข้าแวะมาดูพวกเจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปเก็บสัมภาระก่อนนะ”
พวกเสี่ยวชีพยักหน้ารับแล้วหันกลับไปง่วนกับการเก็บสัมภาระต่อ ข้าเดินออกมาจากกระโจมของพวกเสี่ยวชีแล้วมุ่งหน้าไปยังกระโจมที่พักของตนเอง ข้าเข้าไปในกระโจมแล้วเก็บข้าวของใส่ห่อผ้า ข้าเก็บไปเงียบๆ ของที่ฉินอ๋องมอบให้ข้าก็เก็บมันไว้ในหีบเช่นเดิม ไม่นำติดตัวกลับไปด้วย เก็บเพียงข้าวของของข้าที่นำติดตัวมาในตอนแรกเท่านั้น เมื่อเก็บสัมภาระเสร็จข้าก็ครุ่นคิดกับตนเอง พูดกันตามจริงแล้วข้าอยากจะอยู่ที่นี้ต่อ ไม่อยากกลับไปเมืองหลวงเลยแม้แต่น้อย อยู่ที่นี้ข้ารู้สึกสุขสงบมากกว่า พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ข้านึกถึงตอนที่เจ้าแมวถามเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าหัวเราะออกมาเบาๆ
“หากเราย้ายมาอยู่ที่นี่ได้คงดีมิใช่น้อย ที่นี่สุขสงบ ผู้คนก็ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใดมาก มีธรรมชาติสวยงามแสนเงียบสงบ เจ้าคิดว่าอย่างไร น่าอยู่หรือไม่?”
“ท่านอยากอยู่ก็อยู่เสียสิ ไม่เห็นต้องถามข้า”
“เราต้องถามคนที่จะอยู่ด้วยกันก่อนสิ”
“หมายถึงรองหัวหน้าองครักษ์เฉินงั้นรึ? เห็นอยู่ด้วยกันบ่อยๆ”
“.....”
ตอนนั้นเจ้าแมวเงียบพร้อมกับมองข้าด้วยสายตาเย็นชา ข้ารู้สึกพอใจที่ย้อนอีกฝ่ายจนเป็นใบ้ไปเช่นนั้นได้ แต่ในความพอใจนั้นก็มีบางส่วนที่มาจากถ้อยคำที่ว่า ‘อยู่ด้วยกัน’ แม้จะเป็นคำพูดหยอกล้อแต่มันก็ทำให้ข้ารู้สึกมีความสุขจริงๆ ข้ามัวแต่คิดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับเจ้าแมวจนไม่ได้ยินเสียงของมารดา นางตะโกนเรียกเสียงดังข้างหู ข้ามึนหัวไปสักพักใหญ่ถึงเงยหน้าขึ้นไปมองท่านแม่ที่ปรากฏตัวเป็นภาพมายาอยู่ด้านข้าง ข้าลูบหูตนเองแล้วเอ่ยถามเสียงอ่อย
“มีอะไรหรือขอรับ?”
「ถิงเอ๋อร์ อย่ามัวแต่คิดเรื่องนั้นอยู่เลย คนเรามีหน้าที่แตกต่างกัน เขาก็มีหน้าที่ของเขา เจ้าก็มีหน้าที่ของเจ้า...」
“หน้าที่ของข้า...” ข้าฟังมารดาพูดแล้วค่อยๆ ก้มหน้าครุ่นคิด อย่างที่นางกล่าว ข้าก็มีหน้าที่ของข้า เขาก็มีหน้าที่ของเขา อืม นั่นสิ ข้าเข้าใจแล้วละ ข้าเงยหน้าขึ้นมามองมารดาที่ยกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ข้ายิ้มตาหยีให้แก่นาง
“สมกับเป็นท่านแม่จริงๆ ข้าตัดสินใจเรื่องนี้ได้แล้ว ว่าแต่เหตุใดท่านถึงออกมาจากหินซับจันทราเล่าขอรับ?” ข้าปั้นคำเยินยอแก่มารดาไปเล็กน้อย นางมองข้าด้วยสายตารู้ทันแต่ก็มิได้กล่าวอันใด จากนั้นข้าก็นึกได้จึงเอ่ยถามนางที่ปกติแล้วมักจะอยู่ในหินซับจันทรา ท่านแม่หันมามองข้าแล้วโบกมือไปมา
「ข้าเองก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง อยู่แต่ในหินนั่นอุดอู้ตายชัก นี่ก็ได้เวลาฝึกกันแล้ว」
“โอ้! นั่นสินะขอรับ เรามาเริ่มฝึกกันต่อเลย”
ข้าตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนพลังเยว่ตี้กับท่านแม่ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพลังเยว่ตี้ได้ขยายใหญ่มากขึ้นตามลำดับ ตอนนี้ข้ากางอาณาเขตขนาดที่สามารถครอบคลุมคนถึงสิบคนด้วยกันได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าหากกางใหญ่มากที่สุดจนหมดลมปราณจะใหญ่ได้เท่ากับกระโจมหลังนี้เลย พลังเยว่ตี้สามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ หากอยู่ในอาณาเขตแม้คนผู้นั้นจะมีพลังในขั้นใดก็แล้วแต่ข้าสามารถสั่งมันได้ สมกับชื่อของมันจริงๆ เมื่ออยู่ในอาณาเขตทุกชีวิตต้องฟังคำสั่งของจักรพรรดิ
ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของพลังเยว่ตี้ก็คือคำสั่งนั้นต้องไม่เกินคำกำจัดเอาไว้ ข้าอยู่ในขั้นสี่สามารถออกคำสั่งไม่เกิน ‘สามคำ’ และเมื่อขั้นเพิ่มขึ้นคำสั่งก็จะเพิ่มขึ้นทีละหนึ่งคำ ถ้าอยู่ในขั้นห้าคำสั่งจะต้องไม่เกินสี่คำ แสดงว่าคำสั่งมากที่สุดอยู่ที่เก้าคำ ยาวขนาดนั้นจะทำอันใดก็ได้อย่างแท้จริง แต่ปัญหาก็คือจะต้องไปให้ถึงขั้นสิบจักรพรรดิราชันจ้าวยุทธ์เสียก่อน! และอาณาเขตของข้านั้นมันจะไม่สลายไปเองหากข้าไม่สั่งปลดหรือข้าตายไป ข้าลองสร้างอาณาเขตแล้วปล่อยเอาไว้ ผ่านไปนานสองอาทิตย์มันก็ไม่หายไปจริงๆ แถมข้าเสียพลังแค่ตอนสร้างมันขึ้นมาเท่านั้น อยู่ยาวนานโดยไม่ต้องเติมพลังเพิ่มช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
「จากที่เจ้าเล่าภาพนิมิตให้ฟังแล้วข้าคิดว่าพลังที่สองของเจ้าอาจจะเกี่ยวข้องกับพวกสัตว์ อาจจะแปลงร่างเป็นพวกมัน...อ๊ะ」หลังจากที่ฝึกพลังเยว่ตี้เป็นที่พอใจแล้วท่านแม่ก็ใช้เวลาที่เหลืออีกนิดหน่อยช่วยข้าคิดเกี่ยวกับพลังที่สอง นางทำหน้าครุ่นคิดพลางลอยตัวไปมาในกระโจม ข้ามองตามจนเริ่มเวียนศีรษะ พอได้ยินเสียงอุทานของท่านแม่ข้าก็หันไปมอง ท่านแม่ทำหน้าราวกับคิดอันใดออก นางรีบหันขวับมามองข้าด้วยความตื่นเต้น
「หรือว่า! จากที่ข้าสังเกตรอบๆ ตัวเจ้า บางทีพลังที่สองอาจจะเป็นสิ่งนั้นก็ได้! นี่เป็นพลังของท่านแม่ของข้า มันอาจจะเป็นไปได้! ต้องใช่แน่ๆ!」
“พลังอะไรหรือขอรับ?”
「เจ้าอาจจะไม่ทันสังเกต แต่ว่าตอนที่เจ้า...」ท่านแม่หยุดพูดกะทันหันแล้วหันไปมองหน้ากระโจมที่มีเสียงเรียกของเสี่ยวชีดังขึ้น ข้าสะดุ้งโหยงตกใจและฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถึงเวลาฝึกฝนกับเสี่ยวชีต่อแล้ว ท่านแม่เองก็พยักหน้าเอ่ยบอกว่าไม่รีบไม่ร้อนแล้วลอยหายตัวเข้าไปในหินซับจันทรา ข้าถอนหายใจแล้วลุกขึ้นไปรับเสี่ยวซีกับเสี่ยวหยุนเข้ามาในกระโจม ข้าฝึกฝนกับเสี่ยวชีจนเริ่มจะคุ้นชิน ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่ร่างกายของข้ายืดหยุ่นได้ดีจริงๆ มันมีประโยชน์ในยามเคลื่อนไหวและฝึกวรยุทธ์ ส่วนประโยชน์อย่างอื่นนั้นข้าขอไม่กล่าวถึงก็แล้วกัน
หลังจากฝึกซ้อมกับเสี่ยวชีเสร็จข้าก็เดินไปห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารให้แก่ฉินอ๋อง ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังเคร่งเครียดอยู่กับการประชุมวางแผนรบอยู่ ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะกลับมาทานข้าวเย็นหรือไม่ แต่ข้าก็ทำเผื่อเอาไว้เพราะคิดว่าเขาอาจจะหิว เมื่อถึงเวลาทานข้าวเจ้าแมวก็เดินเข้ามาในกระโจมแล้วนั่งกินข้าวอย่างรวดเร็ว ไม่พูดไม่จา แต่ข้าก็มิได้เอ่ยอันใด ในสถานการณ์เคร่งเครียดเช่นนี้แค่เขาสละเวลามานั่งทานข้าวก็เป็นอะไรที่ดีมากแล้ว เมื่อทานเสร็จฉินอ๋องก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากกระโจมเพื่อไปประชุมต่อ แต่ก่อนที่จะออกไปเขาเอ่ยบอกข้าว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ข้าพยักหน้าในใจรับรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องใด
กว่าฉินอ๋องจะประชุมเสร็จและกลับเข้ามาในกระโจมก็เข้ายามห้าย(๒๑-๒๓น.)แล้ว ข้ายังนั่งรอเขาอย่างสงบ เขาเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า บรรยากาศรอบตัวคล้ายจะเคร่งเครียดมากขึ้น ข้ามองเขาที่มีสีหน้านิ่งสงบติดเย็นชาเช่นปกติก็ลุกขึ้นไปช่วยเขาปลดเสื้อผ้าเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกาย เจ้าแมวถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“วันพรุ่งเราให้หัวหน้าองครักษ์จางไปส่งพวกเจ้ากลับเมืองหลวง”
“อืม” ข้าทำเสียงตอบรับในลำคอ ยืนมองแผ่นหลังของเขาด้วยแววตาครุ่นคิด ฉินอ๋องพูดต่อน้ำเสียงของเขาแม้จะนิ่งแต่เจือจางความกังวลเบาบาง
“เจ้าต้องรอเราอยู่ที่นั้น อีกไม่นานทุกอย่างก็จะจบลง ไม่นานหรอก”
ใช่ ไม่นาน แต่จากวันนี้ไปจนถึงปีใหม่ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสงครามก็ราวๆ หนึ่งเดือน มันอาจจะไม่นานนักสำหรับใครบางคน แต่สำหรับข้าแล้วมันช่างยาวนาน ข้าคิดมาโดยตลอดว่าจะอยู่กับเขาในช่วงเวลาที่ลำบากเช่นนี้ ใช้เวลาอยู่กับเขาให้คุ้มค่าก่อนที่ทุกอย่างก็จะเริ่มดำเนินไปตามเรื่องราวในอดีต ไม่ได้มีเพียงข้าที่จะได้อยู่ข้างเขา จะมีผู้อื่นเข้ามาแทรกจนข้าต้องถอยห่างไกล ข้าสูดลมหายใจมองแผ่นหลังกว้างที่แน่นหนับด้วยกล้ามเนื้อแกร่งแล้วใจหายวูบ หากเป็นเช่นนั้นจริงวันนี้ก็กลายเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะเป็นของข้าผู้เดียว ข้าเพิ่งคิดได้ และมันก็กะทันหันเสียจนทำอะไรไม่ถูก
“เจ้า...”
ข้าโผเข้ากอดเขาเอาไว้แน่น โอบแขนรอบเอวแกร่ง ซบหน้าเข้าแผ่นหลังกว้าง มันช่างชวนใจหายอะไรเช่นนี้ เพราะข้าอ่อนแอถึงได้ต้องแยกห่างตอนที่เขาต้องเผชิญหน้ากับความลำบาก หากถ้าข้าเข้มแข็งมากกว่านี้ก็คงจะช่วยแบกรับบางสิ่งเอาไว้ได้ หรือข้าสามารถอยู่ข้างเขาในเวลาลำบากเช่นนี้ได้ และแม้จะทราบดีว่าเขาจะรอดแต่ในสงครามนั้นมันมีความไม่แน่นอน แต่ละวันที่ทำศึกเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บมากมาย ข้ายังจำรอยแผลตามร่างกายของเขาได้ บาดแผลเหล่านั้นจะต้องได้มาจากสงครามครั้งนี้เป็นแน่
ฉินอ๋องเงียบและยืนนิ่งอยู่เนิ่นนาน เขาสูดหายใจเข้าแล้วจับแขนของข้าดึงออก ข้าทำหน้าเศร้า แม้จะรู้ว่าทำไม่ได้แต่ข้าก็อยากจะอยู่ ฉินอ๋องหมุนตัวมาจ้องข้าด้วยแววตาลำบากใจ ชั่วลมหายใจหนึ่งเขาโน้มตัวลงมาจูบข้า ข้าจูบตอบรับอย่างเต็มใจ เราสองแลกความห่วงใยและความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อล้นข้างในผ่านทางริมฝีปาก ความอ่อนหวานลึกซึ้งเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเร่าร้อนเต็มไปด้วยความปรารถนาแรงกล้า ฉินอ๋องกอดข้ารั้งเข้าไปหาแนบชิดเรือนร่างสูงใหญ่ของเขา ข้าสอดมือรั้งลำคอหนาลงมาจูบดูดดื่มสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดลิ้นสากร้อน ลมหายใจของเราค่อยๆ แรงยิ่งขึ้น ฉินอ๋องถอนริมฝีปากจากแล้วหอบกระเส่า ข้ามองเขาที่หยุดในจังหวะที่กำลังเริ่มไปไกล ข้าหายใจแรงมองเขาที่พยายามกัดฟันกัดกลั้นแล้วปล่อยมือจากคอเข้าไปโอบกอดเอวแกร่ง เบียดตัวเข้าไปแนบชิดกับกายร้อนผ่าวของเขา ฉินอ๋องชะงักหายใจขาดช่วง
“เสวี่ย ท่านต้องการหรือไม่?”
“จิ้งถิง” เจ้าแมวเรียกข้าด้วยเสียงสั่นสะท้านคล้ายกับละเมอตอบอย่างไรอย่างนั้น ข้ากอดเขาแน่นขึ้นอีก ฉินอ๋องสูดลมหายใจแล้วรีบอุ้มข้าไปยังเตียงอย่างรวดเร็ว ข้ารู้สึกตื่นเต้นและขัดเขินไม่น้อย ฉินอ๋องวางข้าลงแล้วค่อยๆ จูบข้า มือไม้ปลดชุดนอนของข้าทีละชิ้นๆ ข้าหายใจแรง แก้มทั้งสองร้อนผ่าว ฝ่ามือหยาบแข็งเป็นไตของเขาลูบไล้ไปตามเรือนร่างเปลือยไร้อาภรณ์ของข้า เขาใช้ริมฝีปากจูบประทับบนผิวกายของข้า ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจของพวกเราสองคนที่คลอเคลียกัน
ร่างสูงใหญ่แทรกกายคร่อมลงบนตัวของข้า เขาแยกเข่าของข้าออกกว้าง ก้มหน้าจุมพิตไปตามแผ่นอกและหน้าท้อง เขาจูบไปทุกๆ ที่ราวกับกำลังตีตราสร้างความเป็นเจ้าของ ข้าหอบแฮกปรือตามองเขา ฉินอ๋องยกตัวขึ้นมาจุมพิตดูดดื่มแล้วค่อยๆ ลูบไล้มือไปเบื้องล่าง ข้าที่กำลังเคลิ้มไปกับรสสัมผัสอันร้อนแรงก็มีภาพบางอย่างวิ่งเข้ามาในหัว ภาพที่ข้าตาย ภาพที่เห็นเขาและคุณชายหมิงคนรักของเขานั่งยิ้มให้แก่กันในสวน ข้าตัวแข็งทื่อ ลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผลักเขาออกจากตัวแล้วกรีดร้องออกมาอย่างสับสน
“ไม่! ไม่! ไม่!”
ข้าลุกขึ้นถอยห่างออกจากเขาแล้วน้ำตาร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสายอย่างกลั้นไว้มิได้ ฉินอ๋องที่ถูกผลักตกใจจ้องมองข้าที่กอดตัวเองแล้วส่ายหน้าไม่หยุด ข้าเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจปนงุนงง ไม่นะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเป็นเช่นนี้ ข้าอยากจะร่วมรักกับเขาจริงๆ แต่ร่างกายมันกลับปฏิเสธ เพราะเหตุใดกัน!? ข้ารู้สึกสับสนจนปวดหัวได้แต่ร้องไห้ออกมาอย่างนั้น ฉินอ๋องที่จ้องมองนิ่งๆ อยู่เนิ่นนานก็ถอนหายใจออกมา สีหน้าของเขานิ่งเรียบเป็นอย่างมาก เจ้าแมวเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างเข้าใจ ไม่มีวี่แววโกรธเคืองแม้แต่น้อย แต่ข้ารู้สึกถึงความเศร้าใจลึกๆ ของเขาได้
“ข้าเข้าใจ... เจ้ายังเด็กเกินไป”
มันไม่ใช่! แต่ข้า...ทำใจไม่ได้จริงๆ!
ฉินอ๋องลุกขึ้นยืน เขาลูบศีรษะข้าอย่างปลอบใจแล้วเดินออกไปยังฉากกั้นเพื่ออาบน้ำ ข้ามองตามเขาอย่างเศร้าสร้อย ข้าอยากทำแต่ข้าทำไม่ได้จริงๆ ภาพพวกนั้นเหมือนเป็นโซ่ตรวนฉุดกระชากข้าไม่ให้ทำ ข้าเสียใจ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเช่นนี้
ข้าขอโทษ เจ้าแมว ข้าขอโทษ
มีใครตะโกนอย่างขัดใจว่า....แม่มมมมมม อีกนิดเดียว! บ้าง ยกมือ 5555
แหมๆ เรื่องนี้อ๋องแมวร้อยตอนนะจ๊ะ! จะง่ายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ บ่มีทางงงงง
ปล. ถิงถิงมิได้อ่อยนะเธอว์ นางอยากทำกับท่านจริงๆ นะ!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพิ่งตายมาหมาดเพราะพิษรักแรงหึงของเหล่านายบำเรอ แถมก่อนตายนางยังมีภาพจำที่เห็นผัวกะคนรักใหม่รักกันหวานชื่น (ต่อให้ความจิงจัเปนอย่างไรก็เถอะ)
ฮืออออออเขินอะ????????????????????
ไรว้า?? นี่เราจองหลังคากระโจมแล้วนะ!!!!
แมว~ใจเย็นๆรอน้องโตก่อนนะ555555 ว๊าย...นก! 555