ตอนที่ 28 : ตอนที่ ๒๘ คนแซ่เฉิน
ตอนที่ ๒๘ คนแซ่เฉิน
ข้าเอนตัวหนีเจ้าแมวที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้แทบจะหงายหลังล้มไปนอนกับพื้น ข้าทนไม่ไหวใช้มือดันหน้าเขาออกไป แต่กลับถูกจับมือไว้หมับอย่างรู้ทัน ข้ามองมือที่ถูกจับแล้วหันกลับไปมองเจ้าแมวที่ทำตาวิบวับๆ อย่างน่าหมั่นไส้ ไม่รู้ว่าเพราะอันใด ข้าอยากจะใช้นิ้วจิ้มนัยน์ตาคู่นั้นนัก ตอนที่อยากได้ก็ทำตาละห้อยออดอ้อน พอได้ตามที่ต้องการก็วิบวับอย่างเจ้าเล่ห์ มันช่างน่าทำลายทิ้งจริงๆ
ข้าทำตาแข็งใส่แต่เขาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ฉินอ๋องที่ตั้งใจจะก้มลงมาจูบข้าที่ทำหน้าบูดบึ้งก็เปลี่ยนเป็นยกตัวจูบประทับลงที่หน้าผากแทน ข้ากะพริบตามองเขาอย่างแปลกใจ ฉินอ๋องยืดตัวขึ้น ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้บีบแก้มของข้าอย่างมันเขี้ยวก่อนจะผละออกไปด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
“เพียงแค่ล้อเล่น ไยต้องทำหน้าบูดเช่นนั้น”
ข้ามองเขาที่แก้ต่างออกมาพลางถอนหายใจยาวราวกับถูกใส่ร้าย ล้อเล่น? ฮึ! เดี๋ยวนี้มีอารมณ์ขันรู้จักล้อเล่นผู้อื่นเป็นด้วยรึ? เมื่อครู่ทำข้ากลัวแทบตายก็แกล้งสินะ จะแกล้งก็แกล้งไปเถิด แต่เหตุใดต้องคุกคามทำให้หวาดกลัวจนหัวใจเกือบจะหยุดเต้นเช่นนั้นด้วยเล่า?
มันช่าง...เฮ้อ! ข้ารู้สึกเหนื่อยอ่อน ต่อให้ย้อนกลับมาเกิดใหม่กี่ชาติก็ตามเล่ห์เหลี่ยมเจ้าแมวหน้าตายผู้นี้มิทันอยู่ดี ข้าถอนหายใจออกมาสั้นๆ ลุกขึ้นจะเดินออกไปจากกระโจม ฉินอ๋องเอ่ยถามตามหลังมาทันที
“เจ้าจะไปไหน?”
“ห้องครัว ข้ามิได้จะออกไปนอกค่ายหรอก”
“พอพูดถึงเรื่องนี้ก็นึกขึ้นมาได้ ต่อไปเจ้าจะไปที่ใดควรบอกเราก่อน และหากจะออกไปข้างนอกพาเสี่ยวหยุนไปด้วย เข้าใจหรือไม่?” ฉินอ๋องพยักหน้าค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ข้าแปลกใจเล็กน้อย เขามิได้ห้ามให้ออกไปเพียงแค่ให้บอกกล่าวก่อนและนำเสี่ยวหยุนไปด้วย อืม การนำเสี่ยวหยุนไปด้วยเป็นเรื่องที่ดี ไม่ทำให้ข้าลำบากใจใดๆ พาเด็กน้อยไปด้วยก็สนุกสนานไปอีกแบบ และเผลอๆ อาจจะปลอดภัยด้วย อย่าเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กน้อย ฝีมือของเขานั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง
เอ๊ะ หรือที่เขาให้ข้านำเสี่ยวหยุนไปด้วยก็เพราะต้องการให้เสี่ยวหยุนคุ้มครองข้า เขาเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ? ข้าหยุดเดินแล้วหันไปมองฉินอ๋องที่กำลังวุ่นวายจัดเสื้อผ้าของเขา ฉินอ๋องเงยหน้าขึ้นมามองข้าแล้วพยักพเยิดหน้ามาให้ ข้าเลิกคิ้วรับอย่างไม่เข้าใจ
“เราว่าก่อนที่จะออกไปเจ้าควรแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน” ฉินอ๋องเตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบติดเย็นชาเหมือนปกติ พูดจบเขาก็หลุบตามองต่ำลง
ข้ากะพริบตามองตามแล้วเห็นสภาพเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยไม่เป็นชิ้นดีของตนเองก็เบิกตาแทบถลนจากเบ้า รีบจัดเสื้อผ้าเข้าที่ให้ดูเรียบร้อย เจ้าแมวทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่เห็นอย่างหมั่นไส้ข้าก็ถลึงตาใส่เขาไปทีหนึ่ง ฉินอ๋องทำหน้ามึนตอบกลับมาตามเคย จากนั้นก็เดินไปนั่งจิบน้ำชาพร้อมกับทำหน้าง่วงไม่รับรู้สายตาไม่พอใจจากข้า ช่างหน้ามึนยิ่งนัก!
พอแต่งตัวเสร็จข้าก็วิ่งแจ้นไปหาเสี่ยวชี ไปเอาข้าวของที่ฝากไว้มาเริ่มทำขนม ข้ามาถึงห้องครัวก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคนข้างในกำลังนินทาข้าอย่างเมามัน มิใช่เรื่องอันใด แต่เป็นเรื่องของข้ากับฉินอ๋องนั่นไงละ ข้ากอดอกเอียงหูฟังพวกเขายังไม่เข้าไปเปิดเผยตัว ที่แน่ๆ คนที่พูดเสียงดังมากที่สุดก็คือเจ้าเจ็ดน้อยตัวดีนี่แหละ!
“พวกเจ้าก็เห็นกับตาใช่หรือไม่? เมื่อตอนบ่ายท่านอ๋องมารับจิ้งถิงสหายของข้าถึงที่เชียวนะ ซ้ำยังไม่ให้พวกเราไปตาม ท่านอ๋องถึงกับยอมยืนรอเขา เพราะอยากจะให้จิ้งถิงเดินเที่ยวอย่างสบายใจ ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้นนะที่ทำให้ข้ามั่นใจว่าฉินอ๋องตกหลุมรักจิ้งถิงของข้าอย่างหน้ามืดแทบหาทางขึ้นมาจากหลุมมิได้ ยังมีอีกหลายเรื่องด้วยกัน โธ่เอ๊ย ข้าไม่อยากจะพูดเลย ท่านอ๋องน่ะตามีแววยิ่งนัก จิ้งถิงของข้านั้นมีดีมากมายในตัว เป็นหยกชิ้นงามอย่างยิ่ง...” เสี่ยวชีเชิดหน้าพลางคุยโวเล่าด้วยน้ำเสียงและสีหน้าภูมิใจอย่างยิ่งยวด
ข้ายิ้มอ่อนใจแล้วเดินเข้าไปในห้องครัวมองเจ็ดน้อยที่เริ่มเล่าเรื่องของข้าด้วยสายตาเย็นชา คนอื่นๆ ในห้องครัวเห็นข้าแล้วก็รีบหลบหน้าหลบตาอย่างอึดอัดใจ มีเพียงคนเล่าที่ยังไม่รับรู้บรรยากาศรอบตัว เสี่ยวชียังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้าโอ้อวดจนกระทั่งหันมาเห็นข้า คนกำลังเล่าอย่างคะนองปากพลันชะงักแล้วกลืนน้ำลายลงคอ เจ็ดน้อยทำหน้าเจือๆ ลงก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ออกมา เจ้าเด็กแก่แดดเอาสีข้างเข้าไถเอ่ยเปลี่ยนเรื่องไปเรื่องอื่นได้อย่างไร้ยางอายสุดๆ
“แหม เจ้ามาแล้วรึ? พวกเรากำลังคุยกันเรื่องศึกทางเหนืออย่างเคร่งเครียดเชียวละ เจ้าอยากจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่?” เจ็ดน้อยยิ้มเอ่ยถามความคิดเห็นของข้าที่จ้องเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
ช่างกล้าเหลือเกินเจ้าเด็กแก่แดด! ศึกอันใดกันถึงได้มีชื่อของข้าอยู่ทุกประโยคเช่นนั้น พอเห็นข้าไม่เล่นด้วยเสี่ยวชีก็หดตัวทำหน้าจ๋อย กะพริบตาปริบๆ ส่งสายตามาขอร้องให้ข้ายกโทษให้ ข้าถอนหายใจยอมอภัยให้แล้วเอ่ยตามน้ำกลับไป
“ศึกทางเหนือทำไมงั้นรึ?”
“แหะๆ นั่งก่อนๆ” เสี่ยวชียิ้มตาหยีเมื่อข้าไม่เอาเรื่องใดๆ กับเขา รีบปรี่เข้ามาพยุงข้าให้นั่งอย่างเอาอกเอาใจ
คนอื่นๆ ก็พลอยกระตือรือร้นเอาใจตามไปด้วย พวกเขาต่างพากันชูขนมที่ตนเองซื้อกลับมาจากเมืองลั่วมอบให้ข้าอย่างมีน้ำใจปนขออภัยกลายๆ ข้ายิ้มรับน้ำใจนั้นแต่ก็ปฏิเสธออกไป เพราะทราบดีว่าพวกเขาใช้เงินเดือนอันนิดหน่อยของตนเองซื้อขนมเป็นรางวัลที่ทำงานหนักทุกวัน นานๆ ทีพวกเขาจะได้กินของอร่อย ข้าไม่อยากช่วงชิงหรอก
“ก็ไม่มีอันใดมากหรอก พวกเราได้ยินพวกหัวหน้าพูดคุยกัน เรื่องที่ท่านแม่ทัพยื่นคำร้องให้ทางราชสำนักส่งทูตไปเจรจาสงบศึกกับแคว้นเหลียวแต่ก็ถูกคัดค้านปัดตกไปอีกจนได้ ปีนี้ท่านแม่ทัพยื่นคำร้องไปมากกว่าสิบครั้งแล้ว แต่ก็ถูกพวกขุนนางที่นอนสบายอยู่ในเมืองหลวงคัดค้านไม่เห็นด้วย พวกมันให้เหตุผลว่าหากส่งคนไปเจรจาสงบศึกจะเป็นการสูญเสียศักดิ์ศรีและความน่าเกรงขามของแคว้นฉิงของเรา”
ผู้ช่วยผู้หนึ่งในครัวซึ่งเป็นทหารเอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวไม่พอใจ พอพูดจบก็ถอนหายใจอย่างผิดหวังกับเหล่าขุนนางในเมืองหลวง ทหารอีกคนก็พยักหน้าเห็นคล้อยตามกัน แสดงสีหน้าเกลียดชังและเบื่อหน่ายเหล่าขุนนางในราชสำนัก
“พูดแล้วตาแก่พวกนั้นก็น่าชังยิ่งนัก ศักดิ์ศรีอันใด? ความน่าเกรงขามอันใด? ช่างเป็นการพูดที่ไร้สาระยิ่ง ของเหล่านั้นจะไปมีความสำคัญเทียบเท่ากับชีวิตคนได้อย่างไร ในการทำศึกแต่ละครั้งจะต้องสังเวยชีวิตคนไปมากมายเท่าไร ไม่ห่วงทหารที่สิ้นชีพกลางสนามรบ ก็น่าจะเป็นห่วงชาวบ้านตาดำๆ บ้าง”
“นั่นสิ ตาแก่พวกนั้นห่วงแต่หน้าตาของแคว้น มิได้ห่วงใยความเป็นอยู่ของผู้คนเลย สู้ท่านแม่ทัพของพวกเราก็มิได้ มีเมตตากับทุกผู้ทุกคน มิใช่เพียงห่วงใยผู้คนในแคว้นตนเองเท่านั้น ถึงขนาดคิดไปถึงผู้คนในแคว้นศัตรูด้วย เฮ้อ คนเช่นนี้ไยมิได้ครองตำแหน่งรัชทายาทกันนะ เหตุใดถึงเป็น...”
“อะแฮ่ม” ก่อนคำพูดนั้นจะเลยเถิดไปไกลหัวหน้าเถาที่นั่งนิ่งเงียบก็กระแอมไอขัดขวางออกมา ทหารผู้นั้นก็หยุดพูดแล้วส่ายหน้าไปมาเอ่ยต่ออย่างปลงตก
“เอ่อ ช่างเถิด หากท่านแม่ทัพเป็นรัชทายาทคงมิได้มารักษาชายแดนใช้ความสามารถเช่นนี้”
ข้าเลิกคิ้วหน่อยๆ ระหว่างฟังพวกเขาพูดคุยกัน ฉินอ๋องพยายามจะใช้สันติวิธีแก้ไขความขัดแย้งระหว่างแคว้นฉิงกับแคว้นเหลียวงั้นรึ? ชาติที่แล้วข้ามิได้เข้าใจหรือสนใจฟังเรื่องราวนี้จึงไม่รู้เรื่องมากนัก พอได้ยินก็รู้สึกคาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะพยายามสงบสงครามด้วยการทูต
นี่มันน่าแปลกใจมากจริงๆ ฉินอ๋องผู้คลั่งไคล้การต่อสู้และสงครามจนถูกเรียกว่าเทพสงครามผู้นั้นอยากจบความขัดแย้งด้วยการเจรจาทางทูต แต่กระนั้นข้าก็รู้สึกภูมิใจในตัวของเขามิใช่น้อย เป็นเทพสงครามที่อยู่ในขอบเขตไม่บ้าเลือดตาแดงก่ำกระหายสงครามอยู่ตลอดเวลา สมแล้วที่เป็นบุรุษที่ข้าปักใจ
“อ๊ะ วันนี้ข้าได้ยินมาว่าเหลียงอ๋องส่งเสบียงมาเพิ่มให้แก่ทัพของพวกเราด้วยนะ” พอจบเรื่องขุ่นเคืองใจไป พวกเขาก็เอ่ยไปเรื่องใหม่ที่ทำให้มีสีหน้ายินดีและสุขใจ แต่ก็มิวายกลับมาหัวข้อเดิมอีกที
“เฮ้อ ไม่ว่าจะเป็นเหลียงอ๋องหรือฉินอ๋องก็ดีด้วยกันทั้งนั้น แต่กลับมิได้นั่งในตำแหน่งนั้น หากฉินอ๋องมิได้ข้าก็หวังให้เหลียงอ๋องเป็นผู้ได้ไป”
“เหลียงอ๋องสุขภาพอ่อนแอ แค่เดินทางจากจวนของเขาไปยังวังหลวงก็หน้าซีดเซียวเป็นไก่ต้มแล้ว คงมิเหมาะกับตำแหน่งนั้นหรอก”
“เจ้าโง่! เหลียงอ๋องก็ขึ้นนั่งไปสิ แล้วให้ฉินอ๋องคอยเป็นกำลังหนุนอยู่เบื้องหลัง ใครจะกล้าเอ่ยอันใด”
“พอเถิด ยิ่งพูดก็ยิ่งเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง ดีแค่ไหนที่ที่นี่เป็นชายแดน หากเป็นเมืองหลวงพวกเจ้าคงถูกลากไปตัดคอ โทษฐานดูหมิ่นองค์รัชทายาทและก่อกบฏล้มองค์รัชทายาท หากมีเวลานักก็ไปเตรียมทำมื้อเย็นนู้นเถิด มีประโยชน์ยิ่งกว่าจับกลุ่มพูดไร้สาระเช่นนี้”
หัวหน้าเถาเห็นว่าการสนทนานี้ชักจะนำพาความเดือดร้อนมาให้ก็ลุกขึ้นตวาดใส่ลูกน้องพร้อมกับไล่ให้ไปทำงาน พวกที่โดนไล่ถอนหายใจแล้วพากันทยอยกันไปทำงานอย่างอืดอาด
ข้าครุ่นคิดไปถึงเหลียงอ๋องที่นานๆ ทีจะมาเยี่ยมเยือนฉินอ๋องที่จวน แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นตัวจริงของเขาหรอกนะ เพียงได้ยินจากปากผู้คนในบางครั้งบางคราวเท่านั้น ได้ยินมาว่านอกจากฉินอ๋องกับส่านอ๋องที่สนิทกันมากแล้ว ยังมีเหลียงอ๋องผู้นี้อีกคนที่สนิทสนมกับทั้งสอง แต่เพราะร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เกิดจึงทำให้ไม่ค่อยได้ออกมาจากจวน ส่วนใหญ่จะป่วยกระเสาะกระแสะบนเตียง ฉินอ๋องและส่านอ๋องเองก็ไปเยี่ยมพี่ชายผู้นี้อยู่บ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไม่ค่อยมีคนได้พบเห็นเหลียงอ๋องมากนัก
“ว่าแต่เหลียงอ๋องส่งเสบียงมาให้เช่นนี้บ่อยงั้นรึ?” เสี่ยวชีถามออกไปอย่างสนใจอยากรู้ ข้าแทบถอนหายใจอย่างชื่นชม หากมิทราบมาก่อนว่าเสี่ยวชีมีพลังลอยตัวได้ ข้าก็จะคิดว่าเจ็ดน้อยมีพลังอ่านใจผู้คนว่าอยากรู้เรื่องอันใดบ้าง เขาถามคำถามได้ตรงใจข้ายิ่งนัก
“ใช่แล้วละ ปีละสามสี่ครั้งได้ เห็นบอกว่าเหลียงอ๋องแบ่งเบี้ยเลี้ยงส่วนตัวมาซื้อเสบียงเหล่านี้ด้วยนะ ช่างเป็นพี่ชายที่แสนดียิ่งนัก อ้อ ไม่เพียงแต่เหลียงอ๋องผู้เดียว ส่านอ๋องก็จะส่งเงินส่งเสบียงมาให้ด้วยเช่นกันแต่ไม่มากเท่าเหลียงอ๋อง บางครั้งหวงกุ้ยเฟยพระมารดาของฉินอ๋องก็ส่งมาด้วยเช่นกัน”
“เพราะเหตุนี้ค่ายเป่าอี้ของพวกเราถึงได้อุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก บวกกับทางการมิกล้าโกงกินเสบียงค่ายของเรา จึงทำให้มีเสบียงเพียงพอต่อทหาร เหอะ ผู้ใดจะกล้าใช่หรือไม่? ค่ายแห่งนี้มีฉินอ๋องเป็นผู้ปกครอง แม้แต่ข้าวเม็ดเดียวพวกมันก็ยังมิกล้าหยิบฉวย” ทหารผู้น้อยนายนั้นทำหน้าภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่โชคดีมาสังกัดให้กองทัพของฉินอ๋อง ไม่เพียงสีหน้าเท่านั้น แม้กระทั่งน้ำเสียงของเขาก็บ่งบอกว่าภาคภูมิใจและยินดีเป็นอย่างมากจริงๆ ข้ามองพวกเขาที่เอ่ยถึงเจ้านายเช่นนี้ก็อมยิ้มเล็กๆ ข้ารู้ดีๆ ฉินอ๋องเป็นเจ้านายที่ดีจริงๆ!
“บางครั้งพอมีเสบียงมากเกินไปท่านแม่ทัพก็จะบอกให้นำไปแจกแจงให้ชาวบ้านที่อดอยากอีกด้วย ช่างเป็นคนดียิ่งนัก การที่มีเจ้านายที่ดีเช่นนี้เป็นเรื่องโชคดียิ่งกว่าได้รับเงินทองเสียอีก”
และแล้วจากการพูดถึงศึกทางเหนือก็แปรเปลี่ยนไปยกย่องสรรเสริญฉินอ๋องอย่างออกหน้าออกตา ข้าส่ายหน้ากับเหล่าทหารผู้น้อยที่แทบจะบูชาฉินอ๋องแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ข้าหันมามองเสี่ยวชีที่ทำหน้าเบื่อเต็มแก่จึงชวนเขาไปทำขนมด้วยกัน เจ็ดน้อยตาเป็นประกายรีบพยักหน้าแล้วปลีกตัวจากกลุ่มสายข่าววงในที่ยังซุบซิบกันไม่เลิก
ข้ากับเสี่ยวชีช่วยกันทำขนมด้วยกันไม่นานนักประมาณครึ่งชั่วยามพวกเราก็ทำขนมเสร็จ พวกข้านำไปแบ่งปันให้ผู้อื่นได้กินด้วย พวกคนในครัวตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ที่ได้กินขนม พวกทหารที่บังเอิญผ่านมาก็ได้อานิสงส์ไปกันถ้วนหน้า ข้าฝากถุงขนมของเสี่ยวหยุนไปกับเสี่ยวชี ป่านนี้ก้อนเมฆน้อยคงจะกำลังฝึกซ้อมวรยุทธ์อยู่กับอาจารย์ของเขากระมัง
ข้าหอบถุงขนมไปแจกจ่ายให้แก่พวกองครักษ์ที่ทำหน้าที่ของพวกเขา รองหัวหน้าองครักษ์เฉินยิ้มแย้มอย่างน่าหมั่นไส้ แต่ข้าก็มอบถุงขนมให้แก่เขาเพราะเกรงว่าจะถูกโวยวายเอาได้ และเมื่อจิ้นเกอเดินเข้ามาข้าก็ยื่นถุงขนมให้แก่เขาพร้อมกับถุงผ้าลายม้าป่าที่ทำให้เขานานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสให้เสียที จิ้นเกอเอ่ยขอบคุณแล้วเลิกคิ้วเมื่อเห็นถุงผ้าที่ข้ามอบให้
“เป็นของตอบแทนตลับเงินใส่เข็มที่ท่านมอบให้ข้า”
“อ้อ ลำบากเจ้าแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก”
“อืม ไม่ลำบากหรอก ถุงเล็กแค่นี้เอง สบายมาก” ข้าส่ายหน้าพลางยิ้มให้แก่จิ้นเกอผู้ที่ข้านับถือเป็นพี่ชายผู้หนึ่ง จิ้นเกอยิ้มรับใบหน้าของแดงระเรื่ออย่างมีความสุข จากนั้นก็ขอตัวไปทำหน้าที่ต่อจึงเดินผละจากไป คล้อยหลังจิ้นเกอไปรองหัวหน้าองครักษ์เฉินก็เขยิบเข้ามาใกล้พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“เย็นนี้จะต้องมีคนอิจฉาหลิวจิ้นเป็นแน่ เจ้าเตรียมทำถุงผ้าอีกชิ้นไว้แต่เนิ่นๆ เสียเถิด มิเช่นนั้นใครบางคนอาจจะงอนเอาได้ หึๆ”
ข้าใช้หางตาไปมองเขาอย่างไม่ใส่ใจจากนั้นก็เดินไปแทบจะทันที รองหัวหน้าองครักษ์เฉินถอนหายใจตามหลังทำสีหน้าเจ็บปวดใจราวกับถูกข้าทำร้ายจิตใจ ข้าทำท่าเดินออกไปไกลไม่สนใจแต่อันที่จริงนั้นข้าซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ ที่แห่งนั้น แอบมองเจ้าคนแซ่เฉินอย่างขุ่นเคือง
คนแซ่เฉินยืนควักขนมกินกรุบกรับด้วยสีหน้าระรื่น ข้าแสยะยิ้มขยับนิ้วสร้างอาณาเขตแล้วโบกมือไปยังพื้นที่คนแซ่เฉินยืนอยู่ จากนั้นข้าก็ออกคำสั่งกักให้อาณาเขตหยุดอยู่ตรงพื้นใต้เท้าของคนแซ่เฉิน พอคนแซ่เฉินก้าวเท้าจะเดินออกไป ข้าที่รอจังหวะนี้อยู่แล้วก็ออกคำสั่งถัดไป
【ลื่น!】
คนแซ่เฉินเบิกตากว้างอย่างตกใจ เท้าของเขาลื่นพรืดจนล้มหงายหลังดังโครม คนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นหันไปมองรองหัวหน้าองครักษ์ของพวกเขาแล้วเบิกตาอย่างตกตะลึงในท่าล้มที่พิสดารยิ่ง พอเห็นอีกฝ่ายล้มลุกคลุกคลานบนพื้นที่ลื่นตะกายยืนอย่างยากลำบากข้าก็หัวเราะขำออกมาอย่างสะใจ สมน้ำหน้าคนแซ่เฉิน!
ข้าปลดอาณาเขตแล้วเดินต่อไปอย่างอารมณ์ดี พอหันกลับไปมองคนแซ่เฉินที่มองพื้นด้วยสีหน้างุนงงไม่เข้าใจก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง ช่างเป็นสีหน้าที่ตลกอย่างหาได้ยากยิ่ง!
ข้ามองไปทางกระโจมของแม่ทัพยามนี้ฉินอ๋องน่าจะอยู่ที่ลานฝึกทหารกระมัง ช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงที่ข้าต้องฝึกพลังวิเศษกับท่านแม่ ประเดี๋ยวข้าจะแวะไปดูการฝึกซ้อมของเหล่าทหารก่อนแล้วค่อยไปฝึก ข้ามิได้อยากไปเจอใครแต่เพียงเป็นห่วงสถานการณ์การศึกที่จะเกิดขึ้นต่างหากเล่า!
ข้าเดินมายังลานฝึกทหารแอบดอมๆ มองๆ อยู่ห่างๆ เกรงว่าหากเข้าไปใกล้มากกว่านี้จะเป็นการรบกวนการฝึกซ้อมของพวกเขา ข้ามองไปยังลานฝึกที่กว้างใหญ่มีเหล่าทหารที่ยืนตามสังกัดกองอย่างเป็นระเบียบ ใกล้ๆ กันนั้นเป็นสนามฝึกซ้อมที่มีทหารจำนวนหนึ่งกำลังฝึกใช้พลังวิเศษของพวกเขาอยู่
ส่วนหนึ่งฝึกรบ อีกส่วนหนึ่งฝึกพลังสับเปลี่ยนกันไปมา เห็นพวกเขาขยันขันแข็งฝึกซ้อมกันเพียงนี้ข้าก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง ข้าหันไปมองรอบๆ ก็ไปสะดุดตาเข้ากับรองแม่ทัพสวินทั้งสองที่ยืนประชันหน้าอยู่บนสนามประลองเดียวกัน รองแม่ทัพสวินลี่ยืนอยู่คนเดียว ในขณะที่ผู้เป็นพี่ชายรองแม่ทัพสวินหยางมีเหล่าทหารหลายนายยืนอยู่ด้านหน้าเขา
เมื่อคำประกาศเริ่มประลองดังขึ้นรองแม่ทัพสวินลี่ก็พุ่งทะยานเข้าใส่พี่ชายที่ยังยืนนิ่งสงบ
ฉับพลันรองแม่ทัพสวินหยางผู้มีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้างแล้วก็ลืมตาพรึบ ทะยานถอยหลังออกไปจากจุดที่ยืนปล่อยให้ทหารเข้ามากันรองแม่ทัพสวินลี่ไว้ รองแม่ทัพสวินลี่สะบัดมือสร้างศิลากระแทกทหารผู้น่าสงสารเหล่านั้นกระเด็นออกไป จากนั้นก็สร้างศิลาปลายแหลมคล้ายหอกออกมาตวัดฟาดฟันกับทหารที่ออกมาปกป้องรองแม่ทัพสวินหยาง ได้ยินมาบ้างเช่นกันว่ารองแม่ทัพสวินลี่มีพลังวิเศษเป็นธาตุธรรมชาตินั้นก็คือพลังศิลา ข้าหันไปมองรองแม่ทัพสวินหยางที่เริ่มขยับร่างกายบ้างแล้ว
รองแม่ทัพสวินหยางขยับมือโบกสะบัดไปมา บนฝ่ามือของเขามีแสงสีต่างๆ วูบวาบขึ้น แสงเหล่านั้นพุ่งไปใส่ตัวของทหารฝั่งเขา อยู่ๆ ทหารที่กำลังเพลี่ยงพล้ำให้แก่รองแม่ทัพสวินลี่ก็มีพละกำลังเพิ่มขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัว ข้าร้องอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
หากจำมิผิดพลังวิเศษของรองแม่ทัพสวินหยางก็คือพลังสนับสนุนนั่นเอง! เขาสามารถเพิ่มพละกำลังความเร็วให้แก่ผู้อื่นและตนเองได้ รองแม่ทัพสวินลี่ที่ถูกเหล่าทหารกดดันก็กระโดดถอยร่นไปด้านหลังพลางยกยิ้มอย่างถูกอกถูกใจ นางไม่มีท่าทางหวาดหวั่นแม้แต่น้อย
ข้าชมการประลองพลังวิเศษของรองแม่ทัพพลางอ้าปากอย่างอัศจรรย์ใจ แต่ละคนใช้พลังวิเศษของตนเองได้สุดยอดจริงๆ ข้ารู้สึกนับถือยิ่งนัก ระหว่างที่การประลองของสองรองแม่ทัพดำเนินต่อไป คนที่มามุงก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าทหารฝีมือดีต่างชมและวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
“สมกับเป็นรองแม่ทัพสวินหยาง มิใช่แค่พลังสนับสนุนเท่านั้น เขายังเชี่ยวชาญการวางกลยุทธ์ต่อสู้อีกด้วย งานนี้รองแม่ทัพสวินลี่หากจะเอาชนะก็หืดขึ้นคอแล้ว”
“การโจมตีของรองแม่ทัพสวินลี่ก็ดูเบามิได้จริงๆ รุนแรงหนักหน่วงสมกับเป็นผู้นำทัพหน้าของพวกเรา”
ในการโจมตีครั้งสุดท้ายรองแม่ทัพสวินลี่ทุ่มพลังสุดแรงเพื่อเข้าไปถึงตัวของพี่ชาย นางกำจัดเหล่าทหารออกไปจากสนามประลองแล้วพุ่งเข้าไปหารองแม่ทัพสวินหยางที่ไร้คนคุ้มกัน เพราะทุ่มพลังในครั้งสุดท้ายจึงทำให้รองแม่ทัพสวินลี่หอบหายใจแรงแทบหมดเรี่ยวแรง นางพุ่งตัวด้วยแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อเข้าไปแตะตัวพี่ชาย ตามกติกาที่ว่าหากแตะตัวได้จะถือว่าเป็นฝ่ายชนะ
รองแม่ทัพสวินหยางยังคงยืนสงบนิ่งอยู่กับที่มินำพากลิ่นอายคุกคามจากน้องสาวเลยแม้แต่น้อย พอจะถึงตัวรองแม่ทัพสวินลี่ก็ฉีกยิ้มกว้างกับชัยชนะของนาง แต่ทว่าอึดใจที่จะแตะร่างของพี่ชายนั้นอีกฝ่ายกลับโยกตัวหลบอย่างรวดเร็วหมุนตัวอ้อมไปด้านหลังรองแม่ทัพสวินลี่ เขาบรรจงยกเท้าถีบน้องสาวตกลงจากสนามประลองด้วยสีหน้าแววตามิเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด ช่างดูโหดร้ายยิ่งนัก สุดท้ายแล้วในการประลองครั้งนี้ผู้ที่ได้รับชัยชนะไปครอบครองก็คือรองแม่ทัพสวินหยางนั่นเอง!
รองแม่ทัพสวินลี่ที่ตกสนามประลองใช้กำปั้นทุบพื้นดินอย่างเจ็บใจ ผู้ชนะเดินลงมาจากสนามประลองอย่างสง่าผ่าเผยดุจเซียนร่อนลงมาจากสรวงสวรรค์ ข้าอ้าปากค้าง มิคิดเลยว่ารองแม่ทัพสวินหยางที่เก่งกาจเพียงนี้ นอกจากจะมีพลังสนับสนุนแล้วเขายังมีวรยุทธ์ที่ร้ายกาจอีกด้วย เห็นได้ชัดจากการหลบด้วยความเร็วเมื่อครู่ แถมยังสามารถอ้อมไปด้านหลังจัดการถีบคู่ต่อสู้ลงสนามอย่างง่ายดาย
ข้าปรบมือชื่นชมรองแม่ทัพสวินหยางแม้พลังวิเศษของเขาจะมิใช่พลังที่โจมตีรุนแรงเช่นน้องสาวแต่ก็เป็นพลังที่มีความน่าสนใจจริงๆ ข้าเหลือบมองรองแม่ทัพสวินลี่ที่ยังนอนเจ็บใจบนพื้นอย่างเห็นใจ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นแปลกใจเมื่อเห็นคนแซ่เฉินเดินเอ้อระเหยเข้าไปหยุดยืนตรงหน้ารองแม่ทัพสวินลี่
“หู้ยยย! แพ้พี่ชายอีกแล้วรึท่านรองแม่ทัพ? ท่านนี่มิเข็ดเลยจริงๆ ข้าเตือนแล้วว่าอย่าทุ่มพลังสุดตัว ให้เผื่อเอาไว้กันเหนียวบ้าง แล้วเป็นอย่างไรเล่ามิเชื่อคำของข้าถึงได้แพ้ยับเยินเช่นนี้ เฮ้อๆ มาๆ ข้าจะพยุงท่านลุกขึ้น” คนแซ่เฉินเอ่ยพลางถอนหายใจก่อนจะยื่นมือไปหารองแม่ทัพสวินลี่อย่างหวังดีมีเจตนาแอบแฝง รองแม่ทัพสวินลี่เงยหน้าขึ้นมามองเขาก่อนจะตะโกนเรียกพี่ชายดังลั่น
“ท่านพี่! มีคนจะลามลวนข้าาาาาาา!”
“ฮะ...เฮ้ยๆ ไหงเป็นอย่างนั้นเล่า?” รองหัวหน้าองครักษ์เฉินหน้าซีดหันกลับหลังไปมองรองแม่ทัพสวินหยางที่หันตัวกลับมาอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของน้องสาวฝาแฝด คนแซ่เฉินรีบวิ่งปรู๊ดหนีไปอย่างว่องไวยิ่งกว่าลิงวอก รองแม่ทัพสวินหยางเดินมาที่น้องสาวยื่นมือไปดึงอีกฝ่ายลุกขึ้น จากนั้นก็มองตามคนแซ่เฉินที่เผ่นแนบไปไกลอย่างงุนงง
“ข้าตั้งใจจะให้เขารักษาบาดแผลให้แก่เจ้ากับทหารเสียหน่อย เหตุใดถึงได้วิ่งไปเร็วเช่นนั้นกันเล่า?”
“สงสัยรีบไปรายงานข่าวด่วนให้เจ้านายกระมัง?” รองแม่ทัพสวินลี่เอ่ยตอบหน้าตายทั้งที่เมื่อครู่ยังกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ชายอยู่เลย ข้ามิได้รู้สึกอันใดกับการเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วของนาง เพียงแค่รู้สึกสะใจคนแซ่เฉินเป็นอย่างมากเท่านั้น
ข้าหันไปมองรองหัวหน้าองครักษ์เฉินที่วิ่งไปหาเจ้านายของตนเอง คิ้วของข้าค่อยๆ ยกขึ้นอย่างช้าๆ มองคนแซ่เฉินกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างข้างหูเจ้านายที่ยืนรับฟังหน้านิ่ง พอเห็นภาพนั้นข้าก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่าคนแซ่เฉินกำลังรายงานเรื่องอันใดอยู่ ไยตัวของข้าถึงรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เช่นนี้เล่า? ข้าสังหรณ์ใจชอบกล ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ หลังจากฟังจบฉินอ๋องก็นิ่งไปก่อนจะหันมามองตรงที่ข้าซ่อนตัวอยู่
บ้าจริง! เห็นงั้นหรือ? ไกลขนาดนี้จะเห็นได้อย่างไร? คนแซ่เฉินรายงานเสร็จก็อมยิ้มระรื่นไปทั้งหน้าทั้งตา ข้าเห็นแล้วขัดเคืองนัยน์ตาเป็นอย่างมาก
คนแซ่เฉินลื่นอย่างเดียวไม่พอใช่หรือไม่!?
ผู้อ่านทั้งหมดจินตนาการไปถึงไหนแล้วคะ? แหม่ ไปไกลยิ่งกว่าท่านแล้ว
ต่อไปน่าจะมีแท็กอ๋องแมวร้อยตอน(ก็ยังไม่ได้แดก) วะฮ่าฮ่าฮ่า//หัวเราะอย่างชั่วร้าย
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ ถ้าหากชอบก็เม้นท์และแชร์ให้ด้วยน่า
ปล.ขอบคุณคนที่ทักคำผิดให้นะคะ เตือนด้วยนะ บางทีอาจจะมองไม่เห็น
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

25,551 ความคิดเห็น
-
#25359 Maylyunho (จากตอนที่ 28)วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 / 09:36คนแซ่เฉินนี่หลายรอบแล้วนะ 555#25,3590
-
#24746 molyarat (จากตอนที่ 28)วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 / 19:27น้อนแกล้งคนเป็นด้วยย#24,7460
-
#24711 sedsawa (จากตอนที่ 28)วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 / 15:42สนามอารมณ์แซ่เฉิน55555555555555#24,7110
-
#24389 Fueled me (จากตอนที่ 28)วันที่ 13 พฤษภาคม 2563 / 00:02คนแซ่เฉินมันห้าว5555555555#24,3890
-
#24341 XXXFUXXX (จากตอนที่ 28)วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 / 20:33คู่ปรับกันเลยสองคนนี้55555#24,3410
-
#23966 munkrishear (จากตอนที่ 28)วันที่ 2 พฤษภาคม 2563 / 00:03กล้าดีกับน้องหรอออ#23,9660
-
#22741 ❀ than. (จากตอนที่ 28)วันที่ 28 กรกฎาคม 2562 / 19:46พลังของถิงถิงร้ายอยู่นา ท่านรองหัวหน้าองครักษ์เฉินอย่าได้ริทำให้ถิงถิงไม่พอใจอีกเพราะเดี๋ยวจะไม่ได้มีแค่ลื่นล้มนา#22,7410
-
#22617 DKdabble (จากตอนที่ 28)วันที่ 16 มิถุนายน 2562 / 10:28คนแซ่เฉิน555555#22,6170
-
#22406 trp1021 (จากตอนที่ 28)วันที่ 19 เมษายน 2562 / 13:19วั่งเซียน!!!!#22,4060
-
#22156 Xialyu (จากตอนที่ 28)วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 / 18:35หาเรื่องใส่ตัวตลอด555#22,1560
-
#22117 kanyapakparktong (จากตอนที่ 28)วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 / 08:22นะ นั่นมันน!!!! รูปพี่วังเซี่ยนนี่หน่า!!!!!!#22,1170
-
#21931 lills (จากตอนที่ 28)วันที่ 24 มกราคม 2562 / 16:46ท่านเฉินหาเรื่องใส่ตัวน้า5555555#21,9310
-
#21531 badlism. (จากตอนที่ 28)วันที่ 15 มกราคม 2562 / 19:59ท่านเฉินนี่ก็นะ วอนเจ็บตัวเหลือเกิ๊นนน#21,5310
-
#21465 ppvs_ (จากตอนที่ 28)วันที่ 14 มกราคม 2562 / 13:06เฉินต้องโดนหนักๆ!#21,4650
-
#21436 -เกม- (จากตอนที่ 28)วันที่ 14 มกราคม 2562 / 00:28จัดหนักๆเลย แค่ลื่นน่ะไม่พอหรอกนะ! 555#21,4360
-
#21035 pcy921 (จากตอนที่ 28)วันที่ 11 มกราคม 2562 / 10:17ท่านเฉินร้ายมาก55555น้องฉิงต้องบวกแล้วค่ะ#21,0350
-
#20627 นัทมิมิ (จากตอนที่ 28)วันที่ 25 สิงหาคม 2561 / 23:49อยากรู้พลังอีกอย่างของน้องจังเลย#20,6270
-
#20367 Nitto_OuranHC (จากตอนที่ 28)วันที่ 10 พฤษภาคม 2561 / 20:43สวินหยางอย่างคูลลลลลลล#20,3670
-
#20220 BBT-SAKURA (จากตอนที่ 28)วันที่ 11 เมษายน 2561 / 20:52ยกมือๆๆๆ#20,2200
-
#20065 guzzto (จากตอนที่ 28)วันที่ 8 มีนาคม 2561 / 14:15เป็นเรื่องที่สองที่เราอ่านแล้วไม่เบื่อเลย เรื่องอื่นส่วนใหญ่มีแต่ปมเรื่องความรัก แต่เรื่องนี้เรารอดูตอนที่จะได้แก้แค้นอยู่ค่ะ ชอบมากๆเลย#20,0650
-
#19955 ArChanGel-BlooD (จากตอนที่ 28)วันที่ 13 มกราคม 2561 / 22:19ทำไมต้องเรียก'คนแซ่เฉิน'555 อ่านทีไรมันหยุดขำไม่ได้อ่ะ โอ้ยยยยยแดกดันสุดๆ เปลี่ยนเป็นแฮชแท็ก#คนแซ่เฉิน แทนดีมั้ย โอ้ยย ฮาาา!55555#19,9550
-
#19832 ชามัส (จากตอนที่ 28)วันที่ 30 ธันวาคม 2560 / 16:32สงสารคนแซ่เฉินเขานะครับ555555#19,8320
-
#19058 Maylyunho (จากตอนที่ 28)วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 / 14:58ทั้งเรื่องนี่คนแซ่เฉินคงน่าสงสารที่สุดค่ะ#19,0581
-
#19058-1 1409903357367(จากตอนที่ 28)10 กันยายน 2560 / 13:30แต่ก็น่าถีบที่สุดด้วย#19058-1
-
-
#18208 M.D. MayDay (จากตอนที่ 28)วันที่ 25 พฤษภาคม 2560 / 20:20คนแซ่เฉินนี่ต้องโดนจัดหนัก 5555#18,2080
-
#17753 Meatboll (จากตอนที่ 28)วันที่ 26 เมษายน 2560 / 09:58จัดอีกสักหน่อยมั้ยถิงถิง5555#17,7530