ตอนที่ 21 : ตอนที่ ๒๑ เยว่ตี้
ตอนที่ ๒๑ เยว่ตี้
ฉินอ๋องกลับไปทำงานที่กระโจมทำงานของเขา ส่วนข้าก็ต้องมานั่งอ่านตำราที่กระโจมเดียวกันกับเขาเช่นเดิม ข้ารู้สึกลำบากและเหนื่อยยิ่งนัก ลำบากให้การทำหน้าปกติไม่ให้มันบาน และก็เหนื่อยที่ต้องคอยเก๊กหน้าปกติ ได้ยินประโยคนั้นใครมันจะยังปกติได้ไหวกันเล่า! ข้าเขินจนระเบิดตัวเองไปแล้วรอบหนึ่ง ส่วนคนพูดน่ะรึ? หน้านิ่งราวกับแผ่นกระเบื้อง ข้างงเหลือเกิน นี่ใช่คนเดียวกันกับที่พูดถ้อยคำหวานหยดปานน้ำผึ้งผู้นั้นหรือไม่? เหตุใดถึงได้หน้าแข็งเป็นศิลาเช่นนี้?
หรือข้าจะฝันทั้งๆ ที่ยังตื่น?
ข้ามองเจ้าแมวที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเพลิดเพลิน ลืมแม้จะก้มหน้าอ่านตำราที่วางแผ่ตรงหน้า ที่ข้าชอบมากที่สุดรองจากใบหน้าของเขาก็คงจะเป็นมือเรียวงามของเขานี่แหละ หากให้ดูมันขยับเคลื่อนไหวทั้งวันข้าก็ทำได้ มือของฉินอ๋องที่กำลังถือพู่กันจรดแผ่นกระดาษเขียนตัวอักษร ลายมือของฉินอ๋องงดงามและแข็งแกร่งเหมือนกับคนเขียน ส่วนลายมือของข้านั้น...เอ่อ ลายมือของคนเราจะเน้นสวยงามไปเพื่ออันใด เน้นอ่านได้รู้เรื่องก็พอแล้ว! ใช่หรือไม่?
ฉินอ๋องเงยหน้าเหลือบสายตามองมา ข้าก็ค่อยๆ ละสายตาก้มอ่านตำราตรงหน้า พยายามทำหน้ามุ่งมั่นตั้งใจอ่านตำรา ข้ามิได้อู้หรอกนะแต่ข้าเพียงพักสายตามองอะไรไปเรื่อยเพียงเท่านั้น ฉินอ๋องไม่เอ่ยสิ่งใด เขาก้มหน้าลงเขียนต่อไปเงียบๆ ข้าก็เงยหน้ามามองเขาต่อ พวกตำราการปกครองเช่นนี้ข้ามิได้มีความสนใจแม้แต่กระผีกเดียว หากเป็นตำราภูมิศาสตร์ของแต่ละแว่นแคว้นล่ะก็ข้าชอบนักละ ระหว่างที่ฉินอ๋องทำงานข้าก็อ่านบ้างอู้บ้างจนกระทั่งรองแม่ทัพสวินทั้งสองเดินเข้ามาในกระโจม
“ได้เวลาประชุมแล้วท่านแม่ทัพ!” รองแม่ทัพสวินลี่เปิดตัวมาพร้อมกับเสียงแหลมปรี๊ดแสนกระตือรือร้นของนาง รองแม่ทัพสวินหยางเดินตามหลังมาเงียบๆ เป็นฉากหลังให้แก่น้องสาวของเขาเช่นเดิม ฉินอ๋องยังคงเขียนบันทึกบางอย่างต่อจนกระทั่งจบหน้ากระดาษเขาถึงเงยหน้ามาพยักให้แก่ทั้งสองขุนพล
“มีข่าวใหม่จากสายมารายงานด้วย ข้าละตื่นเต้นจริงๆ!”
“ลี่เอ๋อร์ กุลสตรีที่ดีควรสงวนท่าทีของตนเอง” รองแม่ทัพสวินหยางเอ็ดน้องสาวที่กระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและสงบนิ่ง ว้าว ข้าเพิ่งเคยได้ยินเสียงของแม่ทัพสวินหยางเป็นครั้งแรก น้ำเสียงของเขาราวกับเซียนผู้บรรลุที่สามารถกล่อมเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้ และอีกครั้งข้าคิดว่าเขาช่างไม่เหมือนขุนพลกล้าเอาเสียเลย หากบอกว่าเขาเป็นนักบวชหรือผู้บำเพ็ญเพียรน่าจะเป็นไปได้มากกว่า รองแม่ทัพสวินลี่หันไปมองพี่ชายแล้วยักไหล่เอ่ยตอบกลับพลางเหลือบตามองพี่ชายและท่านแม่ทัพ
“หือ? อ่า ท่านพี่สงวนไปแล้ว อย่าให้ข้าสงวนด้วยคนเลย เดี๋ยวกองทัพของเราจะกลายเป็นกองทัพใบ้เสียก่อน”
อ่า ข้านึกภาพออกเลยละ หากไม่มีรองแม่ทัพสวินลี่แล้วเหลือเพียงรองแม่ทัพสวินหยางและท่านแม่ทัพแล้วล่ะก็ คงเกิดความเงียบงันระดับมหาศาลแน่ๆ ตอนนั้นทหารในกองทัพจะต้องขาดใจตายเพราะความเงียบเป็นแน่
คนถูกพาดพิงทั้งสองมองหญิงสาวหนึ่งเดียวด้วยสายตาคมกริบ แต่คนถูกมองกลับมิได้หวาดกลัวใดๆ ซ้ำยังยิ้มกลับมาอย่างท้าทายอีกด้วย ก่อนสงครามของสามหัวหอกแห่งทัพเป่าอี้จะปะทุขึ้นนั้น ฉินอ๋องได้หันมามองข้าแล้วเอ่ยบอกเสียงนิ่ง
“เจ้าออกไปเล่นกับสหายเถิด หลังจากประชุมเสร็จเราจะออกไปลาดตระเวนพร้อมทหาร จะกลับมาอีกทีในยามโหย่ว(๑๗-๑๙น.) เจ้าจะทำสิ่งใดก็ทำเถิดแต่อย่าออกไปนอกค่าย พอถึงเวลาที่เราใกล้จะกลับมาจากลาดตระเวนค่อยเตรียมสำรับข้าว”
“เตรียมเผื่อพวกข้าด้วยนะ!” รองแม่ทัพสวินลี่โพล่งแทรกขึ้นมาหลังจากที่ฉินอ๋องเอ่ยเสร็จ เจ้าแมวหันไปมองสาวงามที่ฉีกยิ้มกว้างไม่สนใจสายตาที่พร้อมแช่แข็งนางเลยสักนิด นางยังเอ่ยต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว “ท่านพี่หยางชอบอาหารของเจ้ามาก เขาทานเกือบหมดแน่ะ นี่ข้าชักสงสัยแล้วว่าตกลงเขาชอบอดอาหารเพราะถือศีลภาวนา หรือเพราะอาหารที่โรงอาหารไม่อร่อยกันแน่?” รองแม่ทัพสวินลี่เอ่ยพลางขมวดคิ้วหันไปมองพี่ชายของนางที่ไหวตัวแล้วเอ่ยแก้ต่างให้ตนเอง
“ข้ามิเคยถือศีลอดอาหาร”
หว่า หากหัวหน้าเถาได้ยินคำตอบของรองแม่ทัพสวินหยางจะต้องร้องไห้เป็นแน่ แต่ข้าว่าอาหารมันก็มิได้เลวร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย รองแม่ทัพสวินลี่มองพี่ชายด้วยรอยยิ้มรู้ทันก่อนจะถอนหายใจเอ่ยค่อนแคะพี่ชายกับท่านแม่ทัพ
“เฮ้อๆ ท่านพี่หยางท่านช่างมีลิ้นสูงล้ำยิ่งนัก อาหารของโรงอาหารมิได้ย่ำแย่เพียงนั้นเสียหน่อย เป็นทหารต้องกินง่ายอยู่ง่ายเช่นข้านี่ เหตุใดกองทัพเราถึงได้มีแม่ทัพรองแม่ทัพเลือกกินเช่นนี้กันนะ มิใช่ว่าศึกต่อไปพวกท่านจะพาพ่อครัวตัวน้อยนี่ไปด้วยหรอกกระมัง?” รองแม่ทัพสวินลี่ส่ายหน้าไปมาแล้วหันมามองข้าที่ยืนกะพริบตาอยู่หลังโต๊ะอ่านตำรา ฉินอ๋องกับรองแม่ทัพสวินหยางเงียบมิได้ตอบคำเหน็บแนมจากหญิงสาวหนึ่งเดียวในกระโจม รองแม่ทัพสวินลี่กะพริบตาปริบๆ ใส่ทั้งสองบุรุษหนุ่มแล้วทำหน้าตกใจอุทานพลางส่ายหน้า
“ตายจริง! นี่คิดจะเอาไปกันจริงๆ งั้นรึ? โอ๊ยยยยย... ข้าสนับสนุน! เอาเลย! หากเพื่ออาหารอร่อยๆ แล้วล่ะก็ลำบากเพียงใดข้าก็จะทำเพื่อมัน!” หญิงสาวที่ส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่เห็นด้วย ฉับพลันนางเปลี่ยนสีหน้ามุ่งมั่นจริงจังดวงตาประกายวิบวับ ทำเอาพี่ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถอนหายใจด้วยความเอือมระอาให้แก่น้องสาวผู้เห็นแก่กิน รองแม่ทัพสวินลี่กะพริบตามองไปรอบๆ ก่อนจะกระแอมแล้วปรับสีหน้าอ่อนหวานใสซื่อ
“ข้าเพียงต้องการให้ท่านพี่หยางทานอาหารมีเนื้อมีหนัง มิได้เสนอความคิดนี้เพื่อสนองตนเองแต่อย่างใด” พูดเสร็จก็กะพริบตาปริบๆ เรียกร้องความยุติธรรมจากพี่ชายที่มองกลับมาด้วยสายตาเฉยชา ข้ามองรองแม่ทัพสวินลี่ที่ปรับสีหน้าท่าทางได้หน้า...เอ่อ ได้ไม่แนบเนียนนัก เหตุใดข้าถึงได้นึกถึงคนแซ่เฉินที่ชอบแก้ต่างอย่างหน้ามิอายกันนะ? ไม่สิ รองแม่ทัพสวินลี่จะไปคล้ายกับเจ้าคนแซ่เฉินได้อย่างไรกัน เป็นข้าที่คิดไปเองเสียมากกว่า
ข้ามองท่านแม่ทัพและรองแม่ทัพเดินออกไปจากกระโจมเพื่อไปประชุมวางแผนสำคัญของกองทัพที่กระโจมห้องโถง ท่าทางจะเป็นเรื่องสำคัญเพราะข้าได้ยินฉินอ๋องผู้เป็นแม่ทัพออกคำสั่งเรียกตัวทหารระดับหัวหน้ากองและหน่วยมาประชุมด้วย ข้ามองไปยังนาฬิกาธูปหอมที่อยู่เลยยามเว่ย(๑๓-๑๕น.)ไปครึ่งแล้ว ป่านนี้เสี่ยวชีน่าจะกลับมาจากเมืองลั่วแล้วกระมัง ข้าออกมาจากกระโจมที่ทำงานของแม่ทัพแล้วเดินหาเสี่ยวชี
「ถิงเอ๋อร์ เวลานี้ยามใดแล้ว? 」
“ท่านแม่ตื่นแล้วรึขอรับ? เวลานี้เลยยามเว่ยมาครึ่งชั่วยามแล้วขอรับ” ข้าตอบไปอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงอ่อนหวานดังขึ้นในหัว เสียงของนางงัวเงียคล้ายเพิ่มตื่นนอน ท่านแม่ทำเสียงอืมรับเบาๆ แล้วเงียบไป ข้าเรียกนางอย่างเป็นห่วง นี่นางคงมิได้หลับไปอีกแล้วหรอกนะ เห็นท่าทางอ่อนเพลียของนางข้ายิ่งสงสัยและรู้สึกผิดที่ทำให้นางต้องสูญเสียพลังมากมายจนต้องนอนพักเอาแรงนานเช่นนี้
“ท่านแม่ ดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
「เฮ้อ นี่เพราะข้าใช้พลังเกินขอบเขตมากเกินไป」
“ข้าเสียใจ เป็นเพราะข้าท่านถึงใช้พลังหยุดเวลานานจนทำให้เป็นเช่นนี้” ข้าเอ่ยขอโทษออกไปอย่างรู้สึกผิด เป็นเพราะความโง่เขลาของข้าถึงทำให้ท่านแม่ต้องใช้พลังหยุดเวลานานเช่นนั้น ถ้าหากข้าฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของฉินอ๋องคงจะใช้เวลาทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
「มิใช่เช่นนั้นหรอกลูกรัก หยุดเวลาเพียงเท่านั้นมิทำให้มารดาเจ้าเหนื่อยเช่นนี้หรอก แต่เป็นเพราะใช้พลังฝืนชะตาชีวิตติดต่อกันหลายครั้งเกินไปทำให้รากวิญญาณอ่อนแอลงเช่นนี้ แต่มันก็ไม่สำคัญนักเพราะฝืนเจ้าถึงมีชีวิตในครั้งนี้หรอกหรือ?」
“ท่านแม่...” ข้าครางรับเสียงสั่นเครือ เพราะใช้พลังฝืนโชคชะตาให้ข้างั้นรึ? ข้าที่ตายไปแล้วแต่กลับมาเกิดใหม่ได้อย่างมหัศจรรย์เช่นนี้ เป็นเพราะการเสียสละของมารดานั่นเอง ข้าสูดลมหายใจแล้วตั้งปฏิญาณกับตนเองว่าจะใช้ชีวิตที่ได้รับมาใหม่นี้อย่างคุ้มค่า
「เรื่องนั้นช่างมันเถิด ตอนนี้เจ้ามิได้อยู่กับฉินอ๋องแล้วสมควรทำธุระที่ข้าเอ่ยไว้ให้เรียบร้อย 」
“เอ๊ะ ธุระอันใดหรือขอรับ?” ข้าเลิกคิ้วยกมือเกาศีรษะแกรกๆ พยายามคิดทบทวนว่ามารดาได้มอบธุระอันใดให้ไปจัดการ แต่คิดเท่าใดก็คิดมิออก ข้าได้ยินเสียงถอนหายใจของท่านแม่ดังขึ้นตามด้วยเสียงแหลมๆ ที่เอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิดมิใช่น้อย
「จะเรื่องอันใดอีกเล่า ย่อมต้องเป็นเรื่อง ‘เยว่ตี้’ น่ะสิเจ้าลูกบื้อ! เจ้าอยากรู้มิใช่หรือว่าพลังของเจ้ามันเป็นเช่นใด เหอะ หากให้ข้าเล่าเจ้าจะหาว่ามารดาผู้งดงามเช่นข้าโม้โอ้อวดอีก รีบไปถามผู้ใดสักคนจะได้รับรู้ความยิ่งใหญ่ของพลังตนเองแล้วเตรียมตัวฝึกเข้มในคืนนี้」
ฝึกเข้มอีกแล้วงั้นรึ? ข้าถอนหายใจด้วยความห่อเหี่ยว แต่เอาเถิด เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม ข้าจะอดทนผ่านมันไปให้ได้! ฮึ่ม! เพื่อมิให้ตัวเองต้องตายอย่างอนาถ เพื่อท่านแม่ที่อุตส่าห์เสียพลังมากมาย ข้าทำหน้ามุ่งมั่นเหลียวมองหาคนที่จะสอบถามได้ ไม่นานนักข้าก็ไปจ๊ะเอ๋เข้ากับดวงตาซื่อๆ ของบุรุษหนุ่มผู้สวมใส่เสื้อผ้าสีน้ำเงินเข้ม ข้ากะพริบตาปริบๆ ใส่จิ้นเกอที่คล้ายจะเบือนหน้าหลบสายตาข้าไป เอ๋? ประเดี๋ยวนะ ท่าทางเช่นนี้คล้ายกับตอนที่ข้าเห็นจิ้นเกอหลังจากกลายเป็นนายบำเรอของฉินอ๋องเลย ข้าเริ่มกังวลขึ้นมาหน่อยๆ ก่อนจะสูดลมหายใจตัดสินใจเดินเข้าไปหาจิ้นเกอ
จิ้นเกอสะดุ้งตกใจหันรีหันขวางหาทางหลบข้าที่กำลังเดินไปหา สุดท้ายแล้วจิ้นเกอก็ต้องยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าลำบากใจ พอข้าเดินไปถึงก็เอ่ยทักเขาด้วยท่าทางปกติ จิ้นเกอพยักหน้าหงึกหงักแต่ยังไม่ยอมหันมาสบตากับข้า
“จิ้นเกอ ข้ามีเรื่องรบกวนท่านเล็กน้อยได้หรือไม่?” ข้ายิ้มทำเป็นไม่เห็นท่าทีลำบากใจของเขา จิ้นเกอที่ปฏิเสธผู้ใดไม่เป็นก็พยักหน้าหงึกหงักรับแล้วเอ่ยถามทั้งที่หันไปทางอื่น
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยเรื่องอันใดรึ?”
“ท่านรู้จัก ‘เยว่ตี้’ หรือไม่?”
“เยว่ตี้?” จิ้นเกอหันมามองข้าด้วยความแปลกใจจนลืมว่าตอนนี้ตนเองหลบหน้าข้าอยู่ พอเขาหันมามองข้าก็ยิ้มใส่ตาของเขาทันที จิ้นเกอชะงักตัวแล้วหน้าแดงด้วยความอับอาย ข้ารู้สึกพอใจในปฏิกิริยาของจิ้นเกอแล้วพยักหน้าเอ่ยถามเขาอย่างไม่รับรู้ท่าทางเก้อเขินของอีกฝ่าย
“ใช่ ข้าอยากรู้ว่ามันคือสิ่งใด”
“อืม ข้าก็รู้เพียงน้อยนิดเช่นกัน ได้ยินว่ามันเป็นพลังของหัวหน้าตระกูลเยว่ตี้ ‘เยว่ตี้ไฉหลาง’ ข้ามิรู้ว่ามันเป็นพลังอันใดเช่นกัน แต่มีเรื่องราวถึงพลังเยว่ตี้อยู่เรื่องหนึ่ง หากจำมิผิดล่ะก็เยว่ตี้ไฉหลางจัดการกับกองทัพแคว้นฉู่เพียงคำพูดเดียว ทำให้กองทัพอันเกรียงไกลของแคว้นฉู่สิ้นชื่อ แคว้นแทบล่มสลายเลยทีเดียว”
อะไรนะ!? จัดการกองทัพฉู่ด้วยคำพูดเดียวจริงๆ งั้นหรือ!?
“หากเจ้าอยากรู้มากกว่านี้เจ้าลองไปถามท่านหัวหน้าองครักษ์จางดูสิ ท่านหัวหน้าจางเป็นคนแคว้นฉู่น่ะ อ๊ะ หัวหน้าจาง หัวหน้าจางขอรับ! ทางนี้!”
เดี๋ยวๆ! จิ้นเกอ! หาเรื่องตายให้ข้าแล้วนะ หัวหน้าจางเป็นคนแคว้นฉู่หรอกหรือนี่ เรื่องนี้ข้ามิเคยรู้มาก่อนเลย แย่แล้ว! หากเป็นคนแคว้นฉู่จริงๆ เขามิแค้นสกุลเยว่หรอกหรือ? เป็นเพราะเยว่ตี้ไฉหลางถึงได้ทำให้แคว้นฉู่ที่เคยเกรียงไกรระส่ำระส่ายเช่นนั้น! ข้ามองหัวหน้าจางกับเสี่ยวหยุนที่เดินมาด้วยกันแล้วภาวนาให้พวกเขาไม่ได้ยินที่จิ้นเกอเรียก แต่คำภาวนาของข้าอาจจะช้าเกินไป พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางเดินมาที่พวกเราแล้ว บ้าจริง! หากเขารู้ว่าข้าเป็นลูกหลานสกุลเยว่มิชักปลดโซ่มาฟาดข้าหรอกหรือ!? ข้ายืนนิ่งพยายามทำตัวเป็นปกติมากที่สุด
“มีอันใด?”
“ท่านช่วยเล่าเรื่องเยว่ตี้ให้เราฟังได้หรือไม่? หากเป็นท่านน่าจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี” จิ้นเกอยิ้มแล้วเอ่ยถามหัวหน้าของเขาไปอย่างซื่อๆ ข้านี่แทบยืนร้องไห้เป็นสายเลือด จิ้นเกออออ! เหตุใดถึงได้ถามไปตรงๆ เช่นนั้น!? นี่มันแผลใจของผู้อื่นนะจิ้นเกอ ท่านถามเสียอย่างกับว่ามันเป็นนิทานเล่าคั่นเวลา อย่างที่ข้ากังวลไว้ หัวหน้าองครักษ์จางชักสีหน้าทันทีเมื่อจิ้นเกอเอ่ยจบ ข้าเริ่มเป็นห่วงจิ้นเกอว่าจะถูกหัวหน้าของเขาใช้โซ่ฟาดหัวเบะ
“เหตุใดเจ้าถึงอยากรู้เรื่องนี้?”
“มิใช่ข้า หากแต่เป็นจิ้งถิงที่อยากรู้” จิ้นเกอส่ายหน้าแล้วหันมามองข้าด้วยแววตาใสซื่อ คราวนี้ข้ามิได้กังวลจิ้นเกอแล้วเพราะเผือกร้อนๆ ถูกส่งมาหาข้าอย่างรวดเร็ว ข้าเหงื่อไหลพรากเมื่อหัวหน้าองครักษ์จางหันมาจ้องมองข้าด้วยใบหน้าแข็งเป็นศิลาของเขา
“เอ่อ หากท่านไม่ต้องการเล่าก็มิเป็นไรขอรับ ข้าเพียงแค่สงสัยว่ามันคือสิ่งใดเพียงเท่านั้น มิได้สำคัญขนาดต้องรู้ให้ได้” ข้ารีบเอ่ยกลบเกลื่อนเอาตัวรอดออกไปอย่างนอบน้อม คราแรกหัวหน้าองครักษ์จางมองข้าอย่างแปลกใจแต่ไม่นานก็กลับมาทำหน้านิ่งเป็นศิลาเช่นเดิม เขาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“มิใช่เรื่องที่จะเล่ามิได้ เยว่ตี้เป็นคำเรียกขานพลังของเยว่ไฉหลาง หัวหน้าสกุลเยว่ ซึ่งต่อมาผู้คนก็เปลี่ยนมาเรียกขานสกุลเยว่ว่าสกุลเยว่ตี้เพื่อให้เกียรติและยกย่องพวกเขา”
「ถูกต้องแล้วละ! จากเยว่ก็กลายเป็นเยว่ตี้จนผู้คนเข้าใจว่าสกุลเยว่ของเรามีแซ่ว่าเยว่ตี้ไปหมดแล้ว」
อ้าว นี่ท่านแม่ก็ยังอยู่หรอกหรือ? ข้านึกว่านางนอนไปแล้วเสียอีก ข้าตั้งใจฟังที่หัวหน้าองครักษ์จางเล่า เช่นเดียวกับจิ้นเกอที่มีสีหน้าสนอกสนใจ ส่วนเสี่ยวหยุนนั้นก็ทำตัวราวกับอาจารย์ของเขากำลังเล่านิทานให้ฟัง
“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณสามสิบปีที่แล้ว จุดเริ่มต้นคงจะเป็นสตรีผู้หนึ่ง...”
สตรีงั้นรึ?
พวกข้าทำหน้าแปลกใจเมื่อเรื่องนี้มีสตรีนางหนึ่งมาเกี่ยวข้อง
“นางมีนามว่า ‘หูเหม่ยเฟิ่ง’ สตรีชาวแคว้นฉิง ถูกผู้คนยกย่องว่าเป็นสตรีที่งดงามเป็นอันดับหนึ่งของแผ่นดิน บุรุษทั่วหล้าต่างใฝ่ฝันถึงนางแม้เพียงได้ยลโฉมสักนิดก็ถือว่าเป็นบุญมากล้น แน่นอนว่ามีบุรุษที่หมายตาต้องการได้นางไปเป็นภรรยาอยู่มาก หนึ่งในจำนวนบุรุษมากมายเหล่านั้นมี ‘เยว่เมิ่ง’ บุตรชายของเยว่ไฉหลาง หูเหม่ยเฟิ่งกับเยว่เมิ่งได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน จนกระทั่งทั้งสองตกลงแต่งงานร่วมหอ แต่ทว่ามีบุรุษผู้หนึ่งไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาก็คือฮ่องเต้แห่งแคว้นฉู่ เขาเองก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องการตัวหูเหม่ยเฟิ่ง ระหว่างที่เยว่เมิ่งพาภรรยาของเขากลับสกุล ฮ่องเต้แคว้นฉู่ส่งมือสังหารไปชิงตัวหูเหม่ยเฟิ่ง แต่พวกมันทำมิสำเร็จ เยว่เมิ่งนั้นมิใช่คนธรรมดาทั่วไป เขามีวรยุทธ์ถึงขั้นราชันจ้าวยุทธ์ มือสังหารมิอาจเทียบกับเขาได้”
หูงั้นรึ? เหตุใดข้าถึงสังหรณ์ใจชอบกล
「อ่า~ ท่านแม่! ท่านพ่อ! อืม แต่ข้าเพิ่งรู้น่ะเนี่ยว่าท่านแม่เป็นคนแคว้นฉิง」
นั่นปะไรเล่า!
ข้าจะไม่ตกใจอันใดแล้ว ข้ามีมารดาเป็นราชันยอดยุทธ์ ข้ามีท่านตาเป็นราชันจ้าวยุทธ์ ข้ามีท่านยายเป็นสตรีงดงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน! ข้า...จะไม่ตกใจ....
“แม้เขาจะเก่งกาจเพียงใดแต่เมื่อต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลาและต้องปกป้องภรรยาไปด้วยย่อมต้องได้รับบาดแผลสาหัส เยว่เมิ่งที่บาดเจ็บเร่งพาหูเหม่ยเฟิ่งไปยังภูเขาเยี่ยซานซึ่งเป็นที่ตั้งคฤหาสน์สกุลเยว่ สกุลยอดฝีมือที่เร้นตัวจากโลกภายนอก แต่เดิมสกุลเยว่เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ คนในตระกูลล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือ ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือกับสกุลเยว่หรือคนในสกุลเยว่อย่างเปิดเผย แต่ทว่าในเวลานั้นแคว้นฉู่มั่งคั่งและมีกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ฮ่องเต้แคว้นฉู่มีความอวดดีและหลงตนมากเกินไป เขาออกคำสั่งให้กองทัพแคว้นฉู่ไปบุกทำลายหวังจะเหยียบสกุลเยว่ให้ราบเป็นหน้ากอง มีคำสั่งเด็ดขาดให้สังหารทุกคนในสกุลเยว่ ไม่ว่าพวกเขาจะยอมหรือไม่ยอมส่งชิงหูเหม่ยเฟิ่งมา ในตอนนั้นผู้คนต่างหวาดกลัวแทนสกุลเยว่และคิดว่าพวกเขาช่างโชคร้าย เรียกหูเหม่ยเฟิงเป็นความงามเรียกขานภัยพิบัติ แต่ทว่าพวกเขาคิดผิด ฮ่องเต้แคว้นฉู่คิดผิด”
ข้าอ้าปากเหวอด้วยความตื่นเต้น นี่มันน่าติดตามยิ่งกว่านิยายที่ข้าอ่านเสียอีก! พวกเราทุกคนตกอยู่ในภวังค์เรื่องราวต่างมองหัวหน้าองครักษ์จางนิ่งเงียบไป ไม่นานเขาก็เอ่ยเล่าต่อ
“กองทัพทหารนับแสนนายบุกถล่มไปยังเขาเยี่ยซาน ทุกที่ที่เหยียบย่างไปต่างพังราบราวกับพายุ ผู้คนต่างหวาดหวั่นเกรงกลัว มิมีผู้ใดต้านทานกองทัพอันเกรียงไกรนี่ได้ จนกระทั่งกองทัพแคว้นฉู่ไปถึงยังเชิงเขาเยี่ยซาน ณ ที่แห่งนั้นมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งยืนนิ่งรอคอยอย่างสงบ แม่ทัพผู้นำกองทัพทหารแสนนายคิดว่าเขาเป็นเยว่เมิ่งจึงเอ่ยข่มขู่ให้เขาส่งตัวหูเหม่ยเฟิ่งมาให้ แต่บุรุษหนุ่มผู้นั้นมิใช่เยว่เมิ่ง เขาคือหัวหน้าสกุลเยว่ ‘เยว่ไฉหลาง’!”
พวกข้าเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ ภาพในหัวของข้าวาดภาพของเยว่ไฉหลางท่านทวดไว้แก่หง่อมหัวขาวโพลน แต่เมื่อครู่กลับบอกว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่ม แถมยังถูกเข้าใจผิดว่าเป็นลูกชายเยว่เมิ่งอีกต่างหาก นี่เขาหนุ่มขนาดนั้นเชียว!? เอ่อ แต่นั่นมันก็เมื่อสามสิบปีก่อนนี่น่า
“เยว่ไฉหลางกล่าวให้กองทัพฉู่ถอยกำลังออกไปจากอาณาเขตของสกุลเยว่ แต่ไหนเลยผู้นำกองทัพฉู่จะฟังเขา มันมั่นใจในอานุภาพยิ่งใหญ่ที่ผู้คนหวาดกลัวกองทัพของมันยิ่ง และมันคิดว่าเยว่ไฉหลางออกมาถ่วงเวลาให้คนในสกุลหนีตาย มันไม่ฟังความใดๆ สั่งให้ทหารบุกขึ้นไปบนเขาเยี่ยซาน เยว่ไฉหลางถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างเสียมิได้ เขาลอยตัวขึ้นไปอยู่กลางอากาศแล้วเอ่ยเพียงถ้อยคำสั้นๆ ก็สามารถดันกองทัพนับแสนถอยร่นออกไปจากเขาเยี่ยซาน เยว่ไฉหลางเอ่ยบอกให้กองทัพฉู่ถอยทัพออกไปอีกครั้งแต่ทว่าพวกมันหลงมัวเมากับภาพความสำเร็จจนมิคิดว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ผู้นำทัพฉู่ไม่ยอมเขาพยายามนำทัพบุกเข้าไป เยว่ไฉหลางเอ่ยเตือนอีกรอบ แต่ทว่าพวกมันถูกความบ้าคลั่งครอบงำไปเสียแล้ว เยว่ไฉหลางเอ่ยบอกว่า ‘เขามิได้ผิด ครั้งนี้แคว้นฉู่ก้าวล้ำเส้นมากเกินไป สกุลเยว่มิใช่สกุลที่ถูกรังแกง่ายดาย หากวันนี้เขาไม่ตอบโต้ไปอย่างเด็ดขาด วันข้างหน้าสกุลเยว่จะมีหน้าไปพบผู้คนได้อย่างไร’ และเขาก็เอ่ยบอกเหล่าทหารฉู่ว่า ‘หากจะแค้นก็จงไปแค้นเจ้านายของพวกเจ้า’ สิ้นคำพูดนั้นเยว่ไฉหลางก็เอ่ยเพียงคำเดียวออกมาอย่างเย็นชา ‘ตาย’ หลังสิ้นคำนั้นทหารกองทัพฉู่นับแสนทุกคนสิ้นใจตายในทันที”
ข้านอึ้งยิ่งกว่าอึ้ง พลังเยว่ตี้? พลังที่ฆ่าคนนับแสนด้วยคำเพียงคำเดียว!? มันน่าตกใจมากพออยู่แล้วแต่ที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือ ข้ามีพลังนั้น!? นี่มันสุดยอดไร้เทียมทาน! ในใจของข้าเต้นตุ้บๆ ไปด้วยความตื่นเต้น สะท้านสะเทือนใจในความยิ่งใหญ่ของพลังนี้ มิน่าเล่าท่านแม่ถึงได้ตื่นเต้นสติแตกเช่นนั้น ตอนนี้ข้าก็แทบจะสติแตกเช่นนาง!
“หลังจากเหตุการณ์สะท้านแผ่นดินนั้นผู้คนต่างก็ยกย่องให้สกุลเยว่เป็นสกุลอันดับหนึ่งของแผ่นดิน เปลี่ยนการเรียกขานพวกเขาเป็นเยว่ตี้เพื่อให้เกียรติและนับถือ เรียกหัวหน้าสกุลเยว่ว่า ‘เยว่ตี้ไฉหลาง’ แม้จะถูกเล่าขานอย่างใหญ่โตแต่สกุลเยว่ก็ดำรงตนเช่นเดิม ไม่สนใจโลกภายนอก พวกเขาอยู่อย่างสันโดษที่เขาเยี่ยซาน และเมื่อมีผู้ถูกยกย่อมมีผู้โดนเหยียบ แคว้นฉู่หลังจากเสียไพร่พลฝีมือดีไปกว่าครึ่งนั้นก็เกิดความวุ่นวายไปทั่วแคว้น ในวังหลวงฮ่องเต้ถูกโค่นล้ม ศัตรูต่างแคว้นยกทัพมาประชิด สงครามเผาผลาญแคว้นฉู่จนแทบจะสิ้นชาติ ความพินาศนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะผู้นำสูงสุดลุ่มหลงราคะและอำนาจ คำพูดของฮ่องเต้เพียงผู้เดียวสามารถทำให้แคว้นล่มสลายหรือเจริญรุ่งเรืองได้ ฮ่องเต้มิควรเป็นเช่นฮ่องเต้แคว้นฉู่...”
“.....” ข้าเงียบ รู้สึกหดหู่ตามเรื่องที่ได้ยิน จากนั้นก็ไพล่คิดไปถึงองค์รัชทายาทวิปลาสผู้นั้น อ่า หากเขาผู้นั้นขึ้นครองราชย์มิกลายเป็นว่าแคว้นฉิงจะดำเนินตามรอยแคว้นฉู่หรอกรึ?
“เป็นเรื่องราวที่ไว้เตือนใจได้ดี” เสียงเย็นเยือกดังขึ้นจากด้านหลัง ข้าสะดุ้งเฮือกหันไปมองฉินอ๋องและสองแม่ทัพยืนอยู่ใกล้ๆ มิรู้ว่าพวกเขามากันเมื่อใด อาจจะเป็นเพราะพวกเรามัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องเล่าจนไม่ทันรู้สึกตัว หัวหน้าองครักษ์จางก้มศีรษะเคารพเจ้านายแล้วขอตัวออกไปทำหน้าที่ แต่ก่อนจะเดินออกไปนั้นเขาเงยหน้ามามองข้าด้วยสายตาพินิจพิจารณา หัวหน้าองครักษ์จางเอ่ยเรียบๆ
“ที่แคว้นฉู่มีภาพวาดของหูเหม่ยเฟิ่ง คราแรกเอาไว้เป็นสิ่งเตือนใจ แต่ทว่าต่อมานั้นเป็นภาพวาดที่ล้ำค่า มีการวาดลอกเลียนแบบแพร่กระจาย ข้าเคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง... เจ้าดูคล้ายภาพวาดนั้น” วางระเบิดเสร็จหัวหน้าองครักษ์จางก็พาลูกศิษย์ของเขาเดินออกไปอย่างไม่ใยดี ข้ายืนตัวแข็งทื่อ ลำคอด้านหลังเสียวแปลบๆ คล้ายมีสายตาคนผู้หนึ่งทิ่มแทง ข้าสูดลมหายใจหันไปมองด้านหลังด้วยความหวาดกลัว
ฉินอ๋องจ้องข้าด้วยสายตาเย็นเยือก
อ่า พูดอีกครั้งว่าตอนต่อจากถิงถิงตายนั้นจะยังไม่แต่งตอนนี้
แต่งแน่นอน แต่ยังไม่ถึงเวลา รอกันหน่อยเถิดท่านทั้งหลาย
ส่วนในตอนนี้เอามาคั่นฉากหวาน เดี๋ยวจะหวานกันจนเลี่ยน มดไต่ตอมคนอ่าน
จิ้นเกอนี่ยังจิ้นเกอจริงๆ ซื่อยังซื่อๆ แบบถิงถิงยังเหงื่อตก
และเปิดเผยเรื่องราวของสกุลเยว่ แบ็คอัพอลังการของถิงถิง
เป็นธรรมดาของตัวเอกนอกจากจะเติมทรูรัวๆ แล้วยังต้องมีแบ็คอัพโหดอีกด้วย
เรื่องสุดท้ายแฮชแท็ก กลายเป็นว่าแฮชแท็กมีไว้แซะท่านอ๋องหรือคะ แหม แต่ละคน
#14อีกครั้ง #แมวเหมียวของถิงถิง #(วิญ)ญาณแม่ในก้อนหิน #เสวี่ยถิง #ทีมถิงถิง
#เจ้าแมว #ถิงถิง #ปลาย่างอ๋องแมว #แมวหน้าเดียว #แมวหน้าตาย
#เด็กซื่อกับแมวเจ้าเล่ห์ #คนซื่อกับท่านแมว #เจ้าแมวหื่น #อ๋องแมวหน้ามึน
#ท่านอ๋องแมวเลี้ยงต้อย #อ๋องแมวเลี้ยงต้อย #แมวซึนต้อยเด็ก
#อ๋องเหมียวกินเด็ก #อ๋องกินเด็ก #เจ้าแมวกินเด็กบื้อ #อ๋องเหมียวกินเด็ก
#อ๋องแมวกับถิงถิง #อ๋องแมวกับถิงถิง #อ๋องแมวกับถิงถิง
#เจ้าแมวคิดไม่ซื่อแอบเอาเด็กในสังกัด #ถิงบื้ออ๋องแมว #โซ๊ยเด็กให้ร้องเหมี้ยว(อัลไล!!!?55555)
#เด็กบื้ออ้อยปากแมว #ท่านแมวตะครุบเด็ก #เจ้าแมวหน้ามึน
#อ๋องหน้าแมว #เจ้าแมวvsเจ้าบื้อ #แมวต้อย #แมวลามก #แมวขี้เก๊ก #แมวเจ้าเล่ห์
#แมวแก่กับหญ้าอ่อน #แมวกับถิงถิงในกำมือ
#เจ้าชายฆ่าหมา <<< อันนี้มาได้ไง 5555
เอ่อ...รู้สึกสงสารท่านอ๋องอย่างไรชอบกล ท่านอ๋องอย่าร้องไห้//ตบไหล่ปุกๆ
เยอะจริง เลือกไม่ได้ แต่มีผู้คิดตรงกันอยู่สามคือแท็ก #อ๋องแมวกับถิงถิง
เอาเป็นว่าใช้ชื่อเรื่องนี่แหละ! พิมพ์บ่อยๆ จะได้จำ 5555
#เอาเถิดข้าไม่เสียใจเพราะข้าตายแล้ว
ทุกคนคิดว่ายังไงคะ? T_T ผู้ส่งเข้าประกวดเยอะจริงๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เเงงงงง อย่ามองน้องเเบบนั้นเซ่ กลัวเเทนนนน
สมแล้วที่ต้องดูแลเด็ก
จะไม่ให้เหมือนได้ยังไงละแหมมม ยายแท้ๆเลยนั้น
ชอบ 14 อีกครั้งคะ ขำดี เห็นด้วยกับโซ๊ยเเละเจ้าชายฆ่าหมา มาได้ไงเนี่ย
หนูถิง เติมทรูรัวๆจริงตอนนี้
โอ้ย นึกถึงเจ้าชายทรราช 555555555