ตอนที่ 17 : ตอนที่ ๑๗ รองแม่ทัพสวิน
ตอนที่ ๑๗ รองแม่ทัพสวิน
「ก็ดี มันจะช่วยเป็นอย่างมากในการต่อสู้จริง ถ้าใช้แต่พลังวิเศษอาจจะเสียเปรียบได้ ไม่คิดว่าเจ้าจะคิดได้ถึงเพียงนี้」
วันต่อมาเมื่อท่านแม่ตื่นขึ้นข้าก็เล่าเรื่องที่ขอร้องให้ฉินอ๋องช่วยฝึกวรยุทธ์ให้ นางเอ่ยตอบรับอย่างพึงพอใจและชมเชยที่ข้าหัวไวคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก่อนนาง นี่ตกลงว่าท่านแม่ตัดสินข้าเป็นคนซื่อบื้อถาวรเลยงั้นหรือ? เอาเถิด ข้าเองก็รู้ตัวว่าโง่อยู่เหมือนกัน
พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าเช่นเคย เดินทางสลับพักม้าไปด้วย จนกระทั่งเข้าช่วงบ่ายฉินอ๋องแยกตัวออกไปพร้อมกับกลุ่มองครักษ์บางส่วน พวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ชายแดน อีกกลุ่มคือพวกข้ามีรองหัวหน้าองครักษ์เฉินและองครักษ์ที่มิได้ติดตามฉินอ๋องมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารชายแดน สายตาของข้าติดตามเบื้องหลังของเขาไปเล็กน้อยแล้วเก็บสายตากลับมา แม้จะสงสัยว่าเขาแยกตัวไปทำอันใดแต่ก็มิใช่สิ่งที่ข้ารับใช้จะสอบถามออกไปได้
“ท่านเฉิน พวกท่านอ๋องแยกตัวไปทำสิ่งใดหรือขอรับ?” เสี่ยวชีร้องถามรองหัวหน้าองครักษ์เฉินที่ควบม้าอยู่ไม่ไกลจากรถม้า ข้านั่งนิ่งหลับตาลงราวกับไม่สนใจสิ่งที่ทั้งสองพูดคุยกัน อ่า เป็นเสี่ยวชีนี่ดีเหลือเกิน ราวกับล่วงรู้จิตใจของผู้อื่นถามไถ่ออกไปได้ตรงใจยิ่งนัก รองหัวหน้าองครักษ์เฉินควบม้าเข้ามาใกล้หน้าต่างรถม้าแล้วเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อ้อ ทุกครั้งที่ผ่านมาท่านอ๋องจะแวะตรวจตราความเป็นอยู่ของคนแถบชายแดนก่อนจะเข้าไปค่ายทหารน่ะ”
“ท่านอ๋องนี่ใส่ใจประชาชนยิ่งนัก” เสี่ยวชีได้ยินคำตอบก็ยิ้มกว้างเอ่ยชื่นชมเจ้านายด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม รองหัวหน้าองครักษ์เฉินยิ้มรับ คนอื่นๆ ก็มิได้มีสีหน้าแตกต่างจากกันนัก ข้าก้มหน้าลงเล็กน้อยยังคงหลับตาทำสมาธิเพื่อดูดกลืนลมปราณจากหินซับจันทรา สองวันมานี่ข้าคุ้นชินกับการดูดซับลมปราณแล้วทำให้สามารถดึงลมปราณมาได้โดยไม่ต้องเพ่งสมาธิมากนัก ทำโดยเป็นธรรมชาติไม่ว่าข้ากำลังจะทำกิจกรรมอย่างอื่นด้วยก็ตาม
ยามที่ข้าได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันในใจนั้นมีความยินดีที่ฉินอ๋องเป็นที่เคารพรัก และชื่นชมเขาที่ใส่ใจประชาชนอย่างผู้ปกครองที่ดีพึงกระทำ แต่ทว่าเหตุใดข้าถึงได้รู้สึกเศร้าใจแปลกๆ เช่นนี้กันนะ หรืออาจจะเป็นเพราะชีวิตที่แล้วฉินอ๋องถูกคนรอบข้างผลักดันให้ต้องแบกรับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ด้วยเพราะคนเหล่านั้นเห็นพ้องกันว่าเขาจะต้องเป็นผู้ปกครองที่ดีอย่างแน่นอน แต่ไม่มีผู้ใดถามความปรารถนาของเขาเลยสักคน
แต่ข้ารู้ดี แต่ไหนแต่ไรฉินอ๋องมิเคยปรารถนาในบัลลังก์มังกรเลยสักนิด เขาเคารพพี่ชายองค์รัชทายาทอย่างแท้จริง และพร้อมที่จะผลักดันและช่วยเหลือองค์รัชทายาท แต่ทว่าคนรอบข้างของเขากลับไม่คิดเช่นนั้น หวงกุ้ยเฟย ตระกูลทางมารดา และเหล่าขุนนางที่สนับสนุนเขาต่างทั้งดึงทั้งดันให้เขาออกไปยืนเผชิญหน้ากับเหล่าพี่น้องเพื่อช่วงชิงบัลลังก์มังกร มีหลายครั้งที่เขาซึมเศร้าด้วยเรื่องนี้และมักจะบ่นให้ข้าฟังถึงความทุกข์ใจ และจะทิ้งท้ายด้วยการชวนข้าหนีเรื่องยุ่งยากไปอยู่ที่ชายแดนด้วยกัน หากไม่มีผู้คนรอบข้างข้าคิดว่าเขาจะต้องย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่ชายแดนถาวรแล้วกระมัง
ในชีวิตนี้ข้าเองก็มิทราบว่าฉินอ๋องในอนาคตจะเป็นเช่นนั้นอยู่อีกหรือไม่ หากยังเป็นเช่นเดิมเขาก็คงจะต้องทุกข์ใจมากอีกแน่ เฮ้อ นี่ถ้าหากองค์รัชทายาทเป็นคนดีมีใจเมตตาผู้คนคงไม่กระเหี้ยนกระหืออยากยกบัลลังก์ให้แก่ฉินอ๋องถึงเพียงนี้หรอก แต่ทว่าความจริงมันโหดร้ายองค์รัชทายาทพี่ชายของเขานั้นช่างเหลือจะเอ่ยถึงจริงๆ จะว่าไปแล้วยังมีพี่น้องอีกหลายคนเลยนี่น่า ข้าเองก็ไม่ค่อยทราบว่าพวกเขาเป็นเช่นไรเพราะมิเคยได้เห็นพวกเขา มีเพียงได้ยินผ่านผู้อื่นมาบ้าง
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีพระโอรสทั้งสิ้นหกพระองค์ องค์รัชทายาทคือโอรสองค์โต จากนั้นก็เป็นเหลียงอ๋องอ่อนโยนดุจสายน้ำ โจวอ๋องเสเพลฟุ่มเฟือย ฉินอ๋องแข็งกร้าวเย็นชา ส่านอ๋องเจ้าสำราญรักอิสระ และเว่ยอ๋องใจร้อนเอาแต่ใจ
บรรดาโอรสทั้งหมดองค์รัชทายาทผู้เป็นพระโอรสฮองเฮามีสิทธิ์ในบัลลังก์มากที่สุด ส่วนตัวข้าคิดว่าคงไม่ดีกระมังที่จะให้คนพรรค์นั้นขึ้นเป็นฮ่องเต้ ลำดับต่อมาย่อมเป็นฉินอ๋องโอรสหวงกุ้ยเฟยพระสนมที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุด แต่ทว่าเขาไม่สนใจอยากได้บัลลังก์เลยน่ะสิ ถัดมาคือเหลียงอ๋องผู้เป็นโอรสของกุ้ยเฟยเนื่องจากมีนิสัยอ่อนโยนไม่สู้คนและสุขภาพอ่อนแอซึ่งทำให้เขาห่างไกลจากบัลลังก์ คนต่อมาเป็นโจวอ๋องและเว่ยอ๋องผู้เป็นโอรสเต๋อเฟยและเสียนเฟย และคนที่แทบไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในบัลลังก์เลยก็คือส่านอ๋องที่เป็นโอรสจากนางกำนัลไร้ยศ เพียงแค่กวาดสายตามองคร่าวๆ รอบเดียวก็เห็นได้ชัดว่าฉินอ๋องมีคุณสมบัติเพียบพร้อมกว่าผู้อื่นมากนัก
ในใจข้านั้นมิอยากให้เขาขึ้นครองราชย์ แต่นั่นก็คงจะเปลี่ยนแปลงอันใดมิได้ เพราะคนที่มีอิทธิพลต่อการผลักดันฉินอ๋องให้ขึ้นครองบัลลังก์ คือ หวงกุ้ยเฟยพระมารดาของเขานั่นเอง
เฮ้อ ไม่รู้ว่าหลังจากข้าตายไปแล้วจะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง เกิดสงครามการต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์กันหรือไม่? สุดท้ายแล้วฉินอ๋องจะเป็นฝ่ายชนะแล้วได้ขึ้นครองราชย์หรือไม่? หรือจะเป็นฝ่ายองค์รัชทายาทมีชัย? นิสัยองค์รัชทายาทเขาจะต้องกำจัดฉินอ๋องอย่างแน่นอน จากประวัติศาสตร์ผู้พ่ายแพ้ย่อมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างมิเว้นชีวิตของตน ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคตที่ข้าได้ตายจากไปแล้ว ฉินอ๋องจะขึ้นครองราชย์หรือพ่ายแพ้สิ้นชีพกันแน่? ข้าขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจลืมตาขึ้นมองไปนอกหน้าต่างรถม้า
รู้ไปก็มิได้ก่อประโยชน์อันใด เพราะมันไม่เกี่ยวข้องกับข้าในตอนนี้แม้แต่น้อย
“ถึงแล้ว!” เสี่ยวชีและเสี่ยวหยุนร้องออกมาพร้อมกันเมื่อรถม้าแล่นผ่านประตูค่ายทหารขนาดใหญ่ซึ่งค่อยๆ เปิดอ้าต้อนรับพวกเราเข้าไปข้างในค่าย ที่ประตูทางเข้านั้นมีทหารยืนเฝ้ายามคอยสังเกตการณ์อย่างเข้มงวด เพราะพวกเรามาพร้อมกับรองหัวหน้าองครักษ์เฉินจึงทำให้เข้ามาในค่ายได้อย่างง่ายดาย เด็กน้อยทั้งสองที่อยู่ในรถม้าต่างแย่งกันชะโงกหน้าไปมองภายในค่ายทหารด้วยความตื่นเต้น พวกเขาทำตาโตร้องอุทานกันมิหยุด ข้ามองพวกเขาแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ช่างเด็กเสียจริงๆ!
“เด็กๆ พวกเรามาถึงเรียบร้อยแล้ว ยินดีต้อนรับสู่ค่ายทหารเป่าอี้กองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของฉินอ๋อง!”
“เฮ้~!!!” เสี่ยวชีและเสี่ยวหยุนกระโดดลงจากรถม้าพร้อมกับปรบมือระรัวตอบรับคำพูดของรองหัวหน้าองครักษ์เฉินที่กระโดดลงจากม้าทำเท่พลางผายมือไปรอบๆ ตัว ไม่ลืมฉีกยิ้มกว้างประดับใบหน้า ข้าค่อยๆ ลงจากรถม้าพลางมองทั้งสามอย่างอ่อนใจ คนพูดช่างใส่อารมณ์ในน้ำเสียงเล่นใหญ่อย่างมิอาย ส่วนคนฟังก็คึกคักไม่แพ้คนพูดทำตัวราวกับเป็นนักท่องเที่ยว
“อะแฮ่ม เนื่องจากวันนี้พวกเจ้าเดินทางกันทั้งวันแล้ว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะพาเดินชมรอบๆ ค่าย วันนี้ให้พวกเจ้าไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยเสียก่อน ไช่ชิงจะพาพวกเจ้าไปยังกระโจมที่พัก ส่วนถิงถิงให้ตามข้ามา”
พวกเสี่ยวชีเดินตามไช่ชิงไปด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น แต่พอข้ากำลังหันตัวเดินตามพวกเขาไปบ้าง รองหัวหน้าองครักษ์เฉินก็เอ่ยบอกเสียงเข้ม ข้าชะงักเท้าหันไปมองเขาด้วยความงุนงง อันใดกัน? รองหัวหน้าองครักษ์เฉินโบกมือให้เหล่าเด็กน้อยเดินออกไปได้ พวกเสี่ยวชีหันมามองข้าแวบหนึ่งอย่างลังเล ข้ายิ้มอุ่นใจไปให้ บอกกล่าวให้พวกเขาไปก่อนแล้วจะตามไปทีหลัง
“ไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะตามไป”
“เดี๋ยวข้าจะจองที่นอนให้เจ้านะ” เสี่ยวชีบอกอย่างเอื้อเฟือ ข้าพยักหน้าตอบรับมองพวกเขาค่อยๆ เดินออกไปแล้วจึงหันมามองรองหัวหน้าองครักษ์เฉินที่กอดอกมองเด็กทั้งสามเดินจากไป เมื่อพวกเสี่ยวชีเดินออกไปแล้วรองหัวหน้าองครักษ์เฉินก็หันมายิ้มจนตาหยีให้แก่ข้า
“ตามข้ามา”
ข้าอยากจะถามเหตุผลที่เขาให้ข้าอยู่ก่อนแต่ก็มิทันได้เอ่ยถามสิ่งใด รองหัวหน้าองครักษ์เฉินก็บอกกล่าวต่อข้าแล้วหันตัวเดินนำไปในทันที ข้ารีบใช้ขาสั้นๆ เดินตามบุรุษสูงโปร่งอย่างรองหัวหน้าเฉินไปติดๆ ระหว่างนั้นก็เงยหน้ามองไปรอบๆ ตัว ในค่ายทหารเป่าอี้นั้นแบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างมีระเบียบอย่างยิ่ง สมควรแล้วที่เป็นค่ายกองทัพของฉินอ๋อง
เมื่อเข้ามาในค่ายทหารที่ล้อมรอบด้วยกำแพงอันแข็งแกร่งดุจเหล็ก หลังกำแพงก็จะเป็นค่ายทหารซึ่งเป็นที่อยู่และที่ปฏิบัติงานของเหล่าทหารกล้าผู้ปกปักษ์รักษาชายแดน ภายในค่ายแบ่งเป็นหลายเขต มีเขตลานฝึกซ้อม เขตสนามฝึกรบ เขตโรงอาหาร เขตโรงอาบน้ำ เขตโรงหมอ ศูนย์บัญชาการ และเขตที่พัก
ข้าเดินตามรองหัวหน้าองครักษ์เฉินผ่านศูนย์บัญชาการซึ่งจะประกอบไปด้วยกระโจมห้องสมุด กระโจมโถงประชุม กระโจมห้องวางแผน และกระโจมทำงานของท่านแม่ทัพ เขาพาข้าเข้าไปในเขตกระโจมที่พัก เขาจะพาข้าไปไหนกันแน่ นี่ก็เดินผ่านกระโจมที่พักของทหารชั้นผู้น้อยมาแล้ว รองหัวหน้าเฉินพาข้าเดินมาลึกสุดใจกลางเขตที่พัก มาหยุดตรงกระโจมที่ใหญ่ที่สุด ข้าเงยหน้ามองกระโจมตรงหน้าแล้วหันไปเปรียบเทียบกระโจมข้างๆ ที่เล็กกว่าครึ่ง ระหว่างที่รองหัวหน้าเฉินพูดคุยกับทหารเฝ้าหน้ากระโจมข้าก็ลอบรู้สึกไม่ดี สังหรณ์ใจยังไงชอบกล นี่คงจะมิใช่...
กระโจมของแม่ทัพหรอกนะ!?
เหตุใดถึงพาข้ามาที่นี้เล่า!?
รองหัวหน้าองครักษ์เฉินเดินไปเปิดผ้ากระโจมแล้วพยักหน้ากวักมือเรียกข้าเข้าไปข้างใน ข้ายืนขาแข็งไม่ยอมก้าวออกไปอยู่นานและทำท่าจะหันหลังวิ่งหนี ทว่าเจ้ารองเฉินกลับแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย พุ่งเข้าจับแขนของข้าลากเข้าไปในกระโจมนั้นอย่างง่ายดาย บัดสบ! คนแซ่เฉิน! พอลากข้าเข้ามาในกระโจมสำเร็จเขาก็ผายมือไปรอบๆ แล้วเอ่ยแนะนำด้วยน้ำเสียงสดใสปนหัวเราะขำข้านิดๆ
“โอ้! ยินดีต้อนรับถิงถิงสู่กระโจมแม่ทัพ! กระโจมที่งดงามและกว้างขวางที่สุดในค่าย! ของของเจ้าก็ขนมาไว้ในกระโจมนี้เรียบร้อยแล้ว จะหยิบจะจับสิ่งใดก็ตามสบายเลย หรือจะนอนรอท่านอ๋อง เอ๊ย หรือถ้าอยากนอนพักก็ตรงนั้นเลย เตียงขนานใหญ่สั่งทำพิเศษ เชิญอยู่ตามสบายเลยนะจ้ะ!” พูดจบก็โบกมือลาเดินถอยหลังจากไปด้วยใบหน้ายิ้มจนตาหยี ข้ามองตามเขาอย่างเจ็บใจจนน้ำตาคลอ คนแซ่เฉินข้าเกลียดเจ้าจริงๆ! เจ้าคนกลับกลอก!
ข้าลุกขึ้นยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางกระโจมขนาดใหญ่ รู้สึกเคว้งคว้างยิ่งนัก เหตุใดข้าถึงได้มาอยู่ตรงนี้เล่า!? นี่มันกระโจมของแม่ทัพ กระโจมของฉินอ๋องนี่น่า! ข้ายืนครุ่นคิดแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างขุ่นเคือง หากไม่มีคำสั่งมีหรือที่คนแซ่เฉินจะนำข้ามาที่กระโจมแห่งนี้ นี่เจ้าแมวคิดกระไรอยู่กัน!? ข้าไม่มีวันอยู่ที่นี้หรอก! ข้ามิเคยได้ยินว่าคนรับใช้จะมานอนกลิ้งเกลือกอยู่ในกระโจมเจ้านายเช่นนี้ ที่นี้มีกระโจมนอนของเหล่าทหารอยู่นี่ เหตุใดถึงไม่ให้ข้าไปนอนรวมกับพวกเขาเล่า? ข้ารีบถลาวิ่งออกไปจากกระโจมด้วยความเร็วสูง ทหารที่เฝ้าหน้ากระโจมทำเพียงกลอกตามองข้านิดหน่อยแต่ก็มิได้พูดอะไร ข้าจึงรีบวิ่งโกยเท้าไปหาพวกเพื่อนๆ
ข้าพยายามถามเหล่าทหารที่เดินเพ่นพ่านอยู่แถวนั้น ข้าเพิ่งมาเป็นวันแรกเส้นทางอันใดก็ยังจำมิได้ ได้แต่ไถ่ถามพวกเขามาตามทางเรื่อยๆ และโชคดีจริงๆ ที่ทหารเหล่านี้เป็นคนดีแม้จะเป็นคนขี้อายก็ตาม ทุกคนกระตือรือร้นที่จะตอบคำถามของข้า แถมยังพยายามซักถามข้าด้วยสีหน้าขัดเขินกระวนกระวาย สงสัยเหล่าทหารกล้าจะมิเคยพูดคุยกับผู้อื่นนอกจากเพื่อนทหารด้วยกันกระมัง ข้าไม่ได้ใส่ใจนัก พอได้คำตอบก็ยิ้มขอบคุณพวกเขาแล้วเดินจากไป เมื่อหันกลับไปมองพวกเขามักจะหน้าแดงก่ำมือไม้พันกันไปมาท่าทางขวยเขิน ทหารเหล่านี้คงมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมมิได้พบเห็นคนแปลกหน้าถึงได้มีท่าทางเขินอายอย่างมากขนาดนี้ ข้าเดินตามเส้นทางที่พวกเขาบอกจนกระทั่งไปเจอไช่ชิงที่เปิดกระโจนเดินออกมาพอดี
“ไช่ชิง!” ข้าเรียกเขาด้วยความดีใจแล้วรีบวิ่งไปหา ไช่ชิงหันมามองเห็นเป็นข้าก็พยักหน้าแล้วเอ่ยบอก
“เสี่ยวชีบ่นหาเจ้าพอดีเลย พวกเราอยู่กระโจมนี้ เจ้าเข้าไปพักผ่อนเถิด”
“แล้วเจ้าเล่า?”
“ข้าก็พักที่กระโจมนี้แหละ แต่ข้าจะไปเดินเล่นดูรอบๆ แถวนี้เสียหน่อยแล้วแวะไปดูคอกม้านะ” ไช่ชิงมีสีหน้าตื่นเต้นกระหายไปเปิดหูเปิดตาดูม้าที่นี้แบบระงับอาการแทบมิได้ ข้าหัวเราะเบาๆ เข้าใจว่าเขานั้นชื่นชอบม้าจริงๆ ข้ามองไช่ชิงเดินออกไปแล้วจึงเปิดกระโจมเข้าไปข้างในเพื่อไปหาพวกเสี่ยวชี
“เสี่ยวชี” เมื่อเข้าไปข้าก็เอ่ยเรียกเสี่ยวชีด้วยรอยยิ้มสดใส เสี่ยวชีหันมามองข้าแล้วขมวดคิ้วให้ อันใดอีกรึ? รอยยิ้มกว้างของข้ากลายเป็นหมันไปให้ทันที เจ้าเจ็ดน้อยเป็นอันใดไปอีก อุตส่าห์ยิ้มให้กลับทำหน้าบึ้งตอบเสียนี่ พอข้าเดินไปใกล้เสี่ยวชีก็ดึงแขนข้านั่งลงบนเตียงซึ่งทำมาจากแผ่นไม้หนา เป็นเตียงยาวที่มีแผ่นปูนอนของแต่ละคนจองพื้นที่ ด้านล่างเตียงแผ่นไม้นั้นก็เป็นที่เก็บข้าวของ เสี่ยวชีและเสี่ยวหยุนจะจัดข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“มัวแต่ยิ้มอยู่นั่นแหละ ของของเจ้าเล่า? ที่นอนของเจ้าอยู่ข้างข้านี่” เสี่ยวชีเอ็ดข้าเสียงดุเล็กน้อย ทำอย่างกับข้าเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นแล้วกลับบ้านช้าอย่างนั้นแหละ ข้าหาที่นี้เจอก็โชคดีช่วยแค่ไหนแล้ว แต่พออีกฝ่ายทักเรื่องข้าวของก็นึกได้ว่าลืมไว้ที่กระโจมของฉินอ๋อง เพราะรีบหนีออกมาจึงลืมหยิบติดมือมาด้วย เฮ้อ เดี๋ยวทานข้าวเย็นค่อยแวะไปเอา น่าจะไม่เป็นไรกระมัง
เจ็ดน้อยตบเตียงดังปุกๆ เขาเว้นว่างไว้ให้แก่ข้าโดยเฉพาะ ข้านั่งลงบนเตียงที่ว่างซึ่งเสี่ยวชีจองไว้ให้ ทำไมกันนะ ทำไมข้าได้นอนตรงขอบติดกระโจมเลยเล่า? พอนอนรวมกันทีไรเสี่ยวชีให้ข้านอนขอบทุกที ข้ามองไปยังสหายที่เริ่มเอนตัวนอนพักผ่อนก่อนจะถึงเวลาทานมื้อเย็น เสี่ยวชีบ่นให้ข้าราวกับตาแก่ เฮ้อ เสี่ยวชีนี่ยังไง ตกลงอายุสิบห้าหรือห้าสิบกันแน่?
“อย่าบ่นนักเลย นอนไปซะน่า” ข้าผลักเขานอนลง เสี่ยวชีถลึงตาใส่ข้าแล้วเอนตัวลงนอนตามเสี่ยวหยุนที่ตอนนี้หลับไปเรียบร้อยแล้ว เฮ้อ อิจฉาเด็กจริงๆ กินง่ายนอนง่ายยิ่งนัก ข้าหันมองหาหมอนและผ้าปูของตนเองบ้าง โชคดีที่มีสหายดี พวกเขาได้เตรียมมันไว้เผื่อข้าอีกด้วย ข้าเริ่มปูที่นอนของตัวเอง ระหว่างที่กำลังปูอยู่นั้นก็มีทหารหนุ่มหลายนายเปิดประโจมเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น พวกเขาพูดคุยกันเสียงดังโหวกเหวก
“ไหนๆ! ไหนเด็กติดตามที่พวกเจ้าบอกว่าน่ารัก!”
“นั่นไงเล่า! เจ้าบ้าอย่าพูดเสียงดังสิโว้ย! เดี๋ยวพวกเขาก็ตกใจหรอก”
“เจ้าน่ะสิเสียงดังกว่าข้า!”
ข้าปูที่นอนเสร็จก็หันไปมองพวกเขาที่ชุมนุมกันอยู่ที่หน้ากระโจม พวกเขากวาดสายตามองหาอะไรบางอย่างแล้วหยุดมองที่ข้า อืม สงสัยจะเป็นเพื่อนร่วมกระโจมกระมัง ในเมื่อจะอยู่ร่วมกันก็ต้องเป็นมิตรกับพวกเขาไว้หน่อยน่าจะดี พอพวกเขามองมาที่ข้านิ่งเงียบ ข้าก็ยิ้มให้พวกเขาเพื่อผูกมิตรไมตรี หวังว่าเราจะอยู่ด้วยกันอย่างสุขสงบ ข้าคิดว่าคงไม่มีคนประเภทขี้อิจฉาริษยาที่นี้ดังเช่นวังหย่งเฮ่ากระมัง ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น
พอข้ายิ้มพวกเขาก็เงียบกริบไม่ทักทายหรือพูดอะไรตอบกลับเลย ข้าชักจะหวั่นๆ แล้วสิ หรือว่าพวกเขาจะไม่ชอบคนแปลกหน้ากันนะ ข้ามองพวกเขาด้วยแววตาหวาดหวั่น คนพวกนั้นชักสีหน้าแทบกระตุก ยืนตัวแข็งทื่อ แววตาคล้ายจะเหม่อลอยเคลิบเคลิ้ม? หือ? เกิดอันใดขึ้น? ก่อนที่ข้าจะทันได้ถามอะไรออกไปพวกเขาก็ร้องออกมาเหมือนโดนฟาดยกมือกุมอกด้วยสีหน้าเจ็บปวด ข้าตกใจรีบเดินเข้าไปหาพวกเขาแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง หรือว่าบาดเจ็บกันนะ?
“พวกท่านเป็นอันใดหรือไม่?”
“โอ้!” พวกเขาไม่ตอบกระไรเอาแต่ร้องโอ้ๆ อยู่คำเดียว ข้ายืนมองพวกเขาด้วยความงุนงง คนพวกนี้เป็นอันใดกันแน่? ข้าขมวดคิ้วพวกเขาก็ร้องโอ้ดังขึ้น ข้าสะดุ้งตกใจถอยห่างออกมาจากพวกเขาอย่างหวาดกลัว คนพวกนั้นก็ทำหน้าทำตาเหมือนจะร้องไห้ ข้างุนงงและสับสน ไม่รู้จะเริ่มช่วยพวกเขายังไง ได้แต่ถามไถ่ออกมา แล้วพวกเขาร้องไห้ออกมาจริงๆ
“เป็นอะไรงั้นรึ? จะให้ข้าช่วยอะไรพวกท่านหรือไม่?”
“โอย ช่วยน่ารักน้อยลงได้หรือไม่?”
“โอย นั่นสิ ช่วยงามน้อยลงกว่านี้เถิด ข้าจะหยุดหายใจอยู่แล้ว”
“หา?” ข้าขมวดคิ้วร้องออกมาอย่างงุนงง อะไรของพวกเขากัน? ถึงแม้ว่าพวกเขาจะร้องโอดโอยเจ็บปวดและบอกว่าจะหยุดหายใจแต่ก็มิเห็นว่าจะเป็นอันใดเลย ข้ากะพริบตาแล้วถอนหายใจโล่งอก นี่เป็นการกลั่นแกล้งรับคนใหม่งั้นรึ? ข้างงๆ แต่มิได้ติดใจอันใด คิดเพียงว่าเป็นการกลั่นแกล้งที่ไม่น่ากลัวเลยจริงๆ
“ไปกินข้าวเย็นเถอะ” เสี่ยวชีปลุกเสี่ยวหยุนให้ตื่นแล้วเดินมาลากข้าที่ยืนมองพวกทหารกล้าทรุดตัวทีละคน เจ็ดน้อยลากข้าและเสี่ยวหยุนพลางบอกจะไปกินข้าว เสี่ยวหยุนที่ถูกปลุกทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมให้เสี่ยวชีลากไปด้วย ส่วนข้านั้นไม่ปฏิเสธอยู่แล้วละ เพียงแค่สงสัยว่าเสี่ยวชีโมโหอันใดอยู่ ตอนนี้เสี่ยวชีทำหน้าหงุดหงิดพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ติดต่อกันมิหยุด เขาลากข้าและเสี่ยวหยุนออกไปจากกระโจม ข้าหันไปมองด้านหลังเห็นเหล่าทหารออกมายืนโบกมือด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจนตาแทบปิด จากนั้นข้าก็เห็นพวกเขาโวยวายแย่งที่นอนกันจ้าละหวั่น
“ให้ตายเถิด วุ่นวายดีแท้” เสี่ยวชีบ่นงึมงำในลำคอด้วยใบหน้าหงิก ข้าเลิกคิ้วมองเขาอย่างสงสัย เหตุใดเสี่ยวชีถึงชอบอารมณ์เสียนัก อารมณ์บ่อยๆ จะพานสุขภาพไม่ดีเอาได้นะ พอข้าบอกกล่าวไปเช่นนั้นเสี่ยวชีขึงตาดุร้ายใส่ข้าทันที นี่ข้าพูดอันใดผิด เฮ้อ ข้ารึอุตส่าห์เตือนด้วยความหวังดีแท้ๆ
พวกเราสามคนมาที่โรงอาหารแต่อาจจะมาเร็วเกินไปอาหารเย็นยังทำไม่เสร็จ ดังนั้นพวกข้าจึงอาสาเข้าไปช่วยงานในห้องครัว ทหารพ่อครัวหรือที่ทุกคนเรียกเขาว่าหัวหน้าเถาก็ยิ้มรับด้วยใบหน้าดีใจที่มีคนงานมาช่วยอีกแรง พวกข้าที่พอผ่านงานเหล่านี้มาบ้างทำได้คล่องแคล่วจนหัวหน้าเถายิ้มปลาบปลื้ม โดยเฉพาะข้าที่สามารถช่วยเขาทำอาหารและคุมผู้ช่วยคนอื่นๆ ไปด้วย บางเรื่องยังให้คำแนะนำเขาเพื่อทำให้อาหารออกมามีรสชาติดีกว่าเดิม
“ดีจริงๆ ที่ได้พวกเจ้ามาช่วย เฮ้อ! ข้าน่ะทำผู้เดียวจนหน้ามันเยิ้มไปหมดแล้ว พวกมือเท้าหนักเหล่านี้ใช้มิได้เลยสักคน” หัวหน้าเถาผู้เป็นนายทหารหัวหน้าหมวดรับผิดชอบปากท้องของชาวค่ายเอ่ยบ่นให้พวกข้าฟังหลังจากที่เตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้ว ข้ามองไปยังทหารผู้น้อยที่สังกัดหมวดห้องครัวในกองพลาธิการ รู้สึกสงสารพวกเขาเล็กน้อย ดูจากหน้าตาแล้วยังอ่อนเยาว์กันทุกคนน่าจะเป็นทหารใหม่ ข้าได้ยินพวกเขาบ่นว่าหมวดห้องครัวนี่ไม่มีทหารคนใดอยากมาสังกัด มีเพียงทหารใหม่ที่มีปากมีเสียงไม่ได้เข้ามาอยู่ พอนานไปก็จะทำการโยกย้ายไปสังกัดหมวดอื่นหรือข้ามกองไปเลยก็มี
“หัวหน้าเถา ท่านรองแม่ทัพสวินขอข้าวเย็นสองชุดขอรับ” ทหารผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงานหัวหน้าเถาที่รับผิดชอบอาหาร หัวหน้าเถาหันไปเอ่ยถามทหารผู้นั้น
“ท่านรองแม่ทัพสวินจะกินที่นี้หรือที่กระโจมเล่า?”
“ที่นี้ขอรับ”
“ได้ รอสักครู่” หัวหน้าเถาพยักหน้ารับรู้พลางโบกมือให้ลูกมือทั้งหลายเตรียมอาหารให้แก่รองแม่ทัพ และบอกให้พวกเขาขนย้ายหม้อข้าวและหม้ออาหารออกไปตั้งโต๊ะข้างนอก เพื่อเตรียมตักอาหารให้แก่ทหารที่เริ่มทยอยกันมาทานมื้อเย็น ส่วนข้าที่ได้ยินชื่อของรองแม่ทัพสวินก็เกิดความอยากรู้อยากเห็น แอบขยับไปเมียงมองไปยังโรงอาหาร กวาดสายตามองชั่วครู่ก็เห็นเป้าหมาย...รองแม่ทัพสวิน!
ข้ามองรองแม่ทัพสวินด้วยสายตาชื่นชม ท่าทางองอาจห้าวหาญเป็นอย่างยิ่ง สมแล้วที่เป็นขุนพลคนสนิทของฉินอ๋อง! ไม่เพียงแค่ข้าเท่านั้น เสี่ยวชีเองก็เข้ามาแอบส่องด้วยกันกับข้า เขาจ้องมองรองแม่ทัพสวินแล้วถอนหายใจด้วยความชื่นชม เอ่ยยกย่องท่านรองแม่ทัพสวินยาวเหยียด สีหน้าของเสี่ยวชีเริ่มเพ้อพกไปไกลแสนไกลอีกครั้ง
“ท่านรองแม่ทัพสวินช่างเป็นบุรุษผู้หล่อเหลาและองอาจยิ่งนัก ดีเหลือเกินที่ข้ามาค่ายแห่งนี้”
หือ? บุรุษงั้นรึ? ข้ามองเสี่ยวชีที่มิได้มองจุดเดียวกันกับข้า ข้าขยับสายตาไปอีกหน่อยก็เห็นหนุ่มหล่อเหลาผู้มีใบหน้านุ่มนวลอ่อนโยนซึ่งเป็นคนที่เสี่ยวชีกำลังเพ้อฝันหา ข้าถอนหายใจแล้วส่ายหน้า เสี่ยวชีนี่มองหาแต่บุรุษชั้นเลิศจริงๆ คนที่ข้ากำลังแอบมองอยู่นั้นมิใช่รองแม่ทัพสวินคนนั้น แต่เป็นรองแม่ทัพสวินอีกคนที่เป็นสตรีต่างหาก!
รองแม่ทัพสวินนั้นหมายถึงสองพี่น้องฝาแฝดชายหญิงแห่งสกุลสวินที่เป็นสกุลขุนนางฝ่ายบู๊มายาวนาน สวินหยางกับสวินลี่ รองแม่ทัพผู้เก่งกาจขุนพลคู่ใจของฉินอ๋อง รองแม่ทัพสวินชายข้ามิได้สนใจอันใดนอกเสียจากเป็นลูกน้องคนสนิทของฉินอ๋อง แต่รองแม่ทัพสวินหญิงต่างหากเล่าที่ข้าสนใจยิ่งนัก! สวินลี่ นางเป็นอิสตรี! อิสตรีที่เป็นที่ทะนุถนอมของผู้คนในสังคม แต่ทว่านางกลับมิยอมเข้าวังเตรียมเนื้อเตรียมตัวเป็นว่าที่พระสนมหรือว่าที่ชายา นางเลือกที่จะออกจากบ้านเข้าสู่สนามรบด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว! ข้านับถือนางยิ่งนัก เป็นคนที่ทำตามความใฝ่ฝันของตนโดยมิได้สนคำผู้ใด ข้าอยากจะเป็นดั่งเช่นรองแม่ทัพสวินลี่ งดงามห้าวหาญ!
ข้ากับพวกเสี่ยวชีถูกขอร้องให้ช่วยตักอาหารให้แก่เหล่าทหาร พวกข้าก็เต็มใจช่วยเพราะหัวหน้าเถาดูอ่อนล้าเป็นอย่างมาก สมควรได้พักผ่อนบ้าง อีกอย่างพวกข้าทานมื้อเย็นเรียบร้อยตั้งแต่ทำมื้อเย็นเสร็จใหม่ๆ แล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกข้าจึงมายืนตักอาหารให้แก่เหล่าทหาร เสี่ยวชีเป็นคนตักข้าว เสี่ยวหยุนตักผัด ข้าตักน้ำแกงเป็นคนสุดท้าย ระหว่างตักให้ข้าก็เอ่ยเตือนพวกเขาอย่างหวังดีไปด้วย
“ระวังหน่อยนะขอรับ น้ำแกงยังร้อนอยู่”
“อ่า~ ช่างดีต่อจิตใจยิ่งนัก”
ข้าเห็นพฤติกรรมแปลกๆ จากพวกเขาอีกครั้ง เหตุใดพวกทหารถึงได้ดูเคลิบเคลิ้มกันเช่นนั้น โดยเฉพาะคนที่ข้าเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี พวกเขาทำหน้าราวกับบรรลุความฝันเดินตัวล่องลอยหน้าบานซับเลือดสีระเรื่ออย่างมีความสุข ได้ทานข้าวเย็นถึงกับมีความสุขปานขึ้นสวรรค์เพียงนั้นเชียวรึ? หรือว่าที่นี้ฝึกทหารหนักหน่วงยิ่ง? อ่า อาจจะเป็นไปได้ ฉินอ๋องเป็นคนเข้มงวดเป็นอย่างมากด้วยสิ ข้าเริ่มหวั่นๆ บทเรียนที่ฉินอ๋องเตรียมจัดให้บ้างแล้ว หวังว่าจะไม่เข้มข้นจนเกินไป
“หัวหน้าเถา วันนี้อาหารอร่อยยิ่งนัก พี่ชายและข้าชื่นชอบมาก”
ข้าได้ยินก็รู้สึกปลาบปลื้มสุดๆ รองแม่ทัพสวินลี่เดินเข้ามากล่าวชมกับหัวหน้าเถาที่นั่งพักอยู่ข้างๆ พวกข้า หัวหน้าเถายิ้มรับแล้วเอ่ยบอกว่าทุกคนช่วยกันและยังเอ่ยถึงพวกเราอีกด้วย รองแม่ทัพฝาแฝดหันมามองพวกข้าที่รีบโค้งตัวคำนับอย่างนอบน้อม พวกเขามองอย่างแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าเอ่ยชมพวกข้าสองสามคำแล้วเดินออกไปพร้อมกัน ข้ามองตามรองแม่ทัพสวินลี่อย่างชื่นชม ช่างเท่เหลือเกิน! ห้าวหาญยิ่งนัก!
“เฮ้อ นางชอบอาหารอร่อยๆ หรือข้าควรจะไปฝึกทำอาหารดีนะ?” เสียงพึมพำอย่างจนใจดังมาจากด้านหน้าของข้า ข้าหันไปมองพอดีกับที่คนผู้นั้นหันมามองข้า ข้าทำสายตาว่างเปล่าใส่เขาไปอย่างเย็นชา รององครักษ์เฉินยิ้มรับไม่รู้สึกรู้สาก่อนจะเอ่ยเร่งให้ข้าตักแกงให้แก่เขา ข้าตักแกงให้เขาจงใจตักแต่น้ำและผักให้ หึ! อย่าหวังจะได้เนื้อไก่ไปเลยคนแซ่เฉิน!
“อ้อ จริงสิ ท่านอ๋องจะกลับมาดึกๆ นะ เจ้าไม่ต้องรอท่าน นอนไปก่อนเลย”
ข้าตักผักออกจากถ้วยแกงของเขา คนแซ่เฉินซดแต่น้ำแกงเถิด เนื้อไม่ให้ผักก็ไม่ต้องเอา! รองหัวหน้าองครักษ์เฉินมองถ้วยแกงที่ข้าส่งให้ด้วยสีหน้ายิ้มค้าง เชอะ ข้ามองใบหน้ายิ้มน่าหมั่นไส้ของเขาด้วยสายตาเย็นชา และมิได้ตอบใดๆ กลับไป ฉินอ๋องจะกลับมายามใดก็มิได้เกี่ยวข้องกับข้าเสียหน่อย! ข้าไม่คิดจะสนใจสิ่งที่คนแซ่เฉินกล่าวหันไปตักอาหารให้แก่คนอื่นต่อ พวกเราช่วยกันตัดข้าวกันไปเรื่อยๆ ผ่านไปนานแล้วแต่ก็รู้สึกว่าโรงอาหารยังแออัดมิลดลงเลย แถมแต่ละคนก็ขยันมาขอเติม ข้าได้แต่แปลกใจที่ทหารเหล่านี้ชื่นชอบน้ำแกงกันเหลือเกิน เสี่ยวชีมองเหล่าทหารด้วยสายตาเห็นใจแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพึมพำคล้ายไว้อาลัยให้แก่พวกเขา
“พวกเจ้าตายแน่ๆ เฮ้อ ขอให้โชคดีละกัน”
ข้ามองเสี่ยวชีอย่างไม่เข้าใจ เพียงทานน้ำแกงมากไปหน่อยก็มิน่าจะตายได้นะเสี่ยวชี!
รองแม่ทัพสวิน / สวินหยางกับสวินลี่
อยากจะบอกกับหนูถิงถิงว่าน้ำแกงทั่วไปไม่ตายหรอก
แต่น้ำแกงที่ถิงถิงตักให้น่ะตายแน่นอน
หากท่านกลับมาที่ค่ายแล้วเห็นอาการทหารแต่ละคน
การฝึกซ้อมทหารคงจะโหดมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่อยากคิดถึงสภาพทหารผู้มิรู้อิโน่อิเหน่ใดๆ
ก็ต้องพูดคำนี้อีกครั้ง 'สงสาร(พวก)เขานะคะ' 55555555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ต้องมีคนโดนทำโทษนะ น้องถิงลูกเเม่ ไม่รู้เลยเรอะว่าตัวเองเเอทเเทคขนาดไหน ฮือ
ยัง ยังไม่รู้ตัวอีก ว่าทำให้คนในค่ายเดือดร้อนแล้วถิงถิง
ป.ล.ตำแหน่งกุ้ยเฟยมีได้แค่คนเดียว ตำแหน่งมเหสีมี 4 คนคือ กุ้ยเฟย ซูเฟย เต๋อเฟย เสียนเฟย ตำแหน่งละ1คนจ๊ะ
ทั้งสี่ตำแหน่งที่พูดมาไม่ใช่มเหสีค่ะ
แต่เป็นสนมทั้งสีที่มีอำนาจมากที่สุดในวังหลัง
ขอแจกแจงว่าตำแหน่งของสนมทั้งสี่เป็นอีกหนึ่งในสี่ของตำแหน่งจักรพรรดินีแห่งวังหลัง
1.ไท่โหวไท่เฮ่า
เป็นไท่เฮ่า(หากเป็นจีนกวางตุ้งจะออกเสียงว่าไทเฮา)ของรัชกาลก่อน... พูดง่ายๆคือเป็นแม่ของหวงตี้(จีนกวางตุ้งออกเสียงว่าฮ่องเต้)องค์ก่อนค่ะ
2.ไท่เฮ่า(จีนกวางตุ้งออกเสียงว่าไทเฮา)มาจากหลายกรณี
2.1มีลูกชายให้หวงตี้องค์ก่อน(หากมีลูกสาวจะได้ตำแหน่งไท่อี๋)
2.2เป็นหวงโฮ่วของจักรพรรดิองค์ก่อน
3.ฮองเฮา
มเหสีของหวงตี้องค์ปัจจุบัน(หากต้องการแต่งตั้งผู้ชายให้เป็นมเหสีจะต้องได้ตำแหน่งขุนนาง... แต่เป็นขุนนางตำแหน่งเท่าใดก็จำไม่ได้ค่ะ
4.ตำแหน่งสี่สนมเอก
มีชื่อตำแหน่งตามที่คุณบอกเลยค่ะ
เมื่อหวงตี้สวรรคตสนมรักทั้งสี่จะถูกฝังเป็นตามไปเพื่อให้ไปรับใช้หวงตี้
ตำแห่งนี้มีได้แค่สี่คน... ในขณะที่หวงโฮ่ว, ไท่โฮ่วมีได้หลายคน(โดยไทาโฮ่วที่ลูกชายได้เป็นฮ่องเต่จะมีตำแหน่งสูงสุด/อาจลดลงมาเมื่อทำผิดหรือหวงตี้ถูกถอดยศและไท่โฮ่วบางคนถูกตัดสินให้ตายตามหวงตี้ที่ถูกประหาร
มันไม่ใช่คนสองคน ครั้งสองครั้ง แต่นี้เป็นกับทุกคนทุกครั้ง เวลายิ้มทุกคนก็หน้าแดงหมด
ตัวเองก็มีความรักจะไม่รู้จริงๆหรอ
จะซื่อบื้อยังไงก็ต้องรู้บ้างแหละ ไม่ได้โง่สักหน่อยที่จะไม่รู้เลยแบบนี้
แรกๆมันไม่เท่าไหร่หรอกแต่หลังๆมามันมากไปแล้ว
ไม่โง่ก็ต้องรู้อ่ะ ทำเป็นไม่รู้มันน่ารำคาญ
ปล. เราชอบเรื่องนี้นะสนุก อ่านเพลินดี เพิ่งอ่านวันเดียวถึงตอนนี้แหละ ซื่อบื้อเรารับได้นะแต่กับเรื่องนี้ของนางเราไม่ไหวแล้วจริงๆ