ตอนที่ 13 : ตอนที่ ๑๓ ออกเดินทาง
ตอนที่ ๑๓ ออกเดินทาง
รุ่งเช้าในวันต่อมาข้ารีบตื่นลืมตาตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ ข้ามิได้ตื่นเต้นอันใด เพียงแต่จะลุกขึ้นมาเตรียมพร้อมในการเดินทางไกลต่างหาก อีกอย่างข้ายังมิได้จัดเสื้อผ้าเลย ข้ารีบห่อข้าวของสิ่งจำเป็น ก่อนจะคิดได้ว่าต้องไปเอาของบางอย่างกับพ่อครัวหวังเสียก่อน สิ่งนั้นคือสร้อยของท่านแม่ของข้านั่นเอง ส่วนเงินและของมีค่าอื่นๆ ข้าจะฝากไว้ที่พ่อครัวหวังอีกสักหน่อย ไปชายแดนหอบสิ่งมีค่าติดตัวไปด้วยจะเป็นอันตรายเสียเปล่า ดังนั้นเมื่อจัดข้าวของเสร็จข้าก็มุ่งหน้าไปห้องครัวเพื่อไปหาพ่อครัวหวัง ในยามนี้ห้องครัวเปิดไฟสว่างจ้าเพื่อเริ่มทำงานของพวกเขาแล้ว ข้าเดินเข้าไปผงกศีรษะทักทายคนอื่นๆ ในห้องครัว พวกเขากำลังวุ่นวายในการเตรียมมื้อเช้าแก่พวกข้าที่จะเดินทางไปชายแดน และยังต้องเตรียมข้าวห่อรับประทานระหว่างการเดินทางอีกด้วย
พ่อครัวหวังเช็ดไม้เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วเงยหน้ามาพยักหน้าให้แก่ข้าหลังจากที่ข้าเอ่ยธุระออกไป เขาเดินนำข้าไปยังห้องของเขา พ่อครัวหวังให้ข้ารอสักครู่แล้วเดินเข้าไปเพื่อนำสิ่งที่ข้าต้องการมาให้ สักพักใหญ่พ่อครัวหวังก็เดินออกมาพร้อมกับสร้อยเงินเรียบๆ จี้หินกลมรีสีขาวซีดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ข้าเอ่ยขอบคุณแล้วรับสร้อยนั้นมาสวมคอ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าสวมสร้อยเส้นนี้ตั้งแต่ตอนที่แม่ของข้าเสียชีวิตไป ราวกับอุปาทานไปเองข้ารู้สึกอุ่นวาบไปทั่วทั้งร่าง คล้ายกับว่าข้าถูกสวมกอดจากท่านแม่ ข้ากำหินสีขาวในมือแล้วเงยหน้ามองพ่อครัวหวังที่กำลังเอ่ยเตือนด้วยความห่วงใย
“ระวังตัวด้วย ที่ชายแดนนั้นอันตรายไม่เหมือนเมืองหลวงของเรา”
“ขอรับ ข้าจะพยายามสุดชีวิตเพื่อรักษาเนื้อรักษาตัวกลับมาทานอาหารเลิศรสของท่านให้จงได้”
“เจ้านี่น่า เอาเถิด ไปเตรียมตัวได้แล้ว ประเดี๋ยวคงจะได้ทานข้าวเช้า”
“ขอรับ” ข้ายิ้มขอบคุณ พ่อครัวหวังลูบศีรษะข้าก่อนเดินจากไป ข้ายกมือแตะศีรษะของตนเองแล้วหันมองตามพ่อครัวหวังอย่างอดเขินมิได้ ข้าอายุยี่สิบแล้วแต่มาถูกลูบหัวเช่นเด็กน้อยแบบนี้มันก็อดขัดเขินมิได้ ถึงแม้ร่างของข้าจะยังเป็นเด็กอายุสิบสี่ก็ตาม ข้าหันหน้าเดินไปยังเรือนนอนของเหล่าเด็กรับใช้เพื่อไปล่ำลาเสี่ยวชีและเพื่อนคนอื่นๆ เฮ้อ ข้าคงจะเหงามิใช่น้อยที่จะมิได้เจอเสี่ยวชีเจ้าเด็กแก่แดดอย่างเช่นเมื่อก่อน พอข้ามาถึงห้องนอนเดิมก็เห็นเพียงเสี่ยวหยุนและไช่ชิงที่กำลังพับเสื้อผ้าใส่ห่อผ้า ข้าเดินเข้าไปในห้องแล้วเอ่ยถามพวกเขาเมื่อไม่เห็นเสี่ยวชี
“แล้วเสี่ยวชีเล่า?”
“ไม่รู้เช่นกัน ตั้งแต่พวกข้าตื่นก็มิเห็นเขาแล้ว” เป็นไช่ชิงที่ตอบคำถามเขา ข้าพยักหน้าแปลกใจแกมสงสัย เจ็ดน้อยตื่นเช้ากว่าพวกไช่ชิงอีกงั้นรึ? เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมาก ปกติแล้วเขาจะตื่นหลังสุด หากมีข้าอยู่ก็เป็นข้าที่รับหน้าที่ปลุกเขา ข้าถอนหายใจมิคาดว่าจะไม่ได้เอ่ยคำลากับสหายก่อนจากกัน เอาเถิด อย่างไรเสียอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าหากข้ายังอยู่รอดปลอดภัยคงต้องกลับมาเจอกันนั่นแหละ ข้าหันไปมองพวกไช่ชิงที่มัดห่อผ้ากันเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยถามพวกเขาอย่างสงสัย
“พวกเจ้าเตรียมตัวไปชายแดนงั้นรึ?”
“ใช่ๆ! ครั้งนี้อาจารย์ให้ข้าไปด้วย อาจารย์บอกข้าว่า ‘เจ้าฝึกมานานพอสมควรแก่เวลาที่จะได้ลงสนามจริงเสียสักที’” เสี่ยวหยุนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงคึกคะนองเป็นเด็กน้อย เขายิ้มหน้าบานราวกับตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยว ก่อนจะทำหน้าเคร่งขรึมเอ่ยเสียงเข้มพยายามเลียนแบบอาจารย์ของเขาหรือก็คือหัวหน้าองครักษ์จางฉีหลิน ข้ายิ้มขำอย่างเอ็นดูนิดๆ แล้วหันไปมองไช่ชิงที่พอข้าหันไปเขาก็แก้มแดงระเรื่อเหมือนเขินอายก่อนจะหลบสายตาของข้าแล้วเอ่ยตอบเสียงเบา
“เช่นเดียวกับเสี่ยวหยุน ข้าเองก็ต้องไปสะสมประสบการณ์เกี่ยวกับการคุมม้าน่ะ”
“ดียิ่ง ข้านึกจะไม่มีเพื่อนไปที่นั้นเสียแล้ว”
“เย้! ข้าจะได้กินขนมอร่อยๆ ที่ถิงเกอเกอเป็นคนทำอีก ข้าชอบมากเลย” เสี่ยวหยุนทำตาโตอย่างตื่นเต้นแล้วกระโดดโลดเต้นลงมาจากเตียงวิ่งเข้ามากอดข้าไว้แน่นจนกระดูกลั่นดังเปรี๊ยะ ข้ายิ้มแหยๆ ให้เด็กน้อยผู้มีพละกำลังเหนือมนุษย์ทั่วไปที่ดีใจจนลืมตัวเผลอเข้ามากอดข้าด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล ไช่ชิงเห็นข้าทำหน้าเขียวเขาก็รีบเอ่ยเตือนเสี่ยวหยุน
“ปล่อยถิงเกอเกอของเจ้าก่อนเถิด มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีผู้ใดทำขนมให้กินอีกเป็นแน่”
“อ่า ข้าขอโทษ! ข้าลืมไปน่ะ” เสี่ยวหยุนเงยมองข้าที่หน้าเขียวคล้ำก็รีบผละตัวออกไปแล้วก้มหน้าก้มตาเอ่ยขอโทษด้วยท่าทางรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก หน้าสลดไปหลายชุ่น(๑ชุ่น≈๑นิ้ว) ข้าสูดลมหายใจแล้วตบไหล่เสี่ยวหยุนเบาๆ เป็นการบอกเขาว่าข้ามิได้เป็นอันใด จากนั้นข้าก็ขอตัวกลับไปทำงานรับใช้ท่านอ๋อง ก่อนจากไปข้าฝากให้พวกเขาล่ำลาเสี่ยวชีแทนข้าด้วย
เมื่อเดินกลับมาที่ตำหนักใหญ่ข้าก็ไปหาฉินอ๋องที่ตอนนี้น่าจะตื่นแล้ว ข้ายกอ่างน้ำล้างหน้ามาตั้งไว้ที่เดิมและหันไปมองแมวง่วงที่นั่งหน้าซึมอยู่บนเตียง ข้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ดวงตาของเขาราวกับคนมิได้นอน มันอ่อนล้าและแดงก่ำ ฉินอ๋องเงยหน้าขึ้นมามองข้าแล้วกวักมือเรียกข้าไปหา ข้าเดินไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง ท่าทางของเขาน่าเป็นห่วงจริงๆ
“มานี่”
ข้าหยุดยืนอยู่ห่างจากเขากำลังอ้าปากถามแต่ฉินอ๋องก็กวักมือเรียกให้เข้าไปหาใกล้อีก แม้จะสงสัยแต่ด้วยความเป็นห่วงข้าจึงเดินเข้าไปหาเขาแต่โดยดี ไปยืนอยู่ใกล้ๆ แมวที่ก้มหน้ากุมศีรษะราวกับไม่สบาย ข้าเกือบเผลอตัวยกมือลูบศีรษะของเขา โชคดีที่รู้สึกตัวก่อนรีบหดมือกลับมาจังหวะเดียวกับที่เขาเงยหน้ามามองข้า ข้าหยุดชะงักกะพริบตามองเขาตอบ ฉินอ๋องจ้องมองข้าอยู่ชั่วครู่แล้วถอนหายใจหลับตาลง เอนศีรษะพิงบนอกของข้าแล้วพึมพำเสียงเบา
“ง่วง”
“.....” มือของข้าชะงักค้างกลางอากาศ ง่วง? ง่วงงั้นรึ!? ข้านึกว่าเขากำลังซึมเศร้าจากปัญหาเมื่อวานที่ไปเจอในวังเสียอีก! แต่เจ้าแมวบ้านี่กลับบ่นว่าง่วงออกมาเสียอย่างนั้น แถมยังใช้ข้าต่างหมอน หลับตาพริ้มนอนหน้าตาเฉย ข้าอุตส่าห์เป็นห่วง บ้าจริง! ข้าสะบัดมือที่คิดจะปลอบเขาลงอย่างหงุดหงิด จ้องเขม็งเจ้าแมวที่ยังนอนซุกอกข้าด้วยสายตาไม่พอใจ ข้ายืนนิ่งนับในใจอดทนอดกลั้นต่อการเอารัดเอาเปรียบของเจ้าแมว
(ก็ข้าง่วงนี่น่า งือออ//ซบอกนิ่ง)
ผ่านไปสักพักฉินอ๋องก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปล้างหน้าตื่นเต็มตา ข้ายังยืนทื่ออยู่ที่เดิม จากนั้นก็หันไปมองฉินอ๋องที่ล้างหน้าเสร็จแล้ว เขาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหันมามองข้าด้วยสายตาคล้ายไล่ ข้าคิ้วกระตุก ใบหน้าคมคายของเขาราบเรียบไม่คล้ายคนง่วงนอนเมื่อครู่เลยสักนิด ลุกไปแล้วกลายเป็นคนละคนเชียว ข้าเดินออกไปจากห้องเงียบๆ ในใจรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก เจ้าแมววววว! ฮึ่ม! ฮึ่ม! ข้าฟาดฟันอากาศตรงหน้าจนปวดแขนแล้วค่อยๆ สงบสติอารมณ์กลับมาใจเย็นเป็นปกติอีกครั้ง ข้าเดินเข้าไปในห้องรับประทานอาหารเพื่อเตรียมสำรับข้าวมื้อเช้าแก่เจ้านาย
ข้ายืนรอเหล่านกหงส์หยกยกสำรับข้าวเช้าของท่านอ๋องเข้ามาวางบนโต๊ะ น่าแปลกที่คราวนี้เหล่านกหงส์หยกนั้นมิได้พูดแขวะอันใดให้แก่ข้า พวกเขายิ้มแย้มแจ่มใสใบหน้าเอิบอิ่มไปด้วยแสงรังสีแห่งความสุข เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ? เหตุใดพวกเขาถึงได้ทำตัวสงบเสงี่ยมเช่นนี้ ก่อนเดินออกไปพวกเขาหัวเราะคิกคักทำเป็นมองเมินไม่เห็นข้า เอาเถิด มองเมินดีกว่าพูดแขวะนั่นแหละ พอคนพวกนั้นเดินจากไปข้าเดินไปที่โต๊ะ เตรียมตะเกียบและถ้วยข้าวให้แก่ฉินอ๋อง ไม่ลืมคดข้าวให้ตนเองด้วย ข้านั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร มันดูบังอาจมากแต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตข้าจำเป็นต้องบังอาจแล้ว
จากนั้นฉินอ๋องก็เดินเข้ามาเขาเห็นข้านั่งรอก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ แต่ทว่าดวงตาไร้แววไม่ชอบใจใดๆ ออกจะพึงพอใจเสียด้วยซ้ำ เขาเดินมานั่งบนโต๊ะแล้วเริ่มทานมื้อเช้าเงียบๆ ข้าเองก็เริ่มทานพลางเหลือบมองเจ้าแมวที่นั่งถือถ้วยข้าวเคี้ยวอย่างสุภาพเรียบร้อย ดวงตาของข้าเปล่งประกายวูบ โฉบตะเกียบคีบของบางอย่างแล้ววางบนถ้วยข้าวของเจ้าแมวก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานข้าว เจ้าแมวชะงักแล้วเหลือบมามองข้านิ่งๆ ข้าเงยหน้าเหลือบมองไปทางเขาแวบหนึ่ง อาศัยจังหวะที่เขาถือถ้วยข้าวไว้นิ่งๆ คีบอาหารจัดใส่ถ้วยของเขาจนเต็มแล้วก้มทานข้าวในส่วนของตนเองอย่างรวดเร็ว ข้ามิได้ทำแก้เขินแต่อย่างใด กินเสร็จข้าก็รีบลุกขึ้นเดินจากไป ปล่อยให้เจ้าแมวนั่งนิ่งอยู่กับกับข้าวที่ข้าจงใจคีบให้ แน่นอนข้ารู้ว่าเขาชอบไม่ชอบสิ่งใดบ้าง ดังนั้นจึงสรรหาเลือกสิ่งที่เขาไม่ชอบคีบใส่จนล้นถ้วย!
ง่วงงั้นรึ? จงทานของเหล่านั้นแล้วตาสว่างซะเจ้าแมว!
ข้าเดินหน้าตึงออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจแมวที่ยังจ้องถ้วยในมือไม่รู้จะจัดการอย่างไร สีหน้าของฉินอ๋องตอนข้าเดินจากมานั้นตลกเป็นที่สุด ข้าขำเล็กน้อยและรีบโกยอ้าวออกมาก่อนจะถูกอีกฝ่ายหาเรื่องลงโทษ ข้ามาเตรียมของอาบน้ำให้แก่ฉินอ๋องแล้วกลับมายังห้องของตนเองทำความสะอาดร่างกายเตรียมตัวออกเดินทาง
หนึ่งชั่วยามต่อไปคณะเดินทางทุกคนไปรวบรวมกันที่ลานหน้าประตูวังหย่งเฮ่า ข้าเดินตามหลังฉินอ๋องไปสมทบพวกที่รออยู่ก่อนแล้ว คณะเดินทางกลุ่มแรกได้เดินทางไปก่อนแล้วเป็นกลุ่มที่ไปสำรวจเส้นทางและสะสางทางให้ก่อน กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่ขนเสบียงและดูแลเสบียงพวกเขาได้ออกเดินทางไปเมื่อครู่นี้ เหลือกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มของฉินอ๋องนั่นเอง
ฉินอ๋องหยุดเดินแล้วหันมายกมือบอกให้ข้ารออยู่ตรงนี้ เขากำลังจะหันตัวเดินจากไปแต่ก็หยุดแล้วก้มหน้าลงมามองสร้อยบนคอของข้านิ่ง มีอะไรงั้นรึ? ข้าก้มมองสร้อยของตนเองแล้วเอ่ยบอกเขา บางทีฉินอ๋องอาจจะแปลกใจที่ข้าใส่สร้อยเส้นนี้กระมัง เพราะข้ามิเคยใส่มันเลยตั้งแต่มาอยู่วังหย่งเฮ่า
“เป็นสร้อยของท่านแม่ข้าขอรับ”
“อืม รักษามันไว้ดีๆ” ฉินอ๋องพยักหน้าแล้วเอ่ยบอกข้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาจ้องมองสร้อยของข้าอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้ามามองข้า
“แน่นอนขอรับ” ข้ายิ้มรับพร้อมกับลูบหินกลมรีสีขาวซีด ฉินอ๋องไม่พูดอะไรอีก เขาหันตัวเดินออกไป ฉินอ๋องเดินไปหาพ่อบ้านหม่าแล้วเอ่ยกับพ่อบ้านหม่าอยู่นาน สงสัยจะกำชับและสั่งงานให้พ่อบ้านหม่าทำกระมัง ข้ามองตามเขาแล้วลูบหินสีขาวนั้นเบาๆ พร้อมครุ่นคิดไปยังชีวิตที่แล้ว ตอนนั้นข้าถูกพวกเด็กรับใช้ด้วยกันขโมยมันไปแล้วข้าก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย ในชีวิตที่แล้วข้าเคยบอกเรื่องสร้อยเส้นนี้แก่ฉินอ๋อง เขารับปากบอกว่าจะหาสร้อยของแม่ข้าให้ แต่กระทั่งข้าตายก็ไม่มีโอกาสได้เห็นสร้อยเส้นนี้อีกเลย บางทีฉินอ๋องอาจจะหลงลืมไปแล้วกระมัง
ข้ากวาดสายตามองเหล่าคนที่จะเดินทางร่วมกัน ข้าเห็นเสี่ยวหยุนกับไช่ชิงด้วย ดีใจจัง มีเด็กรุ่นเดียวกับข้าอยู่ในกลุ่ม จากนั้นก็ยังมีหัวหน้าองครักษ์จาง รองหัวหน้าองครักษ์เฉิน และองครักษ์คนสนิทอีกยี่สิบนาย ในนั้นมีจิ้นเกอรวมอยู่ด้วย อ่า ครั้งนี้จิ้นเกอมิได้ไปอยู่ในกลุ่มสำรวจเส้นทางสินะ องครักษ์ส่วนใหญ่ไปรวมตัวอยู่ในกลุ่มที่สองที่ต้องรับผิดชอบลำเลียงเสบียงอาหาร อารักขามิให้ถูกปล้นชิง
“ไม่เอา! ข้าจะขี่ม้าเอง! อาจารย์ข้าอยากขี่ม้าเอง!” เสียงของเสี่ยวหยุนดังขึ้นอย่างดื้อดึง เขาโวยวายกระทืบเท้าเป็นเด็กๆ ก่อนจะทำหน้าบึ้งหน้างอใส่หัวหน้าองครักษ์จางที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวหน้าองครักษ์จางทำหน้านิ่งเป็นศิลาเช่นเดิม เขาเอ่ยเสียงเข้มเพื่อบอกให้ลูกศิษย์เชื่อฟังแต่โดยดี
“มิได้ เจ้ายังขี่ม้ามิเชี่ยวชาญ ซ้ำระยะทางยังไกลมาก เราต้องเร่งกลับไปให้เร็วที่สุด”
“อาจารย์ให้ข้าขี่ม้าเองเถอะ นั่งกับท่านข้ามิสนุกน่ะสิ น่าๆ”
“มิได้ เสี่ยวหยุน! หากเจ้ายังดื้อดึงอยู่เช่นนี้ก็ไม่ต้องไปชายแดนกับข้า!” หัวหน้าองครักษ์จางเอ่ยวาจาเฉียบขาดใส่เด็กน้อยสิบสองขวบที่ทำหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม เสี่ยวหยุนสะบัดตัวสะบัดหน้าใส่อาจารย์ของเขาที่ยืนหน้าแข็งเป็นศิลา ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ต่างไม่มีผู้ใดยอมให้แก่กัน ข้ามองคนอื่นๆ รอบตัวแทบไม่หันไปมองทั้งสองที่ทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงราวกับว่าพวกเขาชินชากับบรรยากาศหนักอึ้งของสองคนนั้นแล้ว ดูท่าการทะเลาะกันของทั้งสองก็จบลงด้วยการที่เด็กน้อยสะบัดหน้าหนีเดินจากไป ผู้เป็นอาจารย์เห็นก็คิ้วกระตุกแต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใด ข้าถอนหายใจแล้วเดินตามเสี่ยวหยุนที่อารมณ์ร้อนโมโหเต็มที่ รู้สึกสงสารหัวหน้าองครักษ์จางจริงๆ ที่ดันหลวมตัวรับศิษย์เด็กน้อยอย่างเสี่ยวหยุนมา เขาอายุสิบสองแล้วก็จริงแต่เสี่ยวหยุนจิตใจพัฒนาช้ากว่าร่างกาย ทำให้เขามีอารมณ์ความคิดคล้ายเด็กหกเจ็ดขวบ
“เสี่ยวหยุน”
“ถิงเกอเกอ อาจารย์นิสัยไม่ดี เขาไม่ยอมให้ข้าขี่ม้าคนเดียว” พอเห็นหน้าข้าเสี่ยวหยุนก็รีบฟ้องตีโพยตีพายใส่ทันที ข้ายิ้มรับแล้วเอ่ยเออออไปกับเขา
“นั่นสินะ เขาช่างไม่ดีจริงๆ ที่เป็นห่วงเจ้า กลัวเจ้าจะผลัดตกม้าระหว่างทาง”
เสียวหยุนได้ยินที่ข้าพูดก็เถียงกลับมาทันที “อาจารย์ดีมากมิใช่ไม่ดี!” ก่อนที่เขาทำหน้างงๆ พยายามคิดตามที่ข้าเอ่ยแล้วหันมามองข้าด้วยดวงตาโต “เอ่อ...อาจารย์เป็นห่วงข้า?”
“อ้าว มิใช่รึ ปกติแล้วหากเจ้าชอบสิ่งใดเขาก็ให้เจ้าทำ ยกเว้นเสียแต่เป็นอันตรายเขาจึงมิให้เจ้าทำใช่หรือไม่?”
“อืม อาจารย์เป็นเช่นนั้นจริงๆ อาจารย์ปกป้องข้าตลอด...”
“งั้นเรื่องม้าจะเอาอย่างไรรึ?”
“ถ้าอาจารย์บอกให้นั่งม้าตัวเดียวกับเขาก็ต้องทำตาม เพราะเขาเป็นห่วงข้า” เสี่ยวหยุนครุ่นคิดแล้วเอ่ยออกมาอย่างซื่อๆ เด็กน้อยหันมามองข้าด้วยดวงตาตื่นตระหนก “แต่ว่าตอนนี้อาจารย์โกรธข้า มิยอมให้ข้าไปชายแดนด้วยแล้ว!”
“ถ้าเจ้ายอมกลับไปบอกอาจารย์ว่ายอมขึ้นม้าตัวเดียวกัน อาจารย์ของเจ้าย่อมให้ไปด้วยอย่างแน่นอน”
“จริงรึ? แต่ว่าข้า...”
“จริงสิ ไม่เชื่อก็มองไปที่อาจารย์ของเจ้าสิ เขากำลังรอเจ้าอยู่ที่เดิมนั่น”
เสี่ยวหยุนหันไปมองหัวหน้าองครักษ์จางที่ยืนทำหน้าแข็งเป็นศิลาอยู่ที่เดิม แม้เขาจะมิได้มองมาทางพวกเราแต่ข้าคิดว่าเขายืนรอลูกศิษย์เจ้าปัญหาผู้นี้แน่นอน เสี่ยวหยุนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วลุกขึ้นก้าวเดินออกไปหาอาจารย์ผู้เคร่งขรึม ข้ามองตามหลังเขาเพื่อส่งกำลังใจให้เด็กน้อย เสี่ยวหยุนก้มหน้าก้มตาคุยกับหัวหน้าองครักษ์จาง สีหน้าของเด็กน้อยรู้สึกผิดและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นข้าก็เห็นหัวหน้าองครักษ์จางพยักหน้าแล้วยกมือลูบศีรษะของศิษย์ เสี่ยวหยุนก็กลับมายิ้มร่าเป็นเด็กๆ เช่นเดิม
หมดปัญหาของเสี่ยวหยุน แต่ข้าเพิ่งคิดได้ถึงปัญหาของตนเอง...
ข้าจะนั่งม้ากับผู้ใด!? ข้าขี่ม้าไม่เป็นด้วย!
ข้ากวาดตามองไปรอบกลุ่ม หยุดที่ตัวเลือกสองคน ไม่จิ้นเกอก็ต้องเป็นไช่ชิง? ข้ากำลังจะเดินไปพูดกับพวกเขาเหล่าตัวเลือกทั้งสอง ฉินอ๋องก็เดินเข้ามาสั่งให้เตรียมออกเดินทาง เฮ้ย! ประเดี๋ยวก่อน! ข้ายังมิได้ม้านั่งเลยนะ ข้าเลิ่กลั่กมองผู้คนที่เริ่มทยอยกันขึ้นม้าของตนเองอย่างกังวล ข้าหันไปมองจิ้นเกอที่ยังมิได้ขึ้นม้า เขาส่งยิ้มให้ข้าอย่างอ่อนโยน ข้าเองก็ยิ้มตอบรับด้วยความโล่งอก งั้นหรือ? ข้าต้องนั่งม้ากับจิ้นเกอสินะ ข้ากำลังเดินไปหาจิ้นเกอแต่ฉินอ๋องกลับเข้ามาขวางข้าไว้ก่อน
อ๊ะ! อะไรกันน่ะ!?
โดยไม่พูดไม่จาใดฉินอ๋องก้มจับเอวของข้าแล้วยกร่างข้าขึ้นไปนั่งบนม้าตัวใหญ่สีขาวปลอดทั้งตัว ข้าตกใจรีบคว้าคอม้าตัวนั้นไว้แน่น พอมองลงไปที่พื้นมันสูงมากจริงๆ หากข้าตกลงไปคงคอหักตายเป็นแน่ ข้าหน้าซีดเหงื่อไหลท่วมตัว พยายามเกาะม้าตัวนั้นด้วยความกลัวตาย ไม่กี่อึดใจฉินอ๋องก็ขึ้นมานั่งบนหลังม้าตัวเดียวกันกับข้า ข้าแอบกลอกตาด้วยความโมโห เขาจะต้องเอาคืนข้าเรื่องข้าวเช้าแน่ๆ! แมวน่ะมันอาฆาตนักแหละ!
“นั่งดีๆ”
ข้าเพิ่งเคยนั่งบนม้าเป็นๆ ครั้งแรกนี่น่า จะให้นั่งตรงแน่วอย่างเขาได้อย่างไร ข้าทำการประท้วงทางสายตา ฉินอ๋องพยายามแงะข้าออกมาจากแผงคอม้า ในที่สุดกว่าข้าจะนั่งได้ก็เล่นเอาทุลักทุเลกันทีเดียว ข้าขอโทษม้าตัวนี้ในใจที่ขยุ้มขนแผงคอของมันหลุดออกมาเต็มกำมือ แค่นั่งบนหลังม้าข้าก็ลำบากมากพออยู่แล้ว ยังต้องคอยระมัดระวังไม่ให้ตัวไปโดนคนข้างหลังอีก เป็นการนั่งที่ทรมานยิ่งนัก ฉินอ๋องเห็นข้านั่งตัวเกร็งก็ตบหน้าท้องของข้าสองสามทีแล้วสอดแขนรั้งตัวข้ามาพิงอกของเขา ข้าตัวแข็งทื่อตอนที่ได้ยินเสียงดังแผ่วของหัวใจภายในอกของฉินอ๋อง นี่มันใกล้สุดๆ! ข้าหน้าร้อนผ่าวพยายามปั้นหน้าให้ดูปกติที่สุด แต่ทว่า...
“โอ๊ะโอ๋ เหตุใดหน้าเจ้าแดงเยี่ยงนั้นล่ะจิ้งถิง!?” เสียงตะโกนถามดังลั่นราวจงใจให้ทุกคนได้ยินดังขึ้นท่ามกลางความเงียบกริบในบริเวณนั้น ข้าเบิกตาตกใจที่มีคนเห็นสีหน้าประหลาดๆ ของตนเอง ข้าหันไปมองคนที่ตะโกนถามเพื่อจะแก้ตัวแต่ก็ชะงักเมื่อหันไปเห็นเจ็ดน้อยยืนฉีกยิ้มกว้าง ข้าลืมเรื่องเมื่อครู่กวาดตามองห่อผ้าที่เสี่ยวชีสะพายอยู่อย่างแปลกใจ ก่อนที่ข้าจะได้ทันถามอะไรเสี่ยวชีก็ยิ้มกว้างแล้วเอ่ยกับข้าพร้อมวาดมาดราวกับตนเป็นผู้ปกครองของข้า
“คิดว่าข้าจะปล่อยให้เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นเจ้าอยู่คนเดียวงั้นรึ?”
“เสี่ยวชี!” ข้าร้องอย่างตื่นเต้น เสี่ยวชีก็ทำเสียงเหอะหะรับแต่ใบหน้าของเขายิ้มแย้ม ข้าที่ดีใจอยู่นั้นเหลือบมองห่อผ้าเต็มสองแขนของเสี่ยวชีแล้วรู้สึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล เสี่ยวชีวิ่งเข้ามามองซ้ายขวาเพื่อจะหาม้าขึ้นและไม่ต้องหานาน เพราะจิ้นเกอเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับจูงม้ามาด้วย
“เจ้าขึ้นม้ากับข้า”
“หา” เสี่ยวชีมองหน้าจิ้นเกอแล้วร้องขึ้นมาด้วยสีหน้าประหนึ่งว่าไม่พอใจ เขาหรี่ตามองจิ้นเกอที่ยืนมองด้วยสีหน้าท่าทางซื่อๆ แล้วพ่นลมหายใจอย่างขัดเคือง
เสี่ยวชีขมวดคิ้วนิ่วหน้าเหลือบไปมองคนอื่นๆ ด้วยความคาดหวัง เขามองไปยังหัวหน้าองครักษ์จางว่าที่เป้าหมายอันดับหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสี่ยวหยุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พุ่งตัวไปกอดอาจารย์ของเขาไว้แน่น ทำสีหน้าและแววตาเป็นนัยว่า ‘คนผู้นี้เป็นของข้า เจ้าห้ามมาแหยม!’ เสี่ยวชีเกรงอกเกรงใจพลังที่ล้มคว่ำบุรุษร่างยักษ์ของเสี่ยวหยุนก็หันไปมองเป้าหมายต่อไป คือ รองหัวหน้าองครักษ์เฉินที่ยิ้มๆ อยู่บนหลังม้า พอเจ้าตัวรู้สึกว่าถูกมองก็หัวเราะเบาๆ ออกมาพร้อมเอ่ยปฏิเสธเสียงจริงจังส่งสายตาขอโทษขอโพยกลับมาให้ท่าทางจริงใจสุดๆ
“ขออภัยจริงๆ หลังของข้ายังเคล็ดไม่หาย เฮ้อ อายุมากขึ้นก็เป็นเช่นนี้ละน่า”
ไอ้ข้ออ้างบัดสบนี่มาอีกแล้ว! เอวของท่านจะเคล็ดไปถึงเมื่อไรรองหัวหน้าเฉิน!? ซ้ำยังมีหน้ามาเอ่ยว่าอายุมาก ท่านจะอายุมากเท่าไรกันเชียว! ข้ามองรองหัวหน้าเฉินที่ขอตัวรอดไปแบบหน้าไม่อายด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวชีที่ทำหน้าลำบากใจ ข้าก็เอ่ยถามออกไปด้วยความหวังดี
“เสี่ยวชี หรือว่าเจ้าจะมานั่งกับท่านอ๋อง เดี๋ยวข้าจะไปนั่งกับจิ้นเกอเอง”
พอข้าถามไปเท่านั้นแหละ เสี่ยวชีก็ถลึงตาใส่ข้าด้วยใบหน้าราวจะจับข้ากินแล้วรีบเดินไปหาจิ้นเกอ และแล้วปัญหาม้าของเสี่ยวชีก็จบลงอย่างรวดเร็ว พอข้าถามแค่นั้นเสี่ยวชีก็รีบตาเหลือกตาลานไปนั่งม้ากับจิ้นเกอ ทำไมกัน? ท่าทางเจ็ดน้อยเหมือนโดนข่มขู่ให้กลัวจนหน้าซีดตัวสั่นเชียว ข้ากะพริบตาเงยหน้าขึ้นไปมองคนด้านหลังที่หลุบตาลงมามองข้าเช่นกัน แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรนั่นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มในชุดไผ่เขียววิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าดีอกดีใจ
“ท่านนนนพี่! ว้าว! รอบนี้ข้ามาทันเวลาพอดี! นี่ ข้านำมาให้ เพิ่งเก็บใหม่ๆ นี่เอง รับรองกรอบอร่อย” ส่านอ๋องวิ่งเข้ามาหยุดตรงม้าของพี่ชายแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขายัดเหยียดกระสอบที่ใส่บางอย่างให้แก่ฉินอ๋อง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นข้าส่องไปข้างในกระสอบที่ฉินอ๋องเปิดดูแวบหนึ่ง นี่มัน...หน่อไม้!
ฉินอ๋องดูเสร็จก็ส่งไปให้องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างโดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ จากนั้นเขาก็หันมามองน้องชายคนสนิทที่ล่ำลาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“โชคดีท่านพี่ หวังว่ากลับมาคราวหน้าจะมีข่าวดี” ส่านอ๋องเอ่ยอวยพรพร้อมกับลงท้ายอย่างมีเลศนัย เขากลอกตามาที่ข้าแล้วยิ้มๆ จนตาหยีเล็ก ส่านอ๋องเอ่ยอวยพรให้แก่ข้าเช่นกัน
“เจ้าก็เช่นกัน ดูแลตัวเองดีๆ หวังว่ากลับมาคราวหน้าข้าจะได้ยินข่าวดี”
“เอ่อ...ขอบคุณขอรับ”
คนเราต้องการข่าวดีอะไรขนาดนั้น? ข้าขมวดคิ้วนิดๆ แต่ก็เอ่ยขอบคุณส่านอ๋องที่มาส่งตามมารยาท ส่านอ๋องถอยออกไปยืนอยู่กับพ่อบ้านหม่าแล้วยกมือโบกล่ำลา ฉินอ๋องมองน้องชายแล้วถอนหายใจก่อนจะเอ่ยบอกส่านอ๋องด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าเองก็รักษาตัวด้วยเช่นกัน”
“แน่นอน ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก” ส่านอ๋องยิ้มแล้วเอ่ยกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง ฉินอ๋องพยักหน้าให้กับทั้งสองแล้วหันหน้าเอ่ยสั่งคณะเดินทางออกเดินทางได้
ข้านั่งด้วยความระมัดระวังก่อนที่จะผงะตกใจเมื่อม้าที่ข้านั่งเกิดพยศยกขาหน้าขึ้นส่งเสียงร้องดัง ข้าร้องอุทานผวาตกใจโผเข้าไปกอดยึดฉินอ๋องแน่น จากนั้นม้าที่เกิดพยศก็กลับมายืนนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ข้ากะพริบตามองตนเองกอดเจ้าแมวแน่นตาปริบๆ ก่อนที่จะผละจากก็ถูกอีกฝ่ายเอ่ยดักไว้เสียก่อน
“กอดไว้ เดี๋ยวตกลงไปคอหัก”
เสี่ยวหยุน
อ่า ต้องขออภัยผู้ที่อ่านรอบแรกไปด้วยนะคะ นั่นน่ะอาจจะอ่านแล้วงงๆ
เพราะแต่งสดมากยังไม่ทันได้อ่านทวนหรืออะไรเลยก็เอามาลงก่อน
เพราะเกรงว่าจะมิได้ลง ตอนเย็นที่รีบไปนั้นเพราะท่านแม่จะพาไปทานข้าวนอกบ้านค่ะ
แฮะๆ วันนี้เป็นวันเกิดของผู้แต่งเอง แหม วันเกิดทั้งทีน่าจะพักเนอะ
แต่เพราะคิดว่าท่านผู้อ่านรออยู่ก็ต้องมานั่งแต่งต่อเนี่ยแหละ
ดังนั้นเม้มเป็นของขวัญวันเกิดผู้แต่งด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พอแล้ว ยอมอ่านต่อไม่ไหว เหมือนอ่่านบันทึกยังไงยังงั้น ไม่รู้จะเอายังไง อืดมาก
เนียนอะไรเเบบนี้เจ้าเหมียว
เนียนมากจ้าา
ท่านอ๋องคนซึน นี่คิดอะไรกับจิ้นถิงตั้งแต่รับมาอยู่ด้วยแล้วใช่ป่าว? ร้ายมาก! ตอนนี้ก็หวงก้างสุดๆ