ตอนที่ 108 : ตอนที่ ๙๙ เทือกเขาสือเยว่
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
เสียงกระดิ่งลมสั่นไหวคลอเสียงลมเอื่อย อากาศที่เย็นสบาย กลิ่นหอมสดชื่นที่ลอยอบอวล ช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนผ่อนคลาย เหมาะสำหรับการหลับเสียจริง ข้าปรือตาขึ้นมาครึ่งหนึ่ง กึ่งหลับกึ่งตื่น ก่อนจะผ่อนลมหายใจแล้วขยับตัวมุดผ้านวมหนานุ่มเพื่อนอนต่อ
กระดิ่งเงียบเสียงลง ท่ามกลางความเงียบงันมีเพียงเสียงเปิดหน้ากระดาษดังเป็นครั้งคราว
หือ? ช้าก่อน!
ข้าขมวดคิ้ว ตัดสินใจลืมตาขึ้นมาดูฉับพลัน สิ่งที่เห็นยิ่งทำให้มึนงงและสับสน นี่ตัวข้าอยู่ที่ใดกัน? หากมองผิวเผินคงนึกว่าเป็นห้องห้องหนึ่ง ทว่าเมื่อพิจารณาถี่ถ้วนแล้วที่นี่มิใช่ห้อง!
ข้ากวาดสายตามองไปโดยรอบแล้วจังงังอยู่ท่าเดิม
“ตื่นแล้วรึ?” บุรุษผู้เป็นตัวต้นเหตุของเสียงพลิกกระดาษชำเลืองมองมาแวบหนึ่ง สบสายตากับข้าก่อนจะไถ่ถามด้วยน้ำเสียงเฉยชาไร้อารมณ์
“ท่านทวด?” ข้ารีบผุดลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบตัวรอบหนึ่งแล้วเหลือบมองไปนอกหน้าต่าง พลันตัวแข็งทื่อ
ข้างนอกนั้นเป็นท้องฟ้าสีสดใสแต้มแต่งด้วยปุยเมฆสีขาวลออ ลมพัดลอดเข้ามาเอื่อย ๆ แต่พอลองชะโงกศีรษะออกไปกลับถูกลมตีกระหน่ำ ชาไปทั้งหน้า ข้ารีบดึงตัวกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในหัวจับต้นชนปลายไม่ถูก
นี่มิใช่ห้องจริง ๆ มันเป็นห้องโดยสารของรถม้า นั่นยังมิใช่สิ่งที่ชวนตกใจจนตาถลน แต่เป็นเพราะรถม้าคันนี้มันกำลังเหาะอยู่บนท้องฟ้าต่างหาก!
หลับไปแค่แวบเดียว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็กำลังเหาะอยู่บนฟ้าเสียแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน!? ใครก็ได้อธิบายให้ฟังที!
“นี่...พวกเรา...เอ่อ อยู่ไหนกันหรือขอรับ?”
“น่าจะชายแดนแคว้นจื่อ”
“.....” หือออออออ???
แคว้นจื่อ?
แคว้นจื่อที่เป็นที่ตั้งตระกูลเยว่ใช่หรือไม่?
ข้าจ้องมองท่านทวดที่เคารพตาถลน แต่อีกฝ่ายกลับไม่หือไม่อือไม่รับรู้ใด ๆ สนใจเพียงหนังสือในมือดังเดิม ท่าทางหมางเมินชวนเสียอารมณ์ แทบอยากกระชากหนังสือเล่มนั้นขว้างทิ้งเสียจริง ๆ
ท่านทวดดดดด!
โปรดอธิบายเรื่องราวให้เหลนผู้โง่เขลาที่กำลังจะสติแตกอยู่ตรงนี้เข้าใจด้วยเถิดขอรับบบบ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เหตุใดหลับไปแค่หนึ่งคืนถึงตัดภาพข้ามฉากมากเพียงนี้!? ก่อนหลับข้ากับเจ้าแมวเพิ่งปรับความเข้าใจกันอยู่หยก ๆ ไฉนลืมตาขึ้นมากลับโผล่มานอนในรถม้าที่กำลังเหาะเหินบนท้องฟ้าที่แคว้นจื่ออันห่างไกลได้?
เป็นไปไม่ได้ แคว้นจื่อไกลจากแคว้นฉิงมาก คืนเดียวจะมาไกลถึงเพียงนี้เลยรึ? หรือมันจะผ่านมาหลายวันแล้วกันนะ ไม่น่าใช่ ข้าจะหลับไปนานเพียงนั้นเลยรึ? หรือกำลังฝัน? เอนตัวหลับคงจะกลับไปที่เดิมกระมัง?
ข้าเอนตัวหลับตาพริ้มไปครู่ใหญ่ ลืมตาอีกทีก็เห็นบุรุษชุดสีขาวนวลแสงจันทร์นั่งพลิกหนังสือในมือเช่นเดิม ต่างเพียงแค่ท่าทางที่ไม่เหมือนเดิม
อ่า ยังไม่ตื่นอีกหรือ? เช่นนั้นก็หลับอีกสักครั้งก็แล้วกัน ข้าตัดสินใจเอนตัวหลับไปอีกรอบ เอาละ ครั้งนี้ต้องตื่นจากฝันบ้า ๆ นี่ให้ได้
ลืมตารอบนี้ข้าเห็นบุรุษเจ้าของดวงหน้าหล่อเหลานั่งจิบน้ำชาทอดอารมณ์สงบนิ่ง ราวกับว่าไม่มีเรื่องใดในโลกนี้จะทำให้ตกตื่นใจได้เลย เห็นแบบนี้ข้าก็ลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับยอมรับความเป็นจริงอย่างเสียมิได้
มิใช่ความฝัน ข้าจากแคว้นฉิงมาแล้วจริง ๆ
“ท่านทวด โปรดอธิบายให้เหลนผู้นี้กระจ่างที เหตุใดข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?”
ต่อให้ยอมรับความจริงได้ แต่มิใช่ว่าจะปล่อยความสงสัยไปได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน นอนอยู่กับคนรักดี ๆ ไยถึงมาอยู่กับท่านทวดผู้แสนเมินเฉยต่อโลกหล้าเช่นนี้ได้!? ดีเพียงใดที่ข้ายังควบคุมอารมณ์ได้สงบแบบนี้ เกรงว่าหากเป็นผู้อื่นคงโวยวายดังลั่นไปสามสี่บ้านแล้ว
ท่านทวดหันมามองข้า “อยากรู้รึ?”
“แน่นอนอยู่แล้วขอรับ”
ท่านทวดมองตานิ่ง อึดใจต่อมาเขาขยับอ้าปาก ข้ากลืนน้ำลายจดจ่อรอคอยอย่างตั้งใจ
ซู้ดดดดด!
ท่านทวดผู้สง่างามยกถ้วยชาดื่มเสียงดัง ข้านิ่งงันไปทันที
“ท่านทวด...”
ซู้ดดดดด!
“เอ่อ...”
ซู้ดดดดด!
“…..”
นี่ตั้งใจกวนโทสะกันใช่หรือไม่?
ท่านทวดวางถ้วยชา ท่วงท่าสง่างามไร้ที่ติ ผ่อนลมหายใจเชื่องช้าราวกับมีความสุขเหลือเกิน จากนั้นท่านทวดก็นั่งนิ่งเงียบราวกับถูกพรากวิญญาณไป ข้าเม้มปาก รอคอยคำตอบอย่างกระวนกระวาย แต่คนตอบกลับใจเย็นมาก นี่กำลังทำสมาธิอยู่อย่างนั้นรึ? คำถามของข้ามันยากเย็นจนไม่อาจตอบได้ขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร!?
ผ่านไปนานเส้นความอดทนอดกลั้นของข้าแทบจะขาดสะบั้นลง ท่านทวดก็หันมามอบคำตอบที่รอมาเนิ่นนาน
“ข้าก็เข้าไปในห้องพวกเจ้า จากนั้นก็ลากตัวเจ้าออกมาขึ้นรถม้า”
ข้ารีบเปลี่ยนมานั่งคุกเข่าเพื่อตั้งใจฟังคำอธิบายต่อ แต่ผ่านไปหลายอึดใจท่านทวดก็มิได้กล่าวอันใด ขยับตัวรินน้ำชาแล้วยกขึ้นสูดกลิ่นอายความหอมของชา กระทั่งหมดไปอีกถ้วยข้าก็ยังมิได้รับคำอธิบายต่อ ราวกับว่าท่านทวดได้อธิบายไปหมดแล้วในประโยคเดียว
ข้ากลอกตาพลางครุ่นคิด
เรื่องทั้งหมดคือข้าถูกท่านทวดลากขึ้นรถม้าโดยไม่ได้ลาใครสักคนเลย จบเพียงเท่านี้?
“...เอ่อ ท่านทวด จบแค่นี้หรือขอรับ?”
“อา” ท่านทวดส่งเสียงตอบแล้วเอนหลังเปิดตำราอ่านต่อ
เริ่มปวดหัวแล้ว นี่มันบ้าอะไรกัน!?
ข้าอยากจะแหกปากร้องโวยวายเสียให้ได้ แต่คิดไปคิดมาแล้วไม่คุ้มเอาเสียเลย โมโหไปคร้านจะเสียสุขภาพไปเปล่า ๆ บรรพบุรุษท่านนี้ยิ่งกว่าฉินอ๋องเสียอีก ดูท่าทางหากเซ้าซี้ต่อไปก็คงไม่มีท่าทีอันใดตอบสนองกลับมา ข้าทำได้เพียงปลงตกยอมรับความเป็นจริง
ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าแมวจะเป็นอย่างไรแล้วบ้าง หากได้ล่ำลากันสักคำคงรู้สึกดีกว่านี้ คิดได้แต่ก็ยังเสียดาย โชคดีที่กางอาณาเขตเยว่ตี้ที่จวนฉินอ๋องไว้แล้ว ให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก่อนแล้วค่อยกลับไปหาเจ้าแมวก็ไม่น่าจะสายเกินไป ข้าโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย
เวลาผ่านไปนานขนาดท่านทวดพลิกตัวเปลี่ยนท่าไปสองสามท่าแล้ว ในที่สุดก็วางหนังสือลงแล้วหันมาพยักหน้าให้สัญญาณ ใจของข้าพลันเต้นแรงขึ้นมาทันที
ถึงแล้วอย่างนั้นหรือ!?
ข้าขยับตัวชะโงกมองไปนอกรถม้าที่ค่อย ๆ ชะลอความเร็วลง ทะลุผ่านกลุ่มเมฆหนาเผยให้เห็นเทือกเขาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านตรงหน้า เทือกเขาใหญ่ประกอบไปด้วยยอดเขาทั้งสิบ สูงต่ำไม่เท่ากัน
ดวงตาของข้าขยายกว้าง
เทือกเขาสือเยว่!?
รถม้าเหาะทะยานด้วยความเร็วต่อเนื่อง เทือกเขาขยายใหญ่เรื่อย ๆ ข้ามองเห็นอาณาเขตสีทองสว่างไสวครอบคลุมทั้งเทือกเขาเป็นรูปโดม เป็นอาณาเขตเยว่ตี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย!
ผู้ใดกันที่สามารถสร้างอาณาเขตเยว่ตี้ได้กว้างใหญ่ขนาดคลุมรอบเทือกเขาได้ขนาดนี้ ข้าขนลุกไปหมด ทั้งยำเกรงและชื่นชม คงมิใช่พลังของท่านทวดเยว่ไฉหลางหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริงพลังของท่านทวดก็น่าสะพรึงอย่างยิ่ง
รถม้าทะลุเข้ามาในอาณาเขตอย่างง่ายดาย ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น เข้าสู่ยอดเขาแรกสุดที่มีประตูทางเข้าหินขาวขนาดใหญ่ บนป้ายมีตัวอักษรสลักลึกว่า ‘เยว่’ เด่นชัด บันไดสีขาวผ่องทอดตัวยาวจากยอดไปยังเชิงเขา คะเนน่าจะหลายร้อยขั้น
ยอดเขาแห่งนี้คงจะเป็นประตูทางเข้าสู่ตระกูลเยว่ เพียงแค่ประตูทางเข้ายังยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าภายในนั้นจะมีอะไรอีกบ้าง ข้าในตอนนี้อดจะตื่นเต้นไม่ได้ พยายามเม้มปากไม่ให้เผลออ้าค้างเปิดเหวอกินอากาศ
รถม้าเหาะผ่านประตูทางเข้าอย่างราบรื่น ที่หน้าประตูมีคนเฝ้าอยู่กลุ่มหนึ่ง พอพวกเขาเห็นรถม้าของท่านทวดก็รีบวิ่งไปตีระฆังขนาดใหญ่บนหอคอยสังเกตการณ์ เสียงระฆังดังก้องไปทั่วเทือกเขาอย่างอัศจรรย์ ระฆังใบนั้นเต็มไปด้วยลมปราณหนาแน่น การที่มันส่งเสียงอย่างกึกก้องเกินระฆังธรรมดาเช่นนี้คงจะเป็นของวิเศษ ข้าคาดเดาว่าการตีระฆังอาจจะเป็นการส่งสัญญาณให้คนอื่น ๆ รับรู้
เมื่อผ่านยอดเขาทางเข้ามาข้าก้มมองไปยังเบื้องล่าง ในหุบเขามีหมู่บ้านตั้งอยู่เป็นจุด ๆ แต่ละหมู่บ้านมีผังที่เป็นระเบียบ เชื่อมโยงเข้าหากัน และรอบหมู่บ้านยังมีไร่นากว้างใหญ่ไพศาล
ยามนี้ตะวันลาลับจากขอบฟ้าไปแล้ว แต่ยอดเขาทั้งสิบกลับส่องประกายสว่างไสวราวกับเป็นดวงจันทร์บนฟากฟ้า
สมชื่อสือเยว่(ดวงจันทร์ทั้งสิบ)!
รถม้าพุ่งตรงไปยังยอดเขาตรงกลาง เมื่อเข้าใกล้มากขึ้นถึงได้เห็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ ทันใดนั้นกระดิ่งที่เงียบมาตลอด กระทั่งต้องลมมากขนาดไหนก็ไม่ส่งเสียง กลับสั่นไหวส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งดังกังวานไปทั่วทั้งเขา ข้าหันมองดูด้วยความประหลาดใจ
รถม้าที่ไม่มีม้าโลดแล่นกลางอากาศ มันวิ่งรอบยอดเขาหนึ่งรอบราวกับกำลังแสดงตัว แล้วค่อย ๆ ผ่อนความเร็วลงจอดตรงกลางลานหน้าคฤหาสน์บนยอดเขา
ข้ากลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วกัดฟันตามท่านทวดลงไปจากรถม้า ในอกเต้นดังตุบตับ มือเปียกชื้นจนเหนียว ตื่นเต้นและกังวลต่อโชคชะตาที่รอคอยอยู่ข้างหน้า
ไม่ไกลจากรถม้ามีคนกลุ่มหนึ่งยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว ด้านหน้าสุดเป็นชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มเป็นมิตร ข้าแอบสำรวจเขาอย่างรวดเร็ว หน้าตาคล้ายกับท่านตาเยว่เมิ่ง ในขณะที่ท่านตามีรูปลักษณ์เป็นบัณฑิตสุขุมคัมภีรภาพ คนผู้นี้กลับให้ความรู้สึกสุภาพอ่อนโยนมากกว่า โดยเฉพาะใบหน้ายิ้มจันทร์เสี้ยวที่มีเสน่ห์
“ท่านปู่ ท่านกลับมาแล้ว”
“อืม มีเรื่องอะไร?”
“ไม่มีขอรับ ทุกอย่างปกติเรียบร้อยดี”
“ดีแล้ว” ท่านทวดตอบรับสั้น ๆ ตามวิสัย
ชายคนนั้นแม้ถูกความเฉยชาไร้อารมณ์ของท่านทวดโจมตีก็ยังคงรักษารอยยิ้มตาปิดไว้บนใบหน้า เรียกท่านทวดว่าปู่เขาคนนี้น่าจะเป็นท่านลุงของข้า ‘เยว่เซิง’ สินะ
ท่านทวดสะบัดแขนเสื้อเดินหลีกตัวออกไปเงียบ ๆ ปล่อยให้ข้ายืนเคว้งคว้างอยู่ตัวคนเดียว ข้ามองตามร่างของท่านทวดที่แทบล่องลอยจากไปแล้วหันกลับมามองกลุ่มคนที่เหลืออยู่อย่างเคร่งเครียด
อยู่ ๆ ก็ทิ้งกันง่ายดายแบบนี้เลยหรือ!?
ในระหว่างที่ข้ากำลังกระวนกระวายใจ ดวงตาเสี้ยวจันทร์คว่ำก็มองมา รอยยิ้มบนใบหน้านั้นขยายกว้างกว่าเดิม ชายหนุ่มอาภรณ์สีฟ้าอ่อนเคลื่อนตัวเดินเข้ามาหาข้าแล้วเอ่ยถามไถ่ น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
“นี่คงจะเป็นจิ้งถิง หลานตัวน้อยของข้าสินะ?”
“คารวะท่านลุง”
ท่านลุงเยว่เซิงแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาเหมือนเดิม เขายกมือแตะอกแนะนำตัวอย่างไม่ถือตัวใดๆ
“ข้าเยว่เซิง เจ้าจะเรียกลุงผู้นี้ว่าลุงเซิงก็ได้”
“ท่านลุงเซิง”
“เด็กดี” ท่านลุงเยว่เซิงพยักหน้าพอใจ ก่อนจะเอียงคอจ้องมองใบหน้าของข้าราวกับพิจารณาหาอะไรบางอย่าง
“ได้ยินมาเหมือนกันว่าเจ้าคล้ายท่านแม่ มาเห็นด้วยตาตนเองต้องยอมรับว่าเป็นจริงเช่นนั้น ไม่แปลกเลยที่จะทำให้ท่านพ่อเป็นกังวลนัก ก่อนหน้านั้นหลายวันได้กำชับข้าให้เตรียมต้อนรับเจ้าอย่างดี” ท่านลุงเอ่ย ยามมองหน้าข้านั้นดวงตาที่มีรอยยิ้มเสมอมีแวบหนึ่งหม่นหมองลง
ข้าเดาว่าท่านลุงเซิงอาจจะคิดถึงมารดาที่ล่วงลับจึงไม่เอ่ยอันใดออกมา ยืนรับฟังเงียบ ๆ พูดอยู่นานท่านลุงก็ชะงักแล้วส่ายหน้า
“อา ขอโทษด้วย ข้าพูดไปเรื่อยเปื่อยเอง กลายเป็นตาแก่พูดมากไปเสียแล้ว สงสัยตื่นเต้นไปหน่อย เจ้าเดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยแย่แล้ว ลุงของเจ้าได้เตรียมห้องพักไว้รอพร้อมแล้ว เอาละ ตามมาเถิด ข้าจะนำไปที่ห้องของเจ้า”
“ขอบคุณขอรับท่านลุง”
ข้าตามท่านลุงเยว่เซิงไป ในใจโล่งขึ้นเยอะ ท่าทางเป็นมิตรของท่านลุงเยว่เซิงทำให้ผ่อนคลายความกังวลไปได้มาก ข้ากับท่านลุงเยว่เซิงปลีกตัวเดินออกมา ส่วนคนที่เหลือก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง
อาภรณ์สีฟ้าลวดลายเมฆาพลิ้วไหวตามการเคลื่อนไหว ท่วงท่านุ่มนวลสง่างาม แค่เดินยังน่ามองทำให้ข้าไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าคนผู้นี้เป็นบุตรชายของท่านตาเยว่เมิ่ง เป็นพี่ชายของท่านแม่ เหตุใดเขาถึงได้แตกต่างจากสองคนนั้นขนาดนี้นะ นี่สิถึงจะสมกับเป็นคุณชายตระกูลใหญ่!
ระหว่างทางข้ามองสำรวจคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย เครื่องเรือนน้อยชิ้น เน้นสีอ่อน ดูสะอาดสะอ้านสบายตาน่ามองและยังคงความหรูหราสมเป็นตระกูลใหญ่
พวกเราเดินข้ามสวนและลำธารอันงดงาม สะพานข้ามลำธารนั้นมีสีขาวบริสุทธิ์ ข้ามองมันอย่างซับซ้อน บ้าจริง นี่มันหยกทั้งชิ้นเลยใช่หรือไม่ ใช้หยกทั้งชิ้นมาสลักเป็นสะพาน! ข้าเกือบจะกรีดร้องในความร่ำรวยของตระกูลเยว่
ในขณะที่เดินท่านลุงเยว่เซิงจะคอยหันมาแนะนำส่วนต่าง ๆ ในคฤหาสน์ ยอดเขาหมิงเยว่เลี่ยง(จันทร์กระจ่าง)แห่งนี้เป็นยอดเขาชั้นในเพียงหนึ่งเดียว มีเพียงแค่สมาชิกตระกูลเยว่ที่อาศัยอยู่ที่ยอดเขานี้ได้ ปัจจุบันสมาชิกตระกูลเยว่นั้นอาศัยอยู่ที่นี่มีไม่มาก ท่านลุงเยว่เซิงกล่าวอีกว่าในวันพรุ่งนี้ข้าจะได้ทำความรู้จักพวกเขาอย่างเป็นทางการ ตอนนี้สมาชิกแต่ละคนนั้นมีธุระในส่วนของตนเองจึงมิได้มารอรับ
“เทือกเขาสือเยว่นั้นแบ่งออกเป็นสามชั้นด้วยกัน มีชั้นนอกมีสี่ยอดเขา ชั้นกลางมีห้ายอดเขา และชั้นในมีเพียงหนึ่งยอดเขา ตอนที่เจ้าเข้ามาเห็นประตูทางเข้านั่นเป็นยอดเขาตงเยว่(จันทร์ตะวันออก) ยอดเขาแห่งนี้เป็นทางเข้าเดียวของตระกูลเยว่ มีห้องโถงต้อนรับแขกและยังใช้จัดงานเลี้ยงรื่นเริงต่าง ๆ อีกด้วย...”
ในที่สุดก็มาถึงเรือนของข้าเสียที ท่านลุงเยว่เซิงหมุนตัวมาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่นี่เป็นของเจ้า ส่วนเด็กคนนี้จะคอยดูแลเรื่องต่าง ๆ ให้แก่เจ้า ต้องการอันใดก็บอกกล่าวเขาได้เลย” ท่านลุงเยว่เซิงพยักหน้าไปยังเด็กชายที่แต่งกายเรียบร้อยยืนรออยู่หน้าเรือนนอนอยู่ก่อนแล้ว ข้ามองตามไปแล้วหันไปพยักหน้ารับรู้
“ขอรับ”
“ตอนนี้เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด วันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที มีเวลาอีกมากที่จะพูดคุยกัน เอาละ ข้าต้องไปแล้ว ไว้เจอกันในมื้อเย็นพรุ่งนี้”
มื้อเย็นนั้นเป็นมื้อพิเศษ เพราะมื้ออาหารเดียวที่เหล่าตระกูลเยว่จะรวมตัวกันรับประทานอาหาร จากคำบอกเล่าของท่านลุงเยว่เซิง มันเป็นช่วงเวลาพบปะระหว่างคนในตระกูล หากผู้ใดไม่มีธุระเร่งด่วนจำเป็นต้องมาร่วมมื้ออาหารยามเย็นนี้
ท่านลุงเยว่เซิงย้ำว่าให้วงคำจำเป็นต้องเน้น ๆ หากหลงลืมหรือไม่มีธุระจำเป็นจริง ๆ แล้วก็ คนที่ไม่มาร่วมมื้อเย็นคนนั้นจะถูกตามตัวมา พูดถึงตรงนี้ท่านลุงเยว่เซิงยิ้มตาเป็นเสี้ยวจันทร์คว่ำพร้อมแนะนำ ถ้าอยากมีเรื่องตื่นเต้นเร้าใจก่อนมื้อเย็นก็ลองไม่ไปร่วมมื้อเย็นดูก็ได้ ข้าได้แต่ยิ้มแห้ง ขอรับไว้เป็นคำแนะนำพอ ไม่ขอปฏิบัติตาม สังหรณ์ใจว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่
ข้ายืนส่งท่านลุงเยว่เซิงจนลับตาแล้วหันมาสนใจเด็กน้อยยิ้มกว้างตรงหน้า กะอายุคร่าว ๆ น่าจะสักสิบห้าปีเห็นจะได้ พอเห็นข้าหันมามอง เขาก็ก้มศีรษะลงเอ่ยแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
“นายน้อย ข้าชื่อ ‘เสี่ยวจี’ ตั้งแต่วันนี้ไปจะรับใช้นายน้อยอย่างเต็มที่ขอรับ”
พอเขาบอกชื่อมาสายตาของข้าก็เหลือบส่วนล่างของเขาแทบทันที สงสัยว่ามันน้อยจริงหรือไม่ ก่อนจะรีบเบนสายตาออกไป กระแอมไอกลบเกลื่อน อืม เสี่ยวจีจริงๆ! ก่อนจะกลอกตาให้กับความพิเรนทร์ของตนเอง บ้าจริง เสี่ยวจีที่หมายถึงไก่น้อย ไม่ใช่จีอย่างอื่นสักหน่อย! สงสัยจะอยู่กับเจ้าแมวลามกมากเกินไปเลยติดเชื้อลามกมาด้วยเช่นนี้
“ขอบคุณมากเสี่ยวจี”
“ตอนนี้ไม่ทราบว่านายน้อยต้องการรับมื้อเย็นก่อนหรือจะอาบน้ำก่อนดีขอรับ?” เสี่ยวจีถามอย่างกระตือรือร้น ข้าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยบอกความต้องการไป
“ขอกินข้าวก่อนแล้วกัน ทั้งวันมานี่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากน้ำชา”
“ข้าน้อยจะรีบนำสำรับข้าวมาให้นะขอรับ! นายน้อยเข้าไปรอในห้องก่อนเถิด เสี่ยวจีได้ทำความสะอาดไว้ให้แล้ว รับรองสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเลยสักก้อน” เด็กน้อยเสี่ยวจีตอบรับอย่างร้อนรนแล้วรีบเปิดประตูห้องผายมือให้ข้า ก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ข้ามองตามไปแล้วอดยิ้มออกมามิได้ เห็นท่าทางกระตือรือร้นแบบนั้นก็ทำเอานึกถึงตนเองสมัยยังรับใช้เจ้าแมวขึ้นมา ข้าเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับปิดประตูตามหลัง ห้องค่อนข้างกว้างใหญ่ แบ่งเป็นสัดส่วน ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ข้าเดินสำรวจไปรอบ ๆ จนทั่วจึงกลับมานั่งที่ห้องนั่งเล่นเพื่อรอมื้อเย็น
ไม่ปล่อยให้รอนาน เสี่ยวจียกสำรับอาหารมาอย่างระมัดระวัง
สมกับเป็นตระกูลใหญ่ อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ รสชาติอร่อยเสียจนเริ่มหวั่นในใจ เกรงว่าไม่เกินหนึ่งปีต่อจากนี้รูปร่างข้าจะกลายเป็นอวบอ้วนเป็นแน่ ข้ากินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดสำรับ! สำรับที่เสี่ยวจียกมานั้นเยอะขนาดพอให้ผู้ใหญ่สองคนกินเลยก็ว่าได้ อา น้ำหนักของข้าต้องขึ้นเป็นแน่หากมีอาหารเช่นนี้ให้กินทุกวัน
เมื่อกินข้าวจนอิ่มแปล้ข้าก็อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผิดที่ผิดทางหรือขาดคนนอนข้าง ๆ ทำให้ข้าพลิกตัวไปมาอยู่เป็นสิบรอบก็ยังไม่หลับ กว่าจะข่มตานอนได้ก็เนิ่นนานจนดึกดื่น
ในตอนที่กำลังโอบกอดเจ้าแมวพร้อมกับฟัดแก้มของเขาแผ่นดินก็พลิกคว่ำ สั่นสะเทือนไปหมด ข้าส่งเสียงหงุดหงิดที่อดลวนลามคนงาม ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจนัก
เกิดอะไรขึ้นกัน? เสี่ยวจีมาปลุกแล้วอย่างนั้นรึ? จะทำตัวสมกับชื่อจี(ไก่)แบบนี้ไม่ได้นะเด็กน้อย
ตัวข้าเขย่าขึ้นลงอยู่กลางอากาศ ข้าดิ้นด้วยความตกใจ แกว่งเท้าไปมา ข้าถูกห้อยโต้งเตงอยู่กลางอากาศ รอบตัวมีสายเอ็นรัดไว้ พอมองไปด้านหน้ากลับเห็นแผ่นหลังของคนผู้หนึ่งที่คุ้นตา ยามที่เจ้าของเบ็ดกระโดดผาดโผนตัวข้าก็เขย่าขึ้นลงเหมือนแผ่นดินไหว พยายามมองไปรอบ ๆ ทิวทัศน์นั้นไม่คุ้นตาเลยสักนิด ข้าแทบอยากจะร้องไห้ออกมา
ท่านทวดดดดดดดด
อย่างน้อยก็ให้ข้าเปลี่ยนชุดก่อนก็ยังดี!
***
คุณไม่ได้ตาฝาดหรอก ใช่แล้วละ นี่คือตอนใหม่อย่างไงเล่า!!!
เยสสสสสสสสส! กรี๊ดดดดดดดดดด!!! ในที่สุดก็ทำได้แล้ว!!!
ชั้นกลับมาแล้วค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า //เต้นระบำอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางการทวงถามของเหล่าคนอ่าน ทางนี้ก็พยายามอย่างเงียบ ๆ มาตลอด
ที่มาอัพได้เนี่ยคนที่ดีใจที่สุดไม่ใช่ใคร แต่เป็นตัวคนแต่งเองนี่แหละ 55555555
ตอนหน้าก็ครบร้อยตอนแล้วเหรอเนี่ยยยยย งั้นเจอกันปีหน้าเลยแล้วกันค่ะ!
นี่มันนิยายรายปีนะ อย่าลืมดิ อิอิอิ ///นี่ก็มาเร็วกว่าเดิมตั้งครึ่งปีเลยนะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ในฐานะที่ตามอ่านมาตั้งแต่เริ่มๆ บอกเลยว่า น้ำตาไหลค่ะดีใจมากๆที่ไรเตอร์กลับมาอัพแล้ว
อยากเห็นสีหน้าอ๋องแมวตอนตื่นมาแล้วเมียหายจัง 555
อยากจะกรี๊ดลั่นบ้าน นิยายอัพแล้ววว ดีใจที่ไรท์กลับมาต่อนะคะ
เย้ในที่สุดไรท ก็กลับมาคิดถึงนะและจะติดตามตลอดไป