ตอนที่ 104 : ตอนที่ ๙๕ ครอบครัวสุขสันต์
ตอนที่ ๙๕ ครอบครัวสุขสันต์
หลังจากผลัดเปลี่ยนชุดฉินอ๋องพาข้ากลับมายังจวนตระกูลเซี่ย ข้าอายเล็กน้อยแต่ก็ต้องแสร้งทำไม่รู้สึกท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของเหล่าข้ารับใช้ในจวน ยังไม่มีผู้ใดทราบการสมรสลับๆ นี้นอกจากคนในครอบครัวของพวกเรา มาตรว่าพวกเขาคงสงสัยอยากรู้ว่าเหตุใดคืนวานนี้ข้าถึงมิได้กลับจวน มิหนำซ้ำวันต่อมายังกลับมาพร้อมกับคู่หมั้นคู่หมายเสียอีก ไม่ต้องฉลาดมากมายก็พอคาดเดาความคิดของพวกเขาได้ นั่นละที่ทำให้ข้าอดหน้าบางมิได้ ไม่แคล้วมีข่าวลือเสียหายระบาดทั่วเมืองเป็นแน่ เฮ้อ
บุตรชายท่านอัครเสนาบดีเซี่ยหายไปทั้งคืนแล้วกลับมาพร้อมกับฉินอ๋องในวันถัดมา พวกเขาหายไปด้วยกัน ไปทำอะไร เหตุใดอีกฝ่ายถึงมิได้กลับจวนทั้งคืน อ่า! หรือข้าวสารจะเปลี่ยนเป็นข้าวสุกเสียแล้วหรือ? ไม้กลายเป็นเรือแล้วอย่างนั้นหรือ!?.... อะไรทำนองนี้แน่ๆ ข้าต้องกลายเป็นคุณชายผู้ไม่สงวนเนื้อสงวนตัว... ช้าก่อน! ข้านับว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่งการไม่กลับบ้านสักคืนมันก็ไม่น่าแปลกอันใดนี่ แถมยังไปกับคู่หมั้นของตนเองอีกด้วย ไม่ผิดกฎระเบียบจารีตใดๆ ทั้งสิ้น!
“เป็นอันใด หน้าซีดๆ หรือยังรู้สึกเจ็บ...” เจ้าแมวเดินอยู่ด้านข้างเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่แฝงความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เคลื่อนร่างสูงสง่าของเขาเข้ามาประชิด ท่อนแขนกำยำตวัดโอบเอวแทบจะประคองข้าเดิน ท่าทางแนบชิดสนิทอย่างเปิดเผยท่ามกลางสายตานับสิบคู่ ข้าส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับลนลานเด้งตัวออกจากเขาราวกับต้องของร้อน
“ไม่ๆ! ข้าสบายดี สบายมากๆ”
เสียงของฉินอ๋องผู้นับว่าเป็นขุนพลกล้านั้นมิได้เบากระไรนัก เหล่าคนอยากรู้อยากเห็นถึงกับตาลุกวาวราวลูกไฟ เจ็บอันใดกัน!? หรือว่า... น่าจะคิดเช่นนั้นอยู่เป็นแน่ สีหน้าของคนพวกนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าคิดสิ่งใดอยู่ กระหายอยากรู้มากกว่าเดิมเสียอีก บางคนกวาดพื้นตาก้มต่ำจ้องมองพื้นเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่พื้นที่กวาดอยู่นั้นสะอาดยิ่งกว่าสะอาด ข้าเหลือบสายตามองเจ้าแมวอย่างอับจน ปัดโธ่ ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริงแต่ก็ไม่น่าตอกย้ำความคิดของพวกเขาเลยนี่
“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว” เขามองข้านิ่งๆ ด้วยสายตาที่อ่านยากเหมือนเคยก่อนจะพยักหน้ารับ มิได้สงสัยหรือเซ้าซี้ใดๆ ดูไม่เหมือนคนจงใจกลั่นแกล้งใดๆ อีกด้วย ข้าถอนหายใจโล่งอก ก้มหน้าเดินไปยังห้องโถงเล็กซึ่งอยู่ที่เรือนพักของท่านพ่อ พ่อบ้านกู้เป็นผู้กระซิบบอกในตอนที่พวกเราก้าวเข้ามาในจวนว่าบิดามารดาของข้ากำลังรอพบอยู่ก่อนแล้ว ข้ามองฉินอ๋องที่เดินอยู่ข้างๆ เสี้ยวหน้าหล่อเหลานิ่งสงบและเย็นชาเหมือนปกติ ดูไม่เหมือนบุตรเขยกำลังเข้าพบพ่อตาแม่ยายเลยสักนิด ผิดจากคราวของข้าที่ตื่นเต้นจนทำอันใดมิถูก
“ท่านทวด ท่านตา ท่านพ่อ”
...ท่านแม่
ในห้องนั้นมิได้มีเพียงท่านพ่อท่านแม่เท่านั้น ยังมีท่านทวดเยว่ไฉหลางนั่งอ่านหนังสือด้วยท่าทางดื่มด่ำ ท่านตาเยว่เมิ่งที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ตรงกันข้ามกับท่านแม่ทัพใหญ่หูจิวอี้ที่ยิ้มเบิกบานใจจนตาหยีเป็นเสี้ยวพระจันทร์ อ่า นี่มันบรรยากาศอันใดกันนะ ข้าเดินเข้าไปข้างในแล้วคารวะเหล่าญาติผู้ใหญ่ก่อนจะเดินเลี่ยงไปหาบิดามารดาทันที
“ท่านอ๋องเชิญนั่งขอรับ”
ท่านพ่อลุกจากเก้าอี้ประมุขจวนเชื้อเชิญฉินอ๋องไปนั่งแทนที่ เนื่องจากตำแหน่งของเจ้าแมวอยู่สูงขั้นกว่า เจ้าแมวทำหน้านิ่งปฏิเสธอย่างเฉยชาแต่ดูนอบน้อมกว่าปกติเล็กน้อย
“เชิญท่านพ่อตานั่งตามสบายเถิด บุตรเขยไหนเลยจะกล้าแย่งที่นั่งท่านพ่อตา”
“......” ท่านพ่อตาแอบหน้ากระตุก เม้มปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยใดๆ เพียงแค่พยักหน้ารับแล้วนั่งลงดังเดิม สีหน้าเรียบนิ่งไม่มีความยินดีปรีดาใดๆ ที่บุตรเขยสูงศักดิ์ให้เกียรติ ฉินอ๋องเองก็ไม่แสดงท่าทีไม่พอใจ เดินไปนั่งเก้าอี้ด้านข้างถัดจากท่านทวดเยว่ไฉหลาง ข้าเหลือบมองท่านพ่อแล้วเดินไปนั่งตามเจ้าแมว
ท่านแม่ขยิบตาให้ข้าอย่างซุกซน นางลอยตัวจากด้านหลังท่านพ่อมานั่งลงบนพนักพักแขนเก้าอี้ตัวใหญ่ของท่านพ่อ บั้นท้ายแทบเกยบนตักท่านพ่อที่แอบคิ้วกระตุกตกใจ ท่านตาเยว่เมิ่งเองก็ทำสีหน้าเขียวคล้ำที่เห็นบุตรสาวที่หยอกล้อบุตรเขยต่อหน้าต่อตา ข้าทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนลำบากใจของท่านพ่อเมื่อถูกพ่อตาถลึงตาใส่อย่างดุร้าย
“เยว่เมิ่ง กลั้นไว้นานมิดีต่อสุขภาพนะ เจ้าเองก็อายุมากแล้ว ปวดก็ควรไปสุขาให้เรียบร้อยก่อนเถิด มานั่งทำหน้าอดกลั้นปวดหนักเช่นนี้มิได้”
ก่อนที่ลูกตาของท่านตาเยว่เมิ่งจะถลนจากเบ้า ท่านแม่ทัพหูจิวอี้ยกมือแตะไหล่ของสหายแล้วเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง ท่านตาเยว่เมิ่งชะงักกึก หลุดสีหน้างุนงงออกมา แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นถลึงตาใส่แทนเมื่อเข้าใจสิ่งที่สหายบอกกล่าวด้วยความจริงใจ ท่านตาเยว่เมิ่งคำรามในลำคอ
“ปวดหนักบิดาเจ้าสิ!”
“อย่าได้อาย ข้าไปสุขาเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่? อย่างไรเสียข้าก็เข้าสุขากับเจ้าจนชินแล้ว” แม่ทัพหูจิวอี้ถอนหายใจบางเบา ก่อนจะมองท่านตาเยว่เมิ่งด้วยสายตาเข้าอกเข้าใจ ตบมือลงบนบ่าพลางเอ่ยน้ำเสียงปลอบโยน คนถูกกล่าวหาว่าขี้อายอ้าปากพะงาบๆ สีหน้าที่ย่ำแย่อยู่ก่อนแล้วถูกสหายคนสนิทปลุกปั่นจนแดงก่ำไปหมด ไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรืออับอายกันแน่ แต่ข้าคิดว่าท่านตากำลังทั้งโกรธและอายนั่นแหละ
“ละเมออะไรของเจ้า จิวอี้!”
「ว้ายยยย นี่ท่านพ่อยังไม่เลิกนิสัยไม่ยอมไปสุขาคนเดียวอยู่อีกรึเจ้าคะ โถ สงสารท่านลุงจิวอี้นัก」ท่านแม่แกล้งหยอกขึ้นมาเสียงแหลม ร่วมผสมโรงกลั่นแกล้งท่านตาเยว่เมิ่งที่หันซ้ายหันขวา ไม่รู้จะจัดการบุตรสาวหรือสหายก่อนดี ใบหน้าหล่อเหลาดูสุภาพราวบัณฑิตนั้นแดงก่ำราวกับจะมีเลือดหยดลงมา
ข้ากับเจ้าแมวนั่งเงียบ ก่อนจะพร้อมใจกันยกถ้วยชาขึ้นมาจิบปิดบังรอยยิ้มขบขันกับภาพชวนหัวเราะตรงหน้า เราสองคนหันมาสบตาแวบหนึ่งก่อนจะเบือนหน้าไปแอบหัวเราะแผ่วเบา รับรู้กันอยู่สองคน คงมีเพียงท่านทวดเยว่ไฉหลางที่ไม่รับรู้ใดๆ นั่งอ่านหนังสือไม่รู้ตัวเลยว่าบุตรชายกำลังถูกรุมกลั่นแกล้งทั้งซ้ายขวา
“ฮึ่ม!” ท่านตาเยว่เมิ่งที่หนึ่งสหายหนึ่งบุตรสาวรุมไม่อาจต่อกรอันใดได้ ทำเสียงฮึดฮัดกับตนเอง ก่อนจะหันมาหาข้าที่กำลังจิบน้ำชากินขนมอย่างเพลิดเพลิน พอถูกสายตาดุดันปนอับจนของท่านตาเยว่เมิ่งตวัดมามองอารมณ์สุนทรีย์เมื่อกี้ก็พลันสลายไปในทันที ในขณะที่ท่านตากำลังโดนรุมหลานชายเช่นข้ากลับมานั่งจิบน้ำชากินขนมสบายใจเฉิบคงดูไม่งามนัก ข้ารีบวางถ้วยชาพร้อมกับแอบๆ เช็ดเศษขนมในมือ เหลือบมองเจ้าแมวที่ยังคงยกน้ำชาจิบด้วยท่าทางเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่ดูร้อนรนมีพิรุธเหมือนข้าเลยสักนิด ข้ารีบปรับสีหน้าเป็นนิ่งสงบ
“ถิงเอ๋อร์ หลานรัก เป็นอย่างไรบ้าง? มิได้ถูกคนรังแกใช่หรือไม่?”
“ไม่มีอะไรเช่นนั้นหรอกขอรับ” ข้าแย้มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
「รังแกอะไรกัน รู้เห็นเป็นใจร่วมมือกันต่างหากเล่า! ท่านพ่อละก็ทำอย่างกับไร้เดียงสานะเจ้าค่ะ」ท่านแม่หรี่ดวงตาหงส์คู่งามมองข้าอย่างมีเลศนัยกรุ้มกริ่มชอบกล พร้อมกับหันไปยิ้มหยอกล้อบิดาตนเองที่สะดุ้งเล็กๆ ข้าอ้าปากพะงาบๆ อยู่สองสามทีแต่ก็เถียงอันใดมิออก ท่านแม่พูดเรื่องเช่นนี้แบบตาไม่กะพริบเลยสักนิด คนที่อายแทนกลับเป็นท่านพ่อที่หน้าบางโหนกแก้มแดงระเรื่อไปหมด ข้าก็หน้าแดงตามไปเงียบๆ ท่านแม่นี่ไม่มีเค้าสตรีเลยสักนิด ท่านตาก็ทำหน้าเอือมระอาใส่
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ!” ท่านตาเยว่เมิ่งสะบัดหน้าไปร้องเรียกบิดาที่กำลังดำดิ่งสู่โลกวรรณกรรมเล็กๆ เรียกอยู่นานอีกฝ่ายก็ไม่กระดิกตัวตอบรับจนกระทั่งบุตรชายต้องถอนหายใจยอมแพ้ และหันไปหาเรื่องระบายอารมณ์ใส่หลานเขยคนใหม่ที่นั่งทำตัวราวกับคนนอกไม่มีส่วนร่วมใดๆ
“พูดไปแล้วก็ช่างน่าโมโหนัก ฉวยโอกาสที่หลานชายของข้ายังอายุน้อยไร้เดียงสาผูกมัดกับตนเองเช่นนี้ เจ้านี่มันหน้าหนาไม่มีใครเกินจริงๆ แต่ก็ยังดีที่เมื่อคืนไม่มีอันใดเกิดขึ้น เหอะ เมาขนาดนั้นคงไม่มีปัญญาทำอันใด” ท่านตาเยว่เมิ่งใช้หางตามองพร้อมกับยิ้มเยาะฉินอ๋องอย่างเปิดเผย ท่าทางชั่วร้ายไม่เหลือภาพลักษณ์บัณฑิตสุขุมคัมภีรภาพ
ฉินอ๋องยังคงนิ่งสงบไม่หวั่นไหว เขามองไปที่ท่านตาเยว่เมิ่งนิ่งๆ แล้วเหยียดมุมปากวูบหนึ่ง และไม่พูดอะไรสักคำ แต่เพียงเท่านั้นก็ทำเอาท่านตาเยว่เมิ่งผงะตกใจสีหน้าคล้ายยิ้มเยาะร้ายกาจของเจ้าแมว หน้ายิ้มกระหยิ่มเป็นต่อของท่านตาเยว่เมิ่งพลันเคร่งเครียดขึ้นมาทันที หันขวับมาสำรวจข้าด้วยสายตาคมกริบตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
“บัดซบ! ไม่สำเร็จงั้นรึ!?” ท่านตาเยว่เมิ่งเบิกตากว้าง คำรามโมโหออกมาดังลั่น ตบหน้าขาดังปักๆ ท่าทางเจ็บใจเป็นที่สุด
ข้าถูกเอาไปมีเอี่ยวตัวหดเล็กหน้าร้อนวูบ ส่วนตัวต้นเหตุกลับนั่งทำหน้านิ่งอย่างไร้ยางอายเป็นที่สุด เจ้าแมวงี่เง่าเอ๊ย! เรื่องในห้องหอมันน่าอวดหรืออย่างไร ฮึ่ม! ท่านแม่ก็ไม่ต่างกันยิ้มพยักหน้าพออกพอใจปรบมือชมเชยบุตรเขยคำแล้วคำเล่า ผ่านไปสักพักท่านตาเยว่เมิ่งก็ถอนหายใจปลงตก ชำเลืองมองสหายหน้ายิ้มที่ดูอย่างไรก็ห่างไกลจากภาพลักษณ์ท่านแม่ทัพใหญ่ที่น่าเกรงขามที่ข้าเคยคิดเอาไว้
“เหอะ เป็นอย่างที่เจ้าว่าไว้ เจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ใช่ไหมล่ะ ดูอย่างไรก็ดูสุขุมเกินตัว” ท่านแม่ทัพหูจิวอี้ระบายยิ้มเต็มใบหน้าหล่อเหลาดูอ่อนหวานมากยิ่งขึ้น ดวงตาคมกริบคู่นั้นมองท่านตาเยว่เมิ่งอ่อนละมุนผิดธรรมดา ข้าอดจะแปลกใจไม่ได้ แต่ก็เป็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น ใบหน้ายิ้มแป้นราวกับเซี่ยงรื่อขุย(ดอกทานตะวัน)หันมามองทางพวกข้า โดยเฉพาะกับฉินอ๋องนี่จ้องราวกับจับพิรุธอะไรบางอย่าง เจ้าแมวนั้นดูไม่แยแสใดๆ เหมือนเดิม ข้าเกร็งตัวกังวลแทน
ท่านแม่ทัพหูจิวอี้คงมิได้สงสัยฉินอ๋องอยู่หรอกนะ จะว่าไปแล้วชาติก่อนยามที่ฉินอ๋องอายุเท่านี้ยังมีความใจร้อนแบบเด็กหนุ่มอยู่ แต่ฉินอ๋องในยามนี้ดูจะใกล้เคียงกับตอนที่ข้าตายมากกว่า และอาจจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยซ้ำ ไม่แปลกนัก ชีวิตก่อนฉินอ๋องใช้ชีวิตนานมากกว่าข้ามาก ดีไม่ดีอายุของวิญญาณเขาอาจจะพอๆ กับพวกท่านตาด้วยซ้ำ อ๊ะ นี่ข้าได้สามีคราวพ่อเลยอย่างนั้นรึ? พอคิดได้ก็แอบตกใจอยู่หน่อยๆ อดที่จะเหลือบมองเจ้าแมวแก่ที่ดูเหมือนจะจมูกดีรู้ตัวว่ากำลังถูกนินทา หันมามองข้าพร้อมกับเลิกคิ้ว ข้าไม่พูดอะไรหันไปยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบแทน
จะให้รู้ไม่ได้ว่าข้าแอบนินทาเขาว่าแก่!
หลังจากนั้นพวกเราก็พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นท่านตาเยว่เมิ่ง ท่านแม่และข้ามากกว่าที่พูดคุยกัน ส่วนคนอื่นๆ นั้นคอยเสริมคำสองคำไม่ให้ขาดช่วง มีเพียงท่านทวดเยว่ไฉหลางกับฉินอ๋องนั่นละที่ราวกับไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย ท่านทวดเยว่ไฉหลางจมปลักอยู่กับโลกในหนังสือ ส่วนเจ้าแมวนั่งอมน้ำลายพลางทำหน้าง่วงไม่สนโลก
ถึงมื้อกลางวันท่านพ่อผู้เป็นเจ้าบ้านเชิญทุกคนไปยังห้องรับประทานอาหารร่วมกัน ทุกอย่างดูจะราบรื่นมีความสุข ถ้าไม่นับการปะทะกันระหว่างท่านตาเยว่เมิ่งกับฉินอ๋อง และการจิกกัดระหว่างท่านตาเยว่เมิ่งกับท่านแม่ แต่มันก็ทำให้ข้าขำจนปวดท้อง คนอื่นๆ มองมาด้วยสายตาเอือมระอา เบื่อจะห้ามปรามเลยปล่อยให้พวกเขาลับฝีปากกันตามสบาย ท่านทวดเยว่ไฉหลางยังอดจะบ่นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนมิได้
อ่า ชีวิตก่อนของข้าไม่มีช่วงเวลาที่มีความสุขมากขนาดนี้เลย ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา และมีเจ้าแมวอยู่เคียงข้าง ภาพตรงหน้านี้ราวกับภาพในความฝัน ข้ามองความวุ่นวายตรงหน้าตาไม่กะพริบ ก้อนเนื้อในอกเต้นตุบๆ อย่างมีชีวิตชีวายิ่ง การจบชีวิตที่น่าเวทนานั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องดีๆ ต้องบอกว่าเป็นการตายที่ประเสริฐ!
“กินสิ” ฉินอ๋องหันมามองข้าก่อนจะเอ่ยเตือนพร้อมกับคีบเนื้อไก่ชุ่มน้ำแกงขึ้นมาป้อนถึงปาก คาดว่ากลัวข้าจะไม่ยอมกินถึงได้ส่งถึงปากเช่นนี้ ข้ายิ้มอ้าปากจะงับเนื้อชิ้นนั้นแต่ถูกมือลึกลับดันออกไป พริบตานั้นก็มีคนโฉบเนื้อไก่ไปเคี้ยวตุ้ยๆ หน้าตาเฉย ข้ากับฉินอ๋องมองโจรลักเนื้อไก่ด้วยดวงตาว่างเปล่า
“อร่อยจริงๆ หลานเขย เอ้า คีบมาให้อีกสิ” ท่านตาเยว่เมิ่งกลืนเนื้อไก่ชิ้นนั้นลงคอแล้วคลี่ยิ้มกล่าวชมเสียงนุ่มนวลน่าฟัง ก่อนจะหัวเราะไร้เสียงชี้นิ้วสั่งหลานเขยที่มองตะเกียบว่างเปล่าในมือนิ่ง เจ้าแมวเหลือบมองท่านตาเยว่เมิ่งอย่างเย็นชา นิ้วเรียวยาวขยับตะเกียบคีบเนื้อไก่ขึ้นมาทำให้คนออกคำสั่งเหยียดยิ้มเป็นต่อ
ฉินอ๋องมองท่านตาเยว่เมิ่งด้วยหางตาก่อนจะโน้มตัวเข้ามาหาข้า ยกแขนเสื้อขึ้นมากั้นเราสองคนจากคนอื่นพร้อมกับยื่นเนื้อไก่มาป้อนให้ ข้าลอบหัวเราะในใจ รีบอ้าปากงับเนื้อไก่ ท่านตาเยว่เมิ่งไม่ยอมง่ายๆ พยายามแทรกเข้ามาขัดขวาง แต่เจ้าแมวนั้นไม่สะทกสะท้านใดๆ
“อร่อยหรือไม่?”
ฉินอ๋องยืดตัวกลับไปนั่ง เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ฟังเย็นชาเช่นปกติ ไม่มีท่าทางจะสนใจไยดีผู้ใหญ่บางคนที่ทำตัวเป็นเด็ก ข้ากำลังเคี้ยวเนื้อไก่ชุ่มน้ำแกงหอมกรุ่นพยักหน้า ดวงตายิ้มขำ หลังจากนั้นเขาก็ขยับตะเกียบดูแลป้อนข้าวป้อนอาหารให้กับข้าราวกับเป็นแม่นก
“เจ้าจะอิจฉาหลานเขยเกินไปแล้วกระมัง มา! ข้าจะป้อนให้เจ้าเอง” ท่านแม่ทัพหูจิวอี้ที่นั่งข้างท่านตาเยว่เมิ่งพ่นลมหายใจออกมา รำคาญใจกับเสียงโวยวายของสหาย เขาดึงตัวท่านตาเยว่เมิ่งให้หันไปหา จัดการยัดอาหารเข้าปากจนเต็มไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสโวยวาย ท่านแม่ถึงกับปรบมือชื่นชมพอใจที่เสียงบ่นเงียบลง ท่านพ่อลอบทำหน้าพอใจเงียบๆ ที่โล่งหูเสียที
“อายุตั้งเท่าไรแล้วยังทำตัวเป็นเด็ก น่าขายหน้าเสียจริง” คนที่ไร้บทพูดมาเนิ่นนานเอ่ยน้ำเสียงเอือมระอาปนหน่ายใจ ท่านทวดเยว่ไฉหลางชำเลืองหางตามองบุตรชายอย่างเย็นชา ก่อนจะกลับไปจมกับหนังสือในมืออีกครั้ง มือซ้ายถือหนังสือ มือขวาถือตะเกียบที่คีบทุกอย่างใส่ปากอย่างชำนิชำนาญ ไม่มีพลาดเปรอะเปื้อนปากแม้แต่น้อยราวกับฝึกปรือมานับพันครั้ง
“ไม่อยากให้คนที่อ่านหนังสือไปกินไปมาว่าหรอกนะ” ท่านตาเยว่เมิ่งเคี้ยวข้าวในปากตุ้ยๆ แต่ก็ยังหันไปแขวะบิดาของตน ท่านทวดเยว่ไฉหลางเหลือบสายตามามองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เปิดศึกสายเลือดกลับไปสนใจหนังสือในมือเหมือนเดิม ท่านแม่ทัพหูจิวอี้รีบฉวยโอกาสยัดข้าวปิดปากสหายอีกครั้งก่อนที่อีกฝ่ายจะแหว่งปากหาเรื่องบิดาหน้าตาย
ช่วงเวลารับประทานมื้อกลางวันแสนวุ่นวายดำเนินไปอย่างขรุขระจนกระทั่งทุกคนอิ่มแปล้ ท่านตาเยว่เมิ่งเข้ามาประชิดตัวข้าพร้อมกับคะยั้นคะยอให้ไปเดินเล่นย่อยอาหารด้วยกัน ข้าชำเลืองมองสามีหมาดๆ ที่นั่งนิ่งไม่คัดค้านอันใดจึงหันกลับมาตอบรับ เดินตามท่านตาเยว่เมิ่งที่ยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริออกไป
ข้าถูกลากออกจากห้องกินข้าว พอหันกลับไปด้านหลังก็เห็นเจ้าแมวชี้ไม้ชี้มือบอกใบ้ว่าจะไปรอที่เรือนหงเหมย ท่านพ่อกับท่านแม่แยกย้ายไปพักผ่อนที่ห้อง ส่วนท่านทวดเยว่ไฉหลางยังคงจมอยู่ในโลกของตัวอักษร ท่านแม่ทัพหูจิวอี้เดินตามข้ากับท่านตาเยว่เมิ่งมาติดๆ ไม่สนใจว่าจะถูกไล่อย่างไร ดื้อดึงตามมาจนอีกคนเหนื่อยจะไล่ถึงยอมให้อีกฝ่ายตามมา
เดินไปเดินมากลับกลายเป็นว่าสหายวัยดึกก็ทะเลาะชวนตบตีกันเสียอย่างนั้น
“เอ่อ ข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” ข้าพึมพำกล่าวลาปลีกตัวออกไปก่อนที่ศึกระหว่างสหายจะปะทุ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหันกลับไปมองเพราะไม่วางใจกลัวจะลงมือลงไม้กัน พวกเขายังโต้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง แต่ดูไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือจึงหันกลับมาจ้ำเท้าเดินต่อไป ตอนแรกจะกลับเรือนหงเหมยแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเดินไปเรือนใหญ่ที่พำนักของท่านพ่อ
“นายท่านอยู่ห้องหนังสือขอรับ” พ่อบ้านกู้ที่กำลังเดินสวนทางเข้ามากระซิบบอกอย่างรู้ใจโดยไม่ต้องเอ่ยถาม ข้าพยักหน้าขอบคุณเดินต่อไปยังห้องหนังสือ เคาะประตูก๊อกๆ สองสามทีก็มีเสียงเจ้าของห้องอนุญาตให้เข้าไปได้
ข้าผลักประตูเข้าไปเห็นท่านพ่อกำลังร้อยลูกปัดอยู่จึงชะงักเล็กน้อย มองไปทางมารดาที่นอนเอนหลังอ่านนิยายประโลมโลกสุขสบายอยู่ด้านข้างคิ้วพลันขมวดนิดๆ ตกลงท่านอำมาตย์เซี่ยผู้นี้เป็นสามีหรือภรรยากันแน่? ไยสลับบทบาทกันเช่นนี้ แทนที่ฝ่ายภรรยาจะปักเย็บเสื้อผ้ากลับกลายเป็นฝ่ายสามีทำแทนเสียนี่! ข้ายืนนิ่งพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ก็นั่นแหละต่อให้ท่านแม่มีใจอยากจะทำก็ทำออกมาดีสู้ฝีมือท่านพ่อมิได้ ให้ตายเถิด! มีผู้ใดล่วงรู้หรือไม่ว่าฝีมือเย็บปักของท่านอำมาตย์ผู้นี้ดีพอๆ กับร้านขึ้นชื่อเชียวนะ
“ท่านพ่อ”
“อืม นั่งก่อนสิ” ท่านพ่อวางเข็มร้อยลูกปัดในมือลงบนโต๊ะ ให้เดาข้าคิดว่าท่านพ่อกำลังทำสร้อยคอหรือไม่ก็สร้อยข้อมือให้แก่ท่านแม่เป็นแน่ ฮือ แม่ศรีเรือนยิ่ง! เขาพยักพเยิดบอกให้ข้านั่ง ขณะเดียวกันท่านแม่ก็ผุดลุกขึ้นมานั่งพลางกัดลูกสาลี่ดังกร้วบๆ อันนี้ก็จะป่าเถื่อนไปหรือไม่? ไม่มีมาดกุลสตรีแม้กระผีกเดียว เฮ้อ พวกท่านสลับบทบาทกันเถิด! พอนั่งลงท่านพ่อก็เอ่ยถามถึงธุระ ข้าแย้มยิ้มเบาบาง
“ไม่มีธุระใดหรอกขอรับ ลูกเพียงมาคุยเล่นเป็นเพื่อนพวกท่านเท่านั้น ท่านพ่อกำลังทำอันใดอยู่หรือ?”
ในฐานะบุตรแล้วข้ารู้สึกว่าตนเองนั้นไม่ค่อยมีโอกาสอยู่เป็นเพื่อนกับบิดามารดานัก ด้วยฐานะตำแหน่งของท่านพ่อที่เป็นถึงอัครเสนาบดีที่ปรึกษาคนสำคัญของฮ่องเต้ เวลาส่วนใหญ่เสียสละให้แก่หน้าที่การงานไป ส่วนท่านแม่ก็มักจะตามติดท่านพ่อราวเป็นเงาชดเชยเวลาหลายปีที่เข้าใจผิดกัน บอกตรงๆ ไม่มีช่องว่างให้บุตรเช่นข้าแทรกเข้าไปได้เลย
“สร้อยข้อมือ เป็นลูกปัดหินมงคลที่เพิ่งได้มา ทำให้เจ้ากับแม่เจ้าคนละเส้น”
“เหตุใดไม่ทำสามเส้นเลยล่ะขอรับ อีกเส้นก็ท่านพ่อก็ใส่ไว้เองอย่างไรเล่า”
「โอ๊ะ เป็นความคิดที่ดี! ทำสามเส้นเถิดเหยียนจิ้ง เป็นสร้อยครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก ยอดเยี่ยมมิใช่หรือ?」
ท่านแม่ผงกศีรษะเห็นด้วยกับข้า กระดกนิ้วขึ้นมาชี้สั่งเป็นนายท่าน คนถูกสั่งนั่งนิ่งเงียบเหลือบสายตาที่ติดจะดุๆ ไปมองอีกคนที่เอนกายกินสาลี่วิญญาณอย่างสุขสำราญบานใจ แม้ดวงตาท่านพ่อจะคมกริบปานใดแต่ก็ไม่สะเทือนหนังกำพร้าของท่านแม่เลยแม้แต่น้อย นางเปรยสายตาแล้วยกคิ้วมองกลับทำราวกับกำลังไต่ถามว่าเจ้ามีอะไรรึ? ทั้งสองจับจ้องฟาดฟันไร้สำเนียงอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็เป็นท่านพ่อที่เบือนหน้ากลับมายอมจำนนก่อน
“ว้าว สีของลูกปัดสวยๆ ทั้งนั้นเลยนะขอรับ!” ข้าอดเห็นใจบิดาบังเกิดเกล้าไม่ไหว ลุกจากเก้าอี้เดินไปชะโงกมองลูกปัดแวววาวในกล่องบนโต๊ะแล้วแสร้งอุทานชื่นชมดึงความสนใจของคนตรงหน้า เรื่องจำพวกมารดาข่มบิดามีให้เห็นมาตั้งแต่ข้ายังเล็กๆ เชียว ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านพ่อที่เป็นขุนนางใหญ่มากอำนาจแข็งกร้าวใส่ทุกคนแต่กับภรรยาสุดที่รักกลับหงอเถียงสักคำยังไม่ทำเลย คนภายนอกคงนึกภาพมิออกเป็นแน่
“เจ้าอยากได้สีใดล่ะ?” ท่านพ่อผู้มีสีหน้าเรียบนิ่งเอ่ยถามเสียงทุ้มนุ่มฟังอ่อนโยนกว่าปกติ พร้อมดันกล่องใส่ลูกปัดหลากหลายสีสันมาให้ข้าชม
「ข้าชอบสีแดง!」
คนไม่ถูกถามตอบเสียงเจื้อยแจ้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นผู้ใด ข้ายิ้มๆ เอียงหน้าไปมองมารดาที่วันนี้สวมใส่ชุดสีขาวสะอาดปักลวดลายตัดสีเป็นดอกเหมยแดงสด เดาว่าชุดนี้น่าจะเป็นฝีมือของท่านอัครเสนาบดีเซี่ยเหยียนจิ้งเป็นแน่ น่าจะลาออกจากขุนนางมาเอาดีด้านนี้ให้รู้แล้วรู้รอดนะท่านพ่อเนี่ย
“ข้าถามเหม่ยถิง”
「ข้าอยากตอบ」ท่านแม่ฉีกยิ้มกว้างโต้กลับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะขำ ท่าทางอารมณ์ดียิ่ง ท่านพ่อส่ายหน้าคร้านจะโต้เถียงด้วย หันมามองข้าที่ใช้ปลายนิ้วเขี่ยลูกปัดหินเย็นๆ มีทั้งทรงกลมทรงเหลี่ยม
“ท่านแม่สีแดง แล้วท่านพ่อสีอันใด?”
“สีน้ำเงิน”
“อืม...”
พิจารณาอยู่ไม่นานข้าก็หยิบลูกปัดกลมๆ สีม่วงองุ่น “แดง น้ำเงิน ผสมกันเป็นม่วง ข้าเอาสีม่วงขอรับ”
“เลือกได้ดี” ท่านพ่อชมด้วยใบหน้ายิ้มๆ ก่อนจะยื่นมือมารับลูกปัดจากข้า ท่านแม่ก็หัวเราะเสียงสดใสพยักหน้าเห็นพ้อง
「ฉลาดสมกับเป็นลูกของข้า」
“ของเรา” ท่านพ่อเงยหน้าขึ้นมาแก้ ท่านแม่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะระบายยิ้มส่งให้ท่านพ่อที่ก้มหน้าสนใจร้อยลูกปัดในมือ ดวงตาหงส์คู่นั้นเปล่งประกายระยิบระยับ มองอย่างไรก็เปี่ยมไปด้วยความสุขใจ ข้ามองสีหน้านั้นของมารดาจนเหม่อลอย
อดคิดเปรียบเทียบกับชีวิตที่แล้วที่สุดท้ายก็จบชีวิตลงอย่างน่าเวทนา มิได้นั่งหัวเราะและยิ้มอยู่กับครอบครัวเช่นนี้ คิดไปแล้วก็หวาดหวั่นและวิตกมิได้ เหตุการณ์เล็กๆ ที่เราไม่ใส่ใจบางทีอาจเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญของชีวิตเลยก็เป็นไปได้ ไม่รู้ว่าในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้นจะมีเรื่องใดเกิดขึ้น เฮ้อ เอาเถิด กังวลไปก็มิได้อันใด สู้อยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุดก็เป็นพอ มัวแต่คิดเรื่องวันข้างหน้าก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด
ข้าช่วยท่านพ่อร้อยสร้อยข้อมือจนสำเร็จ นั่งมองสร้อยข้อมือลูกปัดกลมสีม่วงบนข้อมือซึ่งมีกำไลหยกที่หวงกุ้ยเฟยประทานให้อยู่ด้วย หยกเขียวลูกปัดหินม่วงดูเข้ากันอย่างประหลาด ข้าอมยิ้มลูบพวกมันแล้วมองสร้อยข้อมือที่เหมือนกันเพียงต่างสีบนข้อมือของบิดาและมารดาหัวใจก็พลันฟูฟ่องคับอก ท่านพ่อสวมใส่ให้เองกับมือ ส่วนของท่านแม่เพียงจุดธูปเซ่นไหว้ไปให้ของจริงเก็บใส่หีบรักษาไว้อย่างดี
“เอาละ นี่ก็ผ่านยามเว่ยมาชั่วยามแล้วเจ้าไปพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวต้องเดินทางไกลอีก”
เดินทางวันนี้หรอกหรือ? ข้าอดจะประหลาดใจมิได้ที่ท่านพ่อทราบถึงกำหนดการของพวกเรา บางทีอาจเป็นฉินอ๋องที่บอกกล่าวไว้กระมัง แอบเคืองเจ้าแมวอยู่นิดหน่อย เหตุใดถึงไม่บอกอันใดข้าบ้างเลย ข้าลุกขึ้นหลังจากเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานของท่านพ่อ ไม่รู้ควรขำดีหรือไม่ บนโต๊ะเขียนหนังสือของท่านอัครเสนาบดีเซี่ยผู้ยิ่งใหญ่กลับมีทั้งเข็มทั้งด้ายเกลื่อนอยู่เต็ม
ข้ากล่าวล่ำลาบิดามารดาแต่ก่อนที่จะหันตัวเดินออกไปก็ชะงักเท้าหันกลับมาดังเดิม ในใจอดที่จะอาลัยอาวรณ์มิได้ มองทั้งสองที่ส่งสายตาอำลาเงียบๆ ความห่วงใยเปี่ยมล้นบรรจุเต็มดวงตาของพวกเขาทำให้ข้าหายใจสะดุ้ง สองเข่าพลันทรุดลงกับพื้น สองมือประสานโค้งคำนับ
“ขอบพระคุณมากขอรับ!”
ข้าไม่รู้ว่าขอบคุณอันใดแต่หัวใจมันร่ำร้องให้เอ่ยไปเช่นนั้น อาจเป็นขอบคุณที่ให้กำเนิดข้าผู้โง่เขลาคนนี้ หรืออาจเป็นขอบคุณในความห่วงใยและหวังดีที่ไม่สิ้นสุดของทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามแต่ข้าล้วนซาบซึ้งใจอยู่เต็มอก ท่านพ่อท่านแม่นิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนคาดไม่ถึงว่าข้าจะคุกเข่าคำนับขอบคุณเช่นนี้ แต่พริบตาทั้งสองก็ส่งยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนมาให้ เพียงแต่ของท่านพ่อมันเกิดขึ้นแวบเดียว หากมองไม่ดีอาจเข้าใจว่าตาฝาด แต่ข้ามั่นใจว่าเขายิ้มแน่นอน เสี้ยวพริบตาต่อมาใบหน้าหล่อเหลางดงามของท่านพ่อก็บึ้งตึง
“ขอบคุณอันใด หากเป็นเรื่องงานสมรสก็ไม่ต้อง เพราะข้าไม่ได้เห็นด้วย!”
อ้าว เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?
เห็นข้าเงยหน้างุนงงขึ้นมามองท่านพ่อก็พ่นลมหายใจแล้วเค้นเสียงขึ้นจมูก ไม่รู้เพราะอันใดข้าเห็นภาพของท่านตาเยว่เมิ่งซ้อนทับรางๆ ที่ว่าบุตรสาวมักจะชมชอบบุรุษที่เหมือนบิดาอาจจะใช่เรื่องจริง
“เป็นเพราะมีราชโองการหรอก มีหรือข้าจะยกบุตรชายให้อ๋องลักเล็กกินน้อยราวกับแมวขโมยเช่นนั้นได้! ทั้งที่ยังไม่ได้มีพิธีเป็นทางการกลับปีนกำแพงกระโจนเข้าห้องบุตรของข้าเป็นว่าเล่น ช่างไร้ยางอายนัก!”
「จะว่าฉินอ๋องฝ่ายเดียวก็มิถูก ลูกของเจ้าก็รู้เห็นเป็นใจนี่」
ท่านแม่!
ข้าแทบสำลักความอายออกมา ก่อนจะถูกหยอกเย้าไปมากกว่านี้ข้ารีบกล่าวอำลาจริงๆ จังๆ
“ท่านพ่อท่านแม่รักษาตัวด้วยนะขอรับ”
กว่าจะเดินพ้นจากห้องก็ถูกมารดาแซ็วจนหน้าไหม้ ช่างเป็นมารดาที่ไม่ยอมปล่อยให้ประเด็นหยอกล้อหลุดไปแม้แต่เรื่องเดียว นิดๆ หน่อยๆ นางก็เล่น ข้าถอนหายใจเดินลากเท้าเดินกลับไปเรือนหงเหมย ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าแมวกำลังสิ่งใดอยู่ ชิงลู่เดินตามหลังมาติดๆ ขณะที่เร่งฝีเท้าเดินกลับแต่ต้องมีอันหยุดขบวนเสียก่อน ข้าลอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายปนยุ่งยากใจ จวนแห่งนี้พื้นที่ออกจะกว้างขวางไยถึงได้เดินมาเจอะกันแบบนี้ได้นะ
“อุ๊ย บังเอิญจริงๆ จิ้งถิงกลับมาเมื่อไรหรือ? ได้ยินมาว่าเมื่อคืนเจ้ามิได้กลับจวน” สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่พยายามแย้มยิ้มอ่อนหวานพลางไถ่ถามน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย ดูอย่างไรก็เสแสร้งชัดๆ รอยยิ้มที่ปั้นแต่งเกินงามดูแสยะยิ้มเยาะเย้ยดูแคลนกันชัดๆ ที่เข้ามาถามข้ามั่นใจมากว่านางไม่ได้ห่วงข้านักหรอก แค่อยากสอดรู้สอดเห็นเท่านั้นแหละ
“ใช่แล้ว พี่สาวมีอันใดอย่างนั้นหรือ?”
“นี่แน่ะ เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร ไปค้างอ้างแรมกับบุรุษที่ยังมิได้ตบแต่งกัน ถึงแม้จะหมั้นหมายกันแล้วก็เถิด ไม่ควรอย่างยิ่ง เห็นว่าเจ้าไร้มารดาตักเตือนหรอกถึงได้กล่าวบอกเช่นนี้ ผู้คนจะครหาตระกูลของเราได้”
“ครหาอันใดกันล่ะ ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นบุรุษ ค้างนอกจวนสักวันสองวันก็มิได้เสียหายใดๆ หากผู้คนจะครหาเรื่องนี้มิใช่ว่าชื่อเสียงของตระกูลเราหมดไปตั้งแต่พี่ใหญ่จินหรงไปค้างบ้านสหายบ่อยๆ หรอกรึ?”
คนถูกยกมากล่าวอ้างคิ้วกระตุก ข้าแอบขำ โธ่เอ๊ย ถ้าชื่อเสียงจอมปลอมนั้นจะหมดใช่เรื่องที่ข้าจะต้องสนใจอย่างนั้นหรือ? ทั้งสองพี่น้องทำหน้าตกใจปนอึ้งที่เห็นข้าแดกดันกลับ จะว่าไปแล้วตั้งแต่ที่เกิดเรื่องในวันแรกที่กลับมาสองคนนี้ก็ไม่เคยมาหาเรื่องข้าเลยนี่นะ ข้าเองก็ลืมเลือนพวกมันไปเสียสนิท
“บุรุษ? หึ! เจ้าก็รู้ตัวรึว่าตนเองเป็นบุรุษ?” คนที่เงียบตั้งแต่ต้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเสียดสี เซี่ยจินหรงญาติผู้พี่ของข้าจ้องสำรวจข้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาดูแคลน ใบหน้าที่คล้ายบิดาหรือท่านลุงใหญ่ของข้าแสยะยิ้มแล้วเอ่ยยียวนด้วยท่าทางกวนอารมณ์อย่างยิ่ง
“น่าอายแทนยิ่งนัก แทนที่จะสอบเป็นขุนนางหรือเข้ากรมเป็นทหารรับใช้แผ่นดินให้สมกับเป็นบุรุษ แต่ดันไร้หัวคิดอยากสบายจนไม่มีศักดิ์ศรี ทอดกายให้แก่บุรุษด้วยกัน”
“ยี้! ขนลุกไปหมด” ผู้เป็นน้องร้องรับพร้อมทำสีหน้าท่าทีขยะแขยง ข้ายืนมองพวกมันนิ่งๆ แล้วยิ้มตอบไม่รู้สึกรู้สาใดกับคำที่จงใจด่ากระทบเหล่านั้น
“พี่จินหรงมีความคิดเข้าท่าเช่นนี้ด้วย น่าแปลกใจนัก อวยพรล่วงหน้าให้ท่านสอบติดก็แล้วกัน คงจะสร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลไม่น้อย...”
อืม ถ้าหากทำได้ละนะ
ข้าเว้นประโยคสุดท้ายไว้ในใจ จากนั้นก็ส่งยิ้มซื่อๆ ไปให้ราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ สองพี่น้องพลันหัวเราะออกมา มองหน้ากันชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะดังลั่นกว่าเดิม และจ้องมองข้าด้วยแววตาดูแคลนกว่าเดิม ข้าก็หัวเราะเบาๆ ตามพวกเขาไปด้วยสีหน้าซื่อบื้อก่อนจะเงียบเสียงแล้วเอ่ยบางอย่างด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ
“ท่านพี่ทั้งสอง มีสิ่งหนึ่งที่ผู้น้องต้องกล่าวเตือน หากต้องการมีศีรษะติดอยู่กับลำคอก็อย่าได้เอ่ยเช่นนี้อีก แม้ข้าจะไม่ถือสาหาความใดๆ แต่ฉินอ๋องผู้เป็นคู่หมั้นของข้านั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ที่จะหมิ่นเกียรติมิได้ เขาเป็นพระโอรสที่ฮ่องเต้โปรดปราน รักหน้ารักตายิ่งนัก หากได้ยินพวกท่านพูดเช่นนี้ย่อมไม่พอใจแล้ว...” ข้าตัวสั่นหน้าซีดแสดงท่าทางหวาดกลัวออกมาแล้วฝืนแย้มยิ้มออกมาน้อยๆ “เกรงว่าแม้แต่ข้าก็ไม่อาจช่วยเหลือพวกท่านจากคมดาบของฉินอ๋องได้”
ข้าเงยหน้าขึ้นกะพริบตามองพวกเขาด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย ทั้งสองชะงักแล้วยืนนิ่งเงียบ สีหน้าขาวซีดไร้เลือดหล่อเลี้ยง คนเป็นพี่ชายกัดฟันหน้าทะมึนตึง ส่วนผู้เป็นน้องสาวหน้าซีดเหยเก
“ฉะ...ฉินอ๋องมีจิตใจเมตตาคงไม่เอาความกับพวกท่านหรอก” ข้าเอ่ยเสียงเบาไม่มีความมั่นใจสักกระผีกแต่ก็พยายามปลอบใจอีกฝ่ายสุดความสามารถ พวกมันทั้งสองยิ่งหน้าเผือดไร้สี แหงละ เจ้าแมวนั้นได้ฉายากระไรเล่า? มิใช่เทพสงครามไร้เลือดไร้น้ำตาหรอกหรือ? เมตตาอะไรนั่นคงจะมีอยู่หรอก! ทั้งสองลูกพี่ลูกน้องของข้ากัดฟันกรอดก่อนจะถลึงตาใส่ข้าอย่างดุร้ายน่ากลัว มันก็มีประโยชน์แค่ข่มขู่เท่านั้น หาได้ทำให้เจ็บปวดไม่ ข้ายืนยิ้มๆ ไม่สะทกสะท้านมองพวกเขาสะบัดหน้าจ้ำเท้าเดินจากไปอย่างเร่งร้อนราวกับหนีตาย
ข้ามองตามพวกมันอยู่เนิ่นนานก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ใช่เรื่องดีนักที่ปล่อยให้คนเหล่านี้ป้วนเปี้ยนในจวนเช่นนี้ ทางที่ดีต้องจัดการก่อนที่มันจะกลายเป็นก้อนเนื้อร้าย ติดแค่ว่าข้าไม่มีเวลาทำเช่นนั้นได้ในเวลานี้ หวังว่าในอนาคตเมื่อข้ากลับมาอีกครั้งจะยังทันกาลอยู่ ยืนนิ่งได้สักพักข้าก็ก้าวเดินต่อไป
กลับมาถึงเรือนหงเหมยที่เงียบสงัด ข้ามองหาร่างเงาของใครบางคนก็ไม่พบเห็นแต่อย่างใด จื่อลู่ร่วมกับเด็กรับใช้อีกสองสามคนช่วยกันจัดเตรียมสัมภาระหอบหิ้วมาวางที่ห้องโถงนั่งเล่น เห็นข้าหยุดดูจื่อลู่ก็รีบบอกกล่าวให้รับรู้ทันที
“ท่านอ๋องเป็นคนสั่งให้จัดเตรียมข้าวของจำเป็นของคุณชายขอรับ”
ข้าพยักหน้าโบกมือบอกให้พวกเขาทำงานต่อไม่ต้องสนใจ ก่อนจะคิดบางอย่างได้ก็รั้งตัวจื่อลู่เพื่อถามไถ่
“ท่านอ๋องล่ะ?”
“หลังจากกลับมาที่เรือนท่านอ๋องนั่งอยู่ห้องโถงไม่นานก็เข้าไปห้องนอนยังไม่เห็นออกมา น่าจะพักผ่อนในห้องนอนกระมังขอรับ”
“อืม เจ้าไปทำงานต่อเถิด”
ข้าเดินเอื่อยๆ ไปยังห้องนอนของตนเอง เปิดประตูอย่างเบามือ มองเข้าไปข้างในก็พบใครบางคนกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ข้าระมัดระวังฝีเท้าให้ย่างเบาลงเคลื่อนตัวมาเตียงนอนก้มมองเจ้าแมวนอนหลับปุ๋ย ดูเอาเถิด ผู้อื่นเป็นห่วงกลัวเบื่อหน่ายแต่กลับมานอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เช่นนี้ ข้าหลุบตามองเขาที่นอนนิ่งสีหน้าสงบดูไร้เดียงสาไม่มีพิษสงเช่นยามตื่นแล้วพลันเบิกบานใจขึ้นมาทันตา เฮ้อ! อาหารตาแสนประเสริฐเช่นนี้จ้องนานหน่อยคงไม่มีผู้ใดต่อว่า แทะโลมสามีของตนเองหาใช่การทำผิดใดๆ เสียหน่อย
อืมๆ! ยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก!
ท่านอนอย่างน่ารักของท่านอ๋อง(?)
เอาใหม่ๆ
น่ารักแล้วนะ!
ท่านแม่ทัพใหญ่หูจิวอี้
ท่านแม่ทัพหูจิวอี้เนี่ยรูปงามมากเลยเน้อ (น้อยกว่าอ๋องแมวอยู่หน่อยหนึ่ง)
อุ๊ย ข้าคือคนแต่งอย่างไรเล่า ลืมไปแล้วรึ? แหะๆๆๆ คงจะนานเกินไปจริงๆ
แต่งได้ตอนนี้นานแล้วแต่แก้แล้วแก้อีกก็ยังไม่เป็นที่พอใจเท่าไร
ตัดส่วนนั้นเติมตรงนี้ ไปๆ มาๆ เลยใช้เวลานานไปนิ๊ด(?) ต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ
อีกตอนให้พระนายสวีตกันทิ้งท้าย จากนั้นจิ้งถิงขอลุยเดี่ยวในพาร์กตระกูลเยว่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ดีใจที่ไรท์กลับมานึกว่าโดนเทซะแล้ว
รออออออออ
คิดถึงท่านอ๋องแมวยิ่งนัก ***โดนจิ้งถิงตบ
//แอบจิ้นท่านตากะเเม่ทัพล่ะเเบบว่าท่านเเม่ทัพหน้าตาที่มากดดด
บ้านนี้มันเเหล่งรวมคนงามจิงๆๆ
เเต่ท่านพ่อนี้ เเม่ศรีเรือนจิงๆ