ตอนที่ 101 : ตอนที่ ๙๒ งานมงคล
ตอนที่ ๙๒ งานมงคล
พอเห็นข้าทำหน้างอใส่ ฉินอ๋องก็ไม่พูดอะไรอีก เขาหมุนตัวนั่งลงข้างเตียง ตบมือลงบนหน้าขา เป็นสัญญาณให้ข้าเดินเข้าไปหา ข้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิมอีกฝ่ายก็ยกคิ้วขึ้นถาม สีหน้าเยือกเย็น ไม่มีเค้าของแมวที่เพิ่งร้องหง่าวๆ เมื่อครู่ เขายื่นมือมาดึงข้าที่ไม่ยอมเดินเข้าไปหานั่งลงบนต้นขาข้างขวา ยกแขนตวัดโอบรอบเอวข้าไว้หลวมๆ มืออีกข้างก็เขี่ยปลายจมูกของข้าอย่างหยอกล้อ
กิริยาง้องอนของเขาทำให้ข้าใจอ่อนยวบยาบ บ้าจริงเชียว สมแล้วที่อยู่มานานกว่า เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเชียว ข้าสบตาคู่งามตรงหน้าตรงๆ ก็พลันแก้มร้อนซู่ อะไรกัน สายตาแบบนั้นมัน... ข้าทนมิไหว เป็นคนหลบสายตาออกมาเสียก่อน โธ่เอ๊ย หัวใจเต้นแรงจนเจ็บ แววตาที่ราวกับจะจับกลืนกินทำให้ข้าต้านทานไม่ไหว พยายามต่อสู้กับอาการประหม่าที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นแล้วเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง
“เหตุใดท่านถึงไม่บอกเรื่องย้อนกลับมายังอดีตเล่า?”
มือของเขาที่กำลังเกี่ยวป้อยผมทัดหูให้ข้าชะงักหยุดไปอึดใจก่อนจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง ไม่มีท่าทีร้อนตัวหรือตกใจใดๆ ไปมากกว่านั้น ข้าแอบผิดหวังอยู่เล็กๆ เจ้าแมวเส้นลึกเกินไปแล้ว จะเปลี่ยนสีหน้าก็ไม่มีแม้สักเศษเสี้ยว ฉินอ๋องกดมุมปากคล้ายจะยิ้มแล้วถามกลับมาแทนที่จะตอบคำถาม
“แล้วเจ้าเล่า เหตุใดถึงไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่ข้า”
“ระ...เรื่องอันใด?”
ฉินอ๋องเก็บมือกลับแล้วจ้องข้าด้วยแววตานิ่งสงบ ข้าเหงื่อแตกพลั่ก ในใจร้องโอดโอย ให้ตายเถิด นอกจากเขาจะกลับย้อนเวลามาแล้ว นี่ยังรู้ว่าข้าเองก็กลับมาเช่นเดียวกันอีกงั้นหรือ!? ในขณะที่เขารู้ไปหมดทุกอย่างแต่ข้ากลับไม่รู้อะไรสักอย่าง ไร้ความยุติธรรมจริงๆ! ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขมวดคิ้วจ้องกลับไปอย่างขุ่นเคืองเล็กๆ
“ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อใด?”
“เจ้าคิดว่าตนเองปิดบังเก่งเพียงใดรึจิ้งถิง?”
ข้าทุบไหล่ของคนหยอกไม่ดูเวลา เหอะ จะกล่าวหาข้าว่าปกปิดไม่ดีเองอย่างนั้นสินะ ฉินอ๋องไม่เพียงจะไม่เจ็บแล้วเขายังโน้มตัวเข้ามาใช้ปลายจมูกหอมแก้มข้าไปฟอดใหญ่ บ้าจริงเชียว! เผลอไม่ได้ เขาเบี่ยงหน้ากระซิบข้างหูของข้า
“รู้ตั้งแต่วันแรกที่กลับมาจากชายแดนแล้ว”
“นานขนาดนั้นเชียว!?” ข้าตกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายรับรู้มาตั้งแต่แรกเช่นนั้น คิดว่าอย่างเร็วก็น่าจะสักเป็นเดือนหรืออะไรมากกว่านั้นเสียอีก เปรียบเทียบกันแล้วยิ่งทำให้ข้าดูโง่เขลาเกินเยียวยา บ้าที่สุด แล้วผู้ใดมันจะไปรู้ว่าจะมีคนย้อนเวลามาเหมือนกันเล่า เพียงแค่ตัวเองย้อนกลับมาได้ก็น่าเหลือเชื่อมากพอแล้ว
“แล้วท่านกลับมาพร้อมกันกับข้างั้นหรือ?”
“เปล่า ข้ากลับมาก่อนเจ้าสักสี่ปีได้ กลับมาตอนอายุสิบห้าปีในวันคล้ายวันเกิดของอำมาตย์เซี่ยเหยียนจิ้ง...”
วันที่พวกเราเจอกันครั้งแรกนั่นเอง!
อ้อ มิน่าเล่า ถึงได้พูดว่าชอบข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ ที่แท้ก็ความว่าอย่างนี้นี่เอง ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นใครแล้วยังจะเอาตัวมาอีกนะ
“เอามาไว้ใกล้หูใกล้ตา ป้องกันไม่ให้ใครมาขโมยตัดหน้าไปเสียก่อน”
“ผู้ใดจะมาขโมยกัน?” ข้าหัวเราะขันในความหึงหวงเกินพอดีของเจ้าแมวหวงก้าง
ในตอนนั้นข้าเป็นแค่เด็กตัวสกปรกมอมแมม ผู้ใดมันจะตาต่ำมาขโมยไปกันเล่า คนเอาแต่ใจเป็นใหญ่ไม่สนใจคำพูดของข้ายืนยันว่าตนเองทำถูกต้องที่สุดแล้ว ข้าคร้านจะเถียง ยอมถอยแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน ข้าถามเขาเรื่องวิธีคืนชีพให้แก่ท่านแม่ ฉินอ๋องถอนหายใจออกมาคำรบหนึ่ง
“ไม่เชิงว่ารู้วิธี แต่ข้ารู้ว่าวิธีคืนชีพนี้อยู่ที่ใคร”
“ใครงั้นหรือ?”
“ผู้คนเรียกเขาว่าหมอเทวดาเฟิง”
“หมอเทวดาเฟิง?”
“หมอเทวดาบ้า”
ข้าเลิกคิ้วขึ้นสูงจนหน้าผากย่นไปหลายชั้น มิใช่ตัวอักษรเฟิงที่แปลว่าลมงั้นหรือ? แต่เป็นเฟิงที่แปลว่าบ้า หมอเทวดาบ้า ให้ตายเถิด ดูท่าจะมิใช่คนที่รับมือได้โดยง่ายเสียแล้ว
“จะแปลว่าลมก็ได้ ผู้คนเรียกเขาทั้งสองอย่าง บ้าเพราะนิสัยแปลกประหลาดของเขา สายลมเพราะอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ตามหาตัวได้ยาก เมื่อชีวิตก่อนข้ายังตามหาตัวเขาไม่ได้เลย”
“ถ้าหาไม่พบท่านแม่ก็...”
“เจ้าไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ต้องหาให้พบ ข้าเองก็อยากตอบแทนบุญคุณของมารดาเจ้า สายข่าวของข้ารายงานมาว่ามีคนเห็นหมอเทวดาเฟิงอยู่แถบชายแดนแคว้นจื่อ ข้าสั่งให้ลูกน้องตามหาเขาอยู่”
แคว้นจื่อ? ตระกูลเยว่ก็อยู่ในแคว้นนี้นี่น่า ถ้าหากข้าให้คนในตระกูลเยว่ช่วยตามหาอีกแรงน่าจะพบตัวหมอเทวดาผู้นั้นได้เร็วมากขึ้น ข้าถอนหายใจเมื่อพอมีความหวังอยู่บ้าง จากนั้นเราก็คุยกันเล็กน้อยก่อนที่ฉินอ๋องจะดันตัวข้าให้ลุกขึ้นยืน ข้าสะดุ้งตัวโหยงรีบลุกขึ้นแล้วมองขาของเขาด้วยความเป็นห่วง
“ขออภัย ข้าลืมไปว่านั่งบนขาของท่าน เหน็บไม่กินใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไร ข้าชอบให้เจ้านั่งบนตัวข้า”
เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าวาจานี้ล่อแหลมพิลึกกันนะ ข้าชำเลืองมองใบหน้านิ่งเรียบเย็นชาหน่อยๆ ของฉินอ๋อง สงสัยจะคิดลึกไปเองนั่นแหละ ฉินอ๋องจะพูดสองแง่สองง่ามได้อย่างไร
“นี่ก็ดึกมากแล้วเจ้ากลับไปก่อนเถิด”
หา! ข้าฟังผิดไปหรือไร ฉินอ๋องบอกให้กลับไปอย่างนั้นหรือ? ข้ายืนนิ่งทำหน้างุนงง เจ้าแมวสะบัดผ้าห่มเอนตัวนอน หนำซ้ำยังยกมือไล่อีก ข้าทำอะไรไม่ถูก นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน เพิ่งเคยถูกไล่กลับเป็นครั้งแรก ข้าอุตส่าห์มาทั้งทีแต่กลับถูกไล่!
เจ้าแมวพลิกตัวกลับมาเห็นข้ายังยืนอยู่ที่เดิมก็ยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับกวักมือเรียก แน่ะ ล้อเล่นอยู่จริงๆ ด้วย เขาหรือจะไล่ข้ากลับไปจริงๆ ทุกครั้งแทบจะอ้อนให้อยู่ต่อนานๆ เสียมากกว่า ข้าขยับตัวเข้าไปหาทันที ฉินอ๋องเอื้อมมือมาคว้าไหล่ของข้าโน้มตัวลงไปหาเขาแล้วยกตัวขึ้นมาจูบ ข้าหลับตาจูบตอบอย่างกระตือรือร้น ยกมือเกาะเกี่ยวไหล่กว้างแล้วเอียงหน้าเคล้าริมฝีปากบดเบียดเข้าหากัน ลมหายใจกระชั้นขึ้นตามลำดับอารมณ์ที่ถูกปลุกเร้า ข้าเคลิบเคลิ้มเอนตัวพิงเขา ก่อนจะเตลิบไปมากกว่านั้นฉินอ๋องก็ผละตัวออกอย่างรวดเร็ว
“เอาละ ฝันดี”
จากนั้นเขาก็เอ่ยลาสั้นๆ พร้อมกับล้มตัวนอนไม่สนใจข้าที่ยืนหอบหายใจกระเส่า ผ่านไปอึดใจข้ากลับมาได้สติก็ขมวดคิ้วมองเจ้าของห้องที่นอนหันหลังให้ โมโหและอารมณ์ที่ถูกปลุกค้างเติ่งไม่ทันได้ระบาย ข้าเม้มปากพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แล้วกระทืบเท้าปึงปังเดินเข้าอาณาเขตเยว่ตี้เพื่อกลับไปยังห้องนอน
หึ คอยดูนะ ข้าจะไม่มาหาอีก!
ข้ากลับมายังห้องนอนของตนเอง อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนแต่ก็นอนไม่หลับเลย ร่างกายและอารมณ์ยังคงรุ่มร้อนปั่นป่วน ได้แต่พลิกตัวกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิดงุ่มง่าม กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบรุ่งสาง ตอนที่งัวเงียตื่นก็เลยยามซื่อ(๙-๑๑น.)มานิดหน่อยแล้ว เป็นครั้งแรกที่นอนตื่นสายโด่งขนาดนี้ ให้ตายเถิด เป็นเพราะเจ้าแมวคนเดียวเลย!
หลังจากที่ข้าตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าบึ้งตึงสองหนุ่มหยกก็เข้ามาปรนนิบัติตามปกติ ข้าค่อนข้างแปลกใจเมื่อมื้อกลางวันกลับมีทั้งท่านพ่อและท่านแม่ร่วมรับประทานด้วย ข้ามัวแต่ดีใจที่วันนี้ท่านพ่ออยู่บ้านร่วมกินข้าวด้วยกันได้จนมิได้สังเกตอาหารบนโต๊ะ แน่ละ ทุกวันท่านพ่อต้องเข้าวังไปตั้งแต่เช้ามืด เป็นขุนนางนี่ลำบากลำบนยิ่ง ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกับเข้าร่วมว่าราชการ ยิ่งท่านพ่อที่เป็นถึงที่ปรึกษาคนสนิทรับผิดชอบงานของฮ่องเต้มากกว่าครึ่ง
พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขยิ่ง ท่านพ่อคีบอาหารให้พร้อมกับพูดชื่ออาหารไปด้วย ท่านแม่ก็เอาแต่ยิ้ม แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ข้าก็มิได้พูดอันใดออกไป
พอตกบ่ายสองหนุ่มหยกชิงลู่กับจื่อลู่ก็เข้ามาปรนนิบัติข้าอีกรอบ คราวนี้ต้องขัดสีฉวีวรรณครั้งใหญ่พร้อมกับแต่งองค์ทรงเครื่องให้เหมาะสมกับระดับงานเลี้ยงใหญ่ที่จัด ณ วังหลวง ข้าขมวดคิ้วมุ่น เจ็บหนังหัวที่ถูกทั้งสองหนุ่มรุมทึ้งจัดทรงผมอย่างใส่ใจเป็นพิเศษ ข้าได้แต่บ่นในใจอย่างไม่เข้าใจ ใช่ว่ามิเคยเข้าวังหลวงเสียหน่อย แต่ครั้งนี้สองหนุ่มกลับพิถีพิถันเป็นพิเศษ ตอนอาบน้ำยังโรยกลีบบุปผาหอมเต็มถัง นวดน้ำมันระเหยจนตัวข้าหอมฟุ้งไปหมด ใบหน้าก็ผัดแป้งจนข้าแทบสำลัก แต่งบางเบาให้ดูเป็นธรรมชาติ แล้วยังทรงผมที่แก้แล้วแก้อีกนี่ก็เหมือนกัน ประเดี๋ยวก็ปักปิ่นทองประเดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นปิ่นหยก ใช้เวลาอยู่สองชั่วยามเต็มสองหนุ่มก็หมุนตัวข้าซ้ายขวาพลางพยักหน้าพึงพอใจในผลงานของตนเอง
“งานวันนี้นายน้อยต้องงดงามโดดเด่นกว่าผู้ใด!”
“ใช่แล้ว งานนี้นายน้อยของพวกเราย่อมงดงามเป็นที่หนึ่งแน่นอน”
ข้าเหลือบมองทั้งสองหนุ่มด้วยสายตาเอ็นดูกับความมุ่งมั่นที่ร้อนแรงของพวกเขา ก่อนจะส่ายหน้าไปมาไม่ใส่ใจนัก จะงดงามหรือไม่ข้าก็ไม่เก็บมาใส่ใจให้ปวดหัวหรอก เห็นข้าไม่สนใจสองหนุ่มก็บ่นแกมแนะนำด้วยความหวังดีอย่างที่สุด
“นายน้อย ไม่ใส่ใจเรื่องนี้มิได้นะขอรับ รูปโฉมความงามเป็นสิ่งหนึ่งที่มัดใจคนรักได้”
“ใช่แล้วขอรับ แม้ว่าท่านอ๋องจะผูกสมัครรักใคร่นายน้อยอย่างจริงใจแล้วก็ตาม แต่จะมั่นใจจนทะนงหลงลืมตัวมิได้ ต้องมั่นใส่ใจเสน่ห์เพื่อตรึงใจคนรักมิให้จืดจาง อย่างเช่นที่นายน้อยบริหารทำตัวอ่อนนั้นก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง การแต่งกายสวยงามก็เป็นอีกวิธีหนึ่งเช่นกัน”
ข้าถลึงตาใส่ทั้งสองหนุ่ม อดจะอับอายมิได้ ปัดโธ่! ผู้ใดจะคิดเล่าว่าหมดจากเสี่ยวชีแล้วยังมีสองคนนี้ที่คอยจู้จี้เรื่องนี้กับข้าอีก ไม่รู้ว่าเป็นเสี่ยวชีหรือไม่ที่เป็นคนต้นคิดแพร่การบริหารตัวอ่อนอะไรนั่น ทุกเช้าข้าถูกสองหนุ่มหยกบังคับให้ทำ หนำซ้ำอาจารย์ผู้สอนวรยุทธ์อย่างอู้หย่ายังเห็นดีเห็นงามกับการบริหารร่างกายนี่อีก ข้าจำใจต้องฝึกทั้งน้ำตาเชียวละ
เมื่อเข้ายามโหย่ว (๑๗-๑๙น.) ท่านพ่อก็มารับข้าเข้าวังพร้อมกัน ระหว่างนั่งรถม้ามุ่งหน้าสู่วังหลวงข้ามองท่านแม่อย่างสงสัย นางยิ้มกว้างอากัปกิริยาดูปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่นั้นยังเอ่ยปากชมเชยข้าไม่หยุดปาก กระทั่งท่านพ่อยังมองมาด้วยสายตาเอือมระอา ตั้งแต่กินข้าวกลางวันแล้วนางคล้ายจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มีเรื่องใดให้น่ายินดีเช่นนี้กันนะ ข้าสงสัยอย่างยิ่ง
ใช้เวลาประมาณหนึ่งพวกเราทั้งสามก็เดินเข้าสู่งานเลี้ยง ทุกคนในงานหันมามองพวกเราอย่างสนอกสนใจ ไม่แปลก งานเลี้ยงในครั้งนี้ข้าเป็นหนึ่งในตัวชูโรงนี่นะ ระหว่างที่ท่านพ่อปราศรัยกับเหล่าขุนนางที่เข้ามาแสดงความยินดีด้วยข้าลอบสอดส่ายสายตามองหาตัวชูโรงอีกคน แต่หายังไงก็ไม่เจอเสียที เจ้าแมวยังไม่มาอย่างนั้นหรือ? เมื่อคืนไล่ข้ากลับไม่พอทั้งวันยังไม่แวะมาหาเหมือนก่อนอีก ข้าแอบโมโหหน่อยๆ
“จิ้งถิง ยินดีด้วยๆ อย่างไรก็ฝากพี่สี่ไว้กับเจ้าด้วย ดูแลพี่ชายของข้าดีๆ เล่า ขอให้รักใคร่สมัคสมานจนแก่เฒ่า” ส่านอ๋องเดินเข้ามาหาข้าพร้อมกับแสดงความยินดีพร้อมกับอวยพร ข้าเลิกคิ้วแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ใส่ใจนัก
“ฉินอ๋องยังไม่มางั้นรึ?”
“แหมมมมมม~ ไม่เห็นกันเพียงไม่ถึงวันก็ร้อนรนขนาดนี้เชียวนะ ไม่ทักทายข้าสักคำ หนำซ้ำเห็นหน้าข้าก็ถามหาพี่สี่ก่อนอีก เจ้านี่มัน...” ส่านอ๋องชะงักยิ้มบนหน้าเมื่อถูกข้าโยนคำถามใส่กะทันหัน เขาถลึงตากลับก่อนจะบ่นอย่างไม่พอใจ ข้าพยายามใจเย็นทักทายอีกฝ่ายไปแกนๆ จนอ๋องห้าดูด้วยสายตาเย็นชา ไม่รู้เพราะเห็นใจหรือรำคาญส่านอ๋องโบกมือยอมบอกอย่างจำยอม
“พี่สี่มาถึงแล้ว คุยอยู่กับเสด็จพ่ออยู่กระมัง เจ้าเองก็อดทนเสียหน่อยเถิด ไม่เห็นหน้ากันแค่ไม่กี่ชั่วยามคงไม่สิ้นใจหรอก มาๆ ยืนหลบอยู่ตรงนี้คนเขามาแสดงความยินดีด้วยจะเห็นได้อย่างไร”
ส่านอ๋องตอบอย่างขอไปที จากนั้นก็ลากข้าเข้าไปหากลุ่มคนที่ราวกับเสือที่รอเหยื่อมาใกล้ต่างกระโจนเข้าใส่ข้ากันอย่างรวดเร็ว ข้าที่ถูกลากเข้ามาทั้งอึดอัดและตกใจ ถูกพวกเขาประจบประแจงพร้อมทั้งแสดงความยินดีด้วยถ้อยคำมากมาย ไม่เพียงแค่นั้นพวกเขายังพยายามให้ข้ายกสุราผูกมิตรกันอีก ข้าถูกคำยินดีนับร้อยโจมตีไม่หยุดแทบหมดเรี่ยวแรง ส่วนตัวต้นเหตุกลับปลีกตัวไปพูดคุยหยอกล้อกับเหล่าคุณหนูหน้าชื่นตาบาน ส่านอ๋อง เจ้าคนบ้าไผ่เอ๊ย!
กว่าข้าจะรอดพ้นจากเหล่าคนอยากเลียแข้งเลียขาได้ก็เกือบหมดเรี่ยวแรง โชคดีที่หมิงอิงและหานลี่จูเข้ามาช่วยข้าไว้ก่อนจะขาดใจเพราะถูกผู้คนรุมเร้ารอบด้าน ข้าขอบคุณทั้งสองที่เข้ามาช่วยไว้ได้ทันกาล หมิงอิงหัวเราะเสียงใสขำข้าที่ทำหน้าซีดเซียวอ่อนแรงแล้วเอ่ยหยอกล้ออย่างสนิทสนม
“เป็นธรรมดาที่เจ้าจะถูกสนใจมากมายเช่นนี้ หากได้เป็นฉินหวางเฟยเมื่อใดย่อมต้องรับศึกหนักยิ่งกว่านี้ หัดไว้จะได้คุ้นชิน”
“เฮ้อ ข้าไม่ขอชินกับเรื่องเช่นนี้”
“เอาเถิด ฉินอ๋องรักเจ้าเพียงนั้นคงไม่ปล่อยให้เจ้าเหนื่อยใจนักหรอก”
“พูดอันใดของเจ้ากัน” ข้าอ้อมแอ้มแย้งไม่เต็มปากนัก
“ฉินอ๋องเป็นบุรุษที่ดี” หานลี่จูเอ่ยสั้นห้วน น้ำเสียงไม่บ่งบอกเจตนารมณ์ว่ากำลังสื่อถึงอะไร แต่ข้าคิดว่านางกำลังให้กำลังใจข้าอยู่ ข้าหันไปมองนางพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา ฉินอ๋องเป็นบุรุษที่ดีคนหนึ่งจริงๆ
“ดูเอาเถิด ยิ้มแก้มปริเชียว พูดถึงฉินอ๋องมิได้เลยจริงๆ น่าหมั่นไส้นัก”
“อย่าหมั่นไส้ข้าเลย หากเจ้ายอมรับหลวนคุนคงได้แต่งก่อนข้าเป็นแน่”
“เกี่ยวอันใด เจ้าก็พูดเป็นเล่นไป” หมิงอิงทำหน้าบึ้งพร้อมทั้งแค่นเสียงขึ้นจมูกเมื่อข้าพาดพิงไปถึงหนุ่มน้อยมือปราบ ได้ยินข่าวมาว่าถึงงานยุ่งเพียงใดก็แบ่งเวลามาทำคะแนนกับคุณชายเจ้าของรอยยิ้มสว่างไสวอย่างสม่ำเสมอ พวกเราคุยกันไม่กี่ประโยคก็แยกย้ายกันไปคนละทาง
หมิงอิงกลับไปหาบิดาของเขา ส่วนหานลี่จูเดินตามประจบเป็นเงาตามตัวของส่านอ๋องจนอีกฝ่ายหวาดระแวงไม่กล้าแม้จะคุยกับคุณหนูคนไหน เห็นแล้วก็ตลกอย่างยิ่ง ส่วนข้านั้นถูกสองหนุ่มหยกลากไปยังห้องในตำหนักใกล้ๆ ข้ามองพวกเขาอย่างงุนงง ชิงลู่กับจื่อลู่ที่มีรอยยิ้มกว้างขวางผลัดเปลี่ยนชุดให้แก่ข้า เอ๋ เหตุใดต้องเปลี่ยนชุดด้วยเล่า เพิ่งใส่ออกมามิใช่หรืออย่างไร? ข้าสงสัยแต่ก็มิได้ถามอันใดออกไป ได้แต่ขมวดคิ้วมองชุดบนตัวด้วยความคับข้องใจ
...ชุดสีแดงโดดเด่น
ข้ากำลังอ้าปากถามชิงลู่ก็ชิงเอ่ยตัดไปเสียก่อน
“ชุดนี้พวกเราตั้งใจทำขึ้นเพื่อนายน้อยโดยเฉพาะเลยนะขอรับ นายน้อยพอใจหรือไม่?”
“อืม งดงามมาก” ข้ามองดูชุดบนตัว ปลายนิ้วลูบไล้ลายปักที่ละเอียดอ่อนดูงดงามราวกับมีชีวิตบนเนื้อผ้าหรู พยักหน้าตอบรับ จื่อลู่แย้มยิ้มกว้าง วันนี้วันอะไรกันแน่นะ ไม่เพียงแค่ท่านแม่เท่านั้น แม้กระทั่งจื่อลู่ที่สุขุมยังยิ้มกว้างถึงเพียงนี้ ข้าอดจะยิ้มตามมิได้
“นายน้อยได้เวลาแล้วขอรับ”
ทั้งสองช่วยกันพยุงข้าให้เดินออกไปอย่างระมัดระวังราวกับข้าเป็นสตรีมีครรภ์ ข้าอดจะขำกับการประคับประคองเกินเหตุของพวกเขามิได้ จำเป็นต้องช่วยพยุงขวาซ้ายเหมือนข้าพิการอย่างนี้หรือ? พวกเราเดินเข้ามาในห้องโถงกว้างขวาง เมื่อมองเข้าไปข้าพลันชะงักเท้า จ้องมองอย่างงุนงง ภายในนั้นมีเหล่าบุคคลที่ข้าฉงนใจรวมตัวกันพร้อมหน้า
ด้านขวาเป็นครอบครัวของข้าตั้งแต่ท่านทวดเยว่ไฉหลาง ท่านตาเยว่เมิ่ง ท่านแม่ทัพใหญ่หู ท่านพ่อและท่านแม่ ส่วนทางด้านซ้ายมือนั้นเป็นฮ่องเต้เหวินจิ่งที่นั่งยิ้มกว้างขวาง ข้างๆ เป็นหวงกุ้ยเฟยพระมารดาของฉินอ๋อง และส่านอ๋อง และคนที่ข้ามองหาตลอดทั้งงานยืนนิ่งแข่งกับแจกันอยู่ไม่ไกลจากทางเข้า และที่ทำให้ข้าตัวแข็งทื่อก้าวมิออกนั้น...
เจ้าแมวอยู่ในชุดสีแดงเช่นข้า!
นี่มัน...อะไรกัน!?
“เอาละ มาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วก็เริ่มพิธีกันเถิด” ฮ่องเต้เหวินจิ่งกล่าวเป็นคนแรกเมื่อไม่มีผู้ใดคิดจะเคลื่อนไหว ฉินอ๋องพยักหน้ารับคำพระบิดาเดินตรงมาที่ข้าซึ่งยังยืนกะพริบตาปริบๆ เขาจับมือข้าจูงเข้าไปด้านในยืนตรงหน้าโต๊ะหมู่ของมงคล...
ฉินอ๋องคุกเข่าลงพื้น ข้ายืนทำอะไรไม่ถูกจนอีกฝ่ายหันมาจ้องถึงรีบทำตามอย่างไว ก่อนจะเริ่มทำอะไรสองหนุ่มหยกก็เอาผ้าคลุมหน้าสีแดงเหมือนสีชุดมาคลุมบนศีรษะของข้า นี่มัน... ข้าก้มมองพื้นอ้าปากพะงาบๆ ต่อให้โง่เขลาเพียงใดแต่ขนาดนี้แล้วย่อมต้องรู้ว่ากำลังเกิดอันใดขึ้น
นี่ข้ากำลังเข้าพิธีแต่งงานงั้นรึ!?
หัวของข้ามึนงงไปหมด ได้ยินเพียงเสียงของแม่สื่อที่ยืนอยู่ไม่ไกลสั่งให้ทำตามลำดับพิธีการจนกระทั่งคำนับฟ้าดิน คำนับบิดามารดา และคำนับกันและกัน เสร็จสิ้นพิธีการก็มีเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจออกหน้าออกตามาจากฮ่องเต้ที่วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“ต้องขออภัยประมุขเยว่ด้วยที่จัดพิธีรวบรัดเช่นนี้ โอรสของเราใจร้อนเกินไปจริงๆ อย่าได้ถือสาคนหนุ่มเถิด เรารับรองว่าจะจัดพิธีอภิเษกอย่างเป็นทางการอีกครั้งแน่นอน เมื่อลูกสะใภ้คนดีกลับมาจากร่ำเรียนเราจะจัดให้ยิ่งใหญ่ไม่ให้ขายหน้าทั้งเราและประมุขเยว่แน่นอน”
ข้าได้ยินฮ่องเต้เหวินจิ่งเอ่ยกับท่านทวดเยว่ไฉหลาง ถอดถอนหายใจก่อนจะกล่าวตำหนิพระโอรส น้ำเสียงไม่ได้คล้ายโมโหเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้นยังยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าพิธีแต่งงานต้องจัดอีกครั้งแน่นอน
ลูกสะใภ้คนดี?
ภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวข้าแอบขำเล็กน้อย ไม่รู้ว่าท่านทวดเยว่ไฉหลางทำสีหน้าอันใดตอบกลับ เขาได้ยินเพียงเสียงตอบรับสั้นๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ พอได้ยินเสียงของท่านทวดข้าก็ฉุกคิดขึ้นมา จริงสิ ไยท่านทวดที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่กลับมานั่งทำเป็นเป็นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาวได้
“คนเฒ่าคนแก่เช่นเราๆ อย่าถ่วงเวลาหนุ่มสาวอยู่เลย เสร็จพิธีกราบไหว้ฟ้าดินก็ส่งตัวเข้าหอเลยเถิด” ท่านแม่ทัพใหญ่หูพูดโพล่งขึ้นมากลางปล่องระหว่างที่ฮ่องเต้เหวินจิ่งพยายามผูกมิตรกับท่านทวดและท่านตาของข้า ข้าหันขวับไปมองต้นเสียงอย่างตกใจ
ต้องเข้าหอด้วยงั้นรึ!?
“นั่นสินะ ตอนนี้เจ้าบ่าวร้อนใจแล้วกระมัง”
“เข้าหออันใด!? เจ้าบ่าวต้องอยู่ดื่มฉลองก่อนถึงจะถูกมิใช่รึ!?” ท่านตาที่ยังมิได้พูดอันใดเป็นคนประท้วงขึ้นมาเสียงดังอย่างไม่ยินยอม คนอื่นๆ ก็หัวเราะรับแห้งๆ ก่อนที่จะมีผู้ใดเอ่ยท่านตาก็ตะโกนเรียกหาสุราลากบังคับฉินอ๋องที่ยืนอยู่ข้างข้าไปดื่ม
“ดื่ม! ดื่มอีก! ดื่มเข้าไป!”
ข้าเปิดผ้าคลุมหน้าขึ้นแอบมองเหตุการณ์ด้านหน้าอย่างสนใจ ฉินอ๋องถูกท่านตาจับกรอกสุราทีละจอก แต่เท่านั้นยังไม่สาแก่ใจมากพอ ท่านตาแทบจะยกไหเทอาบแทน นี่กะจะให้เจ้าแมวเมาตายไปข้างหนึ่งเลยสินะ ข้าปล่อยผ้าคลุมหน้าลงไม่สนใจจะเข้าไปห้ามปราม
หึ เมื่อคืนไล่ข้ากลับใช่ไหม ท่านตาเอาคืนให้หนักเลยนะขอรับ!
หึๆ ขออภัยที่มาช้าค่ะ เล่นมูราดอยู่ 55555 แพ้กันหัวร้อนนน~
พวกเธอคิดว่าอ๋องแมวจะยอมปล่อยถิงถิงไปง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ แหมมมม
ตอนหน้า.... อ๋องแมวจะเอาตัวรอดจากท่านตาแล้วเข้าห้องหอไหวไหม?
[ทำไมให้รู้สึกว่าท่านตากับแม่ทัพหู เหมือนมีซัมติงกันนะ] <<< จมูกดีจังนะ ได้กลิ่นด้วย หึๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

และ ในที่สุด ก็ได้แต่งงานกันสักที รู้สึกเหมือนส่งลูกออกเรือนจริงๆ ปลาบปลื้มใจมากๆ
ขอให้ครองรักกันยาวนานจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชรกันนะหนูถิงถิง กับ ท่านอ๋องแมว แล้วก็มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมืองนะจ๊ะ อิอิ
ฮือ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเจ้าค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
ถึงจะดูรีบๆ ไปหน่อยแต่ก็โอเคคค 555555
นั้นไง กระโดดขึ้นเรือท่านตาและท่านหู หึๆๆ
หรือหลังจากที่ถิงถิงตายแล้ว อ๋องรู้แล้วเกรี้ยวกราดขนาดไหน
ไม่คุยกันถึงอดีตเลยหรอคะ ว่าจริงๆแล้วตอนนั้นฉินอ๋องรู้สึกยังไงกับถิงถิงบ้าง
ทำอะไรไปบ้าง หรือว่าอธิบายไปแล้วตอนที่อ๋องบอกว่าเจอตำราหว่า แหง่ว