คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 09: ความหลัง
Mischief Managed
9
ทุกอย่างมันช่างเงียบเชียบไปหมดในเวลาตีหนึ่งกว่าๆที่นักเรียนส่วนใหญ่ก็นอนหลับกันหมดแล้ว
แทฮยองพลิกตัวไปมา ตั้งแต่ที่ไปกอดง้อซอกจินออมม่าเมื่อกี้จนเป็นเรื่องเป็นราวให้แตกตื่นกันทั้งหอซอกจินก็ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นให้ทุกคนฟังจนได้
แทฮยองพอจะเดาได้ว่าซอกจินฮยองคงจะมีปัญหาที่บ้าน
แต่ก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าอีกฝ่ายกำลังถูกจับแต่งงาน
แต่งงาน... แทฮยองคิดแล้วก็ยังหายใจไม่ทั่วท้อง
การแต่งงานมันเป็นการผูกชีวิตของคนคนหนึ่งไว้กับใครอีกคนไม่ใช่เหรอ?
คือการสัญญาที่จะใช้ชีวิตคู่กันตลอดไป
การที่จะมาบังคับให้ซอกจินฮยองต้องร่วมชีวิตกับคนแปลกหน้าแบบนี้...
ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ใจร้ายเป็นบ้า..
แล้วก็ยิ่งใจร้ายไปอีกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าระหว่างซอกจินฮยองกับนัมจุนฮยองมันยังมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าที่แทฮยองคงจะเข้าใจ
หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ซอกจินฮยองกับนัมจุนฮยองไม่คบกันอย่างเปิดเผย?
เพราะว่าที่บ้านของซอกจินฮยองกีดกันและเตรียมเจ้าสาวไว้ให้แล้วอย่างนั้นเหรอ?
พระเจ้า นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วเถอะ?
การคลุมถุงชนแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?
การมีทายาทสืบสกุลมันสำคัญกว่าความสุขของลูกอีกหรือไงกัน?
ไม่แฟร์เลยสักนิด
แทฮยองพลิกตัวอีกครั้ง
จัดท่านอนไปมาสลับกันอีกสี่ห้าครั้งแล้วก็ยังรู้สึกกระวนกระวายอยู่ดี
เขาลืมตาขึ้นมองรอบๆ ห้องนอนของพวกเขามืดสนิทแต่สายตาของแทฮยองก็ปรับเข้ากับแสงที่ริบหรี่นี่ได้มาสักพักแล้ว
เหมือนว่าเพื่อนๆร่วมห้องอีกสี่คนจะหลับสนิท
ทั้งจีมิน ยองแจ ยูคยอม และซองแจ อีกสี่เตียงนิ่งไม่ไหวติง
เสียงกรนจากซองแจดังขึ้นเป็นระลอกๆ
แย่ชะมัด นอนไม่หลับจริงๆแหะ...
สองแขนสีน้ำผึ้งยันตัวเองขึ้นแล้วก็คว้าหมอนกับผ้าห่มตัวเองขึ้นมา
แทฮยองเดินย่องไปจนถึงเตียงของเพื่อนสนิทอย่างปาร์คจีมินที่อยู่ถัดไป
เขาวางหมอนกับผ้าห่มลงบนเตียงแล้วขยับกายขึ้นไปนั่งบนเตียงนุ่ม
แทฮยองกระแซะๆกระเถิบตัวเองกับร่างของปาร์คจีมินให้ขยับออกไปฝั่งหนึ่งแล้วเผื่อที่ให้เขา
“...แท... แทอา?”
เสียงที่เจือไปด้วยความง่วงเต็มที่จนแหบพร่าของจีมินเอ่ยถามเบาๆทั้งๆที่เจ้าตัวยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมามอง
จีมินงึมงำอะไรบางอย่างพลางขยับตัวเบี่ยงออกไปฝั่งขวาของเตียงให้แทฮยองล้มตัวลงนอนตรงฝั่งซ้าย
แขนหนักๆของเพื่อนสนิทวางแหมะลงแถวสะโพก
“..ทำไมไม่นอนล่ะแทแท?”
จีมินกระซิบถาม แทฮยองซุกตัวเข้ากับอกอุ่นๆของเพื่อนตัวขาว กลิ่นหอมอ่อนๆที่เหมือนกับแสงแดดของจีมินยังทำให้แทฮยองรู้สึกผ่อนคลายได้เหมือนทุกครั้ง
เขาหลับตาลงบ้างแล้วฮัมกลับเบาๆ
“ไม่รู้..
มัวแต่คิดเรื่องซอกจินฮยอง”
“มันต้องมีทางแก้แหละแทแท”
พอแทฮยองซุกเข้ามาจีมินก็กางแขนออกรวบรัดเพื่อนที่ตัวบางกว่าเข้ามากกกอดไว้ข้างกันทันทีราวกับทำมาแล้วหลายครั้ง
“มีทั้งฉัน ทั้งนาย นัมจุนฮยอง ซอกจินฮยอง อี้ชิงฮยอง เคนฮยอง
แล้วก็ไอ้ที่นอนอยู่นี่อีกสี่คน พวกเราต้องทำอะไรกันได้บ้างแหละน่า”
“ถ้าเราทำอะไรได้จริงๆก็ดีสิ...”
แทฮยองกระซิบกลับ “แต่ว่านะ จีมินนี่ มันสำคัญมากขนาดนั้นเชียวเหรอ?
เรื่องของสายเลือด การมีทายาทเลือดบริสุทธิ์ที่ต้องสืบสกุลต่อไป...”
อ้อมกอดของจีมินรัดแน่นขึ้น
“สำหรับบางคนที่เกิดมาในโลกแบบนั้น
ในความเชื่อแบบนั้น ในครอบครัวที่มีสายเลือดบริสุทธิ์มาเป็นร้อยๆปีบางทีมันก็ยากที่จะปล่อยวางนะแทแท
บางทีการยึดติดกับสิ่งที่เขารู้จักมาทั้งชีวิตมันก็ง่ายกว่าการที่จะต้องสู้กับความเชื่อของตัวเองแล้วสลับเปลี่ยนสิ่งที่เขาถูกสอนมาทั้งชีวิตออกไป”
“ถึงแม้จะต้องทำร้ายซอกจินฮยองกับนัมจุนฮยองเนี่ยนะ?”
“ถึงแม้จะต้องทำร้ายคนอื่นก็ตาม”
จีมินรับคำ “คนก็คือคน มีข้อบกพร่องเยอะแยะ
คนเรามีสัญชาติญาณที่จะต้องปกป้องตัวเอง
บางทีมันก็อาจจะเป็นข้อบกพร่องของคนอีกอย่างเหมือนกัน พอเราปกป้องตัวเอง
หลายๆครั้งเราก็ต้องทำแบบนั้นโดยที่ทำร้ายคนอื่นไปด้วย”
“...แต่ถ้าในการปกป้องตัวเองเราทำร้ายคนที่เรารักมากๆไปแล้วสุดท้ายก็จะเป็นตัวเราเองที่เสียใจไม่ใช่เหรอ?
มันจะเรียกว่าการปกป้องตัวเองได้ยังไง?”
“ก็เป็นข้อบกพร่องนี่นา”
จีมินทวนอีกครั้ง “การปกป้องตัวเองเป็นสัญชาติญาณ
บางทีมันก็ไม่ได้มีการคิดหน้าคิดหลังประกอบไปด้วยเสมอไปหรอกนะ”
“นั่นสินะ...” แทฮยองครางรับเบาๆในลำคอ
“มันเหมือนเรื่องตลกร้ายเลยนะ
ทั้งๆที่ทั้งนัมจุนฮยองและซอกจินฮยองเองก็มีเลือดบริสุทธิ์ทั้งคู่
ถ้าหากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้หญิงที่สามารถให้กำเนิดทายาทได้พวกฮยองก็คงรักกันได้แล้วแท้ๆ
ในประวัติศาสตร์โลกเวทมนตร์มีคู่รักตั้งหลายคู่ที่รักกันไม่ได้เพราะฐานะทางสายเลือดที่ต่างกัน
แต่นี่ทั้งๆที่มันเกือบจะลงตัวแล้วแท้ๆ แค่เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน...”
“ตลกร้ายจริงๆล่ะนะ”
จีมินกอดเพื่อนสนิทแน่นขึ้น
“แต่จริงๆแล้วมันไม่ควรจะเป็นเรื่องใหญ่โตแต่แรกแล้วหรือเปล่า?
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศหรือเรื่องเลือด สำหรับฉันแล้วมันไม่สำคัญหรอกนะ
ไอ้ที่นายถามตอนแรกเรื่องสายเลือดน่ะ
เลือดจะเป็นของใครสุดท้ายมันก็ออกมาสีแดงเหมือนกันหมดนั่นแหละ สำหรับพวกเรา
จะมีเลือดเป็นแบบไหนมันไม่สำคัญหรอกนะแทแท”
แทฮยองนิ่งไปในวงแขนขาว
เขาฟังเสียงที่เล็กกว่าของจีมินที่ดังอยู่เหนือศีรษะไปหน่อย
หัวใจของจีมินยังเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอให้รู้สึกสบายใจใต้เสื้อพาจาม่าสีเข้ม
“สำหรับฉัน นัมจุนฮยอง ซอกจินฮยอง
ยองแจ ซองแจ ยูคยอม แล้วก็พวกอี้ชิงฮยองด้วย”
“อื้อ” แทฮยองขานรับในลำคอ
“เข้าใจแล้ว...”
“โดยเฉพาะกับฉันน่ะ
ฉันดีใจมากเลยนะที่ตัวเองมีเลือดของมักเกิ้ลอยู่ครึ่งหนึ่งในร่างกายแบบนี้”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะมันทำให้นายหันมาคุยกับฉันในวันแรกที่เราเจอกันไง
แทแทอา”
แทฮยองอมยิ้มในเสื้อพาจาม่าที่ใส่นอนของจีมิน
แขนอุ่นๆของเพื่อนสนิทโอบรัดรอบกายจนรู้สึกเคลิ้ม เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้ง
“...ฝันดีนะจีมินนี่”
“ฝันดีแทแท”
เมื่อห้าปีที่แล้ว
คิม แทฮยองกำลังกลัว
ทั้งๆที่เขาเองก็คิดว่าตัวเองเตรียมตัวในการมาเรียนที่โรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้ดีแล้วแท้ๆ
แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้วแทฮยองก็รู้สึกกลัวไปหมด
กลัวที่จะต้องห่างหายจากครอบครัวไปเป็นเดือนๆ กลัวที่จะต้องไปอยู่ในโลกใบใหม่ที่เขาไม่รู้จัก
กลัวในความอ่อนต่อโลกใบใหม่ใบนี้ของตัวเอง
เพราะนอกจากสิ่งที่แทฮยองอ่านๆมาผ่านๆจากหนังสือคร่าวๆแล้วเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องเวทมนตร์อะไรนี่เลย
มันเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของคนที่เกิดมาจากครอบครัวที่มีแต่มักเกิ้ลแบบแทฮยองล่ะนะ
เป็นคนที่ครอบครัวไม่ได้มีเวทมนตร์อยู่ในสายเลือด
ไม่ได้รู้จักพ่อมดแม่มดที่ไหน(หรืออีกอย่างก็คืออาจจะรู้จักแต่ว่าไม่รู้ตัวก็เป็นได้)
ไม่ได้รู้ว่าโลกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์อยู่จริงๆจนกระทั่งแทฮยองได้จดหมายเชิญจากฮอกวอตส์ให้เข้าร่วมเรียนตอนเขาอายุสิบสี่ด้วยซ้ำ
เป็นคนแบบที่เขาเรียกกันว่า
“มักเกิ้ลบอร์น” หรือกำเนิดมาจากมักเกิ้ลนั่นแหละ
ถ้าเรียกหยาบหน่อยก็คือเป็นคนจำพวก
“เลือดสีโคลน”
เลือดสีโคลน...
แทฮยองเผลอยกนิ้วขึ้นกัดเล็บ
เขาเคยอ่านมาว่าที่ยุโรปมีสงครามเรื่องประมาณนี้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เป็นช่วงที่พ่อมดสายมืดกลุ่มหนึ่งออกมาจับพ่อมดแม่มดที่เกิดมาจากมักเกิ้ล
พาพวกคนที่มีเลือดสีโคลนพวกนั้นเข้าคุกอัซคาบัน
แทฮยองเคยอ่านเรื่องความน่ากลัวของสงคราวครั้งนั้น
เคยได้ยินสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับพวกมักเกิ้ลบอร์นเหล่านั้น...
ถึงสุดท้ายแล้วพวกพ่อมดแม่มดที่คิดว่าเลือดของตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นเขาแบบคนพวกนั้นจะโดนจับลงโทษกันหมดและเรื่องจะสงบเรียบร้อยแล้วแต่แทฮยองก็ยังหวั่นใจเล็กๆอยู่ดี
ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วมันเหมือนกันเหยียดสีผิวหรือเชื้อชาติหรือเปล่านะ?
ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ถูกต้อง แต่คนที่ถูกป้อนความเชื่อหรือข้อมูลซ้ำๆมาว่าสีผิวสีไหนสวยกว่ากันมันก็จะมีปมเชื่ออยู่เล็กๆหรือเปล่า?
ในทางกลับกันแล้วถ้ามีพ่อมดแม่มดคนไหนที่ถูกสอนมาว่าเลือดแบบของแทฮยองสกปรก
มันก็เป็นธรรมดาที่เขาจะรังเกียจไม่ใช่เหรอ?
แทฮยองเม้มปาก
เจ้าวิคกี้ที่นั่งอยู่บนตักส่งเสียงร้องอ้อนเบาๆแล้วเขาก็กอดมันไว้แนบกายแน่นๆ
ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆของรถไฟที่แทฮยองนั่งอยู่คนเดียวมันช่างเงียบเหงาเหลือเกิน
“...อ่าว มีคนอยู่เหรอเนี่ย?”
เสียงเรียกทักทำให้แทฮยองที่ยังกอดวิคกี้ไว้กับอกสะดุ้ง
พอหันไปแล้วก็พบกับเด็กผู้ชายตัวสูง หน้าตาที่ทั้งสวยทั้งหล่อมากๆในแบบที่ทำให้แทฮยองรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกเข้าจริงๆ
“พวกเราขอนั่งด้วยนะ”
เด็กคนนั้นยิ้มให้อย่างใจดี
ความอ่อนโยนแปลกๆที่แทฮยองสัมผัสได้ทำให้เขาเผลอพยักหน้า อีกฝ่ายยิ้มกว้างขึ้นแล้วเข้ามานั่งตรงกันข้ามกับเขา
มือข้างหนึ่งถือคางคกตัวใหญ่ส่วนอีกข้างก็ลากเด็กผู้ชายตัวสูงๆอีกคนมาด้วย
“ฉันชื่อคิมซอกจิน อยู่ปีสอง
บ้านฮัฟเฟิลพัฟ ส่วนนี่คิมนัมจุน ปีสองบ้านเรเวนคลอ” ซอกจินพูดต่ออย่างเป็นมิตร
มันมีอะไรบางอย่างในตัวซอกจินที่ทำให้แทฮยองรู้สึกผ่อนคลาย แทฮยองรู้สึกว่าเขาชอบซอกจินตั้งแต่ที่ได้พบกันครั้งแรก
ซอกจินดูใจดี เฟรนลี่ แล้วยังหน้าตาดีอีก...
มันมีอยู่แวปหนึ่งที่แทฮยองคิดขึ้นมาว่าเขาอยากจะเป็นเหมือนคิมซอกจิน
“...ไม่คุ้นหน้านายเลยแหะ
เด็กใหม่เหรอเรา? ปีหนึ่งงั้นสิ?”
คำถามที่ถูกยิงมาตอนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆทำให้แทอยองกระพริบตาปริบๆตอบเพราะประมวลคำถามไม่ทัน
นัมจุนที่นั่งอยู่ข้างๆซอกจินหัวเราะ
“อย่ารัวใส่น้องเขาสิจิน
เขาตกใจหมดแล้วนั่น”
“อ่าว
ก็ฉันไม่เคยเห็นเขาที่โรงเรียนนี่นา แปลว่าปีหนึ่งใช่ไหม?
แล้วถ้าไม่เคยเห็นมาก่อนก็ไม่น่าจะมาจากครอบครัวที่พวกเรารู้จักด้วย ฉันมั่นใจว่าคุณพ่อกับคุณแม่ต้องเรียกให้ฉันไปทำความรู้จักกับพ่อมดแม่มดที่มีเลือดบริสุทธิ์ทักคนในเกาหลีแล้วล่ะ”
พูดไปซอกจินก็กลอกตาไป นัมจุนหัวเราะ
“ท่านคงแค่อยากให้ซอกจินมีเพื่อนเยอะๆ”
“เหอะ
เพื่อนที่มีเลือดบริสุทธิ์เหมือนกับตระกูลเราน่ะสิ แบบนี้มันจะไปเยอะได้ยังไง?
เห็นๆหน้ากันอยู่แค่หยิบมือเดียวเองเนี่ย” ซอกจินบ่นอุบอิบ
นัมจุนพูดอะไรเย้ากลับไปอีกหน่อยแล้วก็ดูเหมือนกับว่าทั้งสองคนนั้นจะลืมว่าถามอะไรแทฮยองค้างไว้ไปสนิท
เพื่อนที่มีเลือดบริสุทธิ์หมือนกับตระกูลเรา...
อย่างนั้นเหรอ...
แปลว่าทั้งรุ่นพี่ซอกจินและรุ่นพี่นัมจุนปีสองนี่ก็เป็นพ่อมดเลือดบริสุทธิ์ทั้งคู่ใช่ไหม?
มันเหมือนกับว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นแบ่งแยกระหว่างแทฮยองกับรุ่นพี่ที่ดูใจดีสองคนนั่น
แทฮยองไม่ได้นั่งอยู่บนตู้โดยสารคนเดียว
แต่มันก็ยังเหงามากเหมือนเดิมไม่มีผิดเลย
ซอกจินกับนัมจุนเป็นคนดี ไม่ได้เหยียดสายเลือดที่ขุ่นมัวกว่าของแทฮยองอย่างที่เขานึกกลัวในตอนแรก
รุ่นพี่ทั้งสองคนไม่ได้ถามเรื่องสายเลือดของแทฮยอง พวกเขาแค่ชวนคุยนิดๆหน่อยๆ
ถามว่าตื่นเต้นหรือเปล่า อยากจะอยู่บ้านไหน
มีอยู่จุดหนึ่งที่ซอกจินถามถึงครอบครัวของแทฮยองแล้วเขาตอบไปตรงๆว่าตัวเองเป็นลูกคนเดียว
มีพ่อทำงานเป็นพนักงานเงินเดือน
ส่วนแม่ก็มีงานเขียนคอลัมน์ในนิตยาสารของผู้หญิงนิดหน่อย
“พนักงานเงินเดือน?”
ซอกจินทวนงงๆในตอนนั้น
นัมจุนขยายความให้ว่าเป็นการเรียกอีกอย่างหนึ่งของอาชีพพนักงานบริษัท ซอกจินบางอ้อ
เขาชวนแทฮยองคุยต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในตอนนั้นแทฮยองก็รู้สึกว่าตัวเองพลาดไปแล้วล่ะ
พลาดที่เผลอใช้ศัพท์ที่พวกมักเกิ้ลใช้กันและพวกพ่อมดเลือดบริสุทธิ์ไม่น่าจะรู้จักไปแล้ว
แทฮยองอยากจะขดตัวเป็นก้อนกลมๆแข่งกับวิคกี้แล้วหายตัวไปเสียอย่างนั้น
ถึงนัมจุนกับซอกจินจะใจดีแต่ยิ่งคุยกันเขาก็ยั่งรู้สึกว่าตัวเขากับรุ่นพี่สองคนนั้นช่างต่างกันเหลือเกิน
ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับโลกเวทมนตร์อะไรนี่เลยสักนิด
ยิ่งพอรถไฟจอดเทียบชานชะลาแล้วพวกนักเรียนลงจากขบวนรถลงไป
จับกลุ่มกันคุยในเรื่องที่เขาไม่รู้จักเป็นพักๆ พูดถึงเพลงที่เขาไม่รู้จัก
กินขนมที่เขาไม่เคยเห็นแบบนี้...
แทฮยองรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเอเลี่ยนอะไรแบบนั้น
สองแขนกอดเจ้าแมวขนปุยแน่นขึ้น
เหมือนซอกจินจะสังเกตเห็นความไม่สบายใจของเพื่อนตัวเล็กคนใหม่ร่างที่สูงกว่านั้นถึงได้เอื้อมมือมาโอบไหล่แทฮยองไว้หลวมๆ
“เห็นปราสาทของฮอกวอตส์ครั้งแรกมันดูน่ากลัวใช่ไหม?
ไม่เป็นไรนะแทแทอา มีฮยองอยู่ทั้งคนนี่เนอะ”
รอยยิ้มของซอกจินอ่อนโยนน่ามอง
ฝ่ามือใหญ่ของนัมจุนลูบผมแทฮยองเบาๆ
“อย่าเกรงสิแทฮยอง
ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะ ฮยองสัญญา”
ระหว่างที่กำลังรอการคัดเลือกอยู่นั้นแทฮยองพยายามที่จะอยู่เงียบๆ
ท่ามกลางคนแปลกหน้ามากมายแบบนี้ตัวแทฮยองที่รู้สึกว่าตัวเองช่างแตกต่างจากคนอื่นแบบนี้ไม่ได้อยากจะเป็นจุดสังเกตมากนัก
ถ้าขืนพูดอะไรแปลกๆออกไปอีกแล้วแทฮยองก็ไม่อยากจะดูประหลาดไปมากกว่านี้นักหรอก
ดวงตาใสๆใต้แพขนตาหนาเหลือบมองเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากเขามากนักเป็นพักๆ
เป็นเด็กผู้ชายผิวขาว แก้มยุ้ยๆน่ารัก ตากลมพราวระยิบระยับน่ามอง
ริมฝีปากสีชมพูจัดก็กำลังหัวเราะดังๆจนเห็นฟันกระต่ายยื่นออกมาสองซี่ข้างหน้า
เป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาน่ารักมากๆ
เขามองทุกอย่างรอบตัวด้วยความตื่นเต้น ทุกท่าทางดูมั่นอกมั่นใจในแบบที่แทฮยองอดไม่ได้ที่จะเหลือบขึ้นไปมองบ่อยๆ
เป็นคนที่น่าอิจฉา
มีเสน่ห์ล้นตัวราวกับมีเวทมนตร์
แหม...
เหมาะกับฮอกวอตส์ที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และพลังเหนือธรรมชาติแบบนี้เหมือนกันนะ
แทฮยองอิจฉาเขา...
อิจฉาเด็กผู้ชายที่เหมาะกับที่ที่วิเศษแบบนี้ราวกับว่าเกิดมาเพื่อที่จะใช้เวทมนตร์โดยเฉพาะ
คนที่ดูสบายๆ มั่นใจ ร่าเริงราวกับไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนบนโลก
ดีจังนะ...
“...นั่นจอน จองกุกไม่ใช่เหรอ?”
เสียงกระซิบกระซาบของเด็กคนหนึ่งที่กำลังมองไปทางจองกุกเหมือนกันดังขึ้น
แทฮยองหันไปมองเด็กคนนั้นพูดงุบงิบให้เพื่อนข้างๆฟัง
“จอน จองกุก? ลูกชายของจอน ยอนฮวาน อันดับหนึ่งของมือปราบพ่อมดร้ายน่ะนะ?
พ่อฉันทำงานในกระทรวง เล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ”
เด็กอีกคนกระซิบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าคนแรกเล็กน้อย
ท่าทางว่าจะปกปิดความตื่นเต้นที่ได้เห็นจอน จองกุกไม่ได้จริงๆ
“ฉันได้ยินมาว่าพ่อเขาเป็นอันดับหนึ่งของกองเลยนะ
ส่วนแม่ก็เป็นนางแบบ ลงนิตยาสาร Witch Weekly บ่อยๆเลยแหละ สวยมากๆเลย”
“ไม่ธรรมดาเลยนะ กระกูลจอนเนี่ยถือว่าเป็นตระกูลพ่อมดที่เก่าแก่มากที่สุดตระกูลหนึ่งของเกาหลีเลย
พอๆกับตระกูลคิมของคิม ซอกจินเลยล่ะ
สายเลือดของเขาบริสุทธิ์มากแล้วสาวความยาวไปถึงยุคของเมอร์ลินเลยนะ”
ยุคของเมอร์ลิน... บริสุทธิ์มาก...
เข้าใจแล้วล่ะ
ที่จอนจองกุกนั่นดูเหมาะสมกับที่แบบนี้
ที่สามารถยิ้มได้เหมือนไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรนั่นก็เพราะเขาเกิดมาเพื่อที่จะอยู่ในโลกเวทมนตร์นี่อยู่แล้วสินะ
น่าอิจฉาอย่างที่คิดจริงๆนั่นแหละ
“...ย่าห์ นี่ไม่ได้ฟังเลยเหรอ?”
มือป้อมที่อยู่ๆก็ขยับโบกปัดไปมาทำให้แทฮยองผงะ
เขากระพริบตาปริบแล้วหันขวาไปทางเจ้าของฝ่ามือที่ยิ้มให้จนตาหยี
“ใจลอยจัง
กว่าจะเรียกให้สนใจได้...” อีกฝ่ายพูดกลั้วหัวเราะ แทฮยองยิ้มแห้งๆตอบ
“ขอโทษนะ..”
“ไม่เป็นไร~ จะถูกคัดเลือกแล้วมันก็มีอะไรให้คิดตั้งเยอะนี่เนอะ”
เขาโบกมือปัดอีกครั้งอย่างไม่คิดจะติดใจอะไรมาก แทฮยองยิ้มรับ
ในหัวพยายามจะนึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับการคัดสรรเข้าบ้านพักทั้งสี่ตามที่อ่านมาในหนังสือ
พอจะเข้าใจไอเดียคร่าวๆของการคัดสรรและบ้านทั้งสี่หลัง แต่แทฮยองก็ไม่มั่นใจในความจำของตัวเองหรือว่าข้อมูลพอที่จะพูดอะไรออกไป
ใบหน้าน่ารักพยักหน้าเนิบๆ
“อือ...”
“นายดูเงียบๆนะ
ไม่ค่อยเห็นคุยกับใครเลย ตื่นเต้นเหรอ?”
มันก็ด้วย.. แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือตั้งแต่ที่เจอนัมจุนกับซอกจินในรถไฟนั่นแล้วแทฮยองก็ไม่มีความมั่นใจที่จะคุยกับคนอื่นๆเท่าไรนัก
มันอดไม่ได้ที่จะกลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดแล้วกลายเป็นคนแปลกๆหรือตัวตลกอีก
ความจริงแล้วมันก็ตลกเหมือนกันนะ
เพราะตอนที่อยู่ที่โลกมักเกิ้ลปกติที่แดกูแทฮยองที่มีพลังเหนือธรรมชาติก็มักจะรู้สึกว่าตัวเองแปลกประหลาดกว่าคนอื่น
พอได้มาอยู่ในโลกเวทมนตร์แบบนี้แล้วมันก็ยังอดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าเขาก็ยังผิดปกติจากคนอื่นที่นี่เหมือนกัน
มันเหมือนกับว่าไม่ว่าจะย้ายไปโลกไหน
มันก็ไม่มีที่ๆเหมาะสมสำหรับแทฮยองเลยสักที่
“...เหม่ออีกแล้ว”
เสียงของคนข้างๆทักขึ้นมาอีก แทฮยองรู้สึกว่าใบหูของตัวเองเห่อร้อนขึ้นมา
เขาก้มหัวงก
“ขอโทษนะ คิดอะไรเพลินๆอยู่น่ะ”
“เฮ้ย ไม่เป็นไรน่า”
เด็กผู้ชายตัวกลมๆคนนั้นหัวเราะ “ฉันปาร์ค จีมินนะ ลูกครึ่ง”
“ล.. ลูกครึ่ง?” แทฮยองทวนงงๆ
เพราะไม่ว่าจะดูยังไงปาร์ค จีมินก็ดูเกาหลีแท้ๆจนไม่น่าจะเป็นลูกครึ่งอะไรไปได้
“เลือดผสมน่ะ พ่อเป็นมักเกิ้ล
ส่วนแม่เป็นแม่มด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของมักเกิ้ลมากนักหรอก
พ่อที่มีก็เหมือนไม่มี”
จีมินยังพูดกลั้วหัวเราะทั้งๆที่เนื้อความมันไม่ใช่เรื่องน่าขำเลยสักนิด
แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่ายตวัดขึ้นโอบไหล่เขา
“แต่นายน่ะ
งงกับแสลงคำว่าลูกครึ่งแบบนี้ก็แปลว่าถ้าไม่ใช่มักเกิ้ลบอร์นก็ต้องเป็นคนเลือดผสมเหมือนกันเนอะ?”
แทฮยองเงียบไป
ไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะตอบกลับอย่างไร เหมือนว่าพอเขาจะอ้าปากทีไรก็จะพูดอะไรผิดเสียทุกทีเลยสินะ
แต่มันก็ดูเหมือนกับว่าปาร์ค
จีมินจะไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาเท่าไร
หมอนั่นยิ้มกว้างขึ้นจนตาหยีแล้วรัดไหล่ที่บางกว่าของแทฮยองไว้แน่นขึ้น
“เจ๋งเป็นบ้า! นายน่ะ
ต้องรู้เรื่องของโลกมักเกิ้ลเยอะกว่าฉันแน่ๆเลยใช่ไหมล่ะ? ช่วยสอนกันหน่อยนะ!”
“อ.. เอ๊ะ? สอนเหรอ?”
“อื้อ! ฉันน่ะ
มีเรื่องอยากจะรู้ตั้งหลายเรื่อง อย่างไอ้โรงหนังเนี่ย
แล้วก็อุปกรณ์เล่นเพลงที่เอานิ้มจิ้มๆแล้วเอาสายเสียบหูนั่นฉันก็อยากได้...”
“...ไอพอตเหรอ?”
“ไม่รู้ไอพอตหรือยูพอตว่ะ
จำไม่เคยได้เลย แต่อยากได้อะ! แล้วพวกนายก็มีเกมที่กดๆแล้วกระโดดๆแล้วก็วิ่งไปกับคุ้กกี้ด้วยใช่ปะ?
ฉันเคยได้ยินคนพูดๆกันในสถานีรถไฟอะ ไม่เก็ตนะแต่อยากลองเล่นบ้าง อ๊ะ
แล้วก็อะไรเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดในกระเป๋าที่คนชอบๆเก็บกันด้วย อันนี้พีคสุดและ
ทำไมต้องเก็บสัตว์ประหลาดไว้ในกระเป๋าด้วยอะ?” ปาร์ค จีมินรัวถามออกมาเป็นชุดด้วยน้ำเสียงใคร่รู้เหมือนเด็กๆ
แทฮยองมองตาแป๊วๆของอีกคนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะพรืด
“สัตว์ประหลาดในกระเป๋า?”
“เออ
แต่ตอนนั้นเขาพูดกันเป็นภาษาอังกฤษนะ มอนส์เตอร์อินพ็อกเก็ต อะไรประมาณนั้นอะ”
แทฮยองชะงัก
“พ็อกเก็ตมอนส์เตอร์... หมายถึงเกมโปเกม่อนโกเหรอเปล่า?”
“มันเป็นเกมเหรอ?
พวกมักเกิ้ลเล่นแข่งกันเก็บสัตว์ประหลาดไว้ในกระเป๋าเนี่ยนะ?
มันไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ?” ปาร์ค จีมินทำตาโต
แทฮยองหัวเราะคิกคักอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่
จีมินยู่ปากแล้วเหวี่ยงแขนที่พาดไหล่แทฮยองไว้อยู่ออก
“อย่าหัวเราะสิ! ฉันอยากรู้จริงๆนะเนี่ย
คือโคตรรู้สึกว่าตัวเองโง่อะ
อะไรคือมีเลือกมักเกิ้ลอยู่ครึ่งหนึ่งแต่แม่งไม่รู้เรื่องเลยวะ?”
จีมินบ่นอุบอิบ
แทฮยองอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาจนปากเป็นรูปสี่เหลี่ยม
เป็นรอยยิ้มเต็มปากรอยยิ้มแรกที่เกิดขึ้นหลังจากที่แทอยองขึ้นรถไฟมาฮอกวอตส์
“จีมินน่ารักเนอะ”
“หา? โอโห
พูดจาไม่ดูหนังหน้าว่ะ...” ปาร์คจีมินว่า “ดูดิ ยิ้มแล้วน่ารักเป็นบ้า
แล้วเมื่อกี้ทำหน้าบูดเหมือนจะโดนบาซิลิกซ์กินหัว
นี่ยิ้มกว้างเป็นกล่องแบบนี้เลิกคิดอะไรเพลินๆแล้วสิ?”
“อื้อ” แทฮยองพยักหน้า
“เลิกคิดก็เพราะจีมินนี่เนี่ยแหละ ขอบใจนะ”
“จ.. จีมินนี่? เรียกซะมุ้งมิ้ง
เดี๋ยวเอากล้ามฟาดเลย แล้วนายล่ะชื่ออะไร?”
“แทฮยอง คิมแทฮยอง...”
นั่นเป็นครั้งแรกที่แทฮยองกับจีมินรู้จักกัน
แทฮยองถูกคัดเลือกเข้าบ้านฮัฟเฟิลพัฟหลังจากที่เจ้าหมวกแหลมๆทรงเก่าๆนั่นพูดพึมพำอะไรอยู่บนหัวเขาอยู่นาน
ซอกจินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะของฮัฟเฟิลพัฟอยู่แล้วปรบมือให้พร้อมกับรุ่นพี่คนอื่นๆ
ใบหน้าสวยนั่นคลี่ยิ้มกว้างให้แทฮยองพร้อมกับสองแขนที่กางออกแล้วรีบรวบตัวเขาเข้ากอดแรงๆทีหนึ่ง
“กะแล้วว่าน่ารักๆแบบแทแทอาต้องได้อยู่ฮัฟเฟิลพัฟแน่ๆ
ฮยองดีใจนะที่แทแทมาอยู่บ้านนี้ด้วยกัน คึคึคึ สมน้ำหน้านัมจุนนี่เป็นบ้า”
ซอกจินปล่อยมือให้แทฮยองขยับไปนั่งข้างๆตัวเอง
รุ่นพี่ร่วมบ้านของแทฮยองหันหลังไปแลปลิ้นให้กับนัมจุนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะของเรเวนคลอ
ซอกจินโอบคอแทฮยองไว้แล้วยักคิ้วให้นัมจุนแบบคนเหนือกว่า ซึ่งอีกฝ่ายก็แค่ส่ายหัวกลับมายิ้มๆ
การคัดสรรเข้าบ้านยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ บรรยากาศรอบข้างดูคึกคัก
ปาร์คจีมินถูกคัดสรรเข้ามาในบ้านฮัฟเฟิลพัฟ
ร่างเล็กที่ขนาดกล้ามไม่เล็กตามนั่นวิ่งพรวดลงมาผลักซองแจที่นั่งอยู่ข้างๆแทฮยองในตอนนั้นกระเด็นแล้วก็เบียดตัวเองเข้ามานั่งข้างๆเขาทันที
จีมินบอกว่าเด็กมักเกิ้ลบอร์นที่ชื่อแบมแบมบอกเขาว่าตัวเองจับปิกาจูในโปเกม่อนโกได้เมื่อกี้
เพื่อนใหม่ของแทฮยองซักไซ้เรื่องปิกาจูกับเขาหน้าเครียด (“แบมแบมบอกว่ามันเป็นหนูไฟฟ้า
หนูไฟฟ้าเลยนะแทแท ฉันอยากได้บ้างต้องทำยังไงอะ...”)
อีกด้านหนึ่งคิม ซอกจินก็กำลังตักเนื้ออบใส่จานของแทฮยอง
อีกด้านของจีมินซองแจกำลังบ่นโอตโอยว่า เขามานั่งตรงนี้ก่อนนะไอ้ตาขีดเอ้ยยย
แล้วด้านตรงกันข้ามกับแทฮยองเองรุ่นพี่ที่ชื่ออี้ชิงก็กำลังยิ้มกลับมาให้จางๆ
แทฮยองยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวต่างๆในโลกเวทมนตร์มากนัก
จะให้กลับไปที่โลกของมักเกิ้ลแทฮยองเองก็คงจะไม่มีวันรู้สึกสะดวกใจกับมันเต็มร้อย...
แต่ในระหว่างที่ซอกจินฮยองกำลังบ่นว่าแทฮยองผอมไปแล้วและจีมินนี่กำลังชวนเขาคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องอะไรสักอย่างอยู่นี่แทฮยองก็คิดว่ามันไม่เป็นไรหรอก
บางทีถ้าอยู่ท่ามกลางคนพวกนี้แล้ว
แทฮยองอาจจะสามารถสร้างพื้นที่สำหรับตัวเขาเองขึ้นมาก็ได้
พอนึกถึงตอนปัจจุบันในตอนนี้แล้วแทฮยองก็คิดว่าตัวเองตอนเด็กๆนี่โคตรเวิ่นเวอร์เลย คิดอะไรเป็นตุเป็นตะอะ
แทฮยองว่าฮอกวอตส์ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ทุกคนก็เป็นมิตรดี แม้กระทั่งบ้านที่มีข่าวลือน่ากลัวๆอย่างสลิธีรินก็ยังมีคนดีๆอย่างไอ้เซฮุนกับปาร์คโบกอมอยู่ จูเนียร์ฮยองปีหกที่ใจดีๆแล้วชอบทำตัวเหมือนแม่นั่นก็ด้วย
แทฮยองคิดว่าเขาเข้ากันได้กับทุกคน ยังไงซะแทฮยองก็ค่อนข้างจะเป็นคนเฟรนลี่อยู่แล้ว (ถ้าไม่นับตอนปีหนึ่งที่กลัวแม่งไปหมดทุกอย่างออกไปแล้วแทฮยองก็เฟรนลี่จัดมากๆเลยล่ะนะ ขอบอก) การที่เขาจะทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆทั้งในบ้านและต่างบ้านมันไม่ใช่ปัญาหา มันไม่นานเลยกว่าที่แทฮยองจะรู้สึกว่าที่ตรงนี้ มันเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองเหมือนกันนะ
จะว่ายังไงดีล่ะ? มันเป็นเหมือนที่ที่เหมาะสมกับแทฮยองแล้วล่ะ
นั่นเป็นสิ่งที่แทฮยองคิดได้ตอนปลายปีหนึ่ง ปลายปีสองเขามั่นใจว่าตัวเองรู้จักทุกซอกทุกมุมของฮอกวอตส์และเคยแอบออกไปสำรวจตอนดึกๆกับจีมินและซองแจอยู่สองสามครั้ง (โดยที่ไม่เคยโดนพรีเฟคคนไหนจับได้ จนถึงตอนนี้แทฮยองก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าไอ้พี่ชายอย่างแบคฮยองกับชานยอลลี่ฮยองออกไปทำอะไรกันอีท่าไหนถึงได้โดนจับมาทุกรอบแบบนี้? เพราะถ้าออกไปเงียบๆแล้วขยับเร็วๆ ไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆมันก็ไม่น่าจะโดนจับได้ง่ายๆขนาดนั้นหรอก)
ตอนปีสามแทฮยองได้เข้าร่วมทีมควิดดิชของฮัฟเฟิลพัฟในฐานะซีกเกอร์พร้อมๆกับซองแจที่ได้รับตำแหน่งบีตเตอร์ จำได้ว่าตอนนั้นเขาต้องแข่งกับทีมของกริฟฟินดอร์เป็นครั้งแรก และระหว่างที่กำลังเดินๆอยู่ตามทางเดินที่คดเคี้ยวของฮอกวอตส์แทฮยองก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่เขาจำได้ว่าเป็นของเพื่อนสนิทพี่ชายอย่างปาร์คชานยอล
"....ซีกเกอร์คนใหม่ของฮัฟเฟิลพัฟ ชื่อคิมแทฮยอง"
คือจริงๆแล้วแทฮยองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบฟังอะไรแบบนั้น ก็กะว่าจะเดินผ่านไปเฉยๆ แต่พอได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนาแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะรีบกระโดดหลบหลังเสาต้นที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วเงี่ยหูฟัง
"คิมแทฮยอง?" เสียงนุ่มๆของใครสักคนทวนขึ้น แทฮยองแอบโผล่หัวออกไปเห็นจอนจองกุกกำลังเอียงคอครุ่นคิด
"เออ ปีสามรุ่นเดียวกันนายไง นี่อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก?"
"ผมรู้จัก แค่กำลังคิดเฉยๆ... ผมรู้จักแทฮยองนะ เราเรียนร่วมกันบ่อยๆ"
"แล้วเคยเห็นแทฮยองบินไหมล่ะ? คิดว่าแข่งคราวนี้จะเป็นยังไง? บอกตามตรงนะเอาแทฮยองกับซองแจเข้ามาใหม่แบบนี้ฉันยังไม่รู้ฝีมือของทั้งสองคนเลย ประเมินยาก"
"ผมเคยเห็นแทฮยองบินนะ ซองแจด้วย ถึงจะเป็นแค่ตอนวิชาสอนขี่ไม้กวาดตอนปีหนึ่งก็เถอะ แต่แทฮยองน่ะ..." ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดของจอนจองกุกต้องทำให้แทฮยองลุ้นจนใจเต้นรัวขนาดนี้ด้วย ทั้งๆที่เขารู้และคนรอบข้างก็ยืนยันมาแล้วว่าแทฮยองเก่ง ไม่อย่างนั้นคงเข้าทีมตั้งแต่ปีสามทั้งๆที่มีรุ่นพี่มาออดิชั่นเยอะแยะขนาดนี้ไม่ได้หรอก
"..ก็เร็วดีนะ สำหรับมักเกิ้ลบอร์น..."
ก็เร็วดี... สำหรับมักเกิ้ลบอร์นอย่างนั้นเหรอ?
แทฮยองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนโดนดูถูก ก็ใช่สินะ ใครมันจะไปเก่งเหมือนจอนจองกุกเลือดบริสุทธิ์ที่เข้าร่วมทีมควิดดิชของกริฟฟินดอร์ได้ตั้งแต่ปีสองกันล่ะ?
ให้ตายเถอะ.. หมอนี่หลงตัวเองชะมัด บ้าบอที่สุด
แทฮยองผละออกจากเสาต้นนั้นแล้วเดินกลับออกไปทางเดิมด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
ปลายปีสาม คิมแทฮยองเป็นเพื่อนกับคนมากมายในฮอกวอตส์ แต่เกลียดจอนจองกุกมากที่สุด
Talk: มีความมินวีสูงไหมล่ะคะ 5555555555555
ส่วนตัวแล้วชอบคู่นี้นะ รู้สึกว่าแบบ เขาดูแลกันดีมากๆ โดยเฉพาะจีมที่ดูเอ็นดูแทฮยองเหลือเกิน ชอบแกล้งกันชอบบ่นกันแต่ก็รู้ว่ารักมาก ห่วงมากอะ ชอบความเบสเฟรนด์ ชอบความ 95z ชอบบบบ ฮืออออออ
ตอนนี้ย้อนอดีตให้ดูนิดหนึ่ง ตอนนี้ก็คงจะรู้กันแล้วว่าทำไมแทฮยองถึงชอบตั้งแง่กับจองกุกนัก
ตอนนี้ไม่ค่อยมีกุกวี แต่จะมาตอนหน้าแบบเต็มที่จริงๆค่ะ รอนิดหนึ่งนะคะนะะ
แล้วก็อีกเรื่อง! ทุกคนคะะ ยอดติดตาม MM ถึงสองร้อยคนแล้วนะ! เย้~~ ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ ขอบคุณที่ชอบกัน
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากๆด้วยนะคะ อ่านแล้วดีกับใจมว๊ากกกก
แล้วเจอกันใหม่เร็วๆนี้กับกุกวีตอนหน้านะคะ!
ความคิดเห็น