ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    BTS | Mischief Managed [KOOKV ft. YOONMIN, NAMJIN] #บทฮวอย

    ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 09: ความหลัง

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 59


    Mischief Managed 9

     


    ทุกอย่างมันช่างเงียบเชียบไปหมดในเวลาตีหนึ่งกว่าๆที่นักเรียนส่วนใหญ่ก็นอนหลับกันหมดแล้ว แทฮยองพลิกตัวไปมา ตั้งแต่ที่ไปกอดง้อซอกจินออมม่าเมื่อกี้จนเป็นเรื่องเป็นราวให้แตกตื่นกันทั้งหอซอกจินก็ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นให้ทุกคนฟังจนได้ แทฮยองพอจะเดาได้ว่าซอกจินฮยองคงจะมีปัญหาที่บ้าน แต่ก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าอีกฝ่ายกำลังถูกจับแต่งงาน

    แต่งงาน... แทฮยองคิดแล้วก็ยังหายใจไม่ทั่วท้อง การแต่งงานมันเป็นการผูกชีวิตของคนคนหนึ่งไว้กับใครอีกคนไม่ใช่เหรอ? คือการสัญญาที่จะใช้ชีวิตคู่กันตลอดไป การที่จะมาบังคับให้ซอกจินฮยองต้องร่วมชีวิตกับคนแปลกหน้าแบบนี้...

    ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ใจร้ายเป็นบ้า..

    แล้วก็ยิ่งใจร้ายไปอีกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าระหว่างซอกจินฮยองกับนัมจุนฮยองมันยังมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่าที่แทฮยองคงจะเข้าใจ

    หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ซอกจินฮยองกับนัมจุนฮยองไม่คบกันอย่างเปิดเผย? เพราะว่าที่บ้านของซอกจินฮยองกีดกันและเตรียมเจ้าสาวไว้ให้แล้วอย่างนั้นเหรอ?

    พระเจ้า นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วเถอะ? การคลุมถุงชนแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ? การมีทายาทสืบสกุลมันสำคัญกว่าความสุขของลูกอีกหรือไงกัน?

    ไม่แฟร์เลยสักนิด

    แทฮยองพลิกตัวอีกครั้ง จัดท่านอนไปมาสลับกันอีกสี่ห้าครั้งแล้วก็ยังรู้สึกกระวนกระวายอยู่ดี เขาลืมตาขึ้นมองรอบๆ ห้องนอนของพวกเขามืดสนิทแต่สายตาของแทฮยองก็ปรับเข้ากับแสงที่ริบหรี่นี่ได้มาสักพักแล้ว

    เหมือนว่าเพื่อนๆร่วมห้องอีกสี่คนจะหลับสนิท ทั้งจีมิน ยองแจ ยูคยอม และซองแจ อีกสี่เตียงนิ่งไม่ไหวติง เสียงกรนจากซองแจดังขึ้นเป็นระลอกๆ

    แย่ชะมัด นอนไม่หลับจริงๆแหะ...

    สองแขนสีน้ำผึ้งยันตัวเองขึ้นแล้วก็คว้าหมอนกับผ้าห่มตัวเองขึ้นมา แทฮยองเดินย่องไปจนถึงเตียงของเพื่อนสนิทอย่างปาร์คจีมินที่อยู่ถัดไป เขาวางหมอนกับผ้าห่มลงบนเตียงแล้วขยับกายขึ้นไปนั่งบนเตียงนุ่ม แทฮยองกระแซะๆกระเถิบตัวเองกับร่างของปาร์คจีมินให้ขยับออกไปฝั่งหนึ่งแล้วเผื่อที่ให้เขา

    “...แท... แทอา?”

    เสียงที่เจือไปด้วยความง่วงเต็มที่จนแหบพร่าของจีมินเอ่ยถามเบาๆทั้งๆที่เจ้าตัวยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมามอง จีมินงึมงำอะไรบางอย่างพลางขยับตัวเบี่ยงออกไปฝั่งขวาของเตียงให้แทฮยองล้มตัวลงนอนตรงฝั่งซ้าย แขนหนักๆของเพื่อนสนิทวางแหมะลงแถวสะโพก

    “..ทำไมไม่นอนล่ะแทแท?” จีมินกระซิบถาม แทฮยองซุกตัวเข้ากับอกอุ่นๆของเพื่อนตัวขาว กลิ่นหอมอ่อนๆที่เหมือนกับแสงแดดของจีมินยังทำให้แทฮยองรู้สึกผ่อนคลายได้เหมือนทุกครั้ง เขาหลับตาลงบ้างแล้วฮัมกลับเบาๆ

    “ไม่รู้.. มัวแต่คิดเรื่องซอกจินฮยอง”

    “มันต้องมีทางแก้แหละแทแท” พอแทฮยองซุกเข้ามาจีมินก็กางแขนออกรวบรัดเพื่อนที่ตัวบางกว่าเข้ามากกกอดไว้ข้างกันทันทีราวกับทำมาแล้วหลายครั้ง “มีทั้งฉัน ทั้งนาย นัมจุนฮยอง ซอกจินฮยอง อี้ชิงฮยอง เคนฮยอง แล้วก็ไอ้ที่นอนอยู่นี่อีกสี่คน พวกเราต้องทำอะไรกันได้บ้างแหละน่า”

    “ถ้าเราทำอะไรได้จริงๆก็ดีสิ...” แทฮยองกระซิบกลับ “แต่ว่านะ จีมินนี่ มันสำคัญมากขนาดนั้นเชียวเหรอ? เรื่องของสายเลือด การมีทายาทเลือดบริสุทธิ์ที่ต้องสืบสกุลต่อไป...”

    อ้อมกอดของจีมินรัดแน่นขึ้น

    “สำหรับบางคนที่เกิดมาในโลกแบบนั้น ในความเชื่อแบบนั้น ในครอบครัวที่มีสายเลือดบริสุทธิ์มาเป็นร้อยๆปีบางทีมันก็ยากที่จะปล่อยวางนะแทแท บางทีการยึดติดกับสิ่งที่เขารู้จักมาทั้งชีวิตมันก็ง่ายกว่าการที่จะต้องสู้กับความเชื่อของตัวเองแล้วสลับเปลี่ยนสิ่งที่เขาถูกสอนมาทั้งชีวิตออกไป”

    “ถึงแม้จะต้องทำร้ายซอกจินฮยองกับนัมจุนฮยองเนี่ยนะ?”

    “ถึงแม้จะต้องทำร้ายคนอื่นก็ตาม” จีมินรับคำ “คนก็คือคน มีข้อบกพร่องเยอะแยะ คนเรามีสัญชาติญาณที่จะต้องปกป้องตัวเอง บางทีมันก็อาจจะเป็นข้อบกพร่องของคนอีกอย่างเหมือนกัน พอเราปกป้องตัวเอง หลายๆครั้งเราก็ต้องทำแบบนั้นโดยที่ทำร้ายคนอื่นไปด้วย”

    “...แต่ถ้าในการปกป้องตัวเองเราทำร้ายคนที่เรารักมากๆไปแล้วสุดท้ายก็จะเป็นตัวเราเองที่เสียใจไม่ใช่เหรอ? มันจะเรียกว่าการปกป้องตัวเองได้ยังไง?”

    “ก็เป็นข้อบกพร่องนี่นา” จีมินทวนอีกครั้ง “การปกป้องตัวเองเป็นสัญชาติญาณ บางทีมันก็ไม่ได้มีการคิดหน้าคิดหลังประกอบไปด้วยเสมอไปหรอกนะ”

    “นั่นสินะ...” แทฮยองครางรับเบาๆในลำคอ “มันเหมือนเรื่องตลกร้ายเลยนะ ทั้งๆที่ทั้งนัมจุนฮยองและซอกจินฮยองเองก็มีเลือดบริสุทธิ์ทั้งคู่ ถ้าหากว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้หญิงที่สามารถให้กำเนิดทายาทได้พวกฮยองก็คงรักกันได้แล้วแท้ๆ ในประวัติศาสตร์โลกเวทมนตร์มีคู่รักตั้งหลายคู่ที่รักกันไม่ได้เพราะฐานะทางสายเลือดที่ต่างกัน แต่นี่ทั้งๆที่มันเกือบจะลงตัวแล้วแท้ๆ แค่เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน...”

    “ตลกร้ายจริงๆล่ะนะ” จีมินกอดเพื่อนสนิทแน่นขึ้น “แต่จริงๆแล้วมันไม่ควรจะเป็นเรื่องใหญ่โตแต่แรกแล้วหรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศหรือเรื่องเลือด สำหรับฉันแล้วมันไม่สำคัญหรอกนะ ไอ้ที่นายถามตอนแรกเรื่องสายเลือดน่ะ เลือดจะเป็นของใครสุดท้ายมันก็ออกมาสีแดงเหมือนกันหมดนั่นแหละ สำหรับพวกเรา จะมีเลือดเป็นแบบไหนมันไม่สำคัญหรอกนะแทแท”

    แทฮยองนิ่งไปในวงแขนขาว เขาฟังเสียงที่เล็กกว่าของจีมินที่ดังอยู่เหนือศีรษะไปหน่อย หัวใจของจีมินยังเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอให้รู้สึกสบายใจใต้เสื้อพาจาม่าสีเข้ม

    “สำหรับฉัน นัมจุนฮยอง ซอกจินฮยอง ยองแจ ซองแจ ยูคยอม แล้วก็พวกอี้ชิงฮยองด้วย”

    “อื้อ” แทฮยองขานรับในลำคอ “เข้าใจแล้ว...”

    “โดยเฉพาะกับฉันน่ะ ฉันดีใจมากเลยนะที่ตัวเองมีเลือดของมักเกิ้ลอยู่ครึ่งหนึ่งในร่างกายแบบนี้”

    “ทำไมล่ะ?”

    “เพราะมันทำให้นายหันมาคุยกับฉันในวันแรกที่เราเจอกันไง แทแทอา”

    แทฮยองอมยิ้มในเสื้อพาจาม่าที่ใส่นอนของจีมิน แขนอุ่นๆของเพื่อนสนิทโอบรัดรอบกายจนรู้สึกเคลิ้ม เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้ง

    “...ฝันดีนะจีมินนี่”

    “ฝันดีแทแท”

     

    เมื่อห้าปีที่แล้ว

    คิม แทฮยองกำลังกลัว

    ทั้งๆที่เขาเองก็คิดว่าตัวเองเตรียมตัวในการมาเรียนที่โรงเรียนเวทมนตร์แห่งนี้ดีแล้วแท้ๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้วแทฮยองก็รู้สึกกลัวไปหมด กลัวที่จะต้องห่างหายจากครอบครัวไปเป็นเดือนๆ กลัวที่จะต้องไปอยู่ในโลกใบใหม่ที่เขาไม่รู้จัก กลัวในความอ่อนต่อโลกใบใหม่ใบนี้ของตัวเอง เพราะนอกจากสิ่งที่แทฮยองอ่านๆมาผ่านๆจากหนังสือคร่าวๆแล้วเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องเวทมนตร์อะไรนี่เลย

    มันเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของคนที่เกิดมาจากครอบครัวที่มีแต่มักเกิ้ลแบบแทฮยองล่ะนะ

    เป็นคนที่ครอบครัวไม่ได้มีเวทมนตร์อยู่ในสายเลือด ไม่ได้รู้จักพ่อมดแม่มดที่ไหน(หรืออีกอย่างก็คืออาจจะรู้จักแต่ว่าไม่รู้ตัวก็เป็นได้) ไม่ได้รู้ว่าโลกนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์อยู่จริงๆจนกระทั่งแทฮยองได้จดหมายเชิญจากฮอกวอตส์ให้เข้าร่วมเรียนตอนเขาอายุสิบสี่ด้วยซ้ำ

    เป็นคนแบบที่เขาเรียกกันว่า “มักเกิ้ลบอร์น” หรือกำเนิดมาจากมักเกิ้ลนั่นแหละ

    ถ้าเรียกหยาบหน่อยก็คือเป็นคนจำพวก “เลือดสีโคลน”

    เลือดสีโคลน... แทฮยองเผลอยกนิ้วขึ้นกัดเล็บ เขาเคยอ่านมาว่าที่ยุโรปมีสงครามเรื่องประมาณนี้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เป็นช่วงที่พ่อมดสายมืดกลุ่มหนึ่งออกมาจับพ่อมดแม่มดที่เกิดมาจากมักเกิ้ล พาพวกคนที่มีเลือดสีโคลนพวกนั้นเข้าคุกอัซคาบัน แทฮยองเคยอ่านเรื่องความน่ากลัวของสงคราวครั้งนั้น เคยได้ยินสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับพวกมักเกิ้ลบอร์นเหล่านั้น...

    ถึงสุดท้ายแล้วพวกพ่อมดแม่มดที่คิดว่าเลือดของตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นเขาแบบคนพวกนั้นจะโดนจับลงโทษกันหมดและเรื่องจะสงบเรียบร้อยแล้วแต่แทฮยองก็ยังหวั่นใจเล็กๆอยู่ดี

    ถ้าเปรียบเทียบกันแล้วมันเหมือนกันเหยียดสีผิวหรือเชื้อชาติหรือเปล่านะ? ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ถูกต้อง แต่คนที่ถูกป้อนความเชื่อหรือข้อมูลซ้ำๆมาว่าสีผิวสีไหนสวยกว่ากันมันก็จะมีปมเชื่ออยู่เล็กๆหรือเปล่า? ในทางกลับกันแล้วถ้ามีพ่อมดแม่มดคนไหนที่ถูกสอนมาว่าเลือดแบบของแทฮยองสกปรก มันก็เป็นธรรมดาที่เขาจะรังเกียจไม่ใช่เหรอ?

    แทฮยองเม้มปาก เจ้าวิคกี้ที่นั่งอยู่บนตักส่งเสียงร้องอ้อนเบาๆแล้วเขาก็กอดมันไว้แนบกายแน่นๆ

    ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆของรถไฟที่แทฮยองนั่งอยู่คนเดียวมันช่างเงียบเหงาเหลือเกิน

     

    “...อ่าว มีคนอยู่เหรอเนี่ย?”

    เสียงเรียกทักทำให้แทฮยองที่ยังกอดวิคกี้ไว้กับอกสะดุ้ง พอหันไปแล้วก็พบกับเด็กผู้ชายตัวสูง หน้าตาที่ทั้งสวยทั้งหล่อมากๆในแบบที่ทำให้แทฮยองรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาว่าจะมีคนแบบนี้อยู่บนโลกเข้าจริงๆ

    “พวกเราขอนั่งด้วยนะ” เด็กคนนั้นยิ้มให้อย่างใจดี ความอ่อนโยนแปลกๆที่แทฮยองสัมผัสได้ทำให้เขาเผลอพยักหน้า อีกฝ่ายยิ้มกว้างขึ้นแล้วเข้ามานั่งตรงกันข้ามกับเขา มือข้างหนึ่งถือคางคกตัวใหญ่ส่วนอีกข้างก็ลากเด็กผู้ชายตัวสูงๆอีกคนมาด้วย

    “ฉันชื่อคิมซอกจิน อยู่ปีสอง บ้านฮัฟเฟิลพัฟ ส่วนนี่คิมนัมจุน ปีสองบ้านเรเวนคลอ” ซอกจินพูดต่ออย่างเป็นมิตร มันมีอะไรบางอย่างในตัวซอกจินที่ทำให้แทฮยองรู้สึกผ่อนคลาย แทฮยองรู้สึกว่าเขาชอบซอกจินตั้งแต่ที่ได้พบกันครั้งแรก ซอกจินดูใจดี เฟรนลี่ แล้วยังหน้าตาดีอีก...

    มันมีอยู่แวปหนึ่งที่แทฮยองคิดขึ้นมาว่าเขาอยากจะเป็นเหมือนคิมซอกจิน

    “...ไม่คุ้นหน้านายเลยแหะ เด็กใหม่เหรอเรา? ปีหนึ่งงั้นสิ?” คำถามที่ถูกยิงมาตอนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆทำให้แทอยองกระพริบตาปริบๆตอบเพราะประมวลคำถามไม่ทัน นัมจุนที่นั่งอยู่ข้างๆซอกจินหัวเราะ

    “อย่ารัวใส่น้องเขาสิจิน เขาตกใจหมดแล้วนั่น”

    “อ่าว ก็ฉันไม่เคยเห็นเขาที่โรงเรียนนี่นา แปลว่าปีหนึ่งใช่ไหม? แล้วถ้าไม่เคยเห็นมาก่อนก็ไม่น่าจะมาจากครอบครัวที่พวกเรารู้จักด้วย ฉันมั่นใจว่าคุณพ่อกับคุณแม่ต้องเรียกให้ฉันไปทำความรู้จักกับพ่อมดแม่มดที่มีเลือดบริสุทธิ์ทักคนในเกาหลีแล้วล่ะ” พูดไปซอกจินก็กลอกตาไป นัมจุนหัวเราะ

    “ท่านคงแค่อยากให้ซอกจินมีเพื่อนเยอะๆ”

    “เหอะ เพื่อนที่มีเลือดบริสุทธิ์เหมือนกับตระกูลเราน่ะสิ แบบนี้มันจะไปเยอะได้ยังไง? เห็นๆหน้ากันอยู่แค่หยิบมือเดียวเองเนี่ย” ซอกจินบ่นอุบอิบ นัมจุนพูดอะไรเย้ากลับไปอีกหน่อยแล้วก็ดูเหมือนกับว่าทั้งสองคนนั้นจะลืมว่าถามอะไรแทฮยองค้างไว้ไปสนิท

    เพื่อนที่มีเลือดบริสุทธิ์หมือนกับตระกูลเรา... อย่างนั้นเหรอ...

    แปลว่าทั้งรุ่นพี่ซอกจินและรุ่นพี่นัมจุนปีสองนี่ก็เป็นพ่อมดเลือดบริสุทธิ์ทั้งคู่ใช่ไหม?

    มันเหมือนกับว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นแบ่งแยกระหว่างแทฮยองกับรุ่นพี่ที่ดูใจดีสองคนนั่น

    แทฮยองไม่ได้นั่งอยู่บนตู้โดยสารคนเดียว แต่มันก็ยังเหงามากเหมือนเดิมไม่มีผิดเลย

     

    ซอกจินกับนัมจุนเป็นคนดี ไม่ได้เหยียดสายเลือดที่ขุ่นมัวกว่าของแทฮยองอย่างที่เขานึกกลัวในตอนแรก รุ่นพี่ทั้งสองคนไม่ได้ถามเรื่องสายเลือดของแทฮยอง พวกเขาแค่ชวนคุยนิดๆหน่อยๆ ถามว่าตื่นเต้นหรือเปล่า อยากจะอยู่บ้านไหน มีอยู่จุดหนึ่งที่ซอกจินถามถึงครอบครัวของแทฮยองแล้วเขาตอบไปตรงๆว่าตัวเองเป็นลูกคนเดียว มีพ่อทำงานเป็นพนักงานเงินเดือน ส่วนแม่ก็มีงานเขียนคอลัมน์ในนิตยาสารของผู้หญิงนิดหน่อย

    “พนักงานเงินเดือน?” ซอกจินทวนงงๆในตอนนั้น นัมจุนขยายความให้ว่าเป็นการเรียกอีกอย่างหนึ่งของอาชีพพนักงานบริษัท ซอกจินบางอ้อ เขาชวนแทฮยองคุยต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในตอนนั้นแทฮยองก็รู้สึกว่าตัวเองพลาดไปแล้วล่ะ

    พลาดที่เผลอใช้ศัพท์ที่พวกมักเกิ้ลใช้กันและพวกพ่อมดเลือดบริสุทธิ์ไม่น่าจะรู้จักไปแล้ว

    แทฮยองอยากจะขดตัวเป็นก้อนกลมๆแข่งกับวิคกี้แล้วหายตัวไปเสียอย่างนั้น ถึงนัมจุนกับซอกจินจะใจดีแต่ยิ่งคุยกันเขาก็ยั่งรู้สึกว่าตัวเขากับรุ่นพี่สองคนนั้นช่างต่างกันเหลือเกิน ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับโลกเวทมนตร์อะไรนี่เลยสักนิด ยิ่งพอรถไฟจอดเทียบชานชะลาแล้วพวกนักเรียนลงจากขบวนรถลงไป จับกลุ่มกันคุยในเรื่องที่เขาไม่รู้จักเป็นพักๆ พูดถึงเพลงที่เขาไม่รู้จัก กินขนมที่เขาไม่เคยเห็นแบบนี้...

    แทฮยองรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเอเลี่ยนอะไรแบบนั้น

    สองแขนกอดเจ้าแมวขนปุยแน่นขึ้น เหมือนซอกจินจะสังเกตเห็นความไม่สบายใจของเพื่อนตัวเล็กคนใหม่ร่างที่สูงกว่านั้นถึงได้เอื้อมมือมาโอบไหล่แทฮยองไว้หลวมๆ

    “เห็นปราสาทของฮอกวอตส์ครั้งแรกมันดูน่ากลัวใช่ไหม? ไม่เป็นไรนะแทแทอา มีฮยองอยู่ทั้งคนนี่เนอะ”

                  รอยยิ้มของซอกจินอ่อนโยนน่ามอง ฝ่ามือใหญ่ของนัมจุนลูบผมแทฮยองเบาๆ

                  “อย่าเกรงสิแทฮยอง ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกนะ ฮยองสัญญา”

     

                  ระหว่างที่กำลังรอการคัดเลือกอยู่นั้นแทฮยองพยายามที่จะอยู่เงียบๆ ท่ามกลางคนแปลกหน้ามากมายแบบนี้ตัวแทฮยองที่รู้สึกว่าตัวเองช่างแตกต่างจากคนอื่นแบบนี้ไม่ได้อยากจะเป็นจุดสังเกตมากนัก ถ้าขืนพูดอะไรแปลกๆออกไปอีกแล้วแทฮยองก็ไม่อยากจะดูประหลาดไปมากกว่านี้นักหรอก

                  ดวงตาใสๆใต้แพขนตาหนาเหลือบมองเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากเขามากนักเป็นพักๆ เป็นเด็กผู้ชายผิวขาว แก้มยุ้ยๆน่ารัก ตากลมพราวระยิบระยับน่ามอง ริมฝีปากสีชมพูจัดก็กำลังหัวเราะดังๆจนเห็นฟันกระต่ายยื่นออกมาสองซี่ข้างหน้า

                  เป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาน่ารักมากๆ เขามองทุกอย่างรอบตัวด้วยความตื่นเต้น ทุกท่าทางดูมั่นอกมั่นใจในแบบที่แทฮยองอดไม่ได้ที่จะเหลือบขึ้นไปมองบ่อยๆ

                  เป็นคนที่น่าอิจฉา มีเสน่ห์ล้นตัวราวกับมีเวทมนตร์

                  แหม... เหมาะกับฮอกวอตส์ที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และพลังเหนือธรรมชาติแบบนี้เหมือนกันนะ

                  แทฮยองอิจฉาเขา... อิจฉาเด็กผู้ชายที่เหมาะกับที่ที่วิเศษแบบนี้ราวกับว่าเกิดมาเพื่อที่จะใช้เวทมนตร์โดยเฉพาะ คนที่ดูสบายๆ มั่นใจ ร่าเริงราวกับไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนบนโลก

                  ดีจังนะ...

                  “...นั่นจอน จองกุกไม่ใช่เหรอ?” เสียงกระซิบกระซาบของเด็กคนหนึ่งที่กำลังมองไปทางจองกุกเหมือนกันดังขึ้น แทฮยองหันไปมองเด็กคนนั้นพูดงุบงิบให้เพื่อนข้างๆฟัง

                  “จอน จองกุก? ลูกชายของจอน ยอนฮวาน อันดับหนึ่งของมือปราบพ่อมดร้ายน่ะนะ? พ่อฉันทำงานในกระทรวง เล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ” เด็กอีกคนกระซิบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าคนแรกเล็กน้อย ท่าทางว่าจะปกปิดความตื่นเต้นที่ได้เห็นจอน จองกุกไม่ได้จริงๆ

                  “ฉันได้ยินมาว่าพ่อเขาเป็นอันดับหนึ่งของกองเลยนะ ส่วนแม่ก็เป็นนางแบบ ลงนิตยาสาร Witch Weekly บ่อยๆเลยแหละ สวยมากๆเลย”

                  “ไม่ธรรมดาเลยนะ กระกูลจอนเนี่ยถือว่าเป็นตระกูลพ่อมดที่เก่าแก่มากที่สุดตระกูลหนึ่งของเกาหลีเลย พอๆกับตระกูลคิมของคิม ซอกจินเลยล่ะ สายเลือดของเขาบริสุทธิ์มากแล้วสาวความยาวไปถึงยุคของเมอร์ลินเลยนะ”

                  ยุคของเมอร์ลิน... บริสุทธิ์มาก...

                  เข้าใจแล้วล่ะ

                  ที่จอนจองกุกนั่นดูเหมาะสมกับที่แบบนี้ ที่สามารถยิ้มได้เหมือนไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรนั่นก็เพราะเขาเกิดมาเพื่อที่จะอยู่ในโลกเวทมนตร์นี่อยู่แล้วสินะ

                  น่าอิจฉาอย่างที่คิดจริงๆนั่นแหละ

                  “...ย่าห์ นี่ไม่ได้ฟังเลยเหรอ?” มือป้อมที่อยู่ๆก็ขยับโบกปัดไปมาทำให้แทฮยองผงะ เขากระพริบตาปริบแล้วหันขวาไปทางเจ้าของฝ่ามือที่ยิ้มให้จนตาหยี

                  “ใจลอยจัง กว่าจะเรียกให้สนใจได้...” อีกฝ่ายพูดกลั้วหัวเราะ แทฮยองยิ้มแห้งๆตอบ

                  “ขอโทษนะ..”

                  “ไม่เป็นไร~ จะถูกคัดเลือกแล้วมันก็มีอะไรให้คิดตั้งเยอะนี่เนอะ” เขาโบกมือปัดอีกครั้งอย่างไม่คิดจะติดใจอะไรมาก แทฮยองยิ้มรับ ในหัวพยายามจะนึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับการคัดสรรเข้าบ้านพักทั้งสี่ตามที่อ่านมาในหนังสือ พอจะเข้าใจไอเดียคร่าวๆของการคัดสรรและบ้านทั้งสี่หลัง แต่แทฮยองก็ไม่มั่นใจในความจำของตัวเองหรือว่าข้อมูลพอที่จะพูดอะไรออกไป ใบหน้าน่ารักพยักหน้าเนิบๆ

                  “อือ...”

                  “นายดูเงียบๆนะ ไม่ค่อยเห็นคุยกับใครเลย ตื่นเต้นเหรอ?”

                  มันก็ด้วย.. แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือตั้งแต่ที่เจอนัมจุนกับซอกจินในรถไฟนั่นแล้วแทฮยองก็ไม่มีความมั่นใจที่จะคุยกับคนอื่นๆเท่าไรนัก มันอดไม่ได้ที่จะกลัวว่าตัวเองจะพูดอะไรผิดแล้วกลายเป็นคนแปลกๆหรือตัวตลกอีก

                  ความจริงแล้วมันก็ตลกเหมือนกันนะ เพราะตอนที่อยู่ที่โลกมักเกิ้ลปกติที่แดกูแทฮยองที่มีพลังเหนือธรรมชาติก็มักจะรู้สึกว่าตัวเองแปลกประหลาดกว่าคนอื่น พอได้มาอยู่ในโลกเวทมนตร์แบบนี้แล้วมันก็ยังอดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าเขาก็ยังผิดปกติจากคนอื่นที่นี่เหมือนกัน

                  มันเหมือนกับว่าไม่ว่าจะย้ายไปโลกไหน มันก็ไม่มีที่ๆเหมาะสมสำหรับแทฮยองเลยสักที่

                  “...เหม่ออีกแล้ว” เสียงของคนข้างๆทักขึ้นมาอีก แทฮยองรู้สึกว่าใบหูของตัวเองเห่อร้อนขึ้นมา เขาก้มหัวงก

                  “ขอโทษนะ คิดอะไรเพลินๆอยู่น่ะ”

                  “เฮ้ย ไม่เป็นไรน่า” เด็กผู้ชายตัวกลมๆคนนั้นหัวเราะ “ฉันปาร์ค จีมินนะ ลูกครึ่ง”

                  “ล.. ลูกครึ่ง?” แทฮยองทวนงงๆ เพราะไม่ว่าจะดูยังไงปาร์ค จีมินก็ดูเกาหลีแท้ๆจนไม่น่าจะเป็นลูกครึ่งอะไรไปได้

                  “เลือดผสมน่ะ พ่อเป็นมักเกิ้ล ส่วนแม่เป็นแม่มด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของมักเกิ้ลมากนักหรอก พ่อที่มีก็เหมือนไม่มี” จีมินยังพูดกลั้วหัวเราะทั้งๆที่เนื้อความมันไม่ใช่เรื่องน่าขำเลยสักนิด แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่ายตวัดขึ้นโอบไหล่เขา

                  “แต่นายน่ะ งงกับแสลงคำว่าลูกครึ่งแบบนี้ก็แปลว่าถ้าไม่ใช่มักเกิ้ลบอร์นก็ต้องเป็นคนเลือดผสมเหมือนกันเนอะ?”

                  แทฮยองเงียบไป ไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะตอบกลับอย่างไร เหมือนว่าพอเขาจะอ้าปากทีไรก็จะพูดอะไรผิดเสียทุกทีเลยสินะ

                  แต่มันก็ดูเหมือนกับว่าปาร์ค จีมินจะไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขาเท่าไร หมอนั่นยิ้มกว้างขึ้นจนตาหยีแล้วรัดไหล่ที่บางกว่าของแทฮยองไว้แน่นขึ้น

                  “เจ๋งเป็นบ้า! นายน่ะ ต้องรู้เรื่องของโลกมักเกิ้ลเยอะกว่าฉันแน่ๆเลยใช่ไหมล่ะ? ช่วยสอนกันหน่อยนะ!

                  “อ.. เอ๊ะ? สอนเหรอ?”

                  “อื้อ! ฉันน่ะ มีเรื่องอยากจะรู้ตั้งหลายเรื่อง อย่างไอ้โรงหนังเนี่ย แล้วก็อุปกรณ์เล่นเพลงที่เอานิ้มจิ้มๆแล้วเอาสายเสียบหูนั่นฉันก็อยากได้...”

                  “...ไอพอตเหรอ?”

                  “ไม่รู้ไอพอตหรือยูพอตว่ะ จำไม่เคยได้เลย แต่อยากได้อะ! แล้วพวกนายก็มีเกมที่กดๆแล้วกระโดดๆแล้วก็วิ่งไปกับคุ้กกี้ด้วยใช่ปะ? ฉันเคยได้ยินคนพูดๆกันในสถานีรถไฟอะ ไม่เก็ตนะแต่อยากลองเล่นบ้าง อ๊ะ แล้วก็อะไรเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดในกระเป๋าที่คนชอบๆเก็บกันด้วย อันนี้พีคสุดและ ทำไมต้องเก็บสัตว์ประหลาดไว้ในกระเป๋าด้วยอะ?” ปาร์ค จีมินรัวถามออกมาเป็นชุดด้วยน้ำเสียงใคร่รู้เหมือนเด็กๆ แทฮยองมองตาแป๊วๆของอีกคนแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะพรืด

                  “สัตว์ประหลาดในกระเป๋า?”

    “เออ แต่ตอนนั้นเขาพูดกันเป็นภาษาอังกฤษนะ มอนส์เตอร์อินพ็อกเก็ต อะไรประมาณนั้นอะ”

    แทฮยองชะงัก

    “พ็อกเก็ตมอนส์เตอร์... หมายถึงเกมโปเกม่อนโกเหรอเปล่า?”

                  “มันเป็นเกมเหรอ? พวกมักเกิ้ลเล่นแข่งกันเก็บสัตว์ประหลาดไว้ในกระเป๋าเนี่ยนะ? มันไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ?” ปาร์ค จีมินทำตาโต แทฮยองหัวเราะคิกคักอีกครั้งอย่างอดไม่อยู่ จีมินยู่ปากแล้วเหวี่ยงแขนที่พาดไหล่แทฮยองไว้อยู่ออก

                  “อย่าหัวเราะสิ! ฉันอยากรู้จริงๆนะเนี่ย คือโคตรรู้สึกว่าตัวเองโง่อะ อะไรคือมีเลือกมักเกิ้ลอยู่ครึ่งหนึ่งแต่แม่งไม่รู้เรื่องเลยวะ?”

                  จีมินบ่นอุบอิบ แทฮยองอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมาจนปากเป็นรูปสี่เหลี่ยม

                  เป็นรอยยิ้มเต็มปากรอยยิ้มแรกที่เกิดขึ้นหลังจากที่แทอยองขึ้นรถไฟมาฮอกวอตส์

                  “จีมินน่ารักเนอะ”

                  “หา? โอโห พูดจาไม่ดูหนังหน้าว่ะ...” ปาร์คจีมินว่า “ดูดิ ยิ้มแล้วน่ารักเป็นบ้า แล้วเมื่อกี้ทำหน้าบูดเหมือนจะโดนบาซิลิกซ์กินหัว นี่ยิ้มกว้างเป็นกล่องแบบนี้เลิกคิดอะไรเพลินๆแล้วสิ?”

                  “อื้อ” แทฮยองพยักหน้า “เลิกคิดก็เพราะจีมินนี่เนี่ยแหละ ขอบใจนะ”

                  “จ.. จีมินนี่? เรียกซะมุ้งมิ้ง เดี๋ยวเอากล้ามฟาดเลย แล้วนายล่ะชื่ออะไร?”

                  “แทฮยอง คิมแทฮยอง...”

                  นั่นเป็นครั้งแรกที่แทฮยองกับจีมินรู้จักกัน

                 

    แทฮยองถูกคัดเลือกเข้าบ้านฮัฟเฟิลพัฟหลังจากที่เจ้าหมวกแหลมๆทรงเก่าๆนั่นพูดพึมพำอะไรอยู่บนหัวเขาอยู่นาน ซอกจินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะของฮัฟเฟิลพัฟอยู่แล้วปรบมือให้พร้อมกับรุ่นพี่คนอื่นๆ ใบหน้าสวยนั่นคลี่ยิ้มกว้างให้แทฮยองพร้อมกับสองแขนที่กางออกแล้วรีบรวบตัวเขาเข้ากอดแรงๆทีหนึ่ง

                  “กะแล้วว่าน่ารักๆแบบแทแทอาต้องได้อยู่ฮัฟเฟิลพัฟแน่ๆ ฮยองดีใจนะที่แทแทมาอยู่บ้านนี้ด้วยกัน คึคึคึ สมน้ำหน้านัมจุนนี่เป็นบ้า” ซอกจินปล่อยมือให้แทฮยองขยับไปนั่งข้างๆตัวเอง รุ่นพี่ร่วมบ้านของแทฮยองหันหลังไปแลปลิ้นให้กับนัมจุนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะของเรเวนคลอ ซอกจินโอบคอแทฮยองไว้แล้วยักคิ้วให้นัมจุนแบบคนเหนือกว่า ซึ่งอีกฝ่ายก็แค่ส่ายหัวกลับมายิ้มๆ การคัดสรรเข้าบ้านยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ บรรยากาศรอบข้างดูคึกคัก

                  ปาร์คจีมินถูกคัดสรรเข้ามาในบ้านฮัฟเฟิลพัฟ ร่างเล็กที่ขนาดกล้ามไม่เล็กตามนั่นวิ่งพรวดลงมาผลักซองแจที่นั่งอยู่ข้างๆแทฮยองในตอนนั้นกระเด็นแล้วก็เบียดตัวเองเข้ามานั่งข้างๆเขาทันที จีมินบอกว่าเด็กมักเกิ้ลบอร์นที่ชื่อแบมแบมบอกเขาว่าตัวเองจับปิกาจูในโปเกม่อนโกได้เมื่อกี้ เพื่อนใหม่ของแทฮยองซักไซ้เรื่องปิกาจูกับเขาหน้าเครียด (“แบมแบมบอกว่ามันเป็นหนูไฟฟ้า หนูไฟฟ้าเลยนะแทแท ฉันอยากได้บ้างต้องทำยังไงอะ...”) อีกด้านหนึ่งคิม ซอกจินก็กำลังตักเนื้ออบใส่จานของแทฮยอง อีกด้านของจีมินซองแจกำลังบ่นโอตโอยว่า เขามานั่งตรงนี้ก่อนนะไอ้ตาขีดเอ้ยยย แล้วด้านตรงกันข้ามกับแทฮยองเองรุ่นพี่ที่ชื่ออี้ชิงก็กำลังยิ้มกลับมาให้จางๆ

                  แทฮยองยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวต่างๆในโลกเวทมนตร์มากนัก จะให้กลับไปที่โลกของมักเกิ้ลแทฮยองเองก็คงจะไม่มีวันรู้สึกสะดวกใจกับมันเต็มร้อย...

                  แต่ในระหว่างที่ซอกจินฮยองกำลังบ่นว่าแทฮยองผอมไปแล้วและจีมินนี่กำลังชวนเขาคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องอะไรสักอย่างอยู่นี่แทฮยองก็คิดว่ามันไม่เป็นไรหรอก

                  บางทีถ้าอยู่ท่ามกลางคนพวกนี้แล้ว แทฮยองอาจจะสามารถสร้างพื้นที่สำหรับตัวเขาเองขึ้นมาก็ได้


                   พอนึกถึงตอนปัจจุบันในตอนนี้แล้วแทฮยองก็คิดว่าตัวเองตอนเด็กๆนี่โคตรเวิ่นเวอร์เลย คิดอะไรเป็นตุเป็นตะอะ

                   แทฮยองว่าฮอกวอตส์ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ทุกคนก็เป็นมิตรดี แม้กระทั่งบ้านที่มีข่าวลือน่ากลัวๆอย่างสลิธีรินก็ยังมีคนดีๆอย่างไอ้เซฮุนกับปาร์คโบกอมอยู่ จูเนียร์ฮยองปีหกที่ใจดีๆแล้วชอบทำตัวเหมือนแม่นั่นก็ด้วย 

                   แทฮยองคิดว่าเขาเข้ากันได้กับทุกคน ยังไงซะแทฮยองก็ค่อนข้างจะเป็นคนเฟรนลี่อยู่แล้ว (ถ้าไม่นับตอนปีหนึ่งที่กลัวแม่งไปหมดทุกอย่างออกไปแล้วแทฮยองก็เฟรนลี่จัดมากๆเลยล่ะนะ ขอบอก) การที่เขาจะทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆทั้งในบ้านและต่างบ้านมันไม่ใช่ปัญาหา มันไม่นานเลยกว่าที่แทฮยองจะรู้สึกว่าที่ตรงนี้ มันเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองเหมือนกันนะ

                   จะว่ายังไงดีล่ะ? มันเป็นเหมือนที่ที่เหมาะสมกับแทฮยองแล้วล่ะ

                   นั่นเป็นสิ่งที่แทฮยองคิดได้ตอนปลายปีหนึ่ง ปลายปีสองเขามั่นใจว่าตัวเองรู้จักทุกซอกทุกมุมของฮอกวอตส์และเคยแอบออกไปสำรวจตอนดึกๆกับจีมินและซองแจอยู่สองสามครั้ง (โดยที่ไม่เคยโดนพรีเฟคคนไหนจับได้ จนถึงตอนนี้แทฮยองก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าไอ้พี่ชายอย่างแบคฮยองกับชานยอลลี่ฮยองออกไปทำอะไรกันอีท่าไหนถึงได้โดนจับมาทุกรอบแบบนี้? เพราะถ้าออกไปเงียบๆแล้วขยับเร็วๆ ไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานๆมันก็ไม่น่าจะโดนจับได้ง่ายๆขนาดนั้นหรอก) 

                   ตอนปีสามแทฮยองได้เข้าร่วมทีมควิดดิชของฮัฟเฟิลพัฟในฐานะซีกเกอร์พร้อมๆกับซองแจที่ได้รับตำแหน่งบีตเตอร์ จำได้ว่าตอนนั้นเขาต้องแข่งกับทีมของกริฟฟินดอร์เป็นครั้งแรก และระหว่างที่กำลังเดินๆอยู่ตามทางเดินที่คดเคี้ยวของฮอกวอตส์แทฮยองก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่เขาจำได้ว่าเป็นของเพื่อนสนิทพี่ชายอย่างปาร์คชานยอล

                   "....ซีกเกอร์คนใหม่ของฮัฟเฟิลพัฟ ชื่อคิมแทฮยอง"

                   คือจริงๆแล้วแทฮยองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาแอบฟังอะไรแบบนั้น ก็กะว่าจะเดินผ่านไปเฉยๆ แต่พอได้ยินชื่อตัวเองในบทสนทนาแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะรีบกระโดดหลบหลังเสาต้นที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วเงี่ยหูฟัง

                   "คิมแทฮยอง?" เสียงนุ่มๆของใครสักคนทวนขึ้น แทฮยองแอบโผล่หัวออกไปเห็นจอนจองกุกกำลังเอียงคอครุ่นคิด

                   "เออ ปีสามรุ่นเดียวกันนายไง นี่อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก?"

                   "ผมรู้จัก แค่กำลังคิดเฉยๆ... ผมรู้จักแทฮยองนะ เราเรียนร่วมกันบ่อยๆ"

                   "แล้วเคยเห็นแทฮยองบินไหมล่ะ? คิดว่าแข่งคราวนี้จะเป็นยังไง? บอกตามตรงนะเอาแทฮยองกับซองแจเข้ามาใหม่แบบนี้ฉันยังไม่รู้ฝีมือของทั้งสองคนเลย ประเมินยาก"

                   "ผมเคยเห็นแทฮยองบินนะ ซองแจด้วย ถึงจะเป็นแค่ตอนวิชาสอนขี่ไม้กวาดตอนปีหนึ่งก็เถอะ แต่แทฮยองน่ะ..." ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดของจอนจองกุกต้องทำให้แทฮยองลุ้นจนใจเต้นรัวขนาดนี้ด้วย ทั้งๆที่เขารู้และคนรอบข้างก็ยืนยันมาแล้วว่าแทฮยองเก่ง ไม่อย่างนั้นคงเข้าทีมตั้งแต่ปีสามทั้งๆที่มีรุ่นพี่มาออดิชั่นเยอะแยะขนาดนี้ไม่ได้หรอก

                   "..ก็เร็วดีนะ สำหรับมักเกิ้ลบอร์น..."

                   ก็เร็วดี... สำหรับมักเกิ้ลบอร์นอย่างนั้นเหรอ?

                   แทฮยองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนโดนดูถูก ก็ใช่สินะ ใครมันจะไปเก่งเหมือนจอนจองกุกเลือดบริสุทธิ์ที่เข้าร่วมทีมควิดดิชของกริฟฟินดอร์ได้ตั้งแต่ปีสองกันล่ะ? 

                   ให้ตายเถอะ.. หมอนี่หลงตัวเองชะมัด บ้าบอที่สุด

                   แทฮยองผละออกจากเสาต้นนั้นแล้วเดินกลับออกไปทางเดิมด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

                   ปลายปีสาม คิมแทฮยองเป็นเพื่อนกับคนมากมายในฮอกวอตส์ แต่เกลียดจอนจองกุกมากที่สุด


    Talk: มีความมินวีสูงไหมล่ะคะ 5555555555555

    ส่วนตัวแล้วชอบคู่นี้นะ รู้สึกว่าแบบ เขาดูแลกันดีมากๆ โดยเฉพาะจีมที่ดูเอ็นดูแทฮยองเหลือเกิน ชอบแกล้งกันชอบบ่นกันแต่ก็รู้ว่ารักมาก ห่วงมากอะ ชอบความเบสเฟรนด์ ชอบความ 95z ชอบบบบ ฮืออออออ

    ตอนนี้ย้อนอดีตให้ดูนิดหนึ่ง ตอนนี้ก็คงจะรู้กันแล้วว่าทำไมแทฮยองถึงชอบตั้งแง่กับจองกุกนัก 

    ตอนนี้ไม่ค่อยมีกุกวี แต่จะมาตอนหน้าแบบเต็มที่จริงๆค่ะ รอนิดหนึ่งนะคะนะะ  

     แล้วก็อีกเรื่อง! ทุกคนคะะ ยอดติดตาม MM ถึงสองร้อยคนแล้วนะ! เย้~~ ขอบคุณทุกคนมากๆนะคะที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ ขอบคุณที่ชอบกัน
    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นมากๆด้วยนะคะ อ่านแล้วดีกับใจมว๊ากกกก

    แล้วเจอกันใหม่เร็วๆนี้กับกุกวีตอนหน้านะคะ! 

          

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×