ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Grimoire Heart

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 0 สงครามเมื่อครั้งก่อน ( 2 )

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 57


    " หล่อนรอดตายแล้วหละ " เวอร์โก้กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆก่อนจะลุกขึ้นเดินไปดูอาการเลโอฮาร์ทที่อยู่ใกล้ๆ

    มาริครีบเดินเข้าไปหาเอน่าที่นอนพักอยู่ ใบหน้าของนานดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
    มันราวกับปาฏิหาริย์ที่นางรอดมาได้หลังจากได้รับบาดแผลสาหัส
    เขาได้แต่กุมมือนางในขณะที่นางยังไร้สติ ความรู้สึกต่างๆเอ่อล้นจนเกินจะบรรยาย
     
    "ท่านเลโอฮาร์ทขอรับ นี่ท่านใช้พลังของกริมมอร์เกินขีดจำกัดอีกแล้วสินะ" เวอร์โก้กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
    "หึหึ ก็มันจำเป็น" เลโอฮาร์ทกล่าวสั้นๆ
    "นี่ถ้าข้าไปด้วย ท่านคงไม่ตกอยู่ในสภาพนี้แท้ๆ"
    "เวอร์โก้เอ๋ย เราสูญเสียมามากแล้ว หากลดการสูญเสียแม้เพียงสักหนึ่งก็จะเป็นการดี"
    "ขอรับ..เอาเป็นว่าให้ข้ารักษาท่านก่อนแล้วกัน" เวอร์โก้พูดตัดบทก่อนจะหันไปทางมาริค
    "เจ้าเองก็ด้วย สภาพดูไม่ได้เลย รอสักแปบละกัน "
    "เอ่อ ครับ แต่พลังของท่าน "
    "ไม่เป็นไรหรอก ยังไงข้าก็ใช้พลังจนจะหมดก๊อกอยู่แล้ว แถมดูท่าการรบก็จบแล้วด้วย "
    "ครับ ... ข้าขอบคุณพวกท่านมากจริงๆ "
     
    หลังจากนั้นไม่นานการรักษาก็เสร็จสิ้น แม้ว่าเลโอฮาร์ทกับมาริคที่ได้รับการรักษา
    จะไม่ได้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นแต่ก็นับว่าพอดูได้
    "เอาหล่ะ เราจะกลับไปยังฐานทัพเรา ...หวังว่าพวกที่ข้าฝากงานไว้จะทำภารกิจได้ไม่บกพร่องนะ" เลโอฮาร์ทกล่าวในขณะลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย
    "เวอร์โก้ มีการติดต่อมาบ้างไหม"
    "ขอรับ ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ"
    "เอาหละ รีบกลับกันเถอะ ก่อนที่พวกนั้นจะบุกมาอีกรอบ" 
     
    หลังจากเลโอฮาร์ทกล่าวจบพวกเขาก็เตรียมพร้อมเดินทางกลับ
    มาริคอุ้มเอน่าขึ้นมาอย่างอ่อนโยน เขาหันมองรอบๆตัวพลางคิดในใจว่า
    อยากจะให้ฝันร้ายนี้จบลงเสียที เวอร์โก้เริ่มร่ายมนต์ด้วยพลังที่เหลือ
    เพียงเล็กน้อยเพื่อเปิดประตูมิติพาพวกเขากลับไปยังฐาน แต่ขณะที่ร่ายนั้นเอง
    คลื่นพลังเวทย์มหาศาลก็ปรากฏขึ้นและยับยั้งเวทย์ที่เขาร่ายอยู่
     
    เพร้ง !!! เสียงดันราวกับแก้วแตกพร้อมกันนั้นวงแหวนเวทย์ที่เวอร์โก้ร่ายมนต์กำกับแตก
    สลายไป ทั้งสามหันไปทางทิศที่พลังมหาศาลแผ่พุ่งออกมาอย่างไม่ต้องนัดหมาย
    พลันปรากฏร่างของใครบางคน...ไม่สิควรเรียกว่าอะไรบางอย่างที่คล้ายมนุษย์ลอยอยู่กลางอากาศ
     
    "หาเจอจนได้~ " มันกล่าวขึ้นมาพร้อมใบหน้าสะแยะยิ้มในขณะที่ค่อยๆลอยลงมาบนพื้น
    "ให้ตายสิ พวกมนุษย์ ทั้งๆที่กะให้กองทัพเมื่อกี้ปิดฉากของที่นี้แล้วแท้ๆ " มันกล่าวต่อ
    ในขณะที่ค่อยๆเดินอ้อยอิ่งเข้าใกล้พวกมาริค
    "เฮ้อ อุตส่าห์สร้างพวกชั้นต่ำซะเยอะแยะ ดันนึกไม่ถึงว่าจะโดนกวาดจนหมด
    นึกว่าจะมีดีแต่พวกที่บุกเข้ามา ไม่ยักกะรู้ว่าพวกที่ตั้งป้องกันก็
    มีฝีมือกับเขาด้วย" มันส่ายหัวพร้อมกับบ่นพึมพำแสดงความไม่พอใจ
     
    เลโอฮาร์ทไหวตัวรีบง้างดาบเล่มใหญ่ในกำมือเตรียมฟันด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี
    ทันใดนั้นเองมือทั้งสองข้างที่กำดาบก็แหลกกระจายโดยไร้วี่แววของการโจมตี
    เลือดสีแดงสาดกระจายไปในอากาศ ดาบเหล็กเล่มยักเองก็แตกกระจายแล้วสลายไป
    ไม่ต่างจากฝุ่นในอากาศ
     
    "อ๊ากกกกก !!! " เลโอฮาร์ทร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดในขณะที่ทรุดตัวลง
    เวอร์โก้และมาริคที่อยู่ใกล้ๆก็ทำอะไรไม่ถูก
     
    เจ้าสิ่งนั้นเดินมาใกล้ๆเผยให้เห็นรูปลักษณ์อย่างชัดเจน ด้วยรูปร่างที่เหมือนมนุษย์ทุก
    อย่าง แตกต่างกันแค่เพียงผิวที่เป็นสีดำเข้ม ดวงตาสีแดงฉานราวกับอัญมณีสีแดงสดที่ส่องประกายในความมืดเส้นผมสีดำปลิวไสวขึ้นไปบนท้องฟ้า รอบๆกายมีออร่าบางอย่างสีดำแดง
    เคลื่อนไหวไปมารอบๆคล้ายว่าพวกมันมีชีวิต
     
    "เฮ้ๆ เจ้านะจะใจเร็วเกินไปแล้วนะ ให้ข้าได้พูดจาปราศรัยอะไรบ้างสิ "มันพูดอย่างใจเย็น
    "อั่ก.. แก... แกมันตัวบ้าอะไร !! " เลโอฮาร์ทกัดฟันพูด
     
    เขาทนต่อความเจ็บปวดที่สูญเสียมือทั้งสองข้าง ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
    ในสถานะที่เลวร้ายสุดๆนี้ทั้งสามแทบไม่มีทางเลือกอะไร เลโอฮาร์ทที่อยู่ในสภาพย่ำแย่
    เวอร์โก้ที่แทบจะไร้พลังเวทย์มนต์ มาริคที่บาดเจ็บ และเอน่าที่ไร้สติอยู่ในอ้อมอกของมาริค
    ต่อหน้าศัตรูที่ไม่อาจหยั่งถึงได้ พวกเขาไม่ต่างอะไรจากลูกไก่ในกำมือ
     
    "โอ้วว โทษที ลืมแนะนำตัวไปเลย " มันยกมือขึ้นเกาหัวพร้อมกับแสยะยิ้ม
    " ข้ามีนามว่า อัลทาร์ หนึ่งในเสาทั้งหกแห่งห้วงอเวจี " อัลทาร์แนะนำตัวพร้อมกับสะแหยะยิ้ม
     
    เลโอฮาร์ทได้ยินดังนั้นก็หน้าถอดสี ตกใจจนแทบจะลืมความเจ็บปวดทั้งหมดไป
    เสาทั้งหกแห่งอเวจี เป็นชื่อที่เรียก ผู้มาจากห้วงอเวจีทั้ง6 ตนที่ทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าแก่
    จอมมารอเวจี เป็นเหมือนแม่ทัพใหญ่ที่ยกพลทำศึกสงครามในครั้งนี้ 
     
    "บะ..บ้าน่า!!! แกไม่น่าจะมาปรากฏตัวแถวนี้ " เลโอฮาร์ทกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสั่นสะเทิ้ม
    ด้านเวอร์โก้และมาริคที่อยู่ด้านหลังได้ยินแบบนี้ก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูก
    "แหมๆ ๆ  " อัลทาร์กล่าวพลางกับยกมือขึ้นแบส่ายหัวไปมา
    "ก็พวกเจ้าไม่ยอมตายๆไปนะสิ ข้าเลยต้องลงมือเองแบบนี้ 
    เอาจริงๆแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะทำด้วยนั่นแหละ พวกที่บุกมาก็ฆ่าไปหมดแล้ว 
    แถมพวกที่ดูเหมือนจะเก่งๆน่าสู้ด้วยก็ดันเล่นสกปรกฝ่าไปหาท่านจอมมารซะงั้น
    เฮ้อ แย่ๆ " อัลทาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
     
    หลังจากกล่าวจบท่าทางของอัลทาร์ก็เปลี่ยนไป ดวงตาสีแดงของมันบัดนี้เต็มไปด้วย
    ความกระหายเลือด แม้แต่แผ่นดินที่มันเหยียบยังกลายเป็นสีเทา ต้นไม้ที่อยู่บริเวณรอบๆ
    ค่อยๆแห้งเหี่ยวจนในที่สุดก็ผุพังหักโค่นลงมากระทบพื้นแล้วแตกเป็นผุยผง 
    "เพราะงั้นก็... ได้เวลาตายของพวกเจ้าแล้วหละ พวกมนุษย์ !!! " น้ำเสียงที่ดูเรียบๆทีเล่น
    ทีจริงไม่อาจหยั่งรู้ความคิดอ่านของมัน เปลี่ยนไปเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วย
    ความเหี้ยมโหดกระหายเลือด
     
    "หนี....ไป... " เลโอฮาร์ทรีบตะโกนเตือนมาริคและเวอร์โก้แต่ก็สายไป
     
    ยังไม่ทันจะกระพริบตา เลโอฮาร์ทก็ถูกมือข้างขวาของอัลทาร์แทงทะลุอกซ้าย
    ออกไปยังด้านหลัง เกราะเหล็กอย่างดีหนาเตอะที่ใส่ไว้ใต้ผ้าคลุมถูกแทงทะลุง่ายๆ
    ไม่ต่างจากกระดาษบางๆ หัวใจสดๆเต้นอยู่ในกำมือของอัลทาร์ เลือดแดงฉานกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ
     
    "ฮ่า ฮ่า ฮ่า !!! " อัลทาร์หัวเราะด้วยความสะใจก่อนจะขยี้หัวใจที่มันกำไว้
    " ไม่นะ !!!! " เวอร์โก้ตะโกนร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ
     
    เวอร์โก้และมาริคถูกความหวาดกลัวและสิ้นหวังเข้าครอบงำ
    พวกเขาไม่มีแรงแม้แต่จะหนี แค่จะยืนให้ไหวยังลำบาก 
    ยิ่งก้าวขาวิ่ง พวกเขายิ่งไม่รู้เลยว่าต้องทำยังไง
    ในขณะที่พวกเขาสั่นเทิ้มด้วยความกลัวอยู่นั้นเอง
    อัลทาร์ดึงแขนตัวเองออกจากศพของเหยื่อที่พึ่งสังหารไป
    มันเลียเลือดที่ติดบนมือตัวเองอย่างเพลิดเพลิน 
     
    "หนีเหรอ ? ฮ่าๆๆ จะหนีไปไหนละ ? ฮ่าๆๆ " อัลทาร์ตั้งคำถาม พร้อมๆกับหัวเราะอย่าง
    สะใจกับท่าทางหวาดกลัวของศัตรูมันสะบัดแขนข้างซ้าย วืบ !! เพียงวืบเดียวเท่านั้น ปรากฏเป็นคลื่นพลังเวทย์สีดำทมิฬขนาดยักษ์ ผ่านตัวมาริคและเวอร์โก้ไป ทั้งสองมองตามคลื่นพลังเวทย์ราวกับถูกสะกดไม่กี่วินาทีผ่านไปปรากฏเสียงระเบิดตูมดังสนั่นพลันทุกสิ่งทุกอย่างด้านหลังพวกเขาก็หายไปกับคลื่นสีดำแม้แต่ฐานที่มั่นของพวกมาริคที่ตั้งห่างออกไปยังกลายสภาพเป็นพื้นดินเรียบๆ ทั้งสองตกตะลึงกับภาพที่เห็นจนทรุดตัวลงนั่งกับพื้นโดยที่ไม่รู้ตัว

     
     
    "ฮ่าๆ ๆ ๆ !!! เคี๊ยก ๆ ๆ  !!! " อัลทาร์หัวเราะอย่างบ้าคลั่งหนักขึ้นกว่าเดิม
    "ใช่แล้ววว ใบหน้าแบบนั้นแหละ ใบหน้าที่สิ้นหวัง และหวาดกลัว ฮ่าๆๆๆ" 
     
    ในขณะที่หัวเราะอย่างสะใจมันค่อยๆเดินช้าๆเข้าไปหาของมาริคและเวอร์โก้ที่นั่งทรุดอยู่
    ขณะนั้นเองอัลทาร์เหลือบไปเห็นเอน่าที่นอนไร้สติอยู่ในอ้อมกอดของมาริค และเกิดความสนใจขึ้นมันค่อยๆเดินเข้าไปหามาริคพร้อมกับแสยะยิ้มเต็มไปด้วยความกระหายเลือด
     
    "ฆ่านางก่อนแล้วค่อยฆ่าเจ้า หรือฆ่าเจ้าก่อนแล้วค่อยฆ่านางดีละ ฮิฮิ " อัลทาร์เอ่ยถาม
    "แก...แกมันไอ้สัตว์นรก !! "มาริคตะโกนด่าด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้ม
    "ฮ่าๆ ก็แน่อยู่แล้ว ข้านะคือคนในห้วงอเวจีนี่นา ฮ่าๆๆ ดีมากเพื่อตอบสนองความกล้าหาญของเจ้า ข้าจะช่วยให้เจ้าทั้งสองไปสบายก่อนก็แล้วกัน" 
     
    อัลทาร์ค่อยๆยื่นมือไปหามาริคอย่างช้าๆ มันกางมือออกเตรียมพร้อมสังหารเหยื่อ
    มาริคที่ตกเป็นเป้าสังหารไม่อาจหนี และไม่อาจสู้ได้ เขากอดร่างเอน่าแน่น
    สายตาทั้งสองข้างเปลี่ยนจากความหวาดกลัวเป็นความแค้น จ้องเขม็งไปยังมัจจุราชที่กำลังง้างเคียวปลิดชีวิตตนอย่างไม่ละสายตา อัลทาร์แสยะยิ้มอย่างพอใจ แล้วเงื้อมือเตรียมจะโจมตี
     
    ทันใดนั้นเหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น
     
    แสงแปลกประหลาดสีดำสลับแดงพุ่งขึ้นจากพื้นดินไปสู่ท้องฟ้าจากปราสาทของจอมมาร
    แสงแปลกประหลาดพุ่งทะลุก้อนเมฆขึ้นไปแล้วกิดเป็นวงแหวนเวทย์มนต์ขนาดยักษ์ ค่อยๆมุ้นเคว้งกลางอากาศอย่างช้าๆ พลันร่างของอัลทาร์ก็ค่อยๆจางลงจนมองทะลุได้ 
     
    " บ้าเอ้ยยยย สกปรกสมเป็นพวกมนุษย์ชั้นต่ำจริงๆ " อัลทาร์กล่าวในขณะที่หันกลับไปมองแสงประหลาด
    " ไม่คิดว่าพวกมันจะมาไม้นี้ หนอยยย เจ้าพวกบัดซบ !! " มันสบถอย่างโกรธแค้นก่อนจะหันกลับมามองมาริค
    " ชิ !! ยังไงซะ พวกแกก็ต้องพ่ายแพ้อยู่ดี ...นับว่าเป็นโชคดีของแกเจ้าหนุ่มตาเดียว "
     
    ร่างของอันทาร์ค่อยๆจางลงเรื่อยๆจนแทบจะมองไม่เห็น มาริคและเวอร์โก้ได้แต่นั่งมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงประหลาดนั้นคืออะไร ทำไมจู่ๆตัวอัลทาร์ค่อยๆจางลง 
     
    "เฮอะ !! ดิ้นรนไปจนกว่าจะหนำใจเถอะ ยังไงพวกเจ้าก็ต้องพ่ายแพ้ ...เจ้าพวกมนุษย์ "
    อันทาร์กล่าวทิ้งท้ายก่อนที่ร่างจะจางหายไปพร้อมกับทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับผู้มาจากห้วงอเวจีที่ค่อยๆเลือนไปในเวลาเดียวกัน
     
    "เฮ้อ !!! " เวอร์โก้ทรุดตัวลงถอนหายใจเฮือกใหญ่ 
    เขาหันมามองมาริคที่ทำหน้าเหลอหลา ก่อนเช็ดเหงื่อที่เปียกโชคเต็มหน้าและดันตัวลุก
    ขึ้นอีกครั้งเขาเดินไปพะยุงศพผู้เป็นนายขึ้นมาแล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งลูบปิดดวงตาที่เบิกโพลงของเลโอฮาร์ท 
     
    "พักผ่อนเถอะขอรับ ท่านเหนื่อยมามากแล้ว ...ทุกสิ่งที่ท่านพยายามไม่ได้สูญเปล่าเลยขอรับ" เวอร์โก้เอ่ยวาจากับศพผู้เป็นนายอย่างอ่อนโยนพลางเดินกลับมาหามาริค
     
    "ไปกันเถอะ ...สงครามจบแล้ว " เวอร์โก้พูดด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้า
    "อ่ะ เอ่อ ..ครับ " มาริคตอบด้วยท่าทางเหลอหลา
     
    เวอร์โก้เริ่มร่ายมนต์เคลื่อนย้ายอีกครั้ง วงแหวนเวทย์เริ่มทำงานมันเริ่มหมุนอย่างช้าๆ
    ทั้งสามหายวับไปพร้อมกับแสงเรืองๆจากวงแหวนเวทย์มนต์ที่ดับลง
     
    ดินแดนแห่งศึกสงครามแห่งนี้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง พร้อมกับความทรงจำอันแสนโหดร้าย
    ของสงครามที่กินเวลานานหลายปี แม้ว่าทุกอย่างจะจบสิ้นในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้า
    สงครามที่โหดร้ายยังคงรอคอยเหล่ามนุษยชาติอยู่ 


     
    -- 50 ปีผ่านไป ทวีปหน้าด่าน ซีเนีย --
     
    ณ สถานที่เดิมจากสงครามเมื่อ 50 ปีก่อน ชายชราคนหนึ่งยืนอยู่บนทุ่งหญ้ากว้าง
    ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมรภูมิรบอันดุเดือด นัยตาข้างหนึ่งถูกปิดด้วยที่ที่คาดตาสีดำ ผมและหนวดเคราสีขาวต้องแสงอาทิตย์ยามอัสดงสะท้อนแสงวาววับ เขายืนกวาดสายตาไปทั่วบริเวณแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
     
    "ความหวังที่ถูกส่งต่องั้นรึ...ภาระนี้ช่างหนักหนายิ่งนัก" เขากล่าวขึ้นลอยๆ
    ในแววตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด แม้ว่าเวลาจะผ่านไปสักพัก แต่เขายังคงยืนนิ่งคล้ายคนเหม่อลอยอยู่แบบนั้น
     
    -- ขณะเดียวกัน ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง --
    ณ ป่าแห่งหนึ่ง ใกล้กับเมืองเล็กๆ ในทวีปเซโนเวีย

     
    เด็กหนุ่มคนนึงนอนทอดกายใต้ต้นไม้ใหญ่ เขานอนหนุนกระเป๋าเป๋ใบใหญ่ซึ่งภายใน
    ว่างเปล่าไร้สิ่งของใดๆ ในขณะที่มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก มืออีกขว้างหนึ่งยกชูขึ้นแบขนานกับท้องฟ้า ผมสีดำยาวประบ่าสะบัดไปมาตามแรงลมที่พัดเอื่อยๆ 
     
    " แซ่กๆ " เสียงฝีเท้าเดินเหยียบหญ้าใกล้เข้ามาหาเขา
    เด็กหนุ่มค่อยๆดันตัวขึ้นนั่งเหยียดขา เขาค่อยๆล้วงมือเข้าไปยังกระเป๋าเสื้อหยิบแว่นตาขึ้นมาเช็ดแล้วสวมอย่างใจเย็น

    " จะค่ำแล้วหรอเนี่ย ? " เขาตั้งคำถามขึ้นลอยๆพร้อมกับมองไปทางเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามา

    ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาล สูงราวๆ 60 เซนติเมตรเดินเข้ามาหาพร้อมกับทำท่าทางลุกลี้ลุกลน
    ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ารักน่าชังและดวงตากลมโตสีดำของมัน ทำให้อาการลุกลี้ลุกลนที่มันแสดงออกมาดูน่ารักน่าเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก
     

    " รู้แล้วๆ จะรีบกลับเดี๋ยวนี้แหละ  " เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า
    เขาเดินเข้าไปหาตุ๊กตาหมีแสนน่ารักตัวนี้แล้วอุ้มมันขึ้นมาเกาะที่ไหล่ของเขาอย่็างทะนุถนอม ในขณะที่เขาค่อยๆเดินจากสถานที่แห่งนี้ไปเขาก็เอ่ยประโยคๆหนึ่งขึ้นมาลอยๆ

    "...ความหวัง งั้นรึ... ช่างเป็นอะไรที่หนักหนาเหลือเกิน "
    เสียงของเขาค่อยๆจางหายไปในสายลม ในขณะที่เขาค่อยๆเดินจากไปจนลับตา


     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×