ด้วยเเรงเเห่งรัก - ด้วยเเรงเเห่งรัก นิยาย ด้วยเเรงเเห่งรัก : Dek-D.com - Writer

    ด้วยเเรงเเห่งรัก

    เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องสัั้นที่สะท้อนให้เห็นความรักของเเม่ จากหญิงชราผู้ที่ไม่ใช่เเม่เเท้ๆเเต่เธอก็ยอมทำทุกอย่างเพื่อเด็กที่เธอเรียกว่าลูก ฝากติ ฝากวิจารณ์ด้วยนะ

    ผู้เข้าชมรวม

    63

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    63

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 มิ.ย. 59 / 17:03 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ด้วยแรงแห่งรัก

    “ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี”  ชายหนุ่มครุ่นคิดสักครู่ก่อนที่ภายในห้วงความคิดของเขาจะเต็มไปด้วยท้องทุ่งนาด้วยแววตาที่ส่องประกาย พลางหวนนึกถึงความหลังครั้งก่อน นานเท่าไร่แล้วที่เขาจากมันมา......

    ในต้นเดือนกรกฎาคมของปีหนึ่ง ทั้งที่ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ฝนตกชุกแท้ๆ แต่ด้วยสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกทำให้ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล แต่คงจะโทษธรรมชาติฝ่ายเดียวนั้นก็ไม่ได้เพราะสาเหตุหลักๆทั้งหลายนั้นเกิดมาจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น หญิงชราอายุย่างเข้า ๗๐ ปี นั่งทอดสายตามองดูทุ่งนาอันเวิ้งว้างที่ไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าสักต้น พายุทรายเล็กๆก่อตัวพัดพาเอาฝุ่นผง เศษดิน เศษไม้ให้ลอยไปตามลม ถ้าฝนไม่ตก เราก็ทำนาไม่ได้ แล้วเราจะเอาที่ไหนกิน หญิงชรานั่งพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะลุกขึ้นไปหาข้าวสารในครัวที่เหลือเพียงน้อยนิด

     “นึ่งข้าวรอเจ้ากล้าสักหน่อย กลับมาคงจะหิว”

    เด็กชายตัวน้อยเดินกลับบ้านด้วยท่าทางที่อิดโรย ระยะทาง ๕ กิโลเมตรกับแดดตอน ๔ โมงเย็น ที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดอ่อนลงเลย สองเท้าเปล่าพลางเดินพลางวิ่ง ในใจของเด็กน้อยในตอนนี้คือ เมื่อไหร่หนอ จะถึงบ้านสักที เมื่อไหร่หนอที่เท้าสองข้างจะได้หยุดพักสักที

    กลิ่นหอมอ่อนๆของข้าวที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆกับกลิ่นน้ำพริกที่คุ้นเคย วันนี้มีเมนูพิเศษ นั่นก็คือไข่เจียว ๑ ฟอง แม้ว่าจะเป็นอาหารพื้นบ้านธรรมดาสำหรับใครแต่สำหรับเด็กน้อยมันเป็นอาหารเลิศรสเลยทีเดียว เป็นเวลาเกือบ ๔ ปีแล้วที่เขาสูญเสียพ่อกับแม่ไปด้วยอุบัติเหตุจากการทำงานก่อสร้าง พ่อกับแม่ของเขาเข้าไปรับจ้างแบกหามในกรุงเทพมหานคร นครที่เต็มไปด้วยความศิวิไลซ์ แต่สำหรับชนชั้นแรงงาน มันเป็นที่ที่ไม่ศิวิไลซ์เลยสักนิด ทั้งจำต้องไกลห่างจากบ้าน จากครอบครัวอันเป็นที่รัก ทั้งค่าครองชีพที่สูงลิ่ว เงินที่ได้มาแทบจะไม่พอใช้เสียด้วยซ้ำ

    การจากไปของทั้งสองคนแม้ว่าทางบริษัทรับเหมาเองจะจ่ายเงินชดเชยให้ แต่หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วนั้น แทบจะไม่เหลือไว้จุนเจือผู้เหลือรอดเลย เด็กน้อยที่กำลังโต ย่อมมีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย ทั้งค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์การเรียน ยังไม่รู้เบ็ดเตล็ดอีกไม่รู้เท่าไหร่ตั้งเท่าไร่ หน้าที่ทั้งหมดจึงตกอยู่ที่หญิงชราที่ต้องดูแล ลำพังค่าเบี้ยยังชีพที่รัฐบาลให้จะไปพอได้อย่างไร เธอจำต้องหอบสังขารที่นับวันยิ่งโรยราไปรับจ้างหาเงินเล็กๆน้อยๆมาจุนเจือครอบรัวต่อไป แต่ยังโชคดีของเด็กชาย ที่ไม่ว่าจะลำบากสักแค่ไหน ภารค่าใช้จ่ายจะมากสักเพียงใด ยายของเขาก็ไม่เคยบอกให้เขาลาออกจากโรงเรียน ความจริงเธอไม่เคยแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำไป

    “ถึงแม่จะจน แต่แม่จะอดทนเพื่อนให้เอ็งได้เรียนสูงๆ จะได้มีความรู้ไม่อายชาวบ้านเขา”

    คำพูดของแม่ในวันนั้นมันยังติดอยู่ในหัวผมตลอด และนั่นหละครับ ที่เป็นแรงผลักดันให้ผมมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้

    ด้วยความที่แม่จากไปตั้งแต่ยังเล็กผนวกกับที่คุณยายเป็นคนเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ เพราะแม่ของเขาต้องออกไปหารับจ้างนานทีปีหนจึงจะได้กลับมาเยี่ยมลูกชาย แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกันแน่เด็กน้อยถึงได้เรียกแทนหญิงชราว่า “แม่” อาจจะเป็นเพราะความผูกพันหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ

    สองยายหลานหรือจะเรียกว่าสองแม่ลูกก็คงจะไม่ผิดอะไร นั่งกินข้าว พูดคุยกันตามประสา เด็กน้อยเล่าถึงเรื่องราวที่แสนตื่นเต้นในชั้นเรียน ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม แววตาที่เปี่ยมสุข ณ เวลานี้กระท่อมโกโรโกโสหลังนี้กลับเปี่ยมไปด้วยความรัก ความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ บางทีมันอาจจะมีความสุขมากกว่าคฤหาสน์หลังใหญ่ก็เป็นได้ แต่แล้วเสียงหัวเราะนั้นกลับเงียบลง เด็กน้อยกล้าๆกลัวที่จะเล่าต่อ ผู้เป็นแม่เห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีของลูกชายจึงเอ่ยถาม

     “กล้า เอ็งเป็นอะไรเหรอลูก ทำไมไม่เล่าต่อ แม่กำลังฟังสนุกๆเลย”

    เด็กน้อยยังคงเงียบ สักครู่เขาก็ค่อยๆพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่วิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

    “อาทิตย์หน้า โรงเรียนของกล้าจะพานักเรียนไปทัศนศึกษานอกสถานที่ครับ”

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง หญิงชรากำปั้นข้าวเหนียวในมือแน่น เธอรู้ว่าทำไมลูกชายของเธอถึงไม่กล้าที่จะบอกในตอนแรก เพราะเขากลัวว่าบอกไปแล้วจะสร้างความลำบากใจให้ผู้เป็นแม่ เพราะในการไปทัศนศึกษาแต่ละครั้งนั้นจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายหลายอย่างตามมา ลำพังเงินที่ใช้ประทังชีวิตวันๆ ยังแทบจะไม่พอ

    “แม่ครับกล้าไม่ไปก็ได้ครับ กล้าก็ไม่ได้อยากไปเท่าไหร่หรอก อยู่ที่บ้านช่วยแม่ทำงานมีความสุขกว่าเยอะ”  เด็กน้อยพูดพลางยิ้มให้ผู้เป็นแม่

    ลูกรักเอ๋ยแม่ขอโทษที่ดูแลเอ็งได้ไม่ดี แม่ขอโทษที่เกิดมายากจน จนเอ็งต้องมาลำบากลำบนขนาดนี้ ลูกเอ๋ยแม่ขอโทษที่ทั้งชีวิตนี้แม่ไม่มีสมบัติอะไรให้เจ้าเลย แม่ขอโทษ แม่ขอโทษจริงๆ หยดน้ำตาที่เก็บซ่อนไว้ในตอนแรกถึงตอนนี้มันกลั้นเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป แม้เธอไม่อยากให้ลูกชายเห็นแต่มันห้ามไม่ไหวแล้ว ทั้งเสียใจ ทั้งน้อยใจในโชคชะตา สองร่างโผเข้ากอดกัน ต่างคนต่างร้องไห้ นี่แหละหนาชีวิตคน มีสุขมีทุกข์ทนปนกันไป แล้วเมื่อไหร่หนอ เราสองคนถึงจะได้สัมผัสกับความสุขเสียที

     

    สิ้นเสียงบรรยายในงานนิทรรศการวันแม่จบลง ทั้งครูและนักเรียนต่างแยกย้ายกันไปตามโซนการจัดงานแสดงต่างๆ ภายในงานประกอบด้วยพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถในขณะทรงพระราชกรณียกิจมากมาย เด็กชายมองดูอย่างสนใจ ตั้งแต่จำความได้เขาก็ไม่เคยได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลย การมาทัศนศึกษาครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการเปิดโลกใบใหม่ของเขาเลยก็ว่าได้

    สายตาคู่นั้นจับจ้องไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระราชินีที่ทรงงานอย่างหนักเพื่อให้เหล่าพสกนิการของท่านได้อยู่ดีกินดี ภายในใจของเด็กน้อยตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เขาให้สัญญากับตัวเองว่าถ้าหากเขามีโอกาสเรียนจนจบ เขาจะกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของเขา ในใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่นเป็นดั่งแรงผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้า แม้ว่าในตอนนี้เขาทำได้แค่เพียงฝันเท่านั้นเอง

    ตะวันลาลับขอบฟ้าหญิงชรายืนคอยมองทาง เมื่อไหร่หนอลูกชายของนางจะกลับบ้าน นี่ก็ค่ำมืดแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เขายิ่งไม่เคยออกไปไหนไกลๆเลย ภายในใจของผู้เป็นแม่ภวังค์ห่วงใยแต่ลูกชาย ไม่นานนักลูกชายตัวน้อยของเขาก็วิ่งลงมาจากรถทันทีที่รถจอดสนิท มีคุณครูเดินลงมาส่ง เด็กน้อยยกมือไหว้ลา ก่อนที่จะวิ่งกลับมาหาแม่อย่างลิงโลด สองร่างโผเข้ากอดกัน ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข

              เย็นวันนั้นสองแม่ลูกก็นั่งกินข้าวกันเหมือนเคย เด็กน้อยยังคงเล่าเรื่องราวที่เขาได้พบเจอวันนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผู้เป็นแม่ก็มียิ่งมีความสุขที่อยากจะฟัง แม้เธอไม่เคยได้พบเจอแต่เธอก็เชื่อว่าสิ่งที่ลูกชายของเธอได้เจอในวันนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีของเขา

                เข็มกลัดดอกมะลิ ดอกหนึ่งถูกซ่อนไว้ในกระเป๋ากางเกง เด็กชายทำหน้าอายๆอยู่พักใหญ่ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยให้ของขวัญแม่ของเขาในวันแม่เลย เขาหยิบมันออกมาก่อนที่จะไปกลัดกลับเสื้อคอกระเช้าสีหม่นๆของผู้เป็นแม่

    “สุขสันต์วันแม่ครับ ผมรักแม่นะ แม่อยู่กับผมนานๆนะครับ ผมสัญญาว่าผมจะเป็นเด็กดี และผมจะดูแลแม่เองครับ”

    ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นของขวัญที่ล้ำค่ามากที่สุดในชีวิตเธอ มันไม่มีราคาค่างวดอะไรมากมาย แต่มันเปี่ยมไปด้วยความรัก ความห่วงใยที่ลูกชายเธอมีให้ เพียงแค่นี้เธอก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

    “แม่ก็รักลูกจ๊ะ กล้าเอ๋ยเอ็งจงจำไว้นะ ถึงเราจะจนแต่เราก็เป็นคนดีได้ เป็นบุญเราเท่าไหร่ที่ได้เกิดเป็นคนไทย เป็นบุญเท่าไหร่ที่ได้เกิดใต้ร่มพระบารมีของในหลวงและพระราชินี เอ็งต้องเป็นคนดีนะลูก เอ็งต้องรักบ้านเกิดเมืองนอน พระองค์ท่านทั้งสองพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกับพสกนิการไทยมากมายนัก เอ็งจำไว้นะลูก”

    “ครับแม่”

     

    จากวันนั้นถึงวันนี้ผมยังจำได้ดี ถ้าวันนั้นผมไม่ได้ไปทัศนศึกษากับเพื่อนๆผมคงไม่ได้มายืนตรงนี้ ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานนี้เองครับว่าแม่เอาเงินมาจากไหนมาให้ผมเป็นค่าใช้จ่าย และรองเท้าคู่นั้นมากไหน

                หลังจากที่ผมบอกเรื่องทัศนศึกษาให้แม่ฟังตอนเย็น รุ่งขึ้นแม่ก็ออกจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่เลยครับ ตอนแรกผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรหรอก เพราะแม่ก็ตื่นเช้าทุกวัน แม่จัดแจงอาหารให้ผมไปโรงเรียน ส่วนตัวแม่นั้นออกไปเก็บของเก่าตามริมทางครับ ใช่แล้วแม่ผมออกไปหาเก็บขวดที่เขาไม่เอาแล้ว เก็บเศษกระดาษข้างทางแล้วเอาไปขาย เพื่อให้ผมมีเงินไปทัศนศึกษากับเพื่อนๆ ทั้งแดดทั้งร้อน รองเท้าแม่ก็ไม่มีใส่ แม่ผมทำอย่างนั้นทุกวันจนเก็บเงินได้พอ ผมจำได้ว่าวันนั้นแม่ให้เงินผมไป ๓๒ บาท ผมไม่เคยได้เงินไปโรงเรียนเยอะขนาดนี้ ผมกำมันไว้แน่น และผมก็ไม่เคยใส่รองเท้านักเรียนด้วย ในตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าแม่ผมเอาเงินมาจากไหนแต่ผมรู้เพียงแค่ว่ามันเป็นหยาดเหงื่อของแม่ผมต้องใช้ให้มันประหยัดที่สุด

              “ขอบคุณแม่มากๆนะครับ”

                ชายหนุ่มก้มลงกราบแทบเท้าแม่ที่นั่งข้างๆเขามาตลอดการบรรยาย หญิงชรานั่งอยู่บนรถเข็น ปีนี้เธอก็แก่มากแล้ว ลูกชายของเธอก็โตเป็นหนุ่มแต่ไม่ว่าเขาจะเติบโตเท่าไร ในสายตาของเธอเขาก็ยังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆอยู่ดี

                ผมขอขอบคุณทุคนนะครับที่ให้เกียรติมาฟังการบรรยายของผม คนเราเกิดมาย่อมมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกัน มีมากมีน้อยต่างกันไป แต่สำหรับผมผมว่า ต้นทุนของคนเรามันไม่ได้เป็นตัวตัดสินชีวิตของคนเราเสมอไปหรอกครับ มันขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองต่างหากว่าจะกำหนดชีวิตให้เป็นไปทางไหน แน่นอนครับ ผมมีวันนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีแม่ แม่คนนี้ของผมถึงจะไม่ใช่แม่แท้ๆแต่ผมก็รักท่านมาก รักสุดหัวใจที่ใครคนหนึ่งจะรักได้ ผมรู้ว่าทั้งชีวิตนี้ผมคงไม่อาจตอบแทนพระคุณท่านได้หมดแต่ผมก็จะดูแลท่านให้ดีที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งพึงจะทำได้ วันแม่ปีนี้ใครที่มีแม่อย่าลืมไปกราบแม่และบอกรักท่านนะครับ คุณโชคดีกว่าหลายๆคนที่ยังมีแม่ให้กราบ ทำดีกับท่านไม่ใช่แค่ในวันแม่เท่านั้นแต่จงทำดีกับท่านทุกๆวัน อย่ารอจนสายไป และสำหรับคนที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่กับแม่นะครับ ผมก็เช่นกัน เข้าไปกราบผู้มีพระคุณที่เลี้ยงเรามาก็ได้ครับ เพราะถึงจะไม่ใช่คนให้กำเนิดแต่เขาคือคนที่คอยเลี้ยงดูจนเรามีชีวิตที่ดีเฉกเช่นวันนี้  

              เสียงปรบมือดังไปทั่วห้องบรรยาย  บางคนถึงกลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ บางคนถึงกลับโทรหาแม่ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเด็กชายกล้าในวันนั้นคือนายแพทย์ผู้ที่กำลังได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลามในวันนี้ เพราะความรัก ความกตัญญูต่อแม่ของเขา และความกตัญญูต่อองค์สมเด็จพระราชินี เป็นแรงผลักดันให้เขามายืนตรงจุดนี้ได้

               

    “และผมก็เชื่อว่าทุกคนก็สามารถทำมันได้ อย่ายอมแพ้ต่อโชคชะตานะครับ อย่าลืมรักแม่ให้มากๆนะครับ”

    นพ.วินัย   แสงดี

     

     

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×