คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ต่างที่มุมมอง
ไวน์ตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยเสียงนาฬิกาปลุก ร่างสูงก้าวออกจากห้องหลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อมาถึงห้องอาหารก็ต้องแปลกใจเมื่อพบกับความเงียบผิดไปจากทุกวัน นัยน์ตาคมกวาดไปทั่วห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้าวไปเคาะรัวๆที่หน้าประตูห้องของกล้วยไม้
“เฮ้ย ยัยกล้วยตานี ทำไมไม่มีข้าวเช้าเนี่ย!” คำพูดแรกของวันถูกพ่นออกปากเรียกคนที่ยังนอนสลึมสลือให้ดึงตัวเองขึ้นมาจากเตียง หญิงสาวลากผ้าห่มขึ้นพันตัวก่อนจะก้าวไปเปิดประตูอย่างเชื่องช้า คนมาเคาะห้องกระพริบตามองดูสภาพหนอนผ้าห่มหน้าแดงแจ๋แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความแปลกใจ
“เป็นไรเนี่ย”
“ฉัน เหมือนจะไม่สบาย” กล้วยไม้บอกเสียงพร่ากระชับผ้าห่มที่ลากลงมาจากเตียงท่าทางหนาวสั่น
“เฮ้ย ไหนเค้าบอกคนบ้าจะไม่เจ็บไม่ไข้ไง”
“ฮื๊อ พี่ไวน์พูดอยากนี้อยากติดหวัดคนบ้ามั้ยล่ะ เค้าปวดหัวง่า เจ็บคอมีไข้ด้วย” อาการป่วยทำให้กล้วยไม้เริ่มงอแง แล้วก็ดันเป็นเวลาเดียวกับที่น้องยิ้มหวานตื่นขึ้นมาพอดีเสียด้วย เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยทำให้ไวน์รีบสะกิดพี่เลี้ยงยิกๆ
“เฮ้ย เด็กตื่นแล้ว” หญิงสาวมองค้อนคนสูงกว่า
“พี่ไวน์ก็ไปดูให้หน่อยสิ กล้วยไม่สบายนะ กลัวน้องจะติดหวัดไปด้วย” แค่คำเดียวที่หลุดจากปาก ไวน์ก็ทำตาเหลือก
“อะไรนะ ทำไมฉันต้องดูเด็กด้วยไม่ใช่หน้าที่สักหน่อย ไปตามอียี่ไป๊”
“พี่ยี่พึ่งได้เข้านอนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง คนเราจะใจร้ายไปถึงไหนก็แค่เด็กตัวเล็กนิดเดียว พี่กลัวอะไรเนี่ย” ถามพลางเหล่ตามองด้วยความสงสัย ทำให้ไวน์ที่ไม่เคยยอมจะเสียฟอร์มเก๊กหน้าจริงจังขึ้นมา
“กลัวอะไร ทำไมต้องกลัว ฉันแค่ไม่ชอบเด็ก”
“ชอบไม่ชอบก็ต้องช่วยดูน้องหน่อย มันจำเป็นนะ” เมื่อไม่มีทางเลือก ไวน์จึงจำใจเดินเข้าไปหาเปลที่มีเด็กน้อยนอนร้องไห้งอแงอยู่ นัยน์ตาคมมองดูน้องยิ้มหวานก่อนจะถอนใจหนักหน่วง ก่อนจะตัดสินใจอุ้มขึ้นมาอย่างเสียมิได้ หากแต่ท่าทางที่เพียงแต่จับด้วยสองมือแต่ยื่นไปจนสุดตัวทำให้กล้วยไม้ขมวดคิ้วมองด้วยความแปลกใจ
“พี่ เด็กนะไม่ใช่ก้อนอึ ทำไมอุ้มอย่างนั้นน่ะ”
“ก็ฉันไม่เคยอุ้มเด็ก จะให้อุ้มยังไงเล่า”
“ก็ทำแบบนี้ๆ” พูดแล้วก็เข้ามาจัดท่าทางให้ ไวน์ทำตามอย่างอึดอัดก่อนจะตัดสินใจวางน้องยิ้มหวานกลับใส่เปล แล้วหันมาบอกกล้วยไม้
“ไปล้างหน้าล้างตาให้สะอาดแล้วค่อยมาดูเด็ก หาหน้ากากมาปิดจมูกกับปากเสียแค่นั้นก็พอแล้ว”
“อะไรกันแค่อุ้มเด็กแค่นี้”
“หุบปากไปเลยยัยชิวาว่าป่วย ลงไปหาหญ้ามากินไป๊ หน้าฉันเหมือนคนรักเด็กหรือไง วุ้ยจะจ้างมาทำไมวะปัญหาเยอะอย่างนี้”
“เอ้าๆ พูดเข้า หมาจะออกจากปากมางับหน้าน้องยิ้มหวานอยู่แล้วนั่น แต่ยังไงวันนี้กล้วยก็เข้าใกล้น้องไม่ได้นะ น้องจะติดหวัด พี่ไวน์ต้องพาน้องไปทำงาน” กล้วยไม้ประกาศเสียงเข้มให้คนฟังถึงกำหน้าเหว๋อไปเลย
“เฮ้ย ว่าไงนะ!”
“ก็เด็กเล็กๆแบบนี้ ถ้าเกิดไม่สบายขึ้นมาจะแย่นะ พี่ยี่ก็คงตื่นมาเลี้ยงไม่ไหว ก็มีแต่พี่ไวน์นั้นแหละที่ต้องพาไปทำงานด้วย”
“เธอจะบ้าหรือเปล่า จะให้ฉันพาเด็กไปทำงาน แล้วลูกน้องมันจะมองฉันยังไง”
“อ้าว หรือว่าจะปล่อยให้น้องติดหวัดกล้วยไม่สบายก่อน แล้วค่อยไปนอนเฝ้าน้องที่โรงพยาบาลล่ะ เลือกเอาละกัน”
“อะไรวะยัยกล้วยตานี ถ้าฉันต้องเลี้ยงเด็กเองแบบนี้แล้วฉันจะจ้างเธอมาทำแป๊ะอะไร”
“ก็จ้างมาช่วยเลี้ยงแล้วก็ให้คำแนะนำไงเล่า คนเราเวลาลำบากก็ต้องช่วยเหลือกันสิ ไม่รู้แหละยังไงพี่ไวน์ก็ต้องช่วยเลี้ยง กล้วยไม่อยากให้น้องติดหวัด เข้าใจมั้ย!” หญิงสาวยื่นคำขาดให้คนไม่รักเด็กไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง ได้แต่ทำท่าทางฮึดฮัดอยู่คนเดียว
ในที่สุดเมื่อไม่มีทางเลือก ไวน์จึงจำเป็นต้องพาน้องยิ้มหวานไปทำงานด้วย กล้วยไม้เตรียมของให้น้องอย่างครบครัน ทั้งขวดนมที่ใส่นมผงเอาไว้แล้วแค่เพียงเติมน้ำร้อนก็สามารถป้อนได้เลยรวมถึงผ้าอ้อมสำเร็จรูปและรถเข็น โชคดีที่วันนี้ไม่ได้มีงานถ่ายโฆษณา ทันทีที่มองเห็นเด็กน้อยรูปร่างจ้ำม่ำหน้าตาน่ารักน่าชัง สาวๆในออฟฟิศก็เข้ามาแย่งกันอุ้มด้วยความเอ็นดู เมื่อฝากขวดนมและรถเข็นให้สาวๆ ไวน์ก็เดินตัวปลิวเข้าห้องทำงานของตัวเองได้อย่างสบายใจ
ด้วยงานที่กองเป็นตั้งตรงหน้าทำให้ไวน์แทบจะลืมเรื่องน้องยิ้มหวานไปเลย จวบจนบ่ายคล้อยเมื่อเดินออกมายืดเส้นยืดสายถึงได้สังเกตว่าสาวๆยังคงเกาะกลุ่มมุงดูอะไรสักอย่างกันอยู่ คิ้วหนากดลงน้อยๆเมื่อถามออกมา
“เฮ้ย งานการไม่มีทำกันหรือไงเนี่ย มายืนมุงอะไรกัน” สาวๆหันกลับมามอง ก่อนที่ตุ้ยสาวร่างท้วมผมฟูที่ใส่คาดผมเปิดหัวเหม่ง ผู้ซึ่งเป็นคนอุ้มน้องยิ้มหวานอยู่จะเป็นคนตอบ
“อ้าวพี่ไวน์ ก็นี่ไงลูกสาวพี่อ่ะ แหมทำเป็นลืม” พอลูกน้องตอบมาอย่างนั้นคนเป็นเจ้านายก็หัวคิ้วกระตุก
“พูดงี้เดี๋ยวมีเฮ บอกกี่ทีแล้วว่าไม่ใช่”
“อ้าว ตุ้ยก็นึกว่าพี่รับเป็นลูกบุญธรรมแล้ว”
“เฮ้ย ไม่รับเว้ย ลูกใครก็ไม่รู้ ก็เพราะอียี่นั่นแหละเจ้ากี้เจ้าการ”
“แหม เด็กน่ารักอย่างนี้รับเลี้ยงเอาไว้เหอะ ยังไงเมียพี่ก็คงท้องไม่ได้อยู่แล้ว” สาวตุ้ยบอกแล้วปิดปากหัวเราะคิกก่อนจะรีบหลบฝ่ามือของเจ้านายที่เล็งกลางหัวเหม่งด้วยความพริ้ว ไวน์จุ๊ปากเมื่อเอื้อมไม่ถึงลูกน้อง แต่ปากก็ยังคงคาดโทษ
“พูดอย่างนี้ สงสัยวันนี้ไม่อยากกลับรถเมล์ อยากให้เรียกรถพยาบาลมารับใช่มั้ย” ทั้งๆที่คนพูดทำหน้าดุ หากแต่ทุกคนกลับหัวเราะเสียงดัง ด้วยทุกคนต่างรู้ดีว่าแม้เวลาทำงานเจ้านายจะอารมณ์ขึ้นๆลงๆซึ่งทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่สถานการณ์ในการทำงานยามนั้น
หากแต่ในเวลาปกติแล้ว บรรยากาศในบริษัทก็มักจะเต็มไปด้วยความเป็นกันเองแบบนี้อยู่เสมอ เพราะถึงจะปากเสียเจ้าชู้เอาแต่ใจ แต่ไวน์ก็ดูแลทุกคนเป็นอย่างดี เรียกว่างานเป็นงานเล่นเป็นเล่น ลูกน้องทุกคนถึงได้ทั้งรักและเคารพ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะไม่ลงทุนลาออกจากบริษัทยักษ์ใหญ่มาเป็นทีมงานในบริษัทเล็กๆนี้ด้วยกัน
“อุ๊ย ลูกใครคะเนี่ย น่ารักจัง” เสียงร้องทักที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ทุกคนหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง ร่างเพรียวในชุดทำงานของแพทยืนเอียงคอมองน้องยิ้มหวานอย่างเอ็นดู ยัยตุ้ยนุ้ยคนเดิมแย่งตอบโดยไม่ต้องรอ
“ลูกพี่ไวน์ค่ะ”
“เฮ้ย!” ไวน์ร้องได้แค่นั้นก็เอื้อมมือตบหัวลูกน้องผัวะ คราวนี้เอื้อมถึงเล่นเอาคนปากมากครางอู้ ตุ้ยส่งเด็กให้ไวน์เพื่อที่จะได้กุมหัวเหม่งตัวเอง แพทหัวเราะคิกกับท่าทางนั้น แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องหยอกล้อกัน แต่ก็ยังรับมุขตุ้ย
“อะไรกันคะ คุณไวน์มีลูกแล้วเหรอ ไม่น่าเชื่อเลย”
“เปล่าหรอกคุณแพท ลูกนังยี่ต่างหาก รักกันปานจะกลืนแล้วเนี่ย”
“นั่นสิคะคุณแพท ถ้าพี่ไวน์ทำสาวท้องได้ป่านนี้คงมีลูกเป็นโหลแล้วล่ะค่ะ” สาวร่างสูงที่มีฟันหน้ายื่นออกมาเล็กน้อยเป็นคนบอกให้เจ้านายอดเหล่ไม่ได้
“เออๆ ประชุมเพลิงกันเข้าไป อยากเอาเงินเดือนทำบุญกันทั้งบริษัทกันละม้างแบบนี้”
“ว้ายไม่เอานะคะพี่ไวน์ ตุ้ยยังมีลูกสามสามีอีกเจ็ดที่ต้องเลี้ยงดู” ตุ้ยที่หายเจ็บแล้วโพล่งออกมาทันควันให้คนฟังปรายตามองด้วยความหมั่นไส้
“อื้อหือ หาผู้ชายตัวเป็นๆมาให้ได้สักคนก่อนค่อยมาพูดเหอะ ถ้าจีบไม่ติดก็ลองกลิ้งทับดูสิ กลมแบบนี้รับรองผู้ชายหนีไปไหนไม่รอด” พอได้ด่าลูกน้องแล้วไวน์ก็หัวเราะสะใจก่อนที่ทุกคนจะระเบิดเสียงหัวเราะตามมาด้วยความเห็นด้วย
“ตกลงลูกใครกันคะเนี่ย” แพทถามงงๆด้วยเป็นคนเดียวที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเค้า จนในที่สุดสาวๆก็หันไปช่วยไขข้อข้องใจให้ หญิงสาวรับฟังด้วยสีหน้าที่แสดงความทึ่งออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก็แหม ท่าทางไวน์ไม่น่าจะดูเหมือนคนที่สนใจเรื่องอะไรนอกจากงานแล้วก็เรื่องใต้สะดือ ไม่น่าเชื่อว่าจะยอมทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย แต่ความจริงแล้วไวน์คอยส่งสายตาบงการลูกน้องอยู่ว่าให้พูดถึงด้านดีของเจ้านายเอาไว้ ถ้าหากว่าหวังให้โบนัสปีนี้ยังคงมีอยู่
“แหม ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณไวน์จะใจดีอย่างนี้ เค้าว่ากันว่าคนรักเด็กนี่จะเป็นคนจิตใจดีนะคะ” หญิงสาวเอ่ยชมออกมาด้วยความจริงใจทำให้ไวน์อดที่จะยิ้มรับไม่ได้
“ฮ่าๆ นั่นสินะ รักเด็กๆ รักเข้ากระแสเลือดเลยล่ะ” ทั้งๆที่ตัวเองยกหน้าที่ดูแลทุกอย่างให้กล้วยไม้กับยู่ยี่ไปแล้วแท้ๆ แต่ไวน์ก็ยังรับสมอ้างอย่างหน้าไม่อายพลางพยายามยื่นน้องยิ้มหวานคืนให้สาวๆในออฟฟิศ แต่อยู่ๆทุกคนก็เหมือนจะทำท่าคิดได้กันขึ้นมาว่าใกล้เวลาเลิกงาน เลยแยกย้ายกันกลับโต๊ะหน้าตาเฉย เล่นเอาคนที่ยังอุ้มเด็กอยู่ในอ้อมกอดทำหน้าเหวอ จำใจพาทั้งเด็กทั้งแพทเดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง
เมื่อเห็นความน่ารักบ้องแบ๊วของเด็กน้อย ก็ทำให้แพทอดใจไม่ได้ที่จะขออุ้มบ้าง ไวน์เอียงคอมองดูหญิงสาวที่หลอกล้อกับเด็ก ตลอดเวลาที่ผ่านมาไวน์ไม่เคยมองดูหญิงสาวตรงหน้าในแง่อื่นนอกจากเป็นสาวสวยโฉบเฉี่ยวที่ปราดเปรื่องเก่งทั้งในเรื่องงานและบริหารเสน่ห์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มองดูอีกแง่มุมหนึ่งของแพท ทำให้อยู่ๆก็รู้สึกประทับใจในความเป็นตัวตนของหญิงสาวอย่างประหลาด ใบหน้างามเวลาที่แสดงความอ่อนโยนต่อเด็กน้อยสำหรับไวน์ ดูมีเสน่ห์มากกว่าภาพพจน์สาวทำงานเป็นไหนๆ
“เอ
สงสัยสัญชาติญาณความเป็นแม่ของคุณแพทจะบังเกิดเหมือนกับนังยี่ซะแล้ว” หญิงสาวได้ยินแล้วก็หัวเราะคิก
“อะไรนะคะ ทำไมต้องเหมือนคุณยี่ด้วยล่ะ”
“ก็รายนั้นน่ะ เดี๋ยวนี้คำก็น้องยิ้มหวานสองคำก็น้องยิ้มหวานนี่ถ้ารับเป็นลูกได้คงทำไปนานแล้ว แต่ได้ข่าวว่าถ้ารับเป็นลูกตัวเองต้องรับในฐานะพ่อก็เลยไม่เอา อยากจะเป็นแม่ท่าเดียว”
“แหมคุณไวน์ พูดเสียเพื่อนเสียเลย คุณยี่ได้ยินมีหวังงอนแย่” หญิงสาวว่าแล้วมองค้อนให้อย่างไม่จริงจังนัก คนโดนค้อนหัวเราะชอบใจ
“ก็เห็นงอนเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ทุกวี่ทุกวัน แต่ไม่น่าเชื่อนะคะว่าคุณแพทก็จะชอบเด็กขนาดนี้”
“เด็กๆน่ารักนี่คะ ใสบริสุทธิ์ จริงๆแพทชอบแต่เด็กวัยนี้ โตกว่านี้ก็ไม่ไหวแล้ว ไล่ตามไม่ทัน”
“นั่นสินะคะ แววตาจริงใจกับรอยยิ้มใสๆ น่ารักจริงๆเลยน้า” พูดตาเป็นประกายพร้อมยกขึ้นลูบแก้มป่องของน้องยิ้มหวาน ก่อนจะก้มลงหอมแก้มยุ้ยเบาๆให้คนที่อุ้มอยู่เผลอร้อง ว้าย ออกมาด้วยความตกใจ นึกว่าตัวเองจะโดนขโมยหอมแก้มสายฟ้าแลบเสียแล้ว ก็ศีรษะเล็กๆของเด็กน้อยจะสร้างระยะห่างของใบหน้าได้มากแค่ไหนกันเชียว ใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของหญิงสาวทำให้ไวน์หัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ก็ทำเป็นเล่นกับน้องด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ หญิงสาวก็เลยไม่รู้จะต่อว่ายังไง ได้แต่มองค้อนให้อย่างรู้ทัน
ไวน์อมยิ้มก่อนจะประสานสายตากับหญิงสาว ถึงจะถูกสาวเจ้ามองค้อน แต่จอมเจ้าชู้ก็รู้ได้จากประสบการณ์หลีหญิงอย่างช่ำชองของตัวเอง ว่าท่าทีของหญิงสาวที่เคยหลบอยู่หลังกำแพงนั้น เริ่มจะมองเห็นบานประตูปรากฏขึ้นมาเลือนรางแล้ว คนสวยมักจะใจดีกับเด็กน้อยเสมอ อา
ผลบุญที่ไปทำล้างซวยที่วัดซวยคราวก่อนเริ่มสัมฤทธิ์ผลแล้ว หลังจากที่เกิดแต่เรื่องวุ่นวายติดๆกัน ในที่สุดฟ้าก็เป็นใจ ช่วยสาปให้ยัยปอบไม่สบาย จนเธอสามารถใกล้ชิดกับสาวที่ปิ๊งได้ขนาดนี้อย่างไรล่ะ ไวน์บอกกับตัวเองอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
เย็นวันนั้นไวน์อุ้มน้องยิ้มหวานกลับเข้าบ้านด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าปกติ ถึงกับฮัมเพลงเข้ามาเลยทีเดียว แต่ทันทีที่เห็นสภาพของกล้วยไม้ก็ทำเอาคนพึ่งมาถึงสะดุ้งสุดตัว ก็เย็นย่ำแล้วยัยกล้วยตานีก็ยังไม่ยอมเปิดไฟ แถมยังนั่งทำหัวฟูซุ่มมืดอยู่ ห้องทั้งห้องมีแสงไฟจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“มืดแล้วทำไมไม่เปิดไฟเนี่ย” ไวน์บ่นพึมพำก่อนจะเอื้อมมือกดสวิชซ์ กล้วยไม้ในสภาพที่ใส่เสื้อกันหนาวหลายชั้นนั่งหน้าแดงเพราะพิษไข้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ทำให้คนปากเสียอดที่จะมองดูด้วยความประหลาดใจไม่ได้ ทั้งๆที่คิดว่าเคยเห็นกล้วยไม้ในสภาพที่โทรมสุดๆแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่ายัยกล้วยตานีจะสามารถหลอนได้อีก ร่างสูงประคองเด็กน้อยลงบนเปล ก่อนจะคว้าไม้ขนไก่ใกล้มือมาเขี่ยๆซอมบี้ผมฟูปากก็พูดไปด้วย
“เฮ้ย ไปผุดไปเกิดเสียเถอะ อย่ามาสิงห้องฉัน” กล้วยไม้หันมามองเคืองๆ ถึงจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าของห้อง แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้เมื่อถูกรบกวนในยามที่เธอกำลังเข้าถึงอารมณ์ในการแต่งนิยาย ไข้ก็ขึ้นเจ็บคอก็เจ็บ ในเมื่อไม่รู้จะตอบโต้ยังไง หญิงสาวก็เลยตั้งใจไอใส่หน้าคนขี้กวนโขลกๆๆ ไวน์เห็นแล้วก็รีบกระโดดหลบคว้าหมอนบนโซฟาได้ก็ขว้างเบาๆใส่หน้าคนป่วย แม่นราวกับจับวาง คนขว้างหัวเราะชอบใจ ก่อนจะแอบเหล่ตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ อ่านออกเสียงยานคางอย่างไม่ได้มีอารมณ์ร่วมด้วยเลยสักนิด
“แม้จะตกอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน ท่านชายเพชรเพทายก็ยังคงเอ่ยออกมา ผมอยากให้ครั้งแรกของเราสมบูรณ์สวยงามกว่านี้ ผมจะรอจนกว่าคุณรัศมีจะพร้อมนะครับ แหวะ จะอ้วก!” พูดแล้วทำท่าโก่งคอจริงๆ เสียด้วยเล่นเอาคนเขียนที่หน้าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงซ่านขึ้นไปอีก กล้วยไม้รีบปิดหน้าจอคอมแล้วหันมามองไวน์ตาขวาง พูดเสียงแหบ
“เสียมารยาท” ไวน์ยักไหล่เหล่มองดูหญิงสาวอย่างเอือมระอา
“เป็นเรื่องจริงไม่มีใครรอแล้ว ปล้ำเล้ยยย พอได้กันอะไรๆก็ง่ายหมดแหละ”
“หือ เพราะคิดอย่างนี้นั่นแหละ ถึงได้มีเด็กไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถูกทิ้งอย่างทุกวันนี้”
“แล้วไง ใครสนกันล่ะ ว่าแต่เสียงเธอเหอะ เสียงคนหรือเสียงตุ๊กแกนั่น หลอนว่ะ ไปไกลๆเลยนะ ถ้าฉันเกิดไม่สบายขึ้นมาแล้วใครจะหาเงินเข้าบ้านผีสิง” ไวน์ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก็จะเดินเข้าไปเล่นกับน้องน้ำหวานอย่างอารมณ์ดี กล้วยไม้ทำได้เพียงมองตามงงๆ ว่าที่พูดกันทั้งหมดมันมาจบกันที่เรื่องบ้านผีสิงได้ยังไง แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจเธอแล้วอย่างนี้ หญิงสาวก็เลยตัดสินใจเปิดหน้าจอคอมอีกครั้ง แม้จะไม่มีสมาธิเขียนนิยายต่อไปแล้ว หญิงสาวก็ยังคงมีอารมณ์เข้าไปเช็คเวปบอร์ดของตัวเองได้
ทันทีที่หน้าเวปปรากฏ หญิงสาวก็ต้องเบิกตามองด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่อัพนิยายขึ้นเวปมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาทิ้งความคิดเห็นไว้ให้มากอย่างนี้
‘จะแปลกไหมคะที่เราบอกว่าเราชอบชายกลางมากกว่าล่ะ คนปากเสียเจ้าชู้เอาแต่ใจนั้น ดูมีมิติ เหมือนคนธรรมดาที่จับต้องได้ เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์น่ารักดีนะคะ จากคุณ หมีแพนด้า’
“น่ารักมีเสน่ห์ คนแบบนี้เนี่ยนะ” กล้วยไม้บ่นพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันไปมองต้นแบบชายกลางตัวจริงที่กำลังเล่นกับน้องยิ้มหวานอยู่ นี่ตัวละครนิสัยแย่ที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายด้วยความหมั่นไส้ สามารถเรียกเรทติ้งได้มากขนาดนี้เลยเหรอ ไม่อยากเชื่อเลย โลกเราเป็นอะไรไปกันหมดผู้หญิงสมัยนี้เค้าชอบคนเลวกันหรือยังไง หญิงสาวมองหน้าจอคอมสลับกับมองหน้าไวน์อยู่อย่างนั้น ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆคนโดนแอบมองโดยไม่รู้ตัวก็ถามออกมา
“นี่ ยัยกล้วยตานี ไปหาหมอมาหรือยังเราน่ะ”
“ยังอ้ะ”
“แล้วเมื่อไหร่จะหาย รีบๆไปหาหมอซะไป๊มีตังค์หรือเปล่า”
“มีก็ดีสิ เชอะทั้งพี่ไวน์ทั้งพี่ยี่แหละขี้ตืดเป็นบ้าเลย ให้แค่ค่ากับข้าวนี่ทำงานไม่รู้จะได้เงินเดือนหรือเปล่า”
“เอ้ายัยชิวาว่า เงินเดือนเธอก็เบิกไปหมดตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก มีอย่างที่ไหนเจอกันวันแรกก็ให้เจ้านายซื้อเครื่องใช้ส่วนตัวให้เลย ฉันไม่คิดดอกเธอก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
“แหม ก็ของมันจำเป็นทั้งนั้นนี่นา”
“เออๆ เอาตังค์ไป แล้วก็รีบไปหาหมอ แค่นี้ฉันก็หลอนพอแล้ว เดี๋ยวมาตายในห้องอีก ดูน้องด้วยล่ะ รอฉันอาบน้ำเสร็จก่อนแล้วค่อยไปหาหมอเข้าใจมั้ย” ไวน์ส่งเงินให้ ก่อนจะก้าวยาวๆไปอาบน้ำ ปล่อยให้กล้วยไม้มองตามตาปริบๆ คนอะไรกันตามอารมณ์ไม่ถูกเลย เมื่อกี้ยังด่าอยู่แหมบๆ นี่ควักเงินให้แถมไล่ไปหาหมอ เออหนอ แบบนี้จะเรียกว่าห่วงใยกันได้มั้ยนี่ หรือว่าจะเป็นการแสดงความใจดีใจแบบของไวน์ คือใจดีได้แค่นี้แล้ว ช่วยไปด่าไป เอ หรือว่าจะเป็นพวกแสดงความรู้สึกที่แท้จริงไม่เก่ง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยิ่งแปลกไปกันใหญ่ คนอะไรไม่อายที่จะแสดงความหื่นออกมาแต่ดันอายที่จะแสดงความใจดี หญิงสาวคิดได้อย่างนั้นแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ด้วยความง่วงนอนทำให้น้องยิ้มหวานเริ่มร้องไห้งอแง ร้อนถึงคนที่กำลังทำหน้าที่พี่เลี้ยงจำเป็นแทนคนที่ป่วยต้องอุ้มขึ้นมาปลอบอย่างเก้ๆกังๆ กล้วยไม้กำลังจะออกไปหาหมอก็ถูกไวน์เรียกไว้
“เฮ้ย เด็กร้องนมเนิมก็ไม่กินต้องทำไงเนี่ย”
“น้องง่วงนอนน่ะสิ อย่างนี้ต้องกล่อมให้หลับ”
“กล่อมยังไง” ไวน์ถามงงๆ กล้วยไม้กำลังจะอ้าปากตอบว่าการกล่อมเด็กให้นอนหลับนั้นมีหลายวิธี แต่อย่างไวน์น่าจะลองวิธีที่ฮิตที่สุด หญิงสาวคิดอย่างนึกสนุก
“ก็ต้องร้องเพลงกล่อม”
“เห
.ร้องเพลงกล่อม เพลงอะไรล่ะเนี่ย”
“ก็เพลงกล่อมเด็กไง” กล้วยไม้ตอบหน้าตาเฉยให้คนฟังยิ่งงงหนักกว่าเดิม
“ก็แล้วมันเพลงอะไรเล่า”
“เอ้า พี่ไวน์ไม่เคยได้ยินเพลงกล่อมเด็กเหรอ”
“ถ้าเคยจะถามเหรอ แล้วทำไมต้องร้องแค่เปิดเพลงให้ฟังแทนได้มั้ย”
“เปิดเพลงมันจะมาสู้ร้องเองได้ยังไง เอาเหอะเลือกมาสักเพลง เดี๋ยวก็หลับเองแหละ” ทั้งๆที่รู้สึกหงุดหงิดแต่เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยก็ทำให้ไวน์ไม่มีทางเลือก ร่างสูงที่มีเด็กอยู่ในอ้อมกอดยืนเก้ๆกังๆอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะร้องเพลงออกมาไม่เต็มเสียงนัก
“ช้างๆๆ น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า ช้างมันตัวโตไม่เบา
” กล้วยไม้หัวเราะพรืดออกมาทันทีที่ได้ยินเล่นเอาคนที่กำลังตั้งต้นร้องเพลงหน้าแดงฉ่าขึ้นมาทันควัน “หัวเราะอะไรวะยัยกล้วยตานี”
“ก็แหม ดูพี่ไวน์เลือกเพลงสิ ไม่ร้องโยกเยกเอยไปเลยล่ะ” หญิงสาวบอกทั้งๆที่ยังกลั้นหัวเราะ ให้คนฟังเบือนหน้าหนีด้วยทั้งอายทั้งหงุดหงิด ไวน์เอื้อมมือคว้าหมอนอิงบนโซฟาได้ก็ขว้างใส่หน้าคนเส้นตื้น แม่นเหมือนจับวาง เสียงหมอนกระทบใบหน้าดังปุ ก่อนจะร่วงลงพื้น มือวางปาหมอนหัวเราะหึหึ ก่อนบอก
“จะไปหาหมอก็รีบไปเลย ให้หมอฉีดยามาด้วยล่ะ พรุ่งนี้ไม่หายฉันจะหาพี่เลี้ยงใหม่แล้ว เด็กบ้าอะไรทั้งกินจุทั้งกวนประสาท” กล้วยไม้หมดอารมณ์หัวเราะสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไปทันที โกรธตัวเองที่วูบหนึ่งดันไปหลงคิดว่าท่าทางแบบนั้นของไวน์ก็ดูน่ารักดี เชอะ!ภาพลวงตาชัดๆ
คล้อยหลังกล้วยไม้ ไวน์ก็แอบไปชะโงกมองผ่านช่องตาแมวว่ากล้วยไม้ไปแล้วจริงๆ ก่อนจะกลับมาตั้งอกตั้งใจร้องเพลงกล่อมน้องยิ้มหวานอีกครั้ง ไม่ไหวๆ ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้แบบนี้แล้วใจไม่ดีเอาเสียเลย บทเพลงช้างๆเลยถูกต้องวนไปวนมาอย่างนั้นด้วยคนกล่อมไม่รู้จะหาเพลงที่ไหนมาร้องให้เด็กฟังอีกได้ ไวน์ร้องไปพลางก็อุ้มเด็กน้อยไปพลางจนทั่วห้อง ไม่นานนักเสียงร้องไห้ก็เงียบลงก่อนที่มือเล็กจะโอบรอบคอคนอุ้มเพื่อที่จะซบใบหน้าลงบนไหล่แหละผล็อยหลับไป
ไวน์รู้สึกถึงศีรษะเล็กที่ซบเอียงไปมาบนไหล่พร้อมกับความอบอุ่นที่เกิดขึ้นลึกๆในหัวใจ ร่างสูงค่อยๆประคองร่างปวกเปียกของเด็กน้อยให้นอนลงบนที่นอนหน้าทีวีที่พี่เลี้ยงเตรียมไว้ให้ เพราะกล้วยไม้ไม่สบายจึงต้องแยกกันนอนกับน้องยิ้มหวาน ไวน์ทรุดตัวลงนอนข้างน้อง ใช้มือท้าวศีรษะเพื่อจะได้มองดูใบหน้ากลมบ๊องไร้เดียงสานั้นได้ชัดๆ ได้กลิ่นหอมของนมผสมแป้งเด็ก มือเรียวยกขึ้นลูบเบาๆที่ศีรษะกลมมน ผมเส้นเล็กที่แม้ยังคงสั้นเต่อแต่ก็นุ่มมือ นัยน์ตาคมหรี่มองมือตัวเองที่วางเทียบกับเด็กน้อย ไหล่บางของร่างเล็กกะจ้อยร่อยทำให้ผู้ที่เฝ้ามองรู้สึกทั้งเอ็นดูและสงสารจับใจที่เด็กตัวแค่นี้กลับต้องมาเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย แต่ในเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องต่อสู้กับชีวิตไม่ใช่หรือ เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงาม ความโหดร้ายซุกซ่อนอยู่ในทุกที่ทุกทางที่คนเราจะต้องก้าวต่อไป
เพราะอย่างนั้นไวน์จึงไม่เคยคิดที่จะเห็นด้วยกับความคิดของยู่ยี่ ที่รับเด็กมาดูแลให้ความรักความอบอุ่นอย่างล้นเหลือ เพียงเพื่อวันหนึ่งจะต้องปล่อยมือจากเด็กเพื่อให้ไปเผชิญกับโลกความจริงที่รออยู่ และยังไม่รู้ว่าจะดีหรือร้ายเพียงใด พาตัวเองเข้ามาพัวพันกับความสุขที่ไม่จีรังทั้งๆที่สุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่ชีวิตเหว่ว้าปลอบประโลมหัวใจด้วยแสงสีและคนแปลกหน้าไปวันๆ ไวน์ไม่ได้รังเกียจเด็ก เพียงแต่ทุกครั้งที่มองเห็นก็รู้สึกราวกับถูกตอกย้ำในความเป็นจริงของชีวิตตนเอง ที่ไม่ว่าจะรักใครมากสักเพียงใดก็ไม่สามารถสร้างครอบครัวขึ้นมาด้วยกันได้ วันหนึ่งเธออาจจะมีความรักลึกซึ้งอยู่กับผู้หญิงบางคน แต่เพียงไม่นานหญิงสาวเหล่านั้นก็ย่อมมิอาจต้านทานความต้องการของธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการมีผู้สืบพันธุ์ มีชีวิตที่มั่นคง ได้รับการยอมรับในสังคม
เด็กนั้น ไม่สามารถถือกำเนิดได้ด้วยเพศหญิงกับหญิง หรือผู้ชายกับผู้ชาย จะต้องเป็นการร่วมสร้างด้วยผู้หญิงและผู้ชายเท่านั้น เป็นความจริงที่คนในฐานะอย่างไวน์และยู่ยี่จะต้องยอมรับกับหนทางที่ตัวเองเลือกเดิน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา จึงทำให้ไวน์เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งว่า ต่อให้เธอรักใครสักคนมากเพียงไหน แต่ในอนาคตผู้หญิงคนนั้นก็จะต้องทิ้งเธอไปเพื่อสร้างครอบครัวกับผู้ชายคนอื่นอยู่ดี แล้วเธอจะดิ้นรนหาความรักไปทำไมกันเล่า ในเมื่อสามารถมีความสุขกับชีวิตโสดได้อย่างทุกวันนี้ ไม่ไขว่คว้าหาสิ่งที่ไม่มีวันได้มาครอบครองไม่ต้องเจ็บปวดเสียใจกับการจากไปของคนที่ไม่เคยมองเห็นคุณค่าของเรา มีความสุขกับการที่ได้เป็นเจ้าของหัวใจตัวเอง เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ
.
เมื่อกล้วยไม้กลับมา ห้องทั้งห้องก็มีแต่ความเงียบ หญิงสาวสำรวจรอบบริเวณด้วยความงุนงง ก่อนจะสังเกตเห็น ทั้งเด็กทั้งพี่เลี้ยงที่ในก็สุดก็หมดฤทธิ์ผล็อยหลับไปด้วยกันบนที่นอนซึ่งเธอเตรียมไว้ให้ หญิงสาวยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะน้อยๆ ในความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ ร่างสูงนอนคุดคู้อยู่บนที่นอนบนพื้นทั้งๆที่นิ้วข้างหนึ่งยังถูกเด็กน้อยจับเอาไว้แน่น เป็นภาพที่น่าเอ็นดูจนทำให้คนมองถึงกับเผลอผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก กล้วยไม้สำรวจดูใบหน้าคมกับความประทับใจลึกๆที่เกิดขึ้น ไม่ได้เลวร้ายนักหรอกคนๆนี้ เพียงแต่ไม่คิดที่จะแสดงให้ใครรู้ถึงความใจดีของตนให้ใครเห็น เหมือนคนชอบปิดทองหลังพระ ไม่สนใจว่าใครจะมองตัวเองเลวร้ายสักแค่ไหน ขอแค่ได้ทำตามใจก็พอ กล้วยไม้เคลื่อนไหวเงียบกริบดึงผ้าห่มที่เตรียมเอาไว้ขึ้นมาคลุมให้ไวน์อย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอยออกมาช้าๆเพื่อที่จะกลับเข้าห้องตัวเอง
คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คถูกเปิดรอพร้อมใช้งาน กล้วยไม้ไล่สายตาไปตามตัวอักษรบนหน้าจอที่ตัวเองเขียนทิ้งเอาไว้ เป็นนิยายช่วงที่เนื้อเรื่องดำเนินถึงตอนที่รัศมีช่วยดูแลคุณชายน้อยที่พยายามหัดเดินแล้วก็ล้มลง รัศมีรีบเข้าไปประคอง หากแต่ชายน้อยนั้นกำลังย่างเข้าวัยรุ่นแล้วทั้งๆที่สมองไม่ค่อยสมประกอบทำให้หญิงสาวไม่มีแรงพอที่จะประคอง หญิงสาวร้องเรียกชายกลางเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่กลับได้รับเพียงสายตานิ่งเฉยตอบกลับมาเท่านั้น
ถ้าหากว่าเป็นคุณชายใหญ่จะต้องรีบเข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างไม่รั้งรอแล้วแท้ๆ แต่คนเย็นชาเห็นแก่ตัวเช่นนั้นคงไม่มีวันที่จะมองเห็นความสำคัญของใครนอกจากตัวของเขาเอง รัศมีต่อว่าใจในทั้งๆที่ยังคงทุลักทุเลประคองให้ชายน้อยกลับขึ้นมานั่งบนรถเข็น พลันเสียงเรียบๆของชายกลางก็ดังขึ้นมา
“ปล่อยครับคุณรัศมี ให้ชายน้อยลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง” หญิงสาวหันมามองดูคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา แม้จะไม่ได้เอ่ยปาก หากแต่ดวงตาของเธอก็สื่อความหมายความผิดหวังในคนตรงหน้าอย่างไม่ปิดบังคนอะไรกันหนอถึงได้ใจร้ายเช่นนี้ ชายหนุ่มไม่ยินดียินร้ายกับสายตานั้น เอ่ยซ้ำอีกครั้ง
“ผมบอกให้ปล่อยไงครับ”
“แต่ถ้าไม่มีคนประคองแล้วคุณชายน้อยจะลุกขึ้นได้ยังไงคะ” หญิงสาวตอบอย่างดึงดันและไม่ละความพยายามช่วยเหลือชายน้อย หากแต่กลับถูกเรี่ยวแรงของชายหนุ่มกระชากออกมาจนปลิว ร่างของชายน้อยที่ไม่มีผู้ประคองทรุดลงบนพื้นหญ้าอีกครั้ง
“คุณชายกลาง!” หญิงสาวตะโกนใส่เขาอย่างเหลืออดหากแต่ชายหนุ่มกลับเพียงยกมือขึ้นปราม นัยน์ตาคมจ้องนิ่งอยู่ที่น้องชายก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง
“เล็ก เล็กคิดจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปถึงเมื่อไหร่กันหรือ”
“แต่ว่าเล็กไม่มีแรงลุกขึ้นยืนนี่ฮะ” ชายน้อยตอบทั้งน้ำตา
“เมื่อกี้พี่เห็นเล็กพอจะเดินได้บ้างแล้ว ทำไมตอนนี้ถึงไม่คิดจะลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองล่ะ”
“ก็ เล็ก เล็กเหนื่อยนี่ฮะ”
“เอาแต่รอคอยให้คนยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยความสมเพชเวทนา เล็กพอใจกับตัวเองที่เป็นอย่างนั้นหรือ”
“แต่ว่าเล็กไม่เหมือนคนอื่นนี่ พี่ชายกลางก็พูดได้สิ เพราะว่าพี่ชายกลางไม่ได้พิการเหมือนเล็ก”
“เมื่อไหร่เล็กก็ใช้ข้อนี้มาต่อรองทุกครั้งที่เจอปัญหา วันนี้หม่อมแม่อาจจะยังคงอยู่ พี่ชายใหญ่อาจจะยังคงอยู่
คุณรัศมีผู้ใจดีก็อาจจะยังคงอยู่ แต่มันก็จะไม่ใช่ตลอดไป ถ้าหากสักวันหนึ่งเล็กตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าคนที่เคยให้ความช่วยเหลือใจดีกับเล็กหายไปหมด แล้วเล็กจะอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้ยังไง อยู่อย่างผู้แพ้ที่ไม่มีปัญญาดูแลตัวเอง ได้แต่รอคอยวันตายอย่างสิ้นหวังอย่างนั้นหรือ เล็ก พี่รู้ดีว่าเล็กอาจจะพัฒนาได้ช้ากว่าคนอื่น แต่ไม่ได้หมายความว่าเล็กทำไม่ได้เหมือนอย่างเขา เล็กเป็นน้องพี่ พี่เชื่อว่าเล็กจะต้องสามารถยืนขึ้นมาได้ด้วยสองขาของน้องเอง แล้วน้องล่ะ จะเชื่อมั่นในตัวของตัวเองได้ไหม”
คำพูดจริงจังของชายหนุ่ม สามารถจุดประกายในแววตาของชายน้อย พี่ชายกลางเชื่อในเขา เขาจะต้องไม่ทำให้พี่ชายผิดหวัง เด็กหนุ่มกัดฟันยันกายลุกทั้งๆที่ร่างสั่นสะท้าน ด้วยความพยายามอย่างเหลือแสน ในที่สุดเขาก็สามารถยืนขึ้นด้วยสองขาของตนเอง
“พี่ชายกลาง” เด็กหนุ่มร้องเรียกพี่ชายน้ำตาคลอด้วยความดีใจ
“เห็นไหมล่ะ พี่บอกแล้วว่าเล็กทำได้ ก็เล็กเป็นน้องพี่นี่นา” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับดึงร่างของน้องเข้ามากอด ก่อนจะประคองเขาให้นั่งลงบนรถเข็นอย่างอ่อนโยน เป็นการกระทำที่สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้แก่หัวใจของผู้เฝ้ามองอย่างรัศมีเหลือเกิน
.ในยามที่แววตากรุ้มกริ่มนั้นทอดมองอย่างอ่อนโยนไปยังน้องชาย หญิงสาวรู้สึกราวกับตัวเองกำลังมองดูคนแปลกหน้าที่ไม่เคยพบกันมาก่อน ผู้ชายคนนี้ช่างมีความหลากหลายให้ประหลาดใจได้ทุกครั้งที่พบ ยามหนึ่งเธอเกือบจะฟันธงได้แล้วว่าเขาเป็นคนปากเสียเข้าชู้เอาแต่ใจ แต่เพียงไม่นานกลับได้พบกับความอบอุ่นประทับใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นเพราะเหตุใดกันหนอ
กล้วยไม้ถอนใจยาว ไม่เพียงตัวละครของเธอเท่านั้นที่งงงัน แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่เข้าใจกับฉากที่ตัวเองกำลังเขียนอยู่ ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในเรื่อง ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องใส่เข้าไป แล้วทำไมเธอถึงได้เขียนมันขึ้นมาหนอ อาจจะเป็นเพราะว่าได้เห็นต้นแบบชายกลางตัวจริงเผลอแสดงความอ่อนโยนออกมา เลยทำให้เธออยากถ่ายทอดความประทับใจของตนเองออกมาหรือเปล่า ก็แล้วทำไมเธอจึงไม่แสดงมันออกมาผ่านตัวละครหลักอย่างคุณชายใหญ่กันเล่า เหตุใดจึงเลือกคุณชายกลาง ตัวละครเจ้าชู้ปากจัดที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายคนนี้ไปได้ หญิงสาวถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาด้วยความสับสนในหัวใจ
--- --- --- ---
แอบมาอัพตอนใหม่ก่อนไปรับจ๊อบ สวัสดีวันจันทร์ ไปแระ
ความคิดเห็น