ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love you Baby ! "รักนี้เบบี๋จัดให้!" [ YURI ]

    ลำดับตอนที่ #14 : ความจริง...

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 52


    ในห้องที่เงียบสงบ ยู่ยี่เหลือบตามองร่างเล็กของน้องยิ้มหวานที่นอนหลับสนิททำหน้าบ้องแบ๊วในเปล หล่อนก้มลงหอมแก้มป่องเบาๆก่อนจะปิดไฟ แล้วก้าวออกจากของกล้วยไม้อย่างเงียบกริบ ก่อนจะก้าวเข้าครัวอย่างตื่นเต้น อดไม่ได้ที่จะคิดถึงยามบ่ายของหลายวันก่อนที่หล่อนและเพื่อนสาวอีกสองคนหอบกระเตงกันขึ้นรถแล้วขับออกนอกเมือง

     

    แม้จะวางแผนไว้ดีแล้ว แต่ยู่ยี่ก็อยากจะมั่นใจว่าทุกสิ่งจะเป็นไปได้ด้วยดี เมื่อแรงรักเข้ามาเผาผลาญในอก กะเทยสาวจึงสามารถทำได้ทุกสิ่ง แม้กระทั่งถ่อมายังสถานที่ทุรกันดานแห่งนี้แรงคะยั้นคะยอของลิลลี่สาวประเภทสองที่แปลงเพศทำนมตูมๆมาแล้วเสร็จสรรพและซินดี้กะเทยร่างยักษ์ ที่แม้อยากจะแปลงเพศเพียงใดสรีระที่สมชายของตัวเองก็ไม่ได้อำนวย ด้วยร่างกายที่สูงมากกว่าร้อยแปดสิบ ผิวสีดำแดง ไหล่กว้างกรามหนา จึงมักได้รับหน้าที่โชว์ตลกสร้างเสียงหัวเราะแก่ผู้ชมอยู่เสมอ

    ทันทีที่รถเก๋งสีขาวคันเล็กเข้ามาจอดสนิทในบริเวณบ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้รกครึ้ม ซินดี้และยู่ยี่ก็ก้าวลงจากรถอย่างกล้าๆกลัวๆ ส่วนลิลลี่ที่เคยมาหลายครั้งแล้วกวักมือจิกเรียกเพื่อนอย่างเคยชิน

    “พวกหล่อนจะเกาะกันเป็นชะนีแม่ลูกอีกนานมั้ย เลยเวลาที่นัดกับอาจารย์มานานแล้วนะยะ”

    “ฉัน ไม่แน่ใจว่านี่จะเป็นความคิดที่ดีหรือเปล่า เอ่อ ไม่ต้องใช้เสน่ห์ยาแฝดก็ได้มั้งนังซินดี้” ยู่ยี่บอกท่าทางหวั่นใจให้เพื่อนสาวทำเสียงจิ๊กจั๊กอย่างรำคาญ

    “นังยี่ ฉันบอกกี่ทีแล้วว่าของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แล้วหล่อนคิดว่าไมเคิลผัวฉันที่รักฉันนักหนาเป็นเพราะอะไร”

    “ห๊า นี่หล่อนทำเสน่ห์ให้ตาไมเคิลมาหลงหรอกเหรอ”

    “ไม่ทั้งหมดหรอกย่ะ ก็ใช้ทั้งเสน่ห์กายจากเรือนร่างอันอร้าอร่ามของฉัน แล้วก็เสริมความมั่นใจด้วยเสน่ห์ยาแฝด เอาให้หัวปักหัวปำกันไปเลย” ลิลลี่บอกอย่างฮึกเหิมให้เพื่อนสาวที่อยู่อย่างคนโสดไร้คู่อดหวั่นไหวไม่ได้ นั่นสินะ งานนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่กันล่ะ ในขณะที่สองสาวอรชรเดินตามกันขึ้นเรือน สายตาของซินดี้ก็เหลือบเห็นชายหนุ่มกล้ามแขนเป็นมัด เดินออกมาจากใต้ถุนบ้าน กะเทยร่างยักษ์ยืนรออย่างอิดออดตาเป็นประกาย เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ก็อดแซวไม่ได้ตามประสา

    “ไปไหนเหรอ รูปหล่อ” ได้ผลทันทีที่เสียงเล็กเสียงน้อยของซินดี้ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหนา หนุ่มล่ำก็ชะงักกึกหันมามองตาขวาง

    “จะไปเตะกะเทยที่ปากซอย จะถามทำไม!” น้ำเสียงกรรโชกที่แค่ได้ยินกะเทยก็สะดุ้งเฮือกยกมือขึ้นปิดก้นตามสัญชาติญาณ ซินดี้รีบเก๊กแมนอำพรางความแต๋ว บอกเสียงต่ำ

    “ดีมากครับพี่ เตะเผื่อผมด้วยนะครับ ผมก็เกลียดกะเทยเหมือนกัน!” บอกแค่นั้นก็รีบวิ่งตูดปัดขึ้นบ้านไปอย่างรวดเร็ว

    บนเรือนบ้านทรงไทยเก่าแก่ ซินดี้คลานเข่าตูดบิดไปหาเพื่อนสาวอีกสองคนที่นั่งพับเพียบอยู่หน้าแท่นบูชาที่เต็มไปด้วยรูปปั้นหลากหลาย ทั้งพระพุทธรูปและตุ๊กตากุมารทองไปจนถึงรูปสักการะของฮินดู ทันทีที่ยู่ยี่มองเห็นท่าทางกระหืดกระหอบของเพื่อนก็ถามออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

    “หล่อนเป็นไปอะไรนังซิน หน้าซีดลิ้นห้อยมาเลย”

    “ว้าย คนนะยะไม่ใช่แมว เป็นไงอาจารย์มาหรือยัง” ซินดี้ยอมไม่บอกเพื่อนว่าโดนผู้ชายถามเตะมาเพราะแค่เกิดมาเป็นกะเทยควายก็เป็นปมด้อยโดนเพื่อนล้อจะแย่อยู่แล้ว จึงรีบกลบเกลื่อน

    “อืม ลูกศิษย์เข้าไปเรียนแล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะออกมา” สิ้นคำของยู่ยี่ได้ไม่นาน ร่างเล็กผอมเกร็งของชายวัยกลางคนในชุดนุ่งขาวห่มขาวก็ก้าวขึ้นมานั่งบนเรือน ลิลลี่รีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

    “สวัสดีค่ะ อาจารย์ วันนี้หนูพาเพื่อนมาให้อาจารย์ช่วยทำพิธีค่ะ”

    “อืม เพื่อนที่เคยเล่าให้ฟังใช่มั้ย แล้วยังไง ได้ของที่สั่งมาครบหรือเปล่า” ยู่ยี่พยักหน้าก่อนจะส่งถุงซิบเล็กๆที่มีเส้นผมอยู่ เป็นเส้นผมของแบงค์ที่แอบเก็บมาได้ อาจารย์มองอย่างพอใจ ก่อนจะหยิบตุ๊กตาสานตัวเล็กขึ้นมาแล้วใส่เส้นผมนั้นเข้าไปในตัวตุ๊กตาผู้ชาย ยู่ยี่เบิกตามองด้วยหัวใจที่เต้นระทึก อาจารย์เอียงคอมองยู่ยี่อย่างครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจหยิบตุ๊กตาผู้ชายอีกตัวขึ้นมา เล่นเอากะเทยสาวโวยวาย

    “อ้าวอาจารย์ ทำไมเอาตุ๊กตาผู้ชายกับผู้ชายล่ะคะ”

    “เอ้า ก็เอ็งมันยังไม่ได้ผ่าเหมือนนังหนูอีกคนนี่ ใช้ตุ๊กตาผู้ชายกับผู้ชายก็ถูกแล้ว”

    “ไม่ยอมหรอก อาจารย์ทำไมทำแบบนี้ ภายนอกหนูดูเป็นผู้หญิงมากกว่านังลี่อีกนะคะ”

    “อ้าวนังนี่ ของฉันน่ะถือว่าเป็นหญิงทั้งกายทั้งใจแล้วย่ะ” ลิลลี่แหววให้อาจารย์พยักหน้าหงึกหงัก

    “นั่นสิยังไม่ได้ตัด ก็ต้องถือว่ายังเป็นผู้ชาย”

    “แต่หนูไม่อยากเป็นผู้ชายนี่นา” ยู่ยี่พูดอย่างน้อยใจน้ำตาคลอ เกิดการโต้เถียงอันไร้สาระขึ้นมาเมื่อยู่ยี่กะเทยอ่อนไหวยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่ายังไงๆก็จะไม่ยอมให้ใช้ตุ๊กตาผู้ชายกับผู้ชาย ในที่สุดอาจารย์ก็เสนอทางอื่นให้เพื่อตัดรำค่ญ เป็นทางออกอีกทางที่ได้รับการยินยอมกันอย่างพร้อมใจ

     

    ยูยี่ก้มลองมองโดนัทสีเหลืองนวลที่ซื้อมาจากห้าง ก่อนจะค่อยๆหยิบห่อพลาสติกเล็กๆที่บรรจุเกล็ดน้ำตาสีขาวสะอาดซึ่งผ่านการปลุกเสกมาแล้วอย่างดี แค่เพียงทานน้ำตาลนี้เข้าไปแบงค์ก็จะหลงหล่อนหัวปักหัวปำ เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้รู้ว่าหล่อนเป็นกะเทยเขาก็คงจะไม่ตีจากไปเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆในชีวิตหล่อน

    ยู่ยี่โรยน้ำตาลปลุกเศกลงบนโดนัทอย่างตั้งอกตั้งใจ ภาพฝันแสนหวานที่วาดไว้ทำให้หล่อนเผลอหัวเราะออกมาเสียงต่ำคนเดียว หึ หึ หึ หึ เป็นเสียงหัวเราะในแบบที่สามารถลบล้างภาพนางฟ้าแสนดีของแบงค์ให้หายไปในอากาศได้เลยทีเดียว ไม่ใช่ว่ายู่ยี่ไม่มั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองหรอกนะ หากตัดคำว่ากะเทยออกไปภาพลักษณ์ของหล่อนก็ไม่ต่างจากหญิงสาวที่งามเหมือนนางฟ้าลงมาจุติ แต่เพื่อความไม่ประมาทแม้อาจจะเป็นการกระทำที่ดูเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะอำนาจของหญิงสาวผู้ตกอยู่ในห้วงรัก ทำให้ได้แต่หวังว่าฟ้าจะเห็นใจอวยพรกะเทยโสดอย่างหล่อนให้ได้สมหวังกับเค้าบ้าง

     

    ขณะเดียวกัน ไวน์กับกล้วยไม้ก็เพิ่งจะเดินทางไปถึงงานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมอย่างหรูหรา ความที่พิธีการต่างๆได้เริ่มไปบ้างแล้วทำให้ทุกสายตาต่างจับจ้องไปบนเวที ร่างสูงในชุดสูทที่ตัดเย็บมาอย่างดีก้าวเข้างานด้วยความมั่นใจ ในขณะที่มือข้างหนึ่งเกาะกุมมือบางของหญิงสาวหน้าหวานสองร่างเคียงกันราวกับเธอเป็นดังเจ้าหญิงที่อัศวินคนนี้จะไม่ยอมให้สิ่งเลวร้ายใดๆได้มากล้ำกรายแก่เธอ เป็นภาพน่ารักที่ทำให้หลายคนซึ่งมองเห็นอดยิ้มออกมาไม่ได้ หากแต่ความจริงนั้นไม่ได้สวยงามแบบนั้น

    “โอ๊ย พี่ไวน์ จะลากกล้วยไปไหนเนี่ย แล้วทำไมคนเยอะเสียงดังหนวกหูขนาดนี้” กล้วยไม้เริ่มโอดครวญทั้งๆที่เพิ่งเข้ามาในงานได้ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ สำหรับคนที่ชอบอยู่ในโลกส่วนตัว งานเลี้ยงครึกครื้นอย่างนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกขึ้นมาทันที

    “ไม่ต้องพูดมาก แค่เดินตามฉันก็พอแล้ว” ไวน์บอกเสียงเรียบพร้อมกับเดินนำอย่างไม่สนใจใคร ทำให้สาวสายตาสั้นที่ไม่ได้พกแว่นสายตามาไม่มีทางเลือก ด้วยลำพังแค่พยายามทรงตัวไม่ให้สะดุดบนรองเท้าส้นสูงแบบนี้ก็จะแย่อยู่แล้ว แถมยังมองอะไรไม่ค่อยเห็นอีกต่างหาก ดังนั้นเมื่อถูกคนสูงกว่าลากไปทางไหน เธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะเดินตามต้อยๆ

    ไวน์กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ ก่อนจะมองเห็นพี่แมนที่นั่งอยู่กับกลุ่มทีมงานของตัวเองจึงเดินเข้าไปหา วันนี้เหล่าทีมงานทะโมนของบริษัทต่างก็แต่งดูดีเข้ากับงานได้อย่างรู้กาละเทศะ หากแต่เมื่อมองเห็นเจ้านายพาสาวน้อยหน้าตาน่ารักมาด้วยก็อดกระซิบกระซาบกันไม่ได้ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ไวน์ควงสาวน่ารักขนาดนี้ออกงาน ทำให้ทุกคนเริ่มแอบลงขันพนันกันแล้วว่าคนนี้เจ้านายจะคบได้นานแค่ไหน

    ทันทีที่ทรุดกายลงนั่งร่วมโต๊ะ พี่แมน ผู้เป็นทั้งรุ่นพี่และหุ้นส่วนก็หันมามอง แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ใบหน้าคร้ามแดดของเขามีแววประหลาดใจเมื่อมองเห็นคู่ควงคนใหม่ของไวน์ เขาส่งยิ้มให้กล้วยไม้ก่อนจะหันไปทักทายรุ่นน้อง

    “ว่าไงมาสายตลอดเลยนะเรา”

    “งานเริ่มนานหรือยังพี่แมน”

    “ก็สักพักนี่เอง ว่าแต่วันนี้มากับใครเหรอ” รุ่นพี่ถามพร้อมกับมองดูกล้วยไม้ ปกติแล้วเขาไม่ค่อยสนใจหรอกว่าไวน์จะควงกับใคร เพียงแต่ครั้งนี้ออกจะทำให้เขารู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เพราะไม่บ่อยนักหรอกที่จะได้เห็นรุ่นน้องพาสาวน้อยน่ารักออกงาน สาวๆของไวน์ส่วนใหญ่หากไม่สวยคมก็ออกแนวเซ็กส์ซี่ไปเลย

    “อ๋อ ยังไม่เคยเจอกันสินะ นี่กล้วยไม้ เป็นพี่เลี้ยงของน้องน้ำหวานน่ะ” ไวน์แนะนำง่ายๆ แม้จะมองเห็นไม่ชัดแต่กล้วยไม้ก็ได้ยินทุกประโยค หญิงสาวจึงยกมือไหว้รุ่นพี่ของไวน์ ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบรับไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้ม เขาแอบกระซิบกับรุ่นน้อง

    “ไปเจอที่ไหนน่ะ น่ารักดีนะ” ท่าทางระริกระรี้ของรุ่นพี่ทำให้ไวน์อดเหล่ตามองคนน่ารักที่พี่แมนบอกไม่ได้

    “ก็ พี่เลี้ยงน้องยิ้มหวานน่ะ”

    “โห พี่เลี้ยงเด็กน่ารักขนาดนี้ หามาจากไหนวะ หาให้พี่คนสิ”

    “จะเอามาทำไม ลูกเมียก็ยังไม่มี”

    “ก็ เผื่อน้องเค้าอยากดูแลคนที่ไม่ใช่เด็กบ้าง” พี่แมนพูดทีเล่นทีจริงทำให้ไวน์ได้เพียงหัวเราะหึหึ ด้วยไม่อยากทำลายความฝันอันสวยงามของรุ่นพี่ที่ออกอาการสนอกสนใจกล้วยไม้อย่างออกนอกหน้า อย่างน้อยไวน์ก็อยากให้เขาได้เก็บภาพความทรงจำน่ารักๆของหญิงสาวเอาไว้ ส่วนเรื่องเวลาปกติยัยปอบจะเป็นยังไงเขาไม่จะเป็นต้องรู้น่าจะดีกว่า

     

    ในขณะเดียวกัน อีกมุมของงานยังมีสายตาคมของหญิงสาวในชุดราตรีสีดำที่กำลังจ้องมองดูสองคนที่ควงกันเข้ามา พลันดวงตาก็เป็นประกายเมื่อมองเห็นคนทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะ ร่างสูงในชุดสูทสีดำเรียบง่ายแต่หล่อเฉียบ ยืนทำหน้าขาวใสในขณะที่ยังคงเกาะกุมมือบางของหญิงสาวหน้าหวานที่พามาด้วย เธอสะกิดแขนไวน์อย่างเขินอาย ก่อนที่คนสูงกว่าจะก้มหน้าลงเพื่อให้หญิงสาวได้กระซิบกระซาบที่ข้างใบหู

    เป็นภาพที่ดูดี เมื่อคนหนึ่งก็น่ารักอีกคนก็เท่ห์บาดใจ หากแต่กลับทำให้แพทรู้สึกหงุดหงิดในหัวใจร้อนนัยน์ตาด้วยความหมั่นไส้ เอาอีกแล้วมั้ยล่ะพ่อเจ้าพระคุณ วันก่อนเพิ่งจะมาออดอ้อนขอ Good night kiss กับเธอ วันนี้ก็ควงสาวน้อยหน้าตาน่ารักออกงานอีกแล้วน่าหมั่นไส้นักเชียว

    หากแต่หญิงสาวก็เก็บอาการไม่พอใจเอาไว้อย่างมิดชิดด้วยไม่อยากเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำไปมากกว่านี้ ฉันจะไม่ยอมเป็นคนไปหาเขาเองเด็ดขาด หากไวน์อยากจะคุยกับเธอก็ต้องเป็ยฝ่ายมาหาเธอเอง หญิงสาวคิดอย่างทิฐิ ด้วยรู้ดีว่าตัวเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหญิงสาวคนใดเช่นกัน

     

    แม้ภาพของคนสองคนที่ยืนเคียงกันจะดูเหมาะสมมากเพียงใดในสายตาของหลายคนที่เฝ้ามอง หากแต่หญิงสาวในชุดราตรีสีดำคงไม่กระฟัดกระเฟียดขนาดนั้นถ้าได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง

    “เมื่อกี้เธอบอกว่าไงนะ” ไวน์ก้มหน้าลงถามกล้วยไม้

    “กล้วยอยากไปหาของกินอ่ะ” หญิงสาวตอบอย่างขวยเขินให้คนสูงกว่ามองอาการนั้นอย่างระอา

    “ยัยปอบ เมื่อกี้ก็กินมาแล้วยังไม่พออีกเหรอ”

    “จะไปพอได้ไงแค่รองท้องมาแค่นั้น”

    “แล้วตาไม่เห็นจะไปยังไง”

    “ไม่เป็นไรหรอก กล้วยตามกลิ่นไปได้”

    “ตกลงเธอนี้กลายพันธุ์มาจริงๆใช่มั้ยเนี่ย ยัยเพี้ยน ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนเพี้ยนได้อย่างเธอเลยให้ตายสิ”

    แม้จะเป็นคำพูดที่ออกจะฟังระคายหูอยู่บ้าง แต่กล้วยไม้ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอย่างเช่นเคย เพราะคนปากร้ายบ่นไปพลางดึงมือเธอให้เดินตามกันไปพลาง เดี๋ยวนี้เธอเริ่มชินกับนิสัยของไวน์แล้วล่ะปากเสียไม่มีใครเกิน แต่ความใจดีก็มีมากไม่แพ้กัน

    ในที่สุดหญิงสาวก็ได้มีโอกาสเบิกตามองดูอาหารที่ถูกจัดวางไว้อย่างหรูหราด้วยความตื่นเต้น หลากหลายละลานตาจนเลือกแทบไม่ถูก ทำให้คิดถึงถุงพลาสติกที่ถูกไวน์แย่งไปทิ้งแทบขาดใจ แต่เอาเถิด เมื่อมาถึงงานแล้วก็ต้องทานให้เต็มที่ คิดได้อย่างนั้นก็รีบตักอาหารใส่จาน ทำให้คนที่ยืนมองอยู่อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้

    เฮ้อตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนทำเขินแล้วบอกว่าช่วยพาไปหาของกินให้ที นี่แหละหนอ ต่อให้หน้าตาเปลี่ยนไปขนาดไหน แต่ตัวตนที่แท้จริงภายในนั้นไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ

    แต่ก็เพราะแบบนี้ถึงทำให้ไวน์รู้สึกสบายใจเวลาที่มียัยเพี้ยนคนนี้อยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องปั้นหน้าดูดีหรือยิ้มโปรยเสน่ห์ตลอดเวลาเหมือนกับตอนที่อยู่กับสาวอื่น ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความจริงใจไม่เสแสร้ง บางทีนี่อาจจะเป็นเสน่ห์ที่ทำให้น้องยิ้มหวานติดพี่เลี้ยงคนนี้แจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบก็ได้

     

    อาหารที่กล้วยไม้ตักขึ้นมานั้นมากมายจนแทบจะล้นจาน จนไวน์อดหวาดเสียวว่ามันจะร่วงหล่นลงพื้นให้ได้ขายหน้าจึงรีบเข้าไปช่วยถือจานให้ กลิ่นหอมๆของอาหารทำให้ไวน์เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยเหมือนกัน

    เมื่อคิดได้อย่างนั้น จึงหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารใส่จานของตัวเองบ้างและนั่นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่มือขาวบางของใครบางคนเอื้อมหยิบช้อนอันเดียวกันพอดี ร่างสูงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมรอยยิ้มตามมารยาท

    “เชิญก่อนเลยค่ะ” น้ำเสียงที่ไวน์เอ่ยออกมานั้นสุภาพ หากแต่รอยยิ้มกลับเลือนหาย เมื่อได้มองเห็นใบหน้าของหญิงสาวเจ้าของมืออย่างชัดเจน พลันความวุ่นวายรอบกายก็กลายเป็นเงียบสนิท ไวน์รู้สึกว่าตัวเองลืมหายใจ หญิงสาวในชุดราตรีสีม่วงอ่อนยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าอ่อนหวานนั้นเผยรอยยิ้ม และเมื่อริมฝีปากอิ่มขยับ ความสามารถในการได้ยินของไวน์ก็กลับคืนมาอีกครั้ง

    “ไม่เจอกันนานเลยนะคะไวน์” หญิงสาวส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ดวงตากลมโตของเธอที่ทอดมองมายังไวน์นั้นดูอ่อนโยนไม่ต่างจากน้ำเสียงที่เธอเปล่งออกมา หากแต่คนที่ถูกทักทายกลับตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั้นห้วนและเย็นชา

    “นานงั้นเหรอ ไม่รู้สินะฉันไม่เคยใส่ใจเสียด้วย” คำพูดของไวน์ทำให้รอยยิ้มของหญิงสาวจางลงไปเล็กน้อย

    “นั่นสิคะ สำหรับไวน์ที่มีสาวๆรายล้อมไม่ซ้ำหน้า คงไม่มีเวลามาจดจำว่าเคยทิ้งใครไปบ้าง”

    “ก็มันไม่ใช่ธุระของฉัน” เป็นอีกครั้งที่ทำให้หล่อนสะอึก หญิงสาวถอนใจน้อยๆและลองเปลี่ยนเรื่องคุย

    “ว่าแต่วันนี้ไวน์ควงใครมาเหรอคะ น่ารักจริงเชียว” ท่าทางและรอยยิ้มที่แสดงถึงความอาทรอ่อนโยนนั้นกลับยิ่งทำให้คนมองรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นทุกที

    “นั่นไม่ใช่เรื่องที่คนโดนทิ้งอย่างเธอต้องสนใจละมั้ง” ในที่สุดหญิงสาวก็หมดความพยายาม รอยยิ้มอ่อนหวานนั้นเลือนหาย และแววท้าทายปรากฏขึ้นแทนที่ในสายตา

    “ปากร้ายจัง คนเคยคบกัน ทำดีต่อกันสักหน่อยไม่ได้หรือไง”

    “ก็แล้วฉันมันดูเหมือนคนใจดีหรือไง ขอตัวก่อนนะ” แม้หญิงสาวยังคงไม่อยากให้ไวน์ไป หากแต่คนสูงกว่าที่ตอนนี้รู้สึกหงุดหงิดเต็มที่ไม่สนใจอะไรแล้ว

    ไวน์ก้าวยาวๆไม่กี่ทีก็ถึงร่างบางของกล้วยไม้ที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาตักอาหารอยู่ แต่ทำได้เพียงคว้าแขนเอาไว้ มือบางของหญิงสาวในชุดราตรีสีม่วงอ่อนก็เอื้อมมารั้งเอาไว้ กล้วยไม้หันมามองหน้าไวน์งงๆและยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อมองเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังคนตัวสูง ผู้หญิงคนนั้นส่งยิ้มเป็นมิตรให้ แม้จะมองเห็นไม่ค่อยชัดแต่กล้วยไม้ก็มั่นใจว่าหล่อนจะต้องสวยมากแน่ๆ หากแต่เมื่อได้ยินคำพูดที่หล่อนเอ่ยกับไวน์กล้วยไม้ก็ได้เข้าใจ ว่าท่าทางน่ารักนั้นเป็นแค่เพียงรูปลักษณ์ที่เคลือบอยู่เพียงภายนอกเท่านั้น

    “รู้ไหม ไม่ว่าเมื่อไหร่สเปกไวน์ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย เวลามองดูน้องเค้าแล้วไม่คิดถึงอิงบ้างเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยคำพูดและแววตาที่สื่อถึงความท้าทาย ไวน์ประสานสายตากับหญิงสาวคนนั้น เป็นครั้งแรกที่กล้วยไม้ได้เห็นแววตาดุดันแบบนี้จากคนตรงหน้า ราวกับต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกกราดเกรี้ยวรุนแรงเอาไว้ไม่ให้มันระเบิดออกมา สองสายตาประสานกันนิ่งก่อนที่ไวน์จะเอ่ยเสียงต่ำ

    “คิดว่าอย่างนั้นเหรอ” ทันทีที่พูดมือก็โอบรอบเอวบางของกล้วยไม้ รั้งเข้ามาจนชิดจนหญิงสาวสะดุ้งเฮือก ตอบกลับไปด้วยแววตาท้าทายไม่แพ้กัน “แต่ขอโทษนะ แฟนฉันคนนี้เค้าไม่ได้มีสามีแล้วอย่างคุณ แถมยังสาวกว่าแล้วก็ใสซื่อบริสุทธิ์กว่าคุณด้วย” กล่าวเพียงแค่นั้นก็สะบัดหน้าเดินจากไปพร้อมกับหญิงสาวในอ้อมกอดทันที ทิ้งให้ผู้หญิงอีกคนมองตามไปด้วยแววตาวาวโรจน์โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

    กล้วยไม้เดินตามไวน์ด้วยความพะวักพะวงและไม่ค่อยเข้าใจในสถานการณ์นัก หรือว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นหนึ่งในสาวๆมากมายของไวน์ที่ถูกทิ้งแล้วก็ยังฝังใจโกรธเคืองอยู่ ทั้งๆที่สงสัยเต็มอกแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม ด้วยเธอไม่เคยเห็นคนตรงหน้าแสดงความรู้สึกกราดเกรี้ยวออกมามากมายแบบนี้มาก่อน มือที่จับเธออยู่นั้นแน่นจนสั่น เรื่องอะไรกันหนอที่ทำให้ไวน์เป็นไปได้ถึงขนาดนี้

    ร่างสูงกระแทกตัวลงนั่งร่วมโต๊ะกับทุกคน แรงเสียจนทุกสายตาในโต๊ะหันมามองกันเลิกลั่ก แต่แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่ควรจะเอ่ยถามอะไรเพราะจะกลายเป็นการรนหาที่โดนด่าเสียเปล่าๆ ไวน์ไม่สนใจอาหารที่ตัวเองตักมา มือเรียวเอื้อมคว้าแก้วเหล้าได้ก็กรอกเข้าปากเหมือนน้ำเปล่า ความรู้สึกกราดเกรี้ยวพลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจเพียงแค่คิดถึงดวงตาใสซื่อของผู้หญิงคนนั้น ภาพความทรงจำที่ผันผ่านกลับคืนมาอีกครั้งแม้อยากจะลบมันออกไปจากหัวใจมากเพียงใดก็ตาม

    แค่เพียงคิดถึงร้อยพันคำรักที่พร่ำบอกต่อหล่อนก็ให้รู้สึกขยะแขยงรังเกียจความโง่บัดซบของตัวเอง ครั้งแรกในชีวิตที่รู้จักที่จะรักใครด้วยหัวใจ ก่อนที่จะได้ค้นพบกับความจริงที่หล่อนปิดบังเอาไว้เมื่อคนรักที่แท้จริงของหล่อนกลับมาจากเมืองนอก และพวกเขากำลังจะแต่งงานกัน  ยิ่งกว่าถูกแทบที่หัวใจด้วยหอกแหลม กับเขาที่ถูกสวมไว้บนหัว หล่อนคงจะหัวเราะเยาะทุกครั้งที่ได้ยินคำว่ารักที่พร่ำรำพัน เพราะรู้ว่ามันดังมาจากปากควายตัวหนึ่งเท่านั้น

    ไวน์ยังคงจดจำได้เป็นอย่างดีราวกับมันถูกสลักเอาไว้ในสมอง วันที่หล่อนก้าวเข้ามาบอกบอกข่าวการแต่งงานของหล่อนกับผู้ชายที่เธอรัก แม้ทุกคำของหล่อนจะเต็มไปด้วยความออดอ้อนอ่อนโยน แต่ความหมายของมันก็แค่ความต้องการที่จะเก็บควายตัวนี้เอาไว้เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง และนั่นเป็นครั้งแรกที่ไวน์ได้มองดูหล่อนอย่างชัดเจนเต็มสองตา มองเห็นคราบนางมารร้ายที่หล่อนซุกซ่อนเอาไว้ ความโกรธและผิดหวังวิ่งพล่านจนทำให้ตาพร่าจำได้ว่าตัวเองตะคอกออกมาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่ตัวเองมี

    “อยากได้คนปรนเปรอ ก็ไปหาเอาข้างหน้าเถอะ ฉันไม่ใช่เครื่องระบายตัณหาของเธอ ไสหัวไป แล้วก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก!

     

    มือเรียวคลึงแก้วเหล้าในมือ เสียงหัวเราะหึอย่างเหยียดหยันดังออกมาจากลำคอ ผู้หญิงคนนั้นช่างหน้าด้านนัก กล้าพูดออกมาได้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายโดนทิ้ง แล้วไอ้คนที่โง่งมงายหลงเชื่อใบหน้าใสซื่อที่ซ่อนความเลวเอาไว้นั้นไม่มีสิทธิ์เลือกหรืออย่างไร ถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิดทำร้ายหัวใจหล่อนจนต้องหนีไปแต่งงานเพื่อรักษาแผลใจ ช่างบัดซบสิ้นดี เพราะอย่างนั้นหัวใจที่ถูกหักหลังจึงหมดความศรัทธาในทุกสิ่ง ทั้งความรักและหญิงสาว หากมีความรักแต่ต้องอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี สู้อยู่อย่างไร้หัวใจเสียยังจะดีกว่า

    เสียงเพลงบรรเลงพร้อมกับแสงสีเสียงที่สาดส่องไปบนเวทีเปลี่ยนบรรยากาศให้คึกคัก ร่างผอมเพรียวของนางแบบที่ปรากฏกายพร้อมน้ำหอม สร้างเสียงฮือฮาจากผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี หากแต่กล้วยไม้ที่ต่อให้เพ่งเท่าไหร่ก็ไม่มีวันมองเห็นว่าบนเวทีเกิดอะไรขึ้นบ้างได้แต่ตักอาหารใส่ปากไปพลางแอบเหลือบตามองคนข้างๆที่แผ่บรรยากาศคุกรุ่นอย่างไม่สนใจสิ่งใด ตั้งแต่แยกกับผู้หญิงหน้าหวานคนนั้นไวน์ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ไม่แตะอาหารที่วางตรงหน้าแถมยังเอาแต่กรอกเหล้าเข้าปากอย่างไม่กลัวว่าตับจะพัง ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้เอื้อมมือสะกิดไหล่คนสูงกว่าเบาๆ พร้อมกับใช้ส้อมจิ้มคอกเทลชิ้นเล็กยื่นให้

    “พี่ไวน์ ทานเหล้าตอนท้องว่าง เดี๋ยวก็เมาหรอก” สิ้นคำดวงตาคมก็สะบัดสายตาใส่วูบเล่นเอาผู้ร่วมโต๊ะที่นั่งสังเกตการณ์อยู่สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจแทน

    ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าตอนนี้เจ้านายอยู่ในอารมณ์ไหน ไม่มีใครกล้าถามเพราะเกรงว่าจะโดนด่าให้หน้าแหกกลางงาน หากแต่กล้วยไม้สายตาสั้น แม้จะพอรู้สึกถึงสายตาวาวๆ แต่ความเบลอที่มองเห็นก็ช่วยสร้างกำลังใจให้ได้โข เกิดความเงียบขึ้นมาเมื่อไวน์เอาแต่นิ่ง แล้วท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน ไวน์ก็อ้าปากรับคอกเทลจากส้อมของหญิงสาว แม้จะดูเหนื่อยหน่ายแต่ก็ยอมทานแต่โดยดี เล่นเอาเหล่าพนักงานพูดไม่ออก ได้แต่กระพริบตาใส่กันด้วยความประหลาดใจ

    หากแต่สาเหตุที่ทำให้ไวน์ยอมทานอาหารที่กล้วยไม้ป้อนให้นั้น เป็นเพราะสายตาวาวๆ ที่ส่งมาจากหญิงสาวในชุดสีม่วงอ่อนคนนั้นต่างหาก ผู้หญิงอะไรช่างหน้าด้าน ทั้งๆที่ยืนเคียงคู่อยู่กับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี แต่กลับทอดสายตาแบบนี้ให้ชู้รักเก่าอยู่ได้ น่ารังเกียจสิ้นดี ไวน์ถอนใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่มือบางของกล้วยไม้แตะแผ่วเบาที่หลังมือ

    “พี่ไวน์ จะไปไหนเหรอคะ”

    “จะออกไปสูดอากาศสักหน่อย”

    “กล้วยไปด้วยสิ อยากไปสูดอากาศเหมือนกัน” หญิงสาวบอกพร้อมกับรีบลุกขึ้นยืน ไวน์ไม่ได้ตอบว่าอย่างไรแต่ก็เดินนำไปให้กล้วยไม้รีบเดินตาม โดยไม่ลืมที่จะจับมือคนสูงกว่าเอาไว้ด้วย ทันทีที่ทั้งสองหายไปจากสายตาเหล่าพนักงานก็ได้โอกาสสุมหัววิพากษ์วิจารณ์กันอย่างตื่นเต้นทันที หรือว่าตัวจริงของไวน์จะปรากฏแล้ว คนที่เป็นเหมือนน้ำเย็นที่สามารถชโลมบรรเทาความร้อนของไฟลงได้ ต่างคนต่างทำได้เพียงคาดเดากันไปต่างๆนานา

     

    อีกด้านหนึ่งบรรยากาศในห้องคอนโด ยู่ยี่ก็กำลังอยู่ในอารมณ์ลุ้นระทึกเช่นกันเมื่อแบงค์มาถึงห้องตรงเวลานัด เขานั่งรออยู่ที่โซฟาในขณะที่ยู่ยี่ค่อยๆยกน้ำและโดนัทสีเหลืองนวลน่าทานออกมาให้ก่อนจะทรุดตัวลงในบนโซฟาใกล้ๆกัน

    “เอ่อ แล้วพี่ไวน์กับกล้วยไม่อยู่เหรอครับ” เขาตอบเสียงประหม่า เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ได้อยู่กับพี่ยี่สองต่อสอง และมันทำให้เขาหายใจติดขัดด้วยความตื่นเต้นได้ทุกครั้งเสียด้วย

    “เค้าไปงานเลี้ยงกันน่ะค่ะ ว่าแต่พี่อุตส่าห์เตรียมของว่างไว้ไม่ลองทานสักหน่อยเหรอ”

    “พอดีผมเพิ่งทานข้าวมา” คำตอบของเขาเล่นเอายู่ยี่ใจแป้ว ถามเสียงอ้อน

    “พี่อุตส่าห์ทำเอง แบงค์ไม่ลองชิมหน่อยเหรอคะ” เพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงหวานๆ ก็เหมือนจะละลายหัวใจชายหนุ่มได้ในฉับพลัน

    “ถ้าแบบนี้ ต่อให้อิ่มแค่ไหนผมก็จะกินให้หมดเลยครับ” พูดอย่างเอาใจพร้อมกับเอื้อมมือหยิบโดนัทขึ้นมา ยู่ยี่มองตามด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึกดวงตาจับจ้องอยู่ที่เกล็ดน้ำตาลบนโดนัทชิ้นเหลืองนวลนั้น เขากำลังจะส่งเข้าปากอยู่แล้วเมื่อถามออกมา

    “อ๊ะ ว่าแต่วันนี้พี่ยี่ไม่ต้องไปทำงานเหรอครับ”

    “วันนี้วันหยุดพี่ค่ะ” ยู่ยี่บอกพยายามเก็บอาการตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างรับรู้เอียงคอมองโดนัทในมือก่อนจะเอ่ยพึมพำ

    “น้ำตาลเยอะนะครับ สงสัยพี่ยี่จะชอบอะไรหวานๆ” คำพูดลอยๆแต่เล่นเอายู่ยี่สะดุ้งเฮือก ตอบเสียงแห้ง

    “ค่ะ พี่ชอบของหวาน ชอบมาก”

    “แหม สมกับเป็นผู้หญิงสวยหวานเลยนะครับ” เขาพูดอย่างเอาใจหากแต่ยู่ยี่กลับทำได้เพียงยิ้มแกนๆ ทั้งๆที่ในใจอยู่ไม่สุขแล้วอยากจะจับโดนัทยัดปากแบงค์เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่คนสวยทำอย่างนั้นไม่ได้เดี๋ยวจะเสียภาพพจน์ จึงกลั้นใจบอก

    “แหม ไม่ทานสักที ไม่ไว้ใจขนมฝีมือพี่เหรอ”

    “โอ๊ะ เปล่านะครับเปล่าๆ ผมจะกล้าไม่ไว้ใจพี่ยี่ได้ไงล่ะครับ” บอกพร้อมกับหยิบโดนัทขึ้นมาเคาะเบาๆ เขาบรรจงใช้นิ้วปัดเกล็ดน้ำตาลออกจนหมด ก่อนจะยัดทั้งชิ้นใส่ปาก ยิ้มแก้มตุ้ยพูดเสียงอู้อี้

    “ปกติผมไม่ชอบของหวาน แต่ถ้าเป็นของจากพี่ยี่ผมยินดีทานอยู่แล้วครับ” แค่นั้นเองยู่ยี่ก็รู้สึกมึนไปทั้งหน้า พ่อเจ้าประคุณเล่นปัดเกล็ดน้ำตาลออกหมดอย่างนี้ แล้วได้คาถาที่อาจารย์อุตส่าห์ปลุกเสกมาให้มันจะไปได้ผลได้ยังง๊ายยย คนสวยไม่ไหวแล้วนะ คนสวยจะเคลียร์ เสียแผนไปหมดแล้วค่า กะเทยเจ้าเล่ห์กรีดร้องในใจ

    เมื่อโดนัทหมดเกลี้ยงโดยที่เหยื่อไม่ยอมกินน้ำตาลสักเม็ดก็ทำเอายู่ยี่ไปต่อแทบไม่ถูก แล้วอย่างนี้จะมีหน้าไปบอกความจริงแบงค์เรื่องของตัวเองได้ยังไงล่ะเนี่ย แต่ถึงอย่างนั้น The show must go on เริ่มแล้วก็ต้องไปให้จบ ดังนั้นเมื่อของว่างหมด ยู่ยี่จึงนอนเอนกายบนโซฟา ในขณะที่แบงค์เตรียมอุปกรณ์วาดภาพ บรรยากาศช่างเหมือนฉากในหนังไททานิคไม่มีผิด เพียงแต่ว่ายู่ยี่ไม่ได้เปลื้องผ้าอย่างที่โรสทำต่อหน้าแจ๊คเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจชายหนุ่มด้วยหน้าอกกะจ้อยร่อยของตัวเอง

     “ท่านี้สวยดีแล้วครับ ทีนี้พี่ยี่ก็เลือกของที่จะมองแล้วค้างไว้อย่างนั้นนะครับ องศาหน้าจะได้ไม่เปลี่ยน” แบงค์จัดท่าทางของยู่ยี่ ก่อนจะกลับไปนั่งหน้าเฟรมที่ตั้งรอไว้

    “ค่ะ” นางแบบสาวตอบพร้อมกับนอนจ้องหน้าจิตรกรหนุ่มนิ่งเล่นเอาเขาได้แต่กระพริบตาปริบๆ

    “เอ่อ พี่ยี่เลือกแล้วเหรอครับว่าจะมองอะไร”

    “ก็มองหน้าแบงค์ไง” หญิงสาวบอกพร้อมกับอมยิ้ม และนั่นก็ทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มแดงก่ำขึ้นมา เขาเอ่ยเขินๆ

    “เอ่อ มองอย่างอื่นก็ได้นะครับ”

    “ทำไม มองแบงค์ไม่ได้เหรอ”

    “ก็ได้อยู่หรอกครับ ผมแค่กลัวพี่ยี่จะเบื่อ”

    “เบื่ออะไรคะ เบื่อจ้องหน้าแบงค์เหรอ”

    “ก็ ผมมันไม่หล่อ มองมากๆผมกลัวพี่ยี่จะคลื่นไส้”

    “แหม ไม่หล่อแต่ก็น่ารักนะคะ” ยู่ยี่ตอบยิ้มๆ เล่นเอาแก้มที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงจัดมากขึ้นไปอีก เจ้าหนุ่มตอบเสียงอ้อมแอ้ม

    “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจครับ” บอกอย่างนั้นแล้วก็เริ่มวาดภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อสมาธิกลับมาใบหน้าเขินอายก็เปลี่ยนเป็นความจริงจัง

    ยู่ยี่ใช้เวลานั้นจ้องมองแบงค์ อดที่จะเปรียบเทียบเขากับผู้ชายทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ได้ ผู้ชายเหล่านั้นต่างเข้ามาเพราะภาพลักษณ์ภายนอกของหล่อน ความรักมากมายที่มอบให้ในยามแรกที่ได้รู้จัก แต่เมื่อได้รู้ความจริงว่าหล่อนเป็นหญิงสาวแค่ในหัวใจไม่ใช่ร่างกาย พวกเขาก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวแล

    แล้วชายหนุ่มคนนี้เล่า ดวงตาของเขาที่มองตรงมายังหล่อนนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ แต่นั่นเป็นเพราะเขามองดูหล่อนในมุมที่เขาต้องการมองเห็น หากเขาได้รู้ถึงความลับที่หล่อนปกปิดเขาเอาไว้ แล้วเขาจะทิ้งหล่อนไปเหมือนกับผู้ชายทุกคนในชีวิตของหล่อนหรือเปล่า

    คนที่ไม่สมบูรณ์พร้อมอย่างหล่อน จะสามารถได้พบกับความรักที่แท้จริงได้หรือ ความฝันก็คือความฝันแล้วยังจะหลอกตัวเองให้ยังคงมีความหวังอยู่ต่อไปได้อย่างไร ยิ่งคิดยู่ยี่ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดและดำดิ่งสู่ความหดหู่อ้างว้าง และนั่นไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาที่ใส่ใจของแบงค์ได้

     

    ภาพถ่ายอาจจะสามารถเก็บรายละเอียดทุกอย่างได้ หากแต่ภาพวาดนั้นสามารถสื่อถึงได้ทั้งอารมณ์และความรู้สึก เช่นเดียวกับแบงค์ที่กำลังมองตาหญิงสาวที่นอนทอดร่างอรชรอยู่ ใบหน้าเรียวเล็กผิวขาวละเอียด เส้นผมดำขลับยาวสลวย นางฟ้าของเขา

    แต่เหตุใดหนอบางคราวเขาถึงรู้สึกราวกับดวงตาคู่หวานนั้นทอประกายเศร้าสร้อย ราวกับหล่อนมีเรื่องราวในใจที่ไม่อาจเปิดเผย และทุกครั้งที่เขามองเห็น ก็ให้รู้สึกเศร้าในหัวใจด้วยรู้ดีว่าความสุขความเศร้าของหญิงสาวนั้นสำคัญกับตนเองมากเพียงใด สองสายตาประสานกันนิ่ง ก่อนที่หยดน้ำใสๆจะรินไหลออกมาจากดวงตาของนางฟ้า ชายหนุ่มเดินเข้าไปทรุดกายตรงหน้าหล่อน ซับน้ำตาให้ด้วยปลายนิ้ว เอ่ยถามน้ำเสียงอาทร

    “ร้องไห้ทำไมเหรอครับ” นัยน์ตาคู่หวานไหวระริก เหตุผลของหยดน้ำตานั้นหล่อนรู้แก่ใจแต่ก็ไม่อาจอธิบายออกมาได้ ร่างบางชันกายขึ้นนั่ง เอ่ยเสียงพร่า

    “พอแค่นี้เถอะนะ”

    “อะไรนะครับ” แบงค์ถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ

    “พี่เหนื่อยแล้วล่ะ เอาไว้ค่อยวาดกันต่อวันหลังดีกว่านะคะ” ยู่ยี่เอ่ยพร้อมกับพยายามปั้นหน้ายิ้ม หากแต่หล่อนก็ไม่สามารถซ่อนแววตาเศร้าจากสายตาคมกริบของชายหนุ่มได้

    “พี่ยี่มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ หากพี่อยากระบาย ผมพร้อมที่จะรับฟังเสมอนะครับ”

    “พี่ไม่เป็นหรอก ขอบใจมากนะ” ทั้งๆที่พูดออกมาแบบนั้น หากแต่น้ำตากลับรื้นขึ้นมาอีกครั้ง และมันทำให้คนที่เฝ้ามองเกิดความร้อนรน

    “อย่าโกหกสิครับ ผมเฝ้ามองพี่มาตลอด ทำไมผมจะดูไม่ออก พี่รู้มั้ยทุกครั้งที่ผมได้เห็นแววตาแบบนี้ของพี่ ผมรู้สึกเหมือนใจผมจะขาดไปด้วย” ยู่ยี่รู้สึกถึงความรักและจริงใจที่เขาถ่ายทอดออกมาทางแววตา แล้วแบบนี้ยังจะมีหน้าเปิดเผยบอกความลับที่ปกปิดมาตลอดได้อย่างไร ยู่ยี่ที่เขามองเห็นคือนางฟ้า แต่ว่าหล่อนไม่ใช่ หล่อนเป็นเพียงคนธรรมดาๆคนหนึ่ง คนเห็นแก่ตัวที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อหลอกล่อให้เขาติดกับและตกหลุมรัก

    “แบงค์ พี่ดีใจที่แบงค์มอบความรู้สึกดีๆให้พี่ แต่พี่คิดว่าเราไม่พบกันอีกเลยดีกว่า”

    “พี่พูดแบบนี้เพราะพี่รู้ใช่ไหมว่าผมคิดยังไงกับ พี่ถึงไม่อยากพบกับผมอีก”

    “เปล่าแบงค์ มันไม่ใช่แบบนั้น”

    “งั้นทำไมล่ะ ถ้าผมทำให้พี่ลำบากใจผมก็ขอโทษ พี่ยี่เป็นยิ่งกว่านางฟ้าสำหรับผม ผมรู้ตัวว่าไม่ควรเผยอตัวคิดกับพี่แบบนั้น แต่ผมก็ห้ามใจไม่ได้”

    “แบงค์ สิ่งที่แบงค์เห็นเป็นแค่เพียงรูปกายภายนอก พี่ไม่ได้งดงามอย่างที่แบงค์คิด”

    “ทำไมพี่ยี่พูดอย่างนั้นล่ะครับ”

    “เพราะมันคือความจริงไง พี่ไม่อยากให้แบงค์มองพี่เป็นคนดีแบบนั้น พี่ก็เป็นแค่คนๆหนึ่ง ไม่ได้พิเศษไปกว่าใครเลย” ยู่ยี่เอ่ยทั้งน้ำตาเพราะด้วยความดีของเขานั่นกลับยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกผิด แบงค์รั้งร่างบางของยู่ยี่เข้ามากอด กระซิบกับหล่อนด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากหัวใจ

    “แต่สำหรับผม พี่เป็นผู้หญิงที่พิเศษที่สุด”

    “แบงค์ พี่...” ชายหนุ่มไม่รอให้ยู่ยี่ได้มีโอกาสได้โต้แย้ง เขาประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากคนที่กำลังร้องไห้ หวังที่จะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองให้หล่อนรับรู้ ร่างบางสั่นสะท้าน และเมื่อเขาถอนริมฝีปากออกมาหยดน้ำตาก็รินไหลออกมาจากดวงตาของหล่อน

    “พี่ยี่ ผะ ผมขอโทษ” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรู้สึกผิดจริงๆ ยู่ยี่เช็ดน้ำตาบอกเสียงเครือ

    “แบงค์กลับไปเถอะ เราไม่พบกันอีกเลยจะดีกว่า”

    “ผมขอโทษนะครับ ได้โปรด ผมรู้ว่าผมทำผิดไป แต่ผมก็รักพี่จริงๆนะครับ” คำรักที่เขาตอกย้ำ กลับทำให้หยดน้ำตาของยู่ยี่รินไหล ความเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ ด้วยรู้ว่าคำว่ารักที่เขาเอ่ยออกมานั้นมอบให้แก่นางฟ้าของเขา ไม่ใช่กะเทยอย่างหล่อน

    “พอเถอะ เลิกพูดคำนี้ได้แล้วพี่ไม่อยากฟัง”

    “ทำไมพี่ถึงพูดอย่างนี้ ผมรู้ว่าใจเราตรงกัน สัมผัสของพี่บอกกับผมแบบนั้น” ชายหนุ่มยังคงพยายามและนั่นทำให้ยู่ยี่ไม่อาจทนได้อีกต่อไป หล่อนตะโกนใส่หน้าเขา

    “แบงค์จะมารู้ใจของพี่ได้ดีกว่าตัวพี่เองได้ยังไง พี่ไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับแบงค์เลย เข้าใจมั้ย”

    “พี่ยี่….

    “กลับไปได้แล้ว พี่อยากอยู่คนเดียว” เมื่อบอกเขาทั้งน้ำตา ยู่ยี่ก็ทิ้งเขาไว้กับความสับสนเพื่อที่จะขังตัวเองไว้ในห้อง และไม่เปิดประตูออกมาอีกเลยแม้ว่าชายหนุ่มจะเพียรพยายามเรียกร้องมากเพียงใด ในที่สุดแบงค์ก็พาหัวใจบอบช้ำจากไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ

     

    แม้จะมองเห็นว่าไวน์และสาวน้อยเดินกุมมือออกไปจากงานด้วยกัน หากแต่หญิงสาวในชุดราตรีสีม่วงอ่อนก็ยังมองตามจนลับสายตา และนั่นทำให้ชายหนุ่มในชุดทักสิโด้ที่ยืนอยู่เคียงกันอดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้

    “ทางโน้นมีอะไรน่าสนใจเหรอครับอิง” คำถามของชายหนุ่มเรียกความสนใจจากหล่อนได้ในที่สุด

    “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่ทศ” หญิงสาวหันกลับมายิ้มหวานให้สามี ก่อนจะแกล้งหันไปให้ความสนใจกับการแสดงบนเวทีทั้งๆ ที่จิตใจกำลังจดจ่ออยู่กับร่างสูงที่เดินลับหายไปพร้อมกับคู่ควง ความหงุดหงิดวิ่งพล่านไปทั่วหัวใจ

    จริงอยู่ที่สำหรับเธอ ไวน์ไม่ได้มีค่ามากกว่าพี่ทศ ผู้ชายแสนดีสมบูรณ์พร้อมที่หล่อนเลือกแล้วที่จะแต่งงานด้วย ทั้งๆที่เธอพยายามเต็มที่แล้วที่จะอธิบายให้ไวน์เข้าใจถึงสัจธรรมความจริงของโลกที่มนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นสังคม การแต่งงานมีครอบครัวมีสามีที่ดีได้รับการนับหน้าถือตานั้นเป็นความหวังอันสูงสุดของผู้หญิงไม่ใช่หรือ

    แล้วทำไมไวน์จึงไม่เข้าใจ แม้หล่อนไม่อาจมีไวน์ในแบบเปิดเผยได้ หากแต่อย่างน้อยการได้มีกันและกันอยู่นั้นน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือไร ในวันที่ไวน์ตะโกนใส่หน้าหล่อนด่าทอด้วยคำพูดรุนแรง หล่อนเคยคิดว่าจะไม่มีวันยกโทษให้ไวน์อีก แต่เมื่อเวลาผันผ่าน ไวน์กลับกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงมีเสน่ห์ขึ้นมาและนั่นทำให้หล่อนอดรู้สึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้

    ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งหล่อนเคยได้เป็นเจ้าของทั้งตัวและหัวใจไวน์แท้ๆ แต่มาวันนี้สิ่งเดียวที่เธอได้รับนั้นมีเพียงสายตาดูถูกและเกลียดชังส่งกลับมา แววตาคู่นั้นแม้จะกราดเกรี้ยวแต่ก็แตกต่างจากทุกครั้งที่ไวน์ทอดมองผู้ใด

    เด็กสาวที่ควงมาวันนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วไม่ใช่หรือ ลักษณะภายนอก หน้าตาการแต่งกายดูคล้ายกับหล่อนมากกว่าผู้หญิงคนไหนที่ไวน์เคยควง ไวน์ยังคงไม่ลืมหล่อน ใช่สิไม่เคยลืม….

    เมื่อคิดได้ดังนั้น อิงจึงตัดสินใจหันไปบอกกับสามีว่าอยากจะขอตัวไปเติมหน้าสักหน่อย ก่อนจะก้าวตรงไปยังทิศทางเดียวกับที่ไวน์และกล้วยไม้จูงมือกันออกไป

    ไม่ได้มีเพียงแค่อิงเท่านั้นที่จับตามองไวน์และกล้วยไม้ แพทเองก็เช่นกันที่มองเห็นทุกความเคลื่อนไหวของไวน์ และกำลังรู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะระบายด้วยการกรี๊ดออกมาให้หายอึดอัด ด้วยจนถึงเวลานี้ไวน์ก็ยังคงมองไม่เห็นเธอเลย มองไม่เห็น หรือไม่คิดจะมองกันแน่

    สำหรับคนเจ้าชู้ เธอน่าสนใจได้เพียงแค่นี้เองหรือ คอยดูเถิดถ้าไม่สนใจกัน ฉันก็จะไม่สนใจเธอ หญิงสาวบอกกับตัวเองด้วยรู้ดีว่าไวน์ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือกเดียวสำหรับเธอ ยังคงมีชายหนุ่มมากมายที่เข้ามาติดพัน ไม่มีทางเสียหรอกที่จะยอมให้คนเจ้าชู้นั้นคิดว่าได้ถือไพ่เหนือกว่าเธอ และนั่นก็เป็นความคิดของสาวมั่นผู้เพียบพร้อม และมองความรักเป็นเหมือนดังเกมอย่างแพท

     

     กล้วยไม้และไวน์พากันออกมาสูดอากาศในสวนหย่อมริมสระน้ำของโรงแรม แขกที่มาในงานส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจกับงานเลี้ยงรอบกายจึงร้างไรผู้คน แม้บรรยากาศรอบกายจะสวยงามมากเพียงใดก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจของกล้วยไม้ได้เท่ากับร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า หญิงสาวช้อนสายตาขึ้นมองแผ่นหลังที่ถูกสวมทับด้วยเสื้อสูทสีดำ ท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุม

    แม้จะไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ไวน์เป็นแบบนี้ แต่เธอรู้สึกได้ถึงความหม่นหมองจากไวน์ได้อย่างชัดเจน มือที่กุมเธอไว้ก็ยังคงสั่น และดวงตาคมที่ทอดมองไปไกลนั้นมองไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า นอกจากภาพอดีตอันเจ็บปวดที่ไม่อาจลืม

    กล้วยไม้ผ่อนลมหายใจยาว หากความรู้สึกของคนเราสามารถถ่ายทอดผ่านสัมผัสได้ก็คงจะดี เธอจะซึมซับเอาความเจ็บปวดที่ไวน์รู้สึกตอนนี้มาไว้กับตัวเสียให้หมด เพื่อที่จะได้เห็นรอยยิ้มกวนๆนั้นอีกครั้ง แม้บางครั้งไวน์อาจจะดูปากเสียไปบ้างหากแต่ก็ยังดีกว่าสิ่งที่ไวน์เป็นอยู่ในเวลานี้ หญิงสาวบีบมือคนสูงกว่า ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    “ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป….” คำพูดของหญิงสาวดึงคนที่ตกอยู่ในภวังค์ให้หลุดออกมาได้ในที่สุด

    “พูดอะไรของเธอน่ะ”

    “อ้าว ก็กล้วยเห็นพี่ไวน์ท่าทางแปลกๆไป”

    “แล้วรู้เหรอว่าแปลกไปเพราะอะไร”

    “ก็ไม่รู้หรอก แต่ถึงเวลานี้พี่จะยังไม่สบายใจ แต่ว่าถ้าเรารู้จักปล่อยวาง อีกไม่นานความรู้สึกนั้นมันก็จะจางหายไปใช่มั้ยล่ะ”

    ไวน์ประสานสายตากับหญิงสาว ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองกลับมาด้วยความซื่อตรง ยัยเด็กนี่กำลังพยายามปลอบใจฉันทั้งๆที่ไม่รู้ว่าฉันกำลังเสียใจเรื่องอะไร เป็นเด็กพิลึกอะไรอย่างนี้ และนั่นก็ทำให้รอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นมาบนริมฝีปากคนสูงกว่า

    “ขอบใจ”

    เป็นคำพูดสั้นๆที่ถูกเอ่ยออกมา หากแต่รอยยิ้มนั้นกลับเป็นดังมนต์สะกดให้กล้วยไม้ไม่อาจถอนสายตา เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวรู้สึกราวกับถูกกระตุกในอก หัวใจของเธอกำลังเต้นโครมคราม มันเต้นแรงขึ้นและแรงขึ้นเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับคนตรงหน้า นี่สายตาเธอมันสั้นน้อยลงหรืออย่างไรหนอ ทำไมภาพใบหน้าของพี่ไวน์ถึงได้ดูชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สัมผัสแบบนี้ ความอบอุ่นแบบนี้ นี่เธอกำลังถูกกอดอยู่ใช่ไหม

    “อะ เอ่อ พี่ไวน์...” กล้วยไม้เรียกเสียงประหม่า เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่ได้คิดไปเอง เธอกำลังอยู่ในอ้อมกอดของไวน์ แนบสนิทจนได้กลิ่นน้ำหอมและไออุ่นจากลมหายใจที่รินรดบนใบหู

    “อยู่นิ่งๆ อย่าเพิ่งขยับนะ” เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ทำให้ขนอ่อนๆลุกชัน กล้วยไม้รู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังทำงานอย่างหนัก มันเต้นแรงเสียจนน่ากลัวว่าจะทะลุออกมา

    “ทะ ทำไมอ่ะ”

    “มีคนมองอยู่”

    “มีคนมองแล้วทำไมต้องกอดล่ะ”

    “ผู้หญิงคนนั้นเค้าตามออกมา” เพียงแค่นี้กล้วยไม้ก็เข้าใจในทันทีพร้อมกับจังหวะหัวใจที่ถูกกระตุกให้กลับมาเต้นในจังหวะเดิมของมัน แต่หญิงสาวอดแปลกใจไม่ได้ว่าการที่หัวใจเธอโหมเต้นกระหน่ำในตอนแรกนั้นเป็นการทำงานที่หนักเกินไปหรือเปล่า เพราะตอนนี้เธอรู้สึกราวกับว่าในอกมันอึดอัดบีบรัดเหมือนจะไม่มีที่วางให้ลมหายใจได้เข้าออก

    ร่างบางในชุดราตรีสีม่วงอ่อนยืนบีบมือแน่นจนสั่นเทิ้มไปทั้งกายกับภาพที่มองเห็น สองกายกอดประคองแนบชิด สิ่งเดียวกันที่หล่อนเคยได้รับ แต่เวลานี้ไวน์กลับมอบให้ผู้หญิงคนอื่น หญิงสาวตัดสินใจเบือนหน้าหนีจากภาพบาดใจและเดินจากไปในที่สุด

     

     

    เมื่อกลับมาถึงห้องก็เงียบกริบไร้วี่แววของยู่ยี่เลย กล้วยไม้กลับเข้าห้องของตัวเองด้วยความสับสนกับความรู้สึกที่ถาโถมเข้าใส่ในคืนนี้ หญิงสาวทรุดกายลงนั่งบนเตียงผ่อนลมหายใจหนักหน่วงออกมา สิ่งที่อัดอั้นอยู่ในอกนี้คืออะไรกันหนอ แล้วเธอจะจัดการกับมันอย่างไรดี

    ในความเงียบกล้วยไม้หยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาเปิด รอเพียงไม่นานมันก็พร้อมที่จะทำงาน มือบางพิมพ์รัวลงบนคียบอร์ด กับนิยายบทใหม่ของตัวเอง

     

    ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิร์ตกางเลงแสลคสีดำยืนล้วงกระเป๋าทอดมองดูดวงจันทร์ที่สะท้อนอยู่ในสระบัวอยู่เพียงลำพัง ดูหม่นหมองเหนื่อยล้าอย่างที่รัศมีไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากคุณชายกลางผู้เย่อหยิ่งคนนั้น แม้ไม่อยากจะยอมรับนัก หากแต่เสี้ยวหน้าเคร่งขรึมนั้นก็ทำให้รัศมี อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา

    “มายืนวางแผนอะไรตอนดึกแบบนี้หรือคะ” แม้จะห่วงใยแต่หญิงสาวก็ไม่อยากจะให้เขาทราบ คำถามที่เอ่ยออกมาจึงฟังราวกับน้ำคำแดกดันที่หล่อนไม่ได้ตั้งใจ ใบหน้าของคุณชายกลางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความหม่นหมองเลือนหายเขาหันกลับมามองพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้า

    “คนอย่างผมคงจะไม่เหมาะกับการยืนชมจันทร์สินะครับ คุณรัศมีถึงคิดว่าผมออกมาเพื่อวางแผนการร้ายอะไรอยู่”

    “ดิฉันแค่ถามว่าแผนการอะไร ไม่ได้หมายถึงแผนการร้ายสักหน่อย”

    “อา อย่างนั้นหรือครับ เช่นนั้นผมคงเข้าใจความหวังดีของคุณรัศมีผิดไปเอง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” เขาเอ่ยแผ่วเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ รัศมีกระพริบตามองชายหนุ่มตรงหน้า การที่เขาไม่ต่อปากต่อคำกับหล่อนนั้นช่างดูผิดปกติไปราวกับคนละคน

    “คุณชายกลาง ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

    “ผมดูเหมือนคนป่วยหรือครับ”

    “ก็ ดูแปลกไปน่ะค่ะ”

    “ขอบคุณครับที่เป็นห่วง ผมเพียงมีเรื่องที่ต้องขบคิด”

    “คงเป็นเรื่องหนักหนามาก ถึงทำให้ดูหม่นหมองได้ขนาดนี้ ไม่สมกับเป็นคุณชายกลางเลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาหากแต่นั่นทำให้ชายหนุ่มหันกลับมามองเธอด้วยรอยยิ้มน้อยๆนั้นได้อีกครั้ง

    “คุณชายกลางของคุณรัศมีเป็นแบบไหนหรือครับ ใช่คนนิสัยไม่ดีเจ้าชู้เจ้าเล่ห์หรือเปล่า” แม้เขาจะยิ้มหากแต่รัศมีกลับไม่รู้สึกถึงความสุขในนั้น

    “คุณชายกลางที่ฉันรู้จักเค้าไม่เหมาะกับใบหน้าเศร้าหมองแบบนี้เลยค่ะ”

    “แต่ว่าเค้าก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งนะครับ ย่อมมีวันที่อ่อนล้าดังเช่นคนอื่น”

    “ถ้าเช่นนั้น หากได้ระบายออกมาบ้างก็คงจะทำให้เขาได้รับรอยยิ้มกลับคืนมา” คิ้วหนาของเขาเลิกสูงขึ้นน้อยๆก่อนที่สองสายตาจะประสานกัน หญิงสาวกลั้นลมหายใจเมื่อนัยน์ตาคมนั้นทอประกายอ่อนโยนในแบบที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน หากแต่ความเศร้าหมองก็เข้ามาแทนที่ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

    “วันแต่งงานของพี่ชายใหญ่ถูกกำหนดขึ้นแล้วคุณคงพอทราบ” รัศมีรู้สึกแปลกใจที่อยู่ๆเขาก็เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา

    “ใช่ค่ะ ดิฉันทราบแล้ว”

    “คุณคิดจะทำอย่างไรครับ”

    “อย่างดิฉันจะทำอะไรได้คะ นอกจากแสดงความยินดี”

    “คุณไม่ได้รักพี่ชายใหญ่หรอกหรือ”

    “ดิฉัน….” เกิดความลังเลขึ้นในน้ำเสียงเมื่อรัศมีไม่อาจให้คำตอบกับเขาได้ หล่อนก้มหน้าลงมองผิวน้ำที่สะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย ในความเงียบคุณชายกลางเอ่ยออกมาแผ่วเบา

    “ขออภัยที่ผมถามอะไรโง่ๆออกไป การได้มองดูคนที่รักต้องไปเป็นของคนอื่น ย่อมเจ็บปวดเป็นธรรมดา ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดี”

    “คุณคงหมายถึงคุณหญิงแม้นมาศ นี่คุณรักเธอจริงๆหรือคะ”

    “ผมดูไม่เหมือนคนที่สามารถรักใครได้หมดทั้งหัวใจเลยหรือครับ” เขาถามหล่อนพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงดูเศร้าหมอง หญิงสาวตอบเขาเสียงพร่า พร้อมกับหัวใจที่ราวกับจะถูกกดทับให้ไม่อาจเต้นได้ตามจังหวะของมัน

    “เปล่าค่ะ ดิฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”

    “จริงอยู่ที่ผมอาจจะทำตัวเป็นเพลย์บอยมาตลอด นั่นอาจจะเป็นเพราะผมไม่ต้องการที่จะถูกเปรียบเทียบกับพี่ชายใหญ่ ผมต้องการแตกต่างจากเขา ผมต้องการเป็นตัวของตัวเอง แต่น่าแปลกเหลือเกิน ทั้งๆที่ผมพยายามถึงขนาดนั้น ผมกลับพบว่าตัวเองราวกับกลายเป็นกระจกสะท้อนเงาของเขา คล้ายกันมากที่สุดแม้กระทั่งเรื่องของหัวใจ” รัศมีรู้สึกราวกับมองเห็นหยดน้ำใสๆที่คลออยู่ในนัยน์ตาคมคู่นั้น พลันหัวใจก็เจ็บแปลบ

    “คุณชายกลางคงจะเสียใจมากที่คุณหญิงแม้นมาศจะแต่งงานกับคุณชายใหญ่”

    “ผมเพียงต้องการให้คนที่ผมรักได้มีความสุขหากการได้แต่งงานกับพี่ชายใหญ่จะทำให้หล่อนมีความสุข ผมก็จะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้หล่อนได้สมหวัง” เขากล่าวอย่างหนักแน่น

    “คุณชายกลาง….

    “แย่แล้ว นี่ผมกำลังทำให้คุณรู้สึกเวทนาหรือนี่ ลืมมันไปเสียเถิดครับว่าผมพูดอะไรออกไป ดึกแล้วน้ำค้างเริ่มแรง ผมขอตัวก่อนดีกว่า” เขากล่าวออกมาราวกับจะพึ่งคิดได้ว่าตัวเองแสดงความรู้สึกอย่างไรออกไป ร่างสูงหมุนตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะประทะเข้ากับร่างบางโดยไม่ได้ตั้งใจ สองร่างชะงักจากการประทะ ใบหน้าห่างกันไม่เกินระยะฝ่ามือ

    “ไม่เป็นไรนะครับ” เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ทำให้ขนอ่อนๆลุกชัน รัศมีรู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังทำงานอย่างหนัก มันเต้นแรงเสียจนน่ากลัวว่าจะทะลุออกมากับสัมผัสและไออุ่นของชายหนุ่ม เกิดอะไรกับหัวใจของเธอกันแน่

     

    กล้วยไม้ถอนหายใจยาว ก่อนจะโพสตอนใหม่ล่าสุดลงบนเวปไซต์ หัวใจของเธอยังคงเต้นแรงสลับกับหนักอึ้งเพียงแค่เพียงคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในคืนนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแล้วหนอหัวใจ….

     

     

     

     

     

     

     

     

     - - - - -- - - - -- - - - -- - - - -- - - - -- - - - -- - - - -- - - - -- - - - -- - - - -- - - - -- - - - -

    ตอนใหม่จ้า อ่านแล้วเม้นท์ๆ อิอิ ทวงแร้วก็ไปแระ เอิ๊กๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×