ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    12Tails: Tails Apocalypse Ⓣ (Turn Bringer Invasion)

    ลำดับตอนที่ #68 : Chapter 50: LimitBreak 5 (END)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 108
      0
      3 เม.ย. 59

    Chapter 50: LimitBreak 5 (END)
     

    เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ ที่ดวงจันทร์ นับจากที่เริ่มโดนกักบริเวณก็ผ่านมาได้แปดวันแล้ว ในยุคที่โลกล่มสลายมนุษยชาติระเห็จออกมาอาศัยอยู่ในอวกาศถึงจะมีอินเทอร์เน็ตก็ใช้เข้าเว็บFเล่นเกมอะไรไม่ได้เพราะไม่มีเว็บจำพวกนั้นหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

    ดังนั้นอัลแตร์จึงใช้อินเทอร์เน็ตในการแอคเซสเข้าไปที่โฮมเพจห้องสมุดของโคโลนี่HR เพื่อยืมดูหนังสือจากที่ห้องได้ ตอนนี้เขากำลังสนใจค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า เซเวอร์(Saver) ตัวตนของผู้ช่วยเหลือที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้

     

    และเพราะว่าสามารถสื่อสารพูดคุยกับเกร ได้การใช้งานห้องสมุดออนไลน์จึงสะดวกขึ้นอย่างมาก อัลแตร์ขยับเมาส์คลิกเลือกรายการหนังสือที่ต้องการซึ่งมีหัวข้อขึ้นว่า

     'เกร กีก้าสเลฟ' จากนั้นก็เลือกหมวดย่อยภายใต้หัวข้อเป็น 'งานวิจัย' แล้วหน้าจอก็แสดงหัวข้อย่อยลงมาอีก อัลแตร์เพ่งดูหัวข้อไล่ลงมาทีละข้ออย่างถี่ถ้วนแต่เขาหาอันที่ต้องการไม่เจอหัวข้อที่เกี่ยวกับ สไตรด์เจเนเรชั่น(Stride Generation) มันเป็นขุมพลังสำคัญของเซเวอร์ตามที่รู้มา แต่บนหน้าจอไม่มีข้อมูลที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนั้นเลย

     

    เด็กหนุ่มถอนหายใจพลางใช้มือลูบปัดเรือนผมสีทองทรงหนามเม่นให้ลู่ไปด้านหลัง เมื่อปล่อยมือเส้นผมก็ดีดตัวกลับเข้าที่ ดูเหมือนว่ามันจะแข็งเป็นทรงแบบนี้ไปแล้วแม้จะไม่ได้ใช้เจลเซ็ตผมเลยก็ตามที

     

    "หาสไตรด์เจเนเรชั่นไม่เจอเลย หรือจะไปถามคุณคามิโอที่ห้องฝั่งตรงข้ามดี"

    อัลแตร์ เอนหลังพิงผนักเก้าอี้พลางยืดแขนบิดขี้เกียจตัวเป็นเกลียว ก่อนจะหันเหสายตาไปทางร่างวิญญาณที่ลอยอยู่ข้างกัน

     

    "หรือว่าจะช่วยเล่าให้ผมฟังได้รึเปล่าคุณเกร"

    อัลแตร์ส่งสายตากึ่งจะอ้อนวอนให้กับ เด็กหนุ่มร่างซีดจางที่ดูแก่กว่าตนสามปีหรืออายุยี่สิบ มีเรือนผมสีดำ ไว้ผมสั้นดวงตาสีน้ำตาลไร้ซึ่งการแสดงอารมณ์บนสีหน้าจนดูเป็นคนเย็นชา แต่อัลแตร์เข้าใจดีว่าเกรไม่ได้เป็นคนที่จิตใจคับแคบ เขาเคยมีใบหน้าที่อ่อนโยนและเป็นมิตรกว่าตอนนี้ อย่างน้อยๆในความทรงจำก่อนที่จะกลายเป็นเซเวอร์ก็บอกเอาไว้แบบนั้น รวมถึงความฝันที่เกิดจากการดึงเค้าเรื่องมาจากความทรงจำของเกรก็เคยแสดงให้เห็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของชายผู้นี้มาแล้ว

     

    "ไปที่หัวข้อ 'บันทึกการทดลอง' แล้วเลือก 'ส่วนตัว' จากนั้นจะมีให้ใส่พาสเวิร์ด"

    เกรพูดพร้อมกับชี้ไปที่หัวข้อบนจอ

     

    "แบบนี้เหรอครับ"

    อัลแตร์ทำตามที่บอกจนกระทั่งมีหน้าจอสำหรับใส่รหัสปรากฎขึ้นมา เกรถึงเริ่มพูดต่อ

    "รหัสคือ อีดีอีเอ็นเอฟเอแอลแอล"

     

    อัลแตร์คีย์รหัสไปตามที่ได้ยินทันทีที่รหัสทั้งหมดถูกคีย์พร้อมแล้วเขาถึงพึ่งสังเกตเห็นรหัสอ่านได้ว่า 'edenfall'

     

    "เอเด็นฟอล..."

    อัลแตร์อ่านรหัสที่เขียนลงไป เอเด็นคือชื่อของสวนที่พระเจ้าสร้างขึ้นโดยรวบรวมพรรค์ไม้ทุกชนิดเอาไว้และยังเป็นสถานที่ที่มนุษย์คู่แรกอย่างอดัมกับอีฟใช้ชีวิตอยู่ตามตำนานของคริสต์ เท่าที่เขารู้ก็มีแค่นั้นด้วยความสงสัยจึงลองถาม

     

    "มีความหมายอะไรรึเปล่าครับเนี่ย"

    "ก็มีล่ะมั้ง"

    เกรตอบเสียงห้วนแล้วพูดตัดบทว่า

    "รีบไปต่อเถอะ"

     

    อัลแตร์จึงกดแป้นพิมพ์เพื่อส่งรหัสที่กรอกแล้วเข้าไป ซักพักหน้าจอก็ปรากฏไฟล์เอกสารที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือมากมาย เขาเริ่มอ่านมันไปได้เล็กน้อยก็มีคำถามอีก

     

    ไอนี่มันไม่ได้อ่านว่าสไตรด์นี่นา เอ….เอส ดอท ไทร…”

    อัลแตร์ชี้ไปที่จ่าหัวเอกสารซึ่งมันเขียนว่า 'S.Tried Genesis'

     

    เอส ไทรด์ เจเนซิส”(S. Tried Genesis)

    เกรพูดแก้ให้

     

    ตัว เอสเนี่ยคือเซเวอร์สินะ

    ตอนนั้นตัวเอส น่ะไม่ใช่เซเวอร์หรอกแต่เป็นเซราฟ"

    คำตอบของเกรทำให้เขาอดสงสัยขึ้นมาอีกไม่ได้

    "เซราฟเนี่ยหมายถึงทูตสวรรค์ใช่ไหมครับ"

     

    เกรพยักหน้าให้แทนคำตอบแล้วจึงอธิบายต่อ

    "เอสไทรด์เจเนซิสคือจุดเริ่มต้นของสไตรด์เจเนเรชั่น เซเวอร์ก็พัฒนามาจากเซราฟอีกทีน่ะที่เหลือลองอ่านดูในเอกสารก่อนแล้วฉันจะค่อย ๆ อธิบายไป"

     

    อัลแตร์พยักหน้าจากนั้นจึงหันสายตาเข้าหาจอแล้วอ่านเอกสารไล่ลงมาทุกบรรทัด....

     

    .............................................................

    .......................................

     

    ขาวโพลนไปหมด... มองไม่เห็นสถานที่ที่จะพักวางสายตาได้เลย นอกจากร่างกายของตัวเองแล้วก็มีแต่สีขาว ทอลมองสำรวจโลกอันแปลกประหลาดนี้ด้วยความงุนงง เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเรียกดังแว่วเข้ามา

     

    "ทอล..."

    เสียงนั้นน้ำเสียงฟังดูอิดโรยเหมือนคนอดหลับอดนอน ทอลหันไปยังต้นเสียงและพบกับ เงาสีดำที่มีรูปร่างเหมือนงูหัวมีเขาเหมือนกวาง แล้วจู่ ๆ ก็นึกออกว่าเงานั่นคือเก้าบุตรที่เคยอยู่ในตัว

     

    "หยาจื้อ...นั่นแกเหรอ"

    "..."

    อีกฝ่ายไม่ยอมตอบคำถาม แต่ยังไงเสียเขาก็รู้อยู่ดีว่านั่นคือหยาจื้ออย่างแน่นอน จึงข้ามไปยังคำถามถัดไป

     

    "ที่นี่คือที่ไหนกัน"

    "ต้องถามด้วยเหรอคำถามไร้สาระพรรค์นั้นนายเองก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะ"

    คำตอบของหยาจื้อทำให้เขาเริ่มทบทวนตัวเองอีกครั้งแล้วจู่ ๆ ก็เข้าใจขึ้นมาเอง

     

    "นั่นสินะ... ที่นี่คือในจิตใจของชั้นเอง..."

    ทอลพูดออกไปแบบนั้นแล้วหยาจื้อก็พยักหน้า

     

    "เอาล่ะคำถามหยุมหยิมช่างมันไปก่อนแต่คำถามนี้นายต้องตอบ บอกมาซะว่ามันเกิดอะไรขึ้น"

     

    นัยน์ตาสีขาวบนร่างที่เป็นเงาสีดำนั้นเบิกกว้างขึ้นข้างหนึ่งเหมือนคนกำลังเลิกคิ้ว

     

    "ทอลเนี่ยเห็นแก่ตัวจังเลยนะทั้งที่ทำกับผมและพวกพี่น้องถึงขนาดนั้นแต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย"

    หยาจื้อพูดออกมาแบบนั้น

     

    "พูดเรื่องอะไรน่ะนั่น"

    "นายเป็นคนทิ้งพวกผมไปแล้วเลือกวงแหวนสีดำอันแสนจะอัปลักษณ์นั่นเองนะ จะลืมไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน"

    สิ้นคำพูด ภาพรอบตัวที่เคยขาวโพลนก็ปรากฏเป็นภาพเหตุการณ์ที่ 'ทอลเทิร์นิ่ง' เคยกระทำมาทั้งหมด ทอลมองดํภาพความทรงจำของอีกตัวตนหนึ่งด้วยใจระทึก

    ทำร้ายพวกนายสนมของกษัตริยาแล้วเทิร์นนิ่งพวกเขา

    ทำร้ายคุณปู่นิลเบรุงค์และโค่นล้มซอร์ดเบรกเกอร์

    และท้ายที่สุด...ทำร้ายกษัตริยา

     

    พอความทรงจำดำเนินมาถึงจุด ๆ นี้ทอลก็ส่งเสียงคำราม

    "บัดซบ!"

    แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวตนที่เกิดขึ้นจากการละทิ้งซึ่งสติแล้วยอมให้วงแหวนสีดำเข้าครอบงำจะก่อเรื่องได้เลวร้ายถึงเพียงนี้

     

    "นั่นไงจำได้แล้วใช่ไหม พอเห็นแม่ที่ถูกวงแหวนนั่นสร้างขึ้นมาล่อลวงนายก็ทิ้งพวกผมได้ลงคอแถมยังเอาวงแหวนนั่นมาคล้องคอผมอีก"

    เสียงของหยาจื้อราวกับจะซ้ำเติมและประชดประชันในความผิดนี้ ทอลไม่มีอะไรจะโต้แย้ง

    "..."

    พอเห็นแบบนั้นแล้วหยาจื้อก็ยิ้มเหมือนแสยะจนเห็นคมเขี้ยวมากมายในปากกำลังเสียดสีกันอยู่ แล้วก็เริ่มกล่าวโทษตัวเขา

     

    "สัตว์หางเนี่ยเหมือนกับมนุษย์เลยนะ เปี่ยมไปด้วยกิเลสและความโลภไม่มีสิ้นสุด ทั้งที่มีผมกับพี่น้องอีกตั้งแปดตนคอยช่วยเหลือสนับสนุนอยู่แท้ ๆ แต่ก็ยังทิ้งกันได้ลงคอแล้วไปเลือกพลังที่มากกว่า"

     

    "พลังนั่นมันคืออะไรกันหยาจื้อนายรู้จักมันงั้นเหรอ"

    ทอลถามแทรกขัดคำพูดที่ไร้แก่นสารนั่น

     

    "รู้จักสิ ครั้งหนึ่งผมกับพี่น้องเคยเป็นส่วนหนึ่งของมันมาก่อนแต่พวกเราก็แยกออกมาเพราะไม่อยากจะถูกความรู้สึกที่น่ารังเกียจนั่นควบคุม"

    "แล้วตอนนี้ตัวฉันจะเป็นยังไงต่อไป"

    "ก็ไม่ยังไงทั้งนั้นล่ะ เพราะเรื่องเมื่อคืนเจ้าวงแหวนสีดำนั่นถึงบาดเจ็บหนักตอนนี้ก็กำลังพักฟื้นอยู่"

    พูดเสร็จหยาจื้อก็บ่ายหน้าไปทางด้านหลัง ที่นั่นมีวงแหวนสีดำวางอยู่บนพื้น

     

    "แต่บาดเจ็บซะขนาดนั้นยังไม่ยอมหายไปอีกช่างตื้อซะจริงเจ้าพวกเทิร์นบริงเกอร์"

    "หมายความว่าตัวชั้นยังจะถูกมันควบคุมอีกงั้นเหรอ"

    "ไม่หรอกเจ้านั่นยังอยู่ก็จริงแต่ไม่ได้ทำอะไรอีกแล้วแค่นายไม่ไปยุ่งกับมันก็พอ..."

    หยาจื้อตอบน้ำเสียงห้วนเหมือนไม่อยากให้เขาจุ้นจ้านเรื่องของวงแหวนดำมากไปกว่านี้

     

    "เอาล่ะทอล รับเอาตัวผมเข้าไปสิ"

    มังกรดำพูดออกมาอย่างนั้น แล้วร่างเงาก็เริ่มบิดเบี้ยว

     

    "อะ.."

    ทอลส่งเสียงเหวอด้วยความตกใจ จากนั้นร่างเงาของหยาจื้อก็กลายเป็นรูปลักษณ์เดียวกันกับตัวเขา

     

    "รับเอาผมเข้าไปอีกครั้งแล้วเราก็มาย้อมโลกใบนี้ด้วยเลือดอันหอมหวานกันเถอะ"

    พูดแบบนั้นแล้วก้าวเข้ามากอด ทอลพยายามขัดขืนแต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ

     

    "ย...อย่านะ.."

    ทอลพูดพร้อมกับพยายามดึงร่างหมาป่าที่เข้ามากอดออก แต่แล้วมือซึ่งจับเข้าที่เส้นผมของหยาจื้อกลับรู้สึกเหมือนจับอะไรบางอย่างที่เหนียวหนืดราวกับกาว แล้วเมื่อเขาใส่แรงที่มือเพื่อดึงร่างที่เข้ามากอดออกจากตัว มือกลับดึงเส้นผมยืดยาวออกไปแทน

     

    "ไม่มีประโยชน์หรอกผมจะหลอมรวมเข้ากับตัวเธออีกครั้งจะทำให้เลือดของเธอกลับไปเป็นสีดำสนิทอีกแล้วจากนั้น...."

    เสียงของหยาจื้อหยุดลงเพียงเท่านั้น เพราะกรามร่างของมันละลายกลายเป็นเลือดไปแล้วขณะที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก็ทยอยกลายเป็นเลือดสีดำเกาะติดตามตัว เลือดเหล่านั้นเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิตพวกมันคลืบคลานไปบนร่างกายแห่งจิตสำนึกที่เปลือยเปล่าไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิดเคลือบร่างทั้งร่างให้ดำสนิท...

     

    "ล้อเล่นหรอกน่า"

    เสียงของหยาจื้อดังแว่วมาแล้วเลือดที่เคลือบร่างไว้ก็แข็งตัวโดยพลันก่อนจะปริร้าวแล้วกระเทาะตัวหลุดออก

     

    "ก็ผมเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอมาตั้งแต่แรกแล้วนี่"

    น้ำเสียงของหยาจื้อแฝงไว้ด้วยความสนุกสนานที่ได้หยอกล้อเขาเล่น

     

    "นายนี่มัน..."

    ทอลคำรามเขากัดฟันด้วยความเจ็บใจ แต่ก็แค่เดี๋ยวเดียวก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์อย่างกะทันหัน

     

    "จะว่าไปนี่นายมีอารมณ์ขันกับเขาด้วยเหรอเนี่ย?"

    "อ้าว ก็มีสิถึงเป็นเทพมารแต่ก็มีความรู้สึกได้เหมือนกันนา"

     

    ทอลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งหลังจากได้ยินว่าเทพมารมีความรู้สึก

    "ไม่ยักรู้แหะ"

     

    เสียงหัวเราะขบขันของหยาจื้อดังก้องกังวาล

    "ฮะฮะฮะ เอาเถอะเราคงได้คุยกันแค่นี้แหละเพราะอีกเดี๋ยวนายก็จะตื่นแล้ว จากนั้นก็รีบหาความจริงเข้าล่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น"

     

    สิ้นสุดคำพูดนั้นทุกอย่างรอบตัวก็มืดลงสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใดอีก จากนั้นความรู้สึกรับรู้สัมผัสทั้งหมดก็เลือนหายไป

     

     

    ..….……………………………

     

     

    ทอลได้สติขึ้นมาอีกครั้ง หมาป่าดำปรือตาขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็แหงนมองไปรอบ ๆ สำรวจสถานการณ์ของตัวเองและพบว่า เขานอนอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง เป็นห้องในวังที่กษัตริยายกให้ตั้งแต่ตอนที่ทำพิธีราชาภิเษก

     

    ตัวห้องตกแต่งสไตล์ชาววัง ผนังประดับประดาด้วยลวดลายวิจิตรศิลป์ เครื่องใช้อำนวยความสะดวกครบครันและหรูหรา กระทั่งเตียงที่ตัวเขานอนอยู่นี้ก็ทำจากวัสดุชั้นเลิศ ทั้งไม้หอมที่มีกลิ่นช่วยให้หัวรู้สึกโล่งปอดเมื่อสูดดม ทั้งเบาะปูเตียที่นุ่มราวกับปุยเมฆ

    ชีวิตหนึ่งก็พึ่งเคยได้สัมผัส

     

    หมาป่าดำเริ่มสำรวจตัวเอง ท่อนบนเปลือยเปล่า มีผ้าพันแผลพันทับรอบหน้าอกและที่ศีรษะ ทอลแกะผ้าพันแผลที่อกออกดูแล้วก็พึมพำออกมา

    "ไม่มีบาดแผล..."

    ไม่มีแม้แต่ร่องรอยอะไรเลยใต้ผืนผ้าพันแผล ทอลแกะที่พันศีรษะออกแล้วใช้มือลูบสัมผัสแต่ก็ไม่พบอะไรอีกเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะพลังฟื้นตัวของเก้าบุตรที่ยังมีหลงเหลืออยู่ในร่างช่วยให้บาดแผลสมานตัวเร็วขึ้น

     

    ทอลหันไปทางขวาที่ข้างเตียงนั้นมีเสื้อผ้าวางเตรียมไว้อยู่ เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วกางออก ก่อนจะใช้สายตามองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันเป็นเสื้อที่เหมือนเป็นเครื่องแบบทหารสีดำตัดขึ้นด้วยผ้าฝ้ายแล้วแซมด้วยผ้าแพรสีแดง  ทันทีที่สัมผัสกับเสื้อตัวนี้ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันชั่วร้ายและพลังที่จับสัมผัสไม่ได้ราวกับความว่างเปล่า

     

    "เทิร์นบริงเกอร์..."

    ทอลพึมพำออกมาตามความรู้สึก เสื้อชุดนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับมีเทิร์นบริงเกอร์อยู่ต่อหน้า แล้วตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับประตูห้องที่เปิดออก

     

    "รุณหวัดค่ารูมเซอร์วิสอาหารเช้าเสิร์ฟถึงเตียงโดยเอมี่เองค่า"

    น้ำเสียงใสแจ๋วเปี่ยมไปด้วยความร่าเริงของเด็กสาววัยใสเผ่า....

    ไม่อาจระบุได้ส่าเธอเป็นสัตว์หางเผ่าอะไร เด็กสาวมีเขากระทิงงอกจากขมับศีรษะมีลำตัวท่อนล่างเป็นสิงโตไหนยังจะมีหางเป็นอสรพิษ แค่เปรยตาก็รู้ได้ว่าหล่อนไม่ใช่สัตว์หาง

     

    จากความทรงจำอันขุ่นมัวในตอนที่ถูกเทิร์นนิ่ง ทอลพอจะจำได้ลาง ๆ ว่าเธอถูกคามิโอเรียกมาเป็นชนเผ่าจากต่างมิติที่อาจจะเป็นนรกซึ่งเรียกตัวเองว่า เฮลไรเซอร์

     

    "มีผักต้ม สลัดแครอท ต้มผักโขม"

    เฮลไรเซอร์ผู้เรียกตัวเองว่าเอมี่พูดพลางเข็นรถผ่านประตูเข้ามาจอดใกล้กับเตียง จากนั้นก็ยกสำรับกับข้าวซึ่งถูกจัดไว้บนถาดมาวางลงที่ตัก

     

    " ดีต่อสุขภาพทั้งนั้นเลยล่ะค่า อุอิ"

    แล้วพูดพลางกลอกสายตาซุกซนไปมา

     

    "กินไม่ได้สินะคะโฮะๆๆ"

     เห็นได้ชัดว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งทำอาหารที่มีแต่ผักมาให้หมาป่าที่เป็นเผ่ากินเนื้อทาน แต่ทว่า...

     

    "อืม อร่อยดีนี่เธอทำเองเหรอเก่งเหมือนกันนะ"

    ทอลเอ่ยปากชมหลังจากตักซุปผักโขมเข้าปาก

     

    "จะวรั้ย ดันกินได้ซะงั้น"

    เอมี่พลั้งปากอุทานอย่างคาดไม่ถึง แต่ทอลไม่ได้ตอบรับกับปฏิกิริยาของเธอยังคงเอาแต่ก้มหน้ากินมื้อผักยามเช้าอย่างสงบเสงี่ยม

     

    "อ...เอ๋ปกติหมาป่าเขากินเนื้อกันไม่ใช่เหรอ...ไหงกินผักหน้าตาเฉยเลย...แบบนี้ที่อุตส่าห์แกล้งก็เหลวเป๋วหมดสิ"

    หางตาซุกซนที่มักเชิดขึ้นอยู่เสมอลู่ตกลง สีหน้าของหล่อนกลายเป็นเซ็งโลกไปในทันที

    แต่นั่นก็แค่แปปเดียวหน้าของหล่อนก็กลายเป็นตกตะลึงกับความเร็วในการกินของทอลที่ซัดทุกอย่างชนิดเกลี้ยงจานหมดไม่มีเหลือในเวลาแค่ไม่กี่นาที

     

    "อิ่มแล้วขอบคุณสำหรับอาหารเช้านะไปก่อนล่ะ"

    หมาป่าดำกล่าวแล้วลุกจากเตียงทันที

     

    "จะไปไหนเหรอคะ?"

    เอมี่ถาม

     

    "..."

    ทอลไม่ได้ตอบกลับ เหมือนจะทำเมินเลยเสียด้วยซ้ำแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างออก

    โดยที่เอมี่คอยจับจ้องการกระทำอยู่ จากนั้นทอลก็ทำในสิ่งที่เธอเห็นแล้วต้องอ้าปากค้าง

     

    หมาป่าดำปีนขึ้นไปเหยียบบนขอบหน้าต่างแล้วกระโดดออกไปทั้งอย่างนั้น

    "เข้าทางตรอกออกทางประตูสิคะเฮ้ย!!.."

    เอมี่ตะหวาดไล่หลังลงไปเธอรีบจ้ำไปที่หน้าต่างซึ่งทอลกระโดดลงไปแล้วมองออกไปด้านนอก จากหน้าต่างห้องชั้นที่สองของวังลอยฟ้าที่อยู่สูงเป็นพัน ๆ กิโลเมตร ยังจะมีคนสติดีที่ไหนกล้ากระโดดออกจากหน้าต่างที่ความสูงขนาดนี้อีก

     

    "ไม่ใช่ว่าร่วงลงไปแล้วนะ..."

    เฮลไรเซอร์สาวพึมพำด้วยสายตาเป็นกังวล คิ้วของหล่อนขมวดเข้าหากันระหว่างกวาดสายตามองหาทอล ไปรอบพระราชวังแล้วตอนนั้นเอง เธอก็เห็นจนได้ว่าทอลกำลังวิ่งไปตามระเบียงทางเดินที่เชื่อมไปยัง เทอมินัลสำหรับเคลื่อนย้ายลงไปที่พื้นโลก

     

    "ซุกซนเหลือหลายเลยนะคะเนี่ย"

    เอมี่พูดพลางทำเสียงจิกจักอยู่ในปากก่อนจะผละออกจากหน้าต่างเพื่อไล่ตามไป

     

    ...............................

     

    บนเส้นทางนอกตัวพระนครแห่งแสง

    วิวทิวทัศน์ริมทางนั้นมองเห็นแต่ไร่นากว้างไกลจรดเส้นขอบฟ้า

    ถนนเป็นดินลูกรังยามที่เดินย่ำลงไปฝุ่นควันสีแดงก็จะปลิวกระจายขึ้นไปในอากาศ

     

    ทอลก้าวเท้าเร็ว ๆ ไปบนถนนลูกรัง แล้วยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้นเมื่อ...

     

    "คุณทอลค้า!!!! "

    ในที่สุดจากการจ้ำเท้าเดินเร็วก็กลายเป็นแข่งวิ่งกรีฑาไป

     

    เอมี่ไล่กวดเข้ามาพร้อมกับโบกไม้โบกมือที่ติดเอาชุดเครื่องแบบสีดำมาด้วย

    "อย่าลืมใส่เสื้อสิค้า!!! "

    และทอลที่โกยสุดชีวิตด้วยร่างกายท่อนบนที่เปล่าเปลือย

     

    ให้ตายก็ต้องหนีเธอให้พ้นทอลก้าวขาด้วยความคิดเช่นนั้นแล้วก็ยิ่งก้าวเท้ายาวขึ้นอีก แต่เอมี่ก็ยังคงไล่ทัน หล่อนตามหลังมาติด ๆ จนแทบจะหายใจรดต้นคอ

     

    จนกระทั่งวิ่งออกจากเขตไร่สวนไร่นา ทอลก็หมดแรงและหยุดวิ่ง

    หอบหายใจแรงเนื้อตัวเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ สายตาของหมาป่าหนุ่มจ้องเขม็งไปยังเฮลไรเซอร์สาวน้อยที่ไล่ตามเขามาโดยไม่มีเหงื่อหรือแสดงอาการหอบให้เห็นแม้แต่น้อย เธอยื่นเสื้อมาให้แล้วก็บอกให้เขาใส่มันด้วยน้ำเสียงสดใส

     

    "เสื้อค่ะ ผู้พันย้ำมาว่าต้องให้คุณใส่มันให้ได้เลย"

    "ผู้พัน? "

    "หมายถึงคุณคามิโอค่ะ แล้วจะยอมใส่ได้รึยังคะ"

     

    ทอลพยักหน้าเบา ๆ แล้วรับเสื้อมา ทันทีที่สวมใส่มันก็รับรู้ได้ว่าความชั่วร้ายอันว่างเปล่าได้ถ่ายเทเข้ามาในร่างแต่ไม่ใช่ปริมาณที่มากจนเกิดผลกระทบกับร่างกาย

     

    "แหมใส่แล้วขึ้นน่าดูนะคะเนี่ย"

    เอมี่ออกปากชม ทอลเมินคำพูดนั้นแล้วเริ่มมองสำรวจว่าตัวเองวิ่งมาถึงไหน

    สถานที่แห่งนั้นคือพื้นที่ชายป่านอกเมืองที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรผ่านไปมานัก

    เบื้องหน้าที่พวกเขายืนอยู่นั้นมีโพรงถ้ำที่ถูกขุดโดยฝีมือสัตว์หางเพราะมีการสร้างคานรับน้ำหนักค้ำเพดานถ้ำรวมถึงภายในก็มีจุดคบไฟเอาไว้ให้ความสว่างเหมือนกับจะเป็นเหมืองขุดแร่

     

    ทอลจ้องมองลึกเข้าไปในภายในถ้ำ เหมือนมีอะไรดลใจให้อยากเข้าไปสำรวจทั้งที่เขาก็เคยมาเทียวเล่นที่นี่กับนิโค่บ่อย ๆ

     

    "เอ่อ"

    เอมี่ส่งเสียงขึ้นมา

    "จะเข้าไป...ในนั้นเหรอคะ"

    เธอชี้ไปที่ถ้ำ สีหน้าหวาดผวาเล็กน้อยราวกับกลัวอะไรในถ้ำนั่น อย่างไรเสียนี่เป็นโอกาสดีที่จะสลัดหลุดได้

     

    "อื้ม ในนั้นดูน่าสงสัย"

    ทอลตอบคำถามแล้วส่งมือให้เธอพร้อมกับถามกลับไป

    "จะไปด้วยกันไหม"

     

    เอมี่ส่ายหน้าเร็ว ๆ เธอแสดงอาการขยาดแบบเห็นได้ชัด

    "ไม่เอาล่ะค่ะเชิญคุณคนเดียวเถอะ"

    เฮลไรเซอร์สาวพูดออกมาอย่างนั้น

     

    ทอล อมยิ้มจากนั้นก็เดินเข้าหาถ้ำทันที

    "งั้นชั้นไปก่อนนะ"

    แล้วพูดด้วยน้ำเสียงลิงโลด ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในถ้ำ

     

    ภายในถ้ำมีแมลงหนาม(Needle Bug)อาศัยอยู่มากแต่พวกมันไม่ได้ดุร้ายพอจะเข้ามาโจมตีหากไม่ไปยุ่งกับมันก่อน ดังนั้นทอลจึงเดินสำรวจไปโดยที่เมินพวกมันสนิทใจ

    จะมีที่ต้องระวังก็คือพวกเอเลเมนทัลแห่งพื้นดิน กาดิน่า ที่เฝ้าอารักขาพื้นที่บางส่วนของถ้ำเอาไว้ จากการมาสำรวจที่แห่งนี้กับนิโค่ ที่จริงมันไม่ใข่การสำรวจแต่เป็นการเล่นซ่อนหา ที่ใช้ฝึกไปในตัวได้ด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม นิโค่ที่เป็นแค่ลูกแมวตัวกะเปี้ยกเดียวถึงร่อนไปมาในถ้ำแห่งนี้ได้ราวกับเป็นบ้าน

     

    ในขณะที่เขาเล่นเป็นคนหานั้นต้องสวมวิญญาณผู้กล้าช่วยเจ้าหญิงบุกตะลุยฝ่าดงฝูงแมลงหนามที่กระจุกปิดทางเดิน หรือแม้แต่ฟัดกับ กาดิน่า รวมไปถึงเผชิญหน้ากับการหลงทางและทางตันอีกนับไม่ถ้วนภายในเหมืองที่สลับซับซ้อนแห่งนี้ เลยปฏิเสธไม่ได้ซะทีเดียวว่าการเล่นกับนิโค่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไปด้วย ไม่ต้องพูดถึงฟาลูกแกะหญิงตัวน้อยที่มักเป็นเพื่อนเล่นกับนิโค่บ่อย ๆ ถึงเธอจะขี้กลัวขี้กังวลอยู่บ้างแต่ถ้าตัดเรื่องภาวะจิตใจแบบเด็กผู้หญิงออกไปเธอมีทักษะร่างกายและพลังเวทย์เกินกว่าเด็กในวัยเดียวกันอยู่มาก

     

    ทอลเดินไปพลางคิดเรื่อยเปื่อย เดินแบบไม่มีจุดหมายวนไปวนมาอยู่ในถ้ำ อันที่จริงไม่ถึงกับไร้จุดหมายซะทีเดียวเขาเดินไปตามแรงดึงดูดของอะไรบางอย่างที่กลใจให้เขาเดินไป และในที่สุดแรงดลใจก็นำเขามาถึงทางตัน

     

    "สรุปว่าคิดไปเองสินะ"

    ทอล กอดอกมองกำแพงตรงหน้าท่าทางเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วเตรียมจะเดินกลับไปทางเก่า แต่แล้วกลับมีเสียงดังแว่วมาจากทางกำแพง

     

    "เข้ามาสิ"

    ทอลหันกลับไปมองทันทีแต่ก็ไม่พบใครหรืออะไรที่จะส่งเสียงเรียกได้

     

    "เข้ามาหลังกำแพงนี่สิ"

    เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง และทอลมั่นใจว่ามันดังมาจากทางกำแพงจริง ๆ

    ถึงจะดูไม่น่าไว้วางใจแต่ความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะสัญชาตญาณการระแวงภัยลงได้ ทอลเดินเข้าไปหากำแพงแล้วยื่นมือไปสัมผัสมัน

    ผิวสัมผัสของกำแพงหยาบและแน่นไปด้วยชั้นหินหนาเตอะจนเหลือเชื่อที่จะมีเสียงดังมาจากอีกฟากของกำแพงได้

     

    ทันใดนั้นเองก็มีมือโผล่ออกมาจากกำแพง มันคว้าแขนของเขาเอาไว้

    "เหวอ! "

    ทอลร้องผวา พยายามแกะมือนั้นออก เขาออกแรงยื้อสู้กับแรงดึงจากมือนั่น จนกระทั่งมีเสียงดังมาอีก

    "ไม่ต้องกลัวนี่แค่จะพามาหาประตูเข้าเอง"

     

    มันว่าอย่างนั้น ถึงจะดูน่าสงสัยก็ตาม ทอลหยุดยื้อแล้วปล่อยให้แขนนั้นลากตัวเขาไป

    ร่างของเขากระแทกเข้ากับผนังแต่กลับทะลุผ่านไปราวกับผังเป็นเพียงภาพลวงตา

    แล้วพริบตาต่อมาตัวเขาก็มาโผล่อยู่อีกฟากของกำแพงที่น่าตกใจ

     

    เบื้องหลังกำแพงนั้นคือโถงขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยเสาค้ำวิหารสีขาว ตรงใจกลางนั้นมีรูปศักดิ์การะประทับตั้งอยู่เป็นรูปปั้นของสัตว์หางเผ่าหมาป่า

     

    ทอลเพ่งสายตามองไปที่รูปศักดิ์การะนั่นจากรายงะเอียดของมันบอกได้เพียงว่ามันคือรูปศักดิ์การะของเฟิร์สวูฟ หางหมาป่าตนแรกที่กลายเป็นผู้กล้ากอบกู้โลกจากภัยพิบัติในเวลาต่อมา

     

    "กำลังรออยู่เลยผู้แปดเปื้อน"

    เสียงที่เคยได้ยินจากหลังกำแพงดังแว่วมาจากทางด้านหลัง ทอลหันไปยังต้นเสียง

    พลางจิกปากว่าตัวเองที่เอาแต่ตะลึงไปกับความยิ่วใหญ่ของสถานที่แห่งนี้จนกระทั่งลืมป้องกันตัว เขาไม่ได้พกดาบมา จะใช้พลังของหายจื้อสร้างดาบจากเลือดคงจะไม่ทันการ... ถ้างั้นก็ต้องใช้ร่างกายเป็นอาวุธ หมาป่าหนุ่มคิดได้ดังนั้นก็ตั้งการ์ดแขน แล้วยกการ์ดขาข้างหนึ่ง แบบท่าตั้งการ์ดมวยไทย

     

    "ขี้ระแวงไม่เปลี่ยนเลยนะทอล"

    เจ้าของเสียงเป็นหมาป่าหนุ่มขนกายสีเขียวใบหน้าที่มีสายตาฉายแววแห่งความจริงจังออกมาทำให้เกือบจำไม่ได้ แต่เพราะเคยเจอกันมาสองครั้งแล้ว ครั้งแรกคือที่โคลอสเซียม ครั้งที่สองตอนที่อยู่ในเมือง และนี่ก็เป็นครั้งที่สามแต่ถึงเคยเจอกันก็ไม่เคยพูดคุยด้วยก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้รู้ชื่อของตน

     

     

    "ตกลงผู้แปดเปื้อนที่อาจารย์ฝากชำระคือนายเองหรอกเรอะ"

    นายหมาป่าเขียวบ่นอุบอิบอย่างเซ็ง ๆ

     

    "..."

    ทอลยังคงสังเกตุการณ์ต่อไปโดยไม่เอ่ยพูดอะไร เขาวางขาที่ตั้งการ์ดลงแต่ยังไม่ลดการ์ดแขนนั่นเพราะในมือของอีกฝ่ายยังจับดาบอยู่

     

    "อะไรเนี่ยอย่าบอกนะว่าจำกันไม่ได้น่ะ"

    หมาป่าเขียวชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

    แต่ทอลส่ายหน้า

    "นายเป็นใครกันชั้นไม่รู้จักถึงจะเคยเห็นนายมาสองครั้งแล้วก็เถอะแต่จำไม่ได้เลยว่าเคยคุยกันตอนไหนหรือเมื่อไหร่"

    แล้วพูดออกไปตามตรง พอเห็นแบบนั้นเข้าหมาป่าเขียวก็ถอนหายใจพลางปั้นหน้าเสียดายซะเต็มประดา

     

    "ทั้งที่เรียนเบลดมาสเตอร์รุ่นเดียวกันเนี่ยนะ"

    คำพูดนั้นทำให้ฉุกคิดขึ้นมาได้ ทอลทุบมือตัวเอง

    "อ๋อ ชาร์น่ะเอง"

     

    "ถูกต้อง!!"

    ชาร์ทำมือสองข้างชี้นิ้วชี้มาหาพลางขยิบตาซ้ายแล้วเหยียดยิ้มแจ่มใส

    "ที่ได้ที่สามตลอดศก"

    คำพูดนั้นตามออกไปเองโดยอัตโนมัติทันทีที่นึกถึงเพื่อนสมัยเรียนคนนี้ และนั่นก็ทำให้ใบหน้าซึ่งเคยสดใสกลายเป็นห่อเหี่ยวไปในทันที

     

    "เจอหน้าก็ลืมกันพอจำได้ล่ะดันจำไอเรื่องแบบนี้ได้ด้วยนะใจร้ายว่ะทอล"

    ชาร์เปรยเศร้าๆ ด้วยความน้อยใจใบหูที่ครอบคลุมไปด้วยขนสีเขียวขจีราวกับทุ่งหญ้านั้นลู่ตกลง

     

    "อะ...เอาน่าก็คนมันเจอเรื่องมาเยอะก็ต้องมีลืมกันบ้างน่าเพื่อน"

    ทอลพูดปลอบจากนั้นก็โอบไหล่เพื่อนที่กำลังจิตตกอย่างสนิทสนมเหมือนในอดีต

    ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง

     

    "ว่าแต่นายมาทำอะไรที่นี่กันแน่จะว่าไปที่รี่มันที่ไหนกันหือ"

    พูดพร้อมกับเปลี่ยนแขนที่โอบไหล่มาเป็นรัดคอแล้วย้ายอีกมือมาจะโอบแขนทั้งสองข้างเข้าไปติดกับลำตัวเป็นท่าล็อกแบบมาตรฐาน ที่ถูกฝึกมาสมัยเรียนวิชาทหาร

    ถึงเป็นอดีตเพื่อนแต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะไม่โดนประสงค์ร้ายการที่พาเข้ามาในที่แปลกประหลาดอย่างนี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะสงสัยแล้ว

     

    แต่ชาร์เหมือนจะรู้ทัน พริบตาที่แขนของทอลย้ายเข้ามาจึงรีบกางแขนออกทำให้มีแขนขวาที่รอดจากการโดนรวบ แล้วพลิกตัวเข้าหาพร้อมกับใช้แขนที่รอดมาโอบหลังคอของทอลกลับ จากนั้นก็ปล้ำยื้อกันไปกันมาอยู่อย่างนั้น

     

    "นี่แก...คอดจะทำอะไรชั้นกันแน่!"

    ทอลคำราม

    "แกนั่นแหละจู่ๆ ทำอะไรฟระคนเป็นเพื่อนเขาทักทายกันแบบนี้เรอะ!"

    ชาร์แยกเขี้ยวใส่

     

    ยื้อกันไปได้พักหนึ่งทั้งคู่ก็พากันล้มกลิ้งลงไปแต่ยังคงปล้ำกันนัวเนียอยู่แบบนั้น ทอลเสียเปรียบตรงที่ก่อนจะเข้ามาถึงที่นี่เขาใช้แรงหมดไปกับการหนีจากเอมี่แล้ว จึงเป็นฝ่ายปราชัยซะเอง

     

    "ในที่สุดก็ยอมหยุดฟังกันซักทีนะ"

    ชาร์พูดพลางหอบหายใจ แต่ทอลเป็นยิ่งกว่านั้น

     

    "อ...เออ...ตกลงแล้ว...แกเป็นมิตร...หรือศัตรูกันแน่"

    น้ำเสียงเหนื่อยล้าสลับกับเสียงหอบหายใจออกมาเป็นพัก ๆ นั่นคือทั้งหมดเท่าที่ร่างกายของเขาจะเอื้ออำนวยให้

     

    "คราวหลังก็ถามกันดีๆ ก่อนสิฟระอยู่ๆ มาล็อกคอกันแบบนั้นใครที่ไหนมันจะไปคัยด้วยฟระ"

    ชาร์บ่นก่อนจะลุกออกจากตัวของทอลแล้วช่วยฉุดให้ลุกตามขึ้นมา

    เพื่อนกึ่งสนิทจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งระหว่างนั้นมีแต่ความเงียบงันเกิดขึ้นภายในห้องและเสียวหอบหายใจของเด็กหนุ่มทั้งสอง

    จนกระทั่งลมหายใจกลับมาเป็นปกติ ชาร์จึงเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยกล่าวทำลายความเงียบนี้

     

    "เข้าเรื่องเลยนะอาจารย์ชั้นบอกว่าวันนี้จะมีคนมาหาให้ชั้นช่วยชำระล้างความแปดเปื้อนให้แต่ไม่นึกว่าจะเป็นนายนี่หว่า"

     

    "อาจารย์?"

    ทอลเลิกคิ้วขึ้นหลังจากได้ยินที่พูดไป

    "นายมาเรียนอะไรอยู่ในที่แบบนี้เหรอแล้วใครเป็นอาจารย์นาย"

     

    ชาร์แค่นเสียงหัวเราะ

    "หึ ได้ยินแล้วจะตกใจอาจารย์ของชั้นตอนนี้คือท่านเฟิร์สวูฟในตำนานเลยนะจะบอกให้"

    แล้วพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ แต่ทอลกลับงงยิ่งกว่าเก่า

     

    "หา!? เฟิสวูฟน่ะตายไปเป็นพันปีแล้วไม่ใข่เหรอ"

    "ก็เพราะงั้นแหละถึงได้เรียนอยู่กับวิญญาณนี่ไง"

    "วิญญาณ! แปลว่าตอนนี้แกเป็นผีไปแล้วอ่ะดิ"

    "ไม่ใช่เว้ย!!"

    ชาร์ตะหวาด

    "ฟังให้จบก่อนสิว้านายเนี่ยถามยิบถามย่อยอยู่นั่นแหละ"

    ได้ยินดังนั้นทอลจึงพยักหน้าแล้วเงียบเสียงตั้งใจฟังโดยไม่ถามแทรกอีก

     

    "เรื่องมันมีอยู่ว่า ชั้นน่ะนะโดนพวกที่มีวงแหวนสีดำเล่นงานมามันฆ่าพวกพ้องชั้นไป..."

    สีหน้าของชาร์ดูเจ็บปวดขึ้นมา ทอลรู้อยู่แล้วว่าชาร์เป็นคนรักพวกพ้องยิ่งกว่าตัวเขาเองซะอีกถึงจะเป็นกับคนที่ไม่ได้สนิทสนมกันแน่นแฟ้นแต่ถ้าเคยคุยกันชาร์ก็จะถือคนๆ นั้นเป็นเพื่อนสนิท

     

    "แล้วชั้นเองก็เกือบจะโดนพวกมันฆ่าเอาเหมือนกันแต่ก็รอดมาได้แบบหวุดหวิด จะเพราะอะไรก็ไม่รู้ล่ะแต่มีแสงสว่างวาบออกมาตอนนั้นพอดีพวกมันก็เลยหนีไป ส่วนขั้นที่บาดเจ็บปางตายก็ตกลงมาจากเนินข้างบนถ้ำนี่ แล้วก็มารู้สึกตัวอีกทีที่วิหารศักดิ์การะท่านอาจารย์เนี่ยแหละอ้อจริงด้วยสิยังไม่ได้บอกเรื่องอาจารย์เลยนี่นะ ความจริงแล้วตอนนี้ขั้นใากตัวกับอาจารย์เพื่อเรียนพลังที่เรียกว่าลิมิตเบรกอยู่ล่ะถ้าสำเร็จสิชาเมื่อไหร่ก็จะไปล้างแค้นเจ้าพวกวงแหวนดำนั่น "

     

    เมื่อชาร์ทำท่าเหมือนว่าจะเล่าทุกอย่างหมดแล้วและเปิดโอกาสให้ถาม

    ทอลก็ไม่รอช้า

     

    "พวกวงแหวนดำที่นายเจอน่ะชั้นเองก็กำลังลำบากกับมันอยู่พอดี"

    "ก็กะอยู่แล้วล่ะเพราะท่านอาจารย์บอกให้ชั้นช่วยชำระนายแสดงว่าถูกพวกมันเทิร์นนิ่งมาสินะ"

    น้ำเสียงของชาร์เปลี่ยนไป สายตาของเขาดูจริงจังขึ้น

     

    "ใช่แต่ว่าตอนนี้ชั้นหลุดพ้นจากมันมาได้แล้ว"

    "ก็ไม่แน่หรอกว่ามันอาจจะกลับมายึดร่างนายอีก อย่างน้อยๆท่านอาจารย์ของชั้นก็เป็นคนชำระล้างให้นายเมื่อคืนใข่ไหมล่ะ"

     

    "เมื่อคืน..."

    ทอลพึมพำออกมาพลางนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาจำได้ถึงตอนที่ตัวเองลงมือทำร้ายกษัตริยาแต่ต่อจากนั้นก็นึกอะไรไม่ออกแล้ว

     

    "ไม่รู้สิชั้นจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่"

    เขาตอบไปตามตรง

     

    "ช่างเถอะเอาเป็นว่าชั้นช่วยทำให้มันหายไปแบบถาวรได้แล้วก็ละกันยังไงนี่ก็ถือเป็นการฝีกฝนไปในตัวด้วย"

    ชาร์ตัดบทสนทนาด้วยการเก็บดาบที่หลุดไประหว่างปล้ำกันขึ้นมาแล้วตั้งท่าจับดาบ

     

    "เอาล่ะอยู่เฉยๆ นะชั้นจะฟาดคลื่นแสงใส่นายแบ้วก็ชำระล้างมันออกไปไม่เจ็บหรอกเพราะงั้นอย่าหลบล่ะ"

     

    แต่แล้วทอลกลับแทรกขึ้นมาว่า

    "เดี๋ยวก่อน"

    ทำให้ชาร์หยุดมือค้างอยู่ในท่าเงื้อดาบ

     

    "คือว่าถ้าจู่ๆ พลังของพวกมันหายไปจากตัวชั้นล่ะก็คงถูกสงสัยแน่"

    "อ้าวก็แหงสิแต่ถ้าไม่ชำระมันจะอันตรายนาเพราะงั้น..."

    "เดี๋ยวๆ "

    ทอลพยายามห้ามโดยการเข้าไปจับแขนของชาร์ไว้ไม่ให้ทำอะไรหุนหันพลันแล่นได้

     

    "อะไรอีกเนี่ยโว๊ะ!"

    ชาร์ขึ้นเสียงด้วยคสามรำคาญ

     

    "คือว่านะถ้าชั้นจะขอเหลก็บสภาพแบบนี้ไว้ก่อนจะได้รึเปล่า"

    "หาแล้วจะเก็บไว้ทำไมล่ะนั่น?"

    "ไม่ใข่นายคนเดียวหรอกนะที่เจ็บใจพวกมันน่ะชั้นเองก็เหมือนกันโดนควบคุมร่างกายให้ไปทำร้ายพวกพ้องถทำร้ายคนสำคัญมาเพราะงั้นขั้นเอวก็อยากจะเอาคืนพวกมันบ้าง"

     

    "นายมีความคิดอะไรอยู่แล้วสิท่า"

    "อืม คือว่านะชั้นน่ะลองคิดๆ ดูแล้วก็เลยกะว่าจะเล่นละครตบตาเพื่อหาช่องทางที่จะจัดการกับตัวหัวหน้าของพวกมันให้ได้ก่อนเพราะงั้นเลยอยากจะคงสภาพนี้ไว้ก่อน"

     

    "งั้นเองเหรอ"

    "แต่ว่ามันอันตรายนาถ้าพลาดขึ้นมาได้กลับไปเป็นเทิร์นนิ่งอีกแน่"

    "ไว้ตอนนั้นก็ช่วยชั้นด้วยแล้วกัน เชื่อใจนายนะ"

    "เออ ถ้าถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนชั้นจะรีบบึ่งไปช่วยเดี๋ยวนั้นเลยเพื่อน"

    "ขอบใจ"

     

    .............................

     

    "อ้าวกลับมาแล้วเหรอคะ"

    น้ำเสียงใสของเอมี่รอต้อนรับ ทอลที่เดินออกมาจากถ้ำพอดิบพอดีราวกับคำนวนไว้

    หมาป่าหนุ่มส่งยิ้มแห้งๆ แทนการตอบรับต่อใบหน้าชื่นบานของเธอ

    แล้วตอนนั้นเอง เอมี่ก็...

     

    "ถ้างั้นขอทดสอบหน่อยเถอะค่ะว่าคุณเป็นคนทรยศของพวกเรารึเปล่า"

    หวดค้อนยักษ์ที่โผล่มาราวกับเสกได้

    แต่ทอลแค่ขยับออกข้างไปเพียงก้าวเดียวก็หลบค้อนนั้นได้อย่างง่ายดาย

     

    "อะไรอีกล่ะเนี่ย"

    ทอลถามแต่เอมี่ก็ดึงค้อนแล้วเหวี่ยงใส่อีกครั้ง

     

    "อย่ามาทำเป็นไก๋ค่ะ ถ้าคุณยังเป็นพวกเดียวกับเราอยู่ก็น่าจะรู้ว่าในถ้ำนั่นมีพลังที่เป็นปฏิปักษ์กับพวกเรา ฮะ ฮะ"

    แล้วหล่อนก็หัวเราะเซ่อๆ ค้อนที่เหวี่ยงใส่เป็นครั้งที่สอง ทอลยังคงหลบมันได้

     

    "แล้วต้องทำยังไงเธอถึงจะเชื่อว่าเราเป็นพวกเดียวกันล่ะ"

    "แสดงพลังสิคะถ้าทำให้ฉันอึ้งได้ก็แสดงว่ายังเป็นพวกเดียวกันแต่ว่า..."

    เอมี่ย้ายมือไปจับที่กลางด้าบถือของค้อนแล้วเริ่มควงมัน

     

    "หากว่าเป็นคนทรยศคุณทอลก็จะต้องบี้แบนอยู่ที่นี่แล้วกลายเป็นเฮลไรเซอร์นะค้า~"

     

    ได้ยินดังนั้นทอลก็แค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก

    "เฮอะ เล่นง่ายสมกับเป็นบทผู้ร้ายเลยนะเอางั้นก็ได้"

    แล้วพูดออกมาอย่างนั้น และนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่คุยกับชาร์

     

    'ก็จริงอยู่ที่ว่าทิ้งเอาไว้แบบนี้นายสามารถควบคุมพลังของพวกมันที่อยู่ในตัวออกมาใช้ได้แต่ระหว่างใช้จะต้องควบคุมอารมณ์เอาไว้ให้ดีล่ะถ้าเผลอปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจะตกเป็นเหยื่อของมันได้ง่ายกว่าเดิม'

     

    "จะใช้ได้รึเปล่านะ"

    ทอลพึมพำกับตัวเองแล้วสูดลมหายใจเข้าเพื่อตั้งสมาธิ พลางรำลึกถึงช่วงเวลาที่ต้องอดทนอดกลั้นต่อความรู้สึกของตัวเองในช่วงที่โลกิถูกศาสนจักรเนรเทศ ความอดทนกว่าครึ่งปีเขาจะต้อบทำมันให้ได้อีกครั้งสะกดข่มอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ไหลไปกับกระแสพลังของเทิร์นบริงเกอร์

     

    "จงฟาดฟันโลกใบนี้แล้วย้อมมันด้วยความตายอันมืดมิดดาบต้องสาปเอ๋ย"

    ทันทีที่ประกาศใช้พลังก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันชั่วร้ายกำลังไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เครื่องแบบทหารสีดำแดงที่ใส่อยู่มีปฏิกิริยากับพลังและแผ่ออร่าสีดำออกมา

    เกิดเสียงมากมายขึ้นภายในหัว

     

    ฆ่ามันซะ!

    ย่ำยีมันซะ!!

    ทำให้มันสิ้นหวังไปซะ!!!

    มอบความหวังบิดเบี้ยวแก่มันแล้วทำให้มันกลายเป็นทาสเซ่!

     

    ทั้งหมดเป็นคำพูดที่แสดงจิตใจฝ่ายต่ำออกมา นี่คือสิ่งที่ชาร์หมายถึงแต่ทว่า...

     

    "หยาจื้อส่งพลังมาซะ"

    ทอลพูดด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ พร้อมกับกางแขนออก ดาบวงแหวนปรากฏขึ้นในมือทั้งคู่ หมาป่าดำจับดาบแวงแหวนไว้แล้วไฟสีรัตติกาลก็แผดแผาวงแหวนทั้งสอง ด้วยการใช้พลังของหยาจื้อเสริมกำลังของตัวเองเข้าข่มพลังของเทิร์นบริงเกอร์ เป็นการเอาชนะความบิดเบี้ยวด้วยความบ้าคลั่ง ดูเผินๆ แล้วออกจะเป็นวิธีที่บ้าดีเดือดเกินไปหน่อยแต่เหมือนจะได้ผล เสียงเริ่มสงบลงแล้ว

     

    "เดลฟิงเกอร์ดาก้อน!! (Tyrfinger Dagon)"

    ทอลตวัดดาบเข้าหากันไฟที่แผดเผาดาบก็พลันดับสลาย ส่วนตัวดาบนั้นรูปร่างเปลี่ยนไปแล้ว มันกลายเป็นดาบยาวที่มีลักษณะเหมือนกับไม้กางเขน ใบดาบเรียวแบบกระบี่

    ตัวดาบทำจากวัสดุสีดำแบบเดียวกับดาบวงแหวนหรือก็คือพลังแห่งความว่างเปล่า

    ในตอนนั้นเองที่ความเจ็บปวดเกิดขึ้น

    "อึก"

    ทอลส่งเสียงคราง พยายามกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดที่ว่าแต่เสียงในหัวกลับยิ่งถาโถม

     

    ...อาละวาด...ทำลายล้าง...สะบั้นทุกอย่าง...เอาความตายมาสังเวยอีก...

     

    "หุบปาก!!"

    ทอลสบถใส่เสียงพวกนั้น แล้วเงื้อดาบจะฟันเอมี่ แต่เธอดึงค้อนกลับมารับดาบได้ทันแบบหวุดหวิด

     

    "อะไรคะเนี่ย?"

    เอมี่มองด้วยสายตาฉงนงงงวย แต่เรื่องเซอไพรส์ก็ยังไม่หมดเท่านั้น

    ในเมื่อผู้ที่ไม่ได้ตกสู่ความว่างเปล่าพยายามจะควบคุมความว่างเปล่าให้เชื่อฟังนั่นเท่ากับเป็นการท้าทายต่อความทรมานที่ราวกับตกนรกทั้งเป็น ตลอดหนทางจะเต็มไปด้วยการล่อลวงให้จิตใจจมสู่ด้านมืด และ ความเจ็บปวดในยามที่ไม่ทำตาม

     

    วงแหวนสีดำปรากฏขึ้นด้านหลังทอลอย่างสมบูรณ์ จิตใจใกล้จะถูกกลืนอีกครั้ง

    ทันใดนั้นเสียงของหยาจื้อก็ดังแว่วมา

    "จะไหวเหรอทอลนี่สุดกำลังผมแล้วนะถ้ายังฝืนไปมากกว่านี้..."

    "ช่างมันเถอะน่า!!"

    ทอลตะหวาด แล้วดึงดาบจากนั้นจึงถอยทิ้งระยะห่างจากเอมี่

     

    "ไฟนอลมูฟ เทิร์นนิ่งเอ็กซีคิวชั่นโอเวอร์โหลด!!!"

     

    >>>T.Execution Overload<<<

     

    พริบตาหลังจากที่ประกาศใช้ไฟนอลมูฟ เศษเสี้ยวแห่งความว่างเปล่าในรูปของวงแหวนสีดำไขว้กันสองวงจำนวนหลายสิบคู่กระจายตัวออกมาโดยมีทอลเป็นศูนย์กลาง

     

    "ห๊ะ.."

    เอมี่อุทานได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก และเพราะแบบนั้นเธอจึงรอดจากการถูกโหลด แต่นั่นก็เพราะทอลคำนวณไว้แล้วจากการทิ้งระยะเมื่อครู่หากเธอไม่ขยับเศษเสี้ยวแห่งความว่างเปล่าก็จะบินผ่านเธอไปโดยไม่สัมผัสโดน

    ต้นไม้และสิ่งของรอบตัวพวกเขาถูกโหลดเก็บลงในหน่วยความจำอันว่างเปล่าของจักรวาล ที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมสีดำสนิทและถูกล้อมด้วยวงแหวนสีดำไขว้กันสองวง

     

    "..."

    ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกราวกับเวลาหยุดลงแค่ตรงนั้นทั้งเอมี่ ทั้งทอล พวกเขาไม่ขยับก้าวไปไหน ราวกับจะรออะไรจากอีกฝ่ายอยู่

     

    ในที่สุดเอมี่ก็เริ่มเคลื่อนไหวหล่อนเริ่มควงค้อนอีกครั้ง ทอลจึงรีบตั้งท่าสู้

    "ไม่จำเป็นแล้วค่ะ เชื่อแล้วว่าคุณยังเป็นพวกของเราอยู่"

    หล่อนพูดอย่างนั้นก่อนจะทำให้ค้อนหายไปเหมือนมีเวทมนต์

    แล้วเธอก็โค้งให้เขาอย่างนอบน้อม

     

    "ต้องขออภัยที่เสียมารยาทไป ตัวดิฉันนั้นเป็นเฮลไรเซอร์ที่อยู่ในระดับเดียวกับปิเอโร่คลาวน์ (Piero Clown) นั่นทำให้เราอันดับเท่ากัน แต่เมื่อซักครู่ท่านทอลได้แสดงพลังควบคุมการโหลดอันสมบูรณ์แบบออกมาจึงเชื่อได้ว่าท่านได้เลื่อนขึ้นเป็นโจ๊กเกอร์คลาวน์ (Joker Clown) แล้วการสงสัยท่านโจ๊กเกอร์นั้นถือเป็นเรื่องไร้สาระต้องขอภัยเป็นอย่างยิ่ง"

     

    ดูเหมือนว่าพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นทั้งที่ฝืนควบคุมมันเลยกลายเป็นว่าถลำลึกลงไปกว่าเดิมแทน ยังไงก็ตามตอนนี้เขาก็ยังคงประคองสติและควบคุมตัวเองได้นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี ทอลคิดแบบนั้นแล้วลดดาบลง

     

    "ถ้ายังไงจะขอทราบนามแห่งโจ๊กเกอร์ที่ไรับจากวอยด์สตาร์ได้ไหมคะ"

    จู่ๆ หล่อนก็ถามออกมาแบบนั้น ทำให้ไม่ทันตั้งตัว

    ทอลพยายามนึกหาว่ามีอะไรที่พอจะตอบคำถามนี้ได้ แล้วก็นึกออกได้แบบปุบปับ

     

    "ดาราจุติ..."

    ทอลเอ่ยขึ้นมาและพยายามนึกที่เหลือต่อ ความรู้สึกของตัวเองบอกว่านี่คือคำตอบ และความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นตอนที่เขาใช้ไฟนอลมูฟท่าใหม่ไปเมื่อกี้ด้วยเช่นกัน

    ราวกับรับรู้ได้ด้วยตัวเอง

     

    "ดาราจุติ เฟนริล โอเวอร์โหลด (Star-Vatar Fenrir Overload)"

     

    "รับทราบค่ะท่านโอเวอร์โหลดโจ๊กเกอร์ ดิฉันเอมี่จะขอรับใช้บัญชาของท่าน แต่ก่อนหน้านั้นมีเรื่องที่ต้องการจะแจ้งให้ทราบ"

    แล้วเอมี่ก็เงยหน้าขึ้น

     

    "เกี่ยวกับบุคคลที่ท่านโอเวอร์โหลดโจ๊กเกอร์ได้ทำให้เขากลายเป็นเฮลไรเซอร์ เด็กชายเผ่าค้างคาวที่ชื่อว่าไดซ์ตอนนี้สูญเสียการควบคุมค่ะ"

     

    "ไดซ์น่ะเหรอ!?"

    ทอลทำตาโตด้วยความตกใจ

     

    "ใช่ค่ะ จากรายงานของเดเมี่ยนดูเหมือนว่าจะคุ้มคบั่งเพราะความแค้นก่อนตายและตอนนี้เข้าตัวก็กำลังรุดหน้าไปที่สภาเวทหอคอยแห่วน้ำแข็งแล้วด้วย"

     

    "สภาเวทเหรอที่นั่นมันมีอะไรกัน"

    "คนที่สังหารเขาจนตายไงล่ะคะ เป็นลูกน้องของผู้พันเอ้ย.. คามิโอ ที่ใช้ให้ไปยึดสภาเวทเพื่อแผนการณ์ เป็นเดมิก็อดชื่อว่า เวเนโร่ (Venero)"

     

    "เจ้านั่นเป็นคนที่ฆ่าไดซ์อย่างงั้นเหรอแต่ว่า..."

    ไดซ์ถูกสกายบัคฆ่าตายไม่ใช่ความจริงเสียแล้วเรื่องนี้น่าจะมีเงื่อนงำบางอย่าง

     

    "ชั้นจำได้ว่าไดซ์ถูกสกายบัคฆ่าตายนะทำไมถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้"

    "ไม่รู้สิคะ เดเมี่ยนรายงานมาแค่นี้เองด้วยตอนนี้กำลังไล่ตามอยู่ก็เลยไม่ยอมรับสายน่ะค่ะ"

     

    พอได้ยินแบบนั้นทอลก็มีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา ทั้งเรื่องของไดซ์ที่ตัวตนแห่งความว่างเปล่าเป็นคนทำให้คืนขีพขึ้นมา ไหนจะปริศนาการตายของไดซ์ที่อยู่ๆ ก็มีคามิโอเข้ามาเกี่ยวข้องอีก เอมี่ที่เห็นแบบนั้นก็เหมือนรู้ใจเลยถามขึ้นมาว่า

     

    "ถ้ายังไงจะไปไหมคะที่สภาเวทน่ะ"

    "ได้เหรอ?"

    ทอลถามกลับทันควัน

     

    "ได้ค่ะเราจะไปกันด้วยสิ่งนี้"

    พูดเสร็จเอมี่ก็โบกไม้โบกมือทำท่าเหมือนกับร่ายเวทมนตร์ พริบตาต่อมาก็ปรากฏจักรกลรูปร่างปราดเปรียวขึ้นตรงหน้า

    "เจ้านี่คือมอเตอร์ไซค่ะเร็วกว่ามูโป้อีกนะ"

    "นี่เธอเป็นนักมายากลหรือไงเนี่ยดูเหมือนจะเสกได้เก่งพอๆกับเจ้าคามิโอเลยนะ"

    ทอล อดใจพูดเหน็บแนมไม่ได้เพราะวันนี้เธอทำเขาเซอไพรส์ด้วยการเรียกสารพัดของออกมาเหมือนเสกได้หลายต่อหลายครั้ง แต่ปีศาจสาวน้อยกลับหัวเราะคิกคักต่อคำถามเหน็บแนมนั้น

     

    "ผู้พันเก่งกว่าฉันอีกนะคะ"

    พูดแล้วปีนขึ้นไปซ้อนบนพาหนะจักรกลที่ว่าเร็วกว่ามูโป้ พาหนะที่เรียกว่ามอเตอร์ไซ

    ยามเมื่อเธอเสียบกุญแจลงไปที่เครื่องแล้วบิดที่คันเร่ง จักรกลก็ส่วเสียวคำรามดัง บรืน~ อย่างอึกทึก

     

    เอมี่เสกหมวกน่าตาประหลาดคล้ายกับเฮลเมตหรือเกราะหมวกแบบครอบทั้งศีรษะที่พวกไบซันใช้กันออกมาสองใบ เธอโยนใบหนึ่งมาให้

    "สวมหมวกกันน็อคแล้วขึ้นมาซ้อนท้ายเลยค่า"

     

    ทอลรับหมวกที่เธอโยนมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วสลับไปมองมอเตอร์ไซอีกสองถึงสามครั้งก่อนจะตัดสินใจใส่หมวกแล้วขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย

     

    "จับให้แน่นๆนะคะไม่งั้นร่วงไปคงเจ็บน่าดู"

    สาวเจ้ากล่าวอย่างนั้นแล้วบิดคันเร่งแบบไม่ให้สัญญาณ รถกระชากตัวพุ่งออกไปในทันทีจนทอลเกือบหงายหลังแต่คว้าเอวหล่อนไว้ทันพอดีเขาจึงยังไม่ร่วงตกจากมอเตอร์ไซ

     

    ...หลังจากทอลกับเอมี่ซิ่งมอเตอร์ไซออกไปแล้ว ก็ได้มีผู้มาเยือนถ้ำกลุ่มใหม่มาถึงพอดี

     

    "ท่านมอร์กาน่าคะเรามาถึงถ้ำแห่งหนามที่ท่านเซร่าบอกแล้วค่ะ"

    น้ำเสียงเปรี้ยวจี้ดของค้างคาวสาวแห่งลัทธิเงาเรียกกลุ่มของตนให้เดินตามกันลงมจากเนินข้างบนถ้ำ เป็นค้างคาวสาวอีกนางนั่นคือมอร์กาน่าของกษัตริยา และอีกหนึ่งคือเอเลเมนท์แห่งเงาเชดโฟร์ พวกเธอมาที่นี่ตามบัญชาของเซร่า

     

     

    ===Needles Cave===

     

    .............................................................

    .......................................

     

    ที่ทะเลทราย ภายหลังจากโลกิ ไป๋หวู่ และเรจิพ่ายแพ้ให้กับกองทัพแมลงของโมสโซลี่ เฟรย่ากับสองผู้เฒ่าเต่าก็ออกมาเผชิญหน้าแทน

     

    "ไฟนอลมูฟ เอ็กซีคิวชั่น ซอร์ดบลอง"

    เฟรย่าทุบไหเหล้าที่ดื่มหมดจนแตกแล้วเศษเสี้ยวเหล่านั้นก็กลายเป็นดาบแสงนับร้อยเล่ม ยามเมื่อดาบต้องแสงแห่งอาทิตย์ก็พลันเล่อนหายไปราวกับสายหมอกในยามเช้า

     

    "ดูให้ดีล่ะไอหนู ว่าวิธีต่อสู้จริงๆ เขาทำกันยังไง"

    พูดมาอย่างนั้นแล้วก็วิ่งนำกลุ่มออกไปหาศัตรูเอาดื้อๆ

     

    โลกิซึ่งรอดตายจากการโดนเหยียบมาได้ยังคงสับสนกับสถานการณ์และนั่งหน้ามึนอยู่ใต้เท้าของแมลงยักษ์ที่มีผู้เฒ่าเต่าแดงและเขียวช่วยกันยันเอาไว้

     

    เฟรย่าวิ่งเข้ามาหา จับคอเสื้อเขาแล้วเหวี่ยงจนร่างลอยละลิ่วไปตกข้างไป๋หวู่ที่นอนเคลอะน้ำลายแมลงโบราณอยู่ เมื่อแยกสามหนุ่มออกจากแนวรบได้แล้ว เหล่าผู้อาวุสโสทั้งสามก็อันตรธานหายไป.. ไม่ใช่...โลกิค้านความคิดตัวเอง พวกจตุรเทพไม่ได้หายไปแต่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนมองตามไม่ทันต่างหาก

     

    แค่พริบตาเดียวพวกเฟรย่าก็พากันย้ายขึ้นไปอยู่บนหัวของแมลงโบราณแล้ว

     

    "ก่อนอื่นก็จัดการเจ้าตัวปัญหาที่มุดดินได้ก่อน เอาล่ะนะ!"

    เฟรย่าคำราม ทันใดนั้นร่างของแมลงโบราณก็เกิดบาดแผลขึ้นหลายจุดพร้อมกัน เป็นแผลถูกฟันด้วยของมีคม เลือดสีเขียวไหลซึมออกมาจากบาดแผลเหล่านั้น มันแผดเสียงร้องแล้วพยามสะบัดหัวแรงๆ เพื่อให้พวกเฟรย่าหล่นลงไป

     

    พวกเขาจึงพากันกระโดดลงมา และในช่วงที่กำลังร่วงหล่นนั่นเอง

     

    "วิชาเต่าเหินนภา!!" 

    ผู้เฒ่าเต่าเขียวกุยลีขานด้วยเสียงอันดังแล้วเริ่มเคลื่อนไหว

    ท่วงท่านั้นพิศดารแต่ก็อ่อนช้อยงดงามประหนึ่งนางอัปสรร่ายรำ

    ผู้เฒ่าม้วนตัวกลางอากาศเสื้อผ้าเสียดสีกับลมเกิดเสียงดังพั่บๆ เหมือนนกสะบัดปีก จากนั้นจึงหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูง ผู้เฒ่าหมุนเกลียวราวกับสว่านสายลมพัดกรรโชกเพราะถูกแรงมหาศาลจากการหมุนตัวดูดเข้าไป

    ...วิชาเต่าเหินนภา กระบวนท่าในตำนานของจ้าวแห่งจอมยุทธ์ สุดยอดวิชาที่อยู่ ณ สุดปลายสายของกระบวนท่าสายมวยอ่อน ผู้ใช้จะเป็นดั่งเซียนเหาะเหินเดินอากาศได้ในช่วงที่ใช้วิชาดูจะไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริง เพราะผู้เฒ่ากุยลีก็กำลังบินอยู่

     

    ในขณะเดียวกันผู้เฒ่าเต่าแดงกุยโบกลับแตะพื้นก่อนใครเพื่อนแต่นั่นก็เกิดจากความตั้งใจของตนเอง ช่วงที่กำลังร่วงหล่นผู้เฒ่าได้ก้าวขาสลับไปมาอย่างรวดเร็วจนเห็นเหมือนกับเดินเหินบนอากาศได้ วิชาเหยียบนภา ที่สุดของวิชายุทธ์ที่มีแต่นักบู๊ชั้นปรมาจารย์ไม่กี่คนจะฝึกสำเร็จ

    ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างของผู้เฒ่าเหยียบลงบนพื้นพสุธานั้นเอง

     

    "วิชาเต่ากระแทกปฐพี!"

    ผู้เฒ่าคำรามเสียงดังกึกก้องประหนึ่งเสียงฟ้าร้อง แล้วกระทืบเท้าจนเกิดเสียงดังตึง

    แผ่นดินทรายสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น วิชาเต่ากระแทกปฐพี ยอดวิชาแห่งสายมวยแข็ง ใข้พลังเข้าถล่มพิชิตทุกสิ่งด้วยกำลังที่เหนือกว่า อีกหนึ่งกระบวนท่าในตำนานของจตุรเทพจอมยุทธ์ทั้งสอง

     

    พริบตาต่อมาผู้เฒ่ากุยโบลอยตัวขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับผู้เฒ่ากุยลี แล้วทั้งคู่ก็...

     

    ดูให้ดีซะเจ้าพวกลูกไก่นี่คือลิมิตเบรก!!!

    เฟรย่าที่ลงพื้นมานานแล้วแทรกเข้ามาแย่งซีนทันควัน

     

    "ไอ้หยาอาเฟรย่าลื้ออย่าเบรกสิพวกอั๊วะอุตส่าห์ชงบทเป็นหนังจีนแทบซี้ตาเหลือกลื้อมาแย่งกันเฉยเบย"

     

    "จ้าๆ งั้นคุณผู้บรรยายขออีกรอบ"

     

    ช่างหัวมันครับเล่นต่อไปเถอะ ขี้เกียจพิมพ์แล้ว! รู้ไหมกว่าจะกลั่นออกมาเป็นหนังจีนได้นี่เซลล์สมองฟ่อไปกร่เซลล์กันหา!!!  (กำลังยัวะ)

     

    ...แล้วผู้เฒ่าทั้งสองก็ (ต่อจากเมื่อกี้อีกที)

     

    "ไฟนอลมูฟ เพลงหมัดผีเสื้อเริงระบำ!!"

    >>>The Butterfly Dance<<<

     

    ผู้เฒ่ากุยลี หยุดหมุนตัวกะทันหัน สายลมกรรโชกดุจพายุได้สลายตัวไปในทันที แล้วฝ่ามือของผู้เฒ่าพุ่งออกไปด้วยความเร็วดุจกระสุนปืนเกิดเป็นคลื่นอัดอากาศที่สร้างพลังระเบิดอันรุนแรงเมื่อเข้าปะทะ และไม่ใช่แค่ทีเดียวแต่ความเร็วของการชักหมัดกลับระดับความไวเสียง เกิดหมัดปืนกลอัดอากาศ ผู้เฒ่าถล่มยิงหมัดจนแมลงโบราณหงายท้อง แล้วตอนนั้นเองผู้เฒ่ากุยโบซึ่งรอจังหวะอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว

     

     

    "ไฟนอลมูฟ เพลงหมัดดาวมหากาฬ!!"

    >>>Giga Planet<<<

     

    ดาวแดงยักษ์... เป็นคำพูดที่บรรยายตัวของผู้เฒ่ากุยโบในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี ร่างของผู้เฒ่าแดงก่ำดังไฟรัศมีพลังสีแดงแผ่กระจายออกมาจนดูเหมือนกับเป็นดวงดาวสีแดงกำลังเคลื่อนตัวลงมา

    ดาวแดงยักษ์กุยโบทับลงไปบนร่างของแมลงโบราณที่หงายท้องอยู่ทันทีที่รัศมีพลังสัมผัสถูกทุกอย่างก็จะตกอยู่ในกองเพลิง แทบไม่มีโอกาสให้ดิ้นทุรนทุรายทรมาน เพราะหลังจากนั้นไม่กี่วินาทีผู้เฒ่าก็เหยียบลงไปบนร่างนั้น แล้วแมลงโบราณก็แหลกสลายไปในทันที

     

    ต่อหน้าต่อตา... โลกิไม่อาจละสายตาจากการประสานของสองผู้เฒ่าได้เลย จนกระทั่งเกิดสายฟ้าฟาดลงมาใกล้กับจุดที่ผู้เฒ่ากุยโบยืนอยู่

    แมลงแห่งนภา ระดมยิงสายฟ้าเป็นชุดแต่ไม่มีการโจมตีใดจะเข้าถึงตัวสองผู้เฒ่า

    โลกิพยายามเพ่งสายตามองว่าเพราะอะไร สายฟ้าที่น่าจะโดนแน่ๆ กลับหายไปเหมือนกับชนถูกบาเรียหรืออะไรซักอย่างที่มองไม่เห็น มีอยู่แวบหนึ่งที่มองทันว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากสายฟ้าเข้าปะทะกับกำแพงล่องหนสิ่งนั้นคือ

     

    "ดาบ.."

    โลกิพึมพำออกมา เขามองเห็นเงาคล้ายดาบที่ใสราวกับแก้วกำลังสลายตัวหลังจากเข้าไปรับสายฟ้า วานรแดงหันเหสายตาไปที่เฟรย่าในทันที และก็เป็นอย่างที่คิด แมวเผือกโบกและสะบัดมือคล้ายกับกำลังร่ายรำนั่นต้องเป็นการควบคุมดาบแสงที่เสกมาจากไฟนอลมูฟของหล่อนอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    แล้วตอนนั้นทุกอย่างก็กระจ่างขึ้นมา ด้วยความปราดเปรื่องที่มีโลกิเข้าใจในทันทีว่าพวกตนทำพลาดในสิ่งใดไปหลังจากได้ยลการต่อสู้ของจตุรเทพ

    ผู้เฒ่าเต่าไม่ได้เพียงประสานกันอย่างเข้าขาเพียงแค่สองคนแต่เฟรย่าก็คอยช่วยสนับสนุนเพื่อให้การประสานของพวกเขาดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์ การร่วมมือกันเป็นทีม การจับจังหวะของทีมและดำเนินไปพร้อมกับมันคือสิ่งที่ไม่มีในการต่อสู้ของพวกเขานอกเหนือจากนั้นจะความสามัคคีหรือความเชื่อมั่นในกันและกันก็ไม่ได้ต่างกันเลย

     

     

    "ลิมิตเบรก !!"

    จู่ๆ ผู้เฒ่าทั้งสอวก็ตะโกนออกมาอย่างนั้น

     

    "หา? ลิมิตเบรก..."

    โลกิพูดด้วยน้ำเสียงฉงนก่อนจะหันไปถามเฟรย่าว่า

    "ไม่ใช่ว่าที่ประสานกันเมื่อกี้คือลิมิตเบรกเหรอก็เห็นเธอบอกว่าให้ดูดีๆ อยู่นี่"จะ

     

    "ไม่ใช่ย่ะ เมื่อกี้น่ะแค่ไฟนอลมูฟของจริงมันต่อจากนี้ต่างหาก"

    เฟรย่าตอบกลับพร้อมกับชี้ให้ดู สองผู้เฒ่าที่เริ่มใช้ลิมิตเบรกไปแล้ว

     

    "ย้ากกก"

    ผู้เฒ่าต่างส่งเสียงคำรามอันดุดันออกมา พร้อมกับเร่งรีดเร้นพลังในร่างจนเกิดออร่าปกคลุมร่างกาย

    ผู้เฒ่ากุยโบกระโดดสูงขึ้นไปหาผู้เฒ่ากุยลีทั้งคู่ต่างจับแขนขอบอีกว่ายไว้ทั้งสองข้างจากนั้นก็เริ่มหมุนควงเป็นกงจักร มีเสียงตะโกนของทั้งคู่ดังตามมาในภายหลัง

     

    "วิชาสำนักเต่าเหินฟ้าถล่มปฐพี กระบวนท่าลิมิตเบรก กระบี่ผีเสื้อดาวตก!!!"

    แล้วกงจักรผู้เฒ่าก็บินเหินไปในแนวพาลาโบล่าตะแคงข้างตามติดแมลงแห่งนภาอย่างกระชั้นชิดและเข้าปะทะ

    เกิดเสียงดังพลั่ก แล้วแมลงยักษ์ผู้โบยบินก็หงายท้องกลางอากาศ กงจักรผู้เฒ่าบินผ่านไปแล้วบินวกกลับมาเข้าปะทะเป็นครั้งที่สอง และ สาม ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งแมลงแห่งนภาสลบกลางหาพลิกหล่นจากฟ้าโดยพลัน

     

    เฟรย่าซึ่งรออยู่นานก็เริ่มวาดไม้วาดมือไปมาพร้อมกับส่งเสียงเบ่งพลังไปด้วย

    "ชายยยนิ่ง....ซอร์ด..."

    เธอพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำพร้อมกับปล่อยหมัดชกลมแล้วตะโกน

    "เบรกเกอร์!!!"

     

     ทันใดนั้นท้องฟ้าที่ครึ้มไปด้วยเมฆฝนก็เปิดออก ดาบใหญ่เท่าต้นไม้ร่วงลงมาจากฟากฟ้าและปักลงบนพื้นดิน ยามที่น้ำหนักของดาบทิ้งลงบนพื้นเม็ดทรายจำนวนมหาศาลก็ลอยขึ้นในอากาศ

    แสงแดดส่องผ่านทางช่องเมฆที่เปิดออกซึ่งดาบตกลงมาจากตรงนั้น แสงทำให้เงาของดาบยืดออก เงาดาบทาบทับกงจักรผู้เฒ่า

     

    แล้วกงจักรก็บินเบี่ยงเข้าไปหาดาบในทันทีที่ ทั้งสองสิ่งรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว บัดนั้นแสงสว่างเจิดจ้าได้บังเกิดขึ้น

     

    จากภายในของแสงสว่างมีผีเสื้อแสงขนาดใหญ่ยักษ์ปีกสีเขียวและแดงอย่างละข้างโบยบินออกมา

    และนั่นคือสองผู้เฒ่าที่เร่งพลังภายในออกมาจนถึงขีดสุดและทะลุเกินขีดจำกัดนั้นไป... นั่นก็คือลิมิตเบรก ก้าวข้ามขีดจำกัดเตะเหตุแห่งผลทิ้งไปนี่แหละคือลิมิตเบรก

     

    <<< 流星 胡蝶剣 >>>

    ((Zhēn liúxīng húdié jiàn))

     

    ผีเสื้อแสงโบยบินไปหาแมลงแห่งนภา ยามที่แสงสว่างของผีเสื้อแผดเผาร่างของมัน ก็ไม่มีเศษเสี้ยวใดๆ จะร่วงหล่นถึงพื้นอีกทุกอย่างถูกเผาไหม้เป็นจุลแล้วสลายเป็นละอองขี้เถ้า

    ภายหลังจากนั้นผู้เฒ่าทั้งสองก็ตกลงมาแต่กลับตัวลงพื้นได้อย่างสง่างาม ทว่ากลับล้มก้นจ้ำเบ้าในเวลาต่อมา

     

    "อูยส่าโพกอั้วะ"

    ผู้เฒ่ากุยลีส่งเสียงครางสีหน้าไม่เปลี่ยน

     

    "ไม่อยากแก่เล้ยอูย"

    กลับกันผู้เฒ่ากุยโบสีหน้าแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่าเจ็บสุดกล้ำกลืน ออกจะมากเกินพอดีไปด้วย

     

    "โหวว อาจางสุกยอกเกิงปายเลี้ยว"

    ไป๋หวู่ปรบมือและทำตาโตด้วยความประทับใจ ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นดวงตาแบบอื่นของจอมยุทธ์แพนด้าที่ปกติมักทำตาตี่อยู่เสมอ แต่โลกิกลับตีหน้าอิหลักอิเหลื่อแล้วมองไปทางเฟรย่า

     

    "เมื่อกี้ท่ามันคุ้นๆ อยู่นะเหมือนเคยเห็นที่ไหนว่าแต่เฟรย่าแล้วเธอทำอะไรตอนสุดท้ายล่ะนั่นไอที่ตะโกนว่าเบรกๆ เนี่ยมันต้องทำด้วยเรอะ"

     

    "ที่จริงก็ไม่ต้องหรอก แต่ทำแล้วมันเท่กว่า"

    เฟรย่าพูดพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นและขยิบตาข้างหนึ่งให้

    ได้ฟังดังนั้นโลกิก็เอามือก่ายหน้าผากพลางคิดไปว่า

    'ตรูไม่น่าไปถามเอาความอะไรกับคนบ้าเล้ย'

     

    ตอนนั้นเองที่เกิดเงาขนาดใหญ่ทาบทับกลุ่มของพวกเขา โลกิแหงนหน้าขึ้นไปมองแล้วดวงตาก็เบิกโผลงราวกับเห็นผี

     

    "เฮ้ย!"

    โลกิตะโกนพร้อมกับชี้ขึ้นไปให้ทุกคนดูข้างบน ม็อคบัคกำลังร่วงลงมาทับพวกเขาโดยที่มีโมสโซลี่ยืนอยู่บนหัวของมัน

     

    "อ้อลืมไปเลยแฮะ"

    เฟรย่าทำท่าสบายๆ ขัดกับสถานการณ์โดยสิ้นเชิงราวกับว่าหล่อนไม่ได้กังวลอะไรกับความเร็วในการตกที่ไม่พอให้พวกเขาทำอะไรได้ด้วยซ้ำเลยซักนิดเดียว

    และแล้วก็เฟรย่าชูแขนขึ้นในตอนที่ม็อคบัคเกือบจะลงมาถึงพวกเขา

     

    "หลบให้ดีล่ะโมสโซลี่"

    เธอพูดเบาเหมือนกระซิบ แล้วเปลี่ยนเป็นตะโกนแบบปุบปับ

    "ลิมิตเบรก!!"

     

    ดาบแสงที่เคยล่องหปรากฏรูปลักษณ์ออกมา แต่ละเล่มเรียงตัวเข้าด้วยกันแล้วกลายเป็นหอกสีขาวขุ่น เฟรย่าจับหอกนั่นไว้

     

    "เอ็กซีคิวชั่น เอ็กกกก..."

    แล้วซัดหอกใส่ท้องมหึมาของม๊อคบัค

    "เซลิอ้อนนนน!!!!"

     

    <<< Execution Excelion >>>

     

    ภายหลังเสียงตะโกนหอกที่พุ่งออกไปแล้วก็พลันส่องแสงสว่างเจิดจ้า แสงกลืนม็อคบัคหายไปในพริบตาเดียว

    โมสโซลี่กระโดดลงจากม๊อคบัคทันก่อนที่มันจะถูกแสงสว่างกลืนหายไปทั้งตัว พร้อมกับถอดลูกประคำสีดำซึ่งเป็นศาสตรามารโยนเข้าไปในแสงนั่นด้วย

     

    ทันทีที่แสงกลืนม๊อคบัคจนหมดทั้งตัวแล้วก็พุ่งทะยานขึ้นไปข้างบนแล้วหายลับไปไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปที่ใดนอกจากเฟรย่า

     

    "ห...หายไปเลี้ยว..."

    ไป๋หวู่พูดอ้ำอึ้งเหมือนคำพูดจุกอยู่ที่คอ

     

    "มันหายไปไหนแล้ว"

    โลกิถาม

     

    "คงไปถึงดวงอาทิตย์แล้วมั้ง"

    เฟรย่าตอบน้ำเสียงห้วน

     

    "ดวงอาทิตย์...?"

    "ลิมิตเบรกของฉันคือหอกเทพแห่งสุริยะเอ็กเซเลี่ยน เป็นการโจมตีที่ส่งทุกอย่างไปถึงดวงอาทิตย์ไงเข้าใจรึยัง"

     

    "โมสโซลี่!"

    เสียงของไป๋หวู่ดังขึ้นทุกคนหันไปทางเดียวกัน บาบูนเฒ่ามาอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้ว

    และไปหวู่ก็ตั้งท่าสู้อยู่ เห็นดังนั้นโลกิก็ก้มลงเก็บดาบด้วยอาการเร่งรีบหากว่าอีกฝ่ายคิดร้ายเข้ามาโจมตีจริงๆ เขาคงตายก่อนใครเพื่อนเพราะเผลอเลอเกินไปจึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ทว่า...

     

    จนแล้วจนรอดโมสโซลี่ก็รอให้โลกิเก็บดาบเสร็จโดยที่ไม่ได้ทำอะไร พวกเฟรย่าก็เช่นกันไม่ได้ตั้งท่าหรือแม้แต่จะแผ่จิตสังหารใส่กันเลยซักนิด นั่นทำให้สถานการณ์ส่อแววทะแม่งๆ

    สมองอันปราดเปรื่องของวานรแดงแล่นด้วยความเร็วสูงจนหัวแทบระเบิดแต่ก็ตีความสภาพการออกมาได้แค่อย่างเดียว

     

    "นี่จัดฉากหลอกพวกเรารึไง"

    เขาหลุดปากออกมา และเพราะคิดจนหัวร้อนหน้าเลยเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดแต่สายตากลับสับสน จนไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรือกำลังสับสนอยู่กันแน่

     

    "หัวไวเหมือนเดิมเลยนะเนี่ย"

    เฟรย่าพูดด้วยท่าทางหน่ายๆ สีหน้าเธอบอกยี่ห้อว่าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด

    "อุตส่าห์เตี้ยมกันแทบตายกะว่าจะได้เห็นท่าตอนตกใจซะหน่อยดันรู้ทันอีกเซ็งชะมัด"

     

    "เหลียวก่องน่อแบกนี้มังหมายความว่ายังงายกังอั๊วะตามม่ายทันเลี้ยวนา"

    ไป๋หวู่ถาม

     

    "ก็ลื้อโดงหลอกเลี้ยวยังงายล่ะเสี่ยวไป๋เอ้ย"

    คำตอบของผู้เฒ่ากุยลี ทำเอาจอมยุทธ์แพนด้าเหวอจนหน้าถอดสี

    "ล่ายไงกางนี่อั๊วะโดงหลอกเหรอเนี่ย"

    แล้วโวยวายออกมาโดยมีสายตาเอ็นดูกับรอยยิ้มขำขันจากอาจารย์ทั้งสองคอยหยอกล้ออยู่เป็นนิจ

     

    "แล้วสรุปเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่เล่ามาให้ละเอียดเลยนะถ้ายังเห็นว่าเราเป็นพวกเดียวกันอยู่ล่ะก็"

    โลกิพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังสายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังบาบูนเฒ่า เหมือนระวังท่าทีอยู่ตลอด

     

    เฟรย่ามองโลกิแล้วก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

    "ซีเครียดมันซะทุกเรื่องเลยนะเอาเถอะถ้าไม่ใช่พวกเดียวกันป่านนี้นายได้กลายเป็นโจ๊กคาเท้าม๊อคบัคไปแล้ว"

     

    "ก็ใช่..."

    โลกิตอบรับเบาๆ

     

    "โมสโซลี่น่ะ"

    เฟรย่าพูดแล้วก็หันไปคว้าตัวบาบูนเฒ่ามายืนด้วยอย่างสนิทสนม

    "เป็นสหายร่วมรบกับพวกเราในภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ จนถึงตอนที่ภาคีล่มไปแล้วหมอนี่ก็เข้าไปเป็นสปายแล้วคอยส่งข่าวมาให้พวกเราจตุรเทพนี่ไง"

     

    โลกิเปลี่ยนท่าเป็นกอดอกแล้วถามน้ำเสียงขุ่น

    "งั้นที่ให้ไปสู้ด้วยเมื่อกี้ก็เพราะวัดฝีมือพวกเรางั้นสินะ"

    "ใช่ฉันก็ต้องรู้ระดับขอบพวกนายก่อนจะทำการฝึกให้อยู่แล้วมันเป็นเรื่องปกติจะตายไป"

    "แต่วิธีที่ใช้มันไม่มีปกติคนที่ไหนเขาทำกันหรอกนะ"

    โลกิพูดน้ำเสียงประชดประชัน

     

    "แต่ผลก็ออกมาตรงใช่ไหมล่ะพวกนายน่ะถ้านั่นเป็นการสู้จริงป่านนี้ตายไปนานแล้ว"

    "..."

    หนนี้โลกิพูดโต้ไม่ออกเพราะเธอเอาความจริงมาตอกหน้าเขา

    พอเห็นสีหน้าที่เหมือนจะซึมกะทือลงของโลกิแล้ว เฟรย่าก็ยิ้มออก

    "เอาน่า ที่พวกนายมาฝึกกับฉันก็เพื่อแข็งแกร่งให้ยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่รึไงการรู้ขีดจำกัดของตัวเองก็เป็นเรื่องสำคัญนา"

     

    หลังจากฟังคำพูดของเธอแล้วสีหน้าของโลกิก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ลิงหนุ่มถอนหายใจสั้นๆ แล้วปรับอารมณ์เสียใหม่

     

    "ว่าแต่ไอท่าที่พวกเธอใช้เอ่อ..."

    โลกิทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อจากที่ค้างไว้

    "ลิมิตเบรกนั่นน่ะมันคืออะไรเหรอ"

     

    "ก็ตามชื่อของมันนั่นแหละลิมิตเบรกก็คือการก้าวข้ามขีดจำกัด นายรู้รึเปล่าว่าไฟนอลมูฟน่ะคืออะไร"

     

    "ไฟนอลมูฟเหรอ...ก็เป็นท่าไม้ตายสูงสุดที่สัตว์หางคนหนึ่งจะทำได้แล้วมันมาเกี่ยวไรด้วย"

     

    "เกี่ยวสิ เกี่ยวเต็มๆ เลยล่ะ ก็อย่างที่นายว่าไฟนอลมูฟคือจุดสูงสุดของวิชาเฉพาะตัวแต่บะคนน้อยคนนักที่จะมาถึงจุดๆ นี้ได้คงรู้สินะว่าพวกอาร์คไนท์ของเมืองแสงน่ะต้องมีไฟนอลมูฟประจำตัวกันทุกคน"

    โลกิพยักหน้าให้กับคำถามนั้น เธอจึงเล่าต่อ

     

    "ในอดีตพวกฉันภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์เรจิเมนท์ก็ใช้กันได้ทุกคน มันเป็นกลุ่มที่รวมสุดยอดฝีมือเอาไว้แต่ว่านะไฟนอลมูฟมันก็เหมือนขีดจำกัดของแต่ละคนนั่นล่ะพออยู่แบบนั้นไปนานๆ เข้าฝีมือก็มีแต่จะถดถอยลงเพราะไปสูงกว่านี้ไม่ได้แล้วแต่มันจะเป็นอย่างนั้นจริงเหรอ"

    เฟรย่าเว้นคำพูดไว้เพื่อถามโลกิอีกครั้ง

     

    "หรือเธอจะบอกว่าลิมิตเบรกคือขั้นถัดไปของไฟนอลมูฟเป็นท่าที่พัฒนาต่อกันมายังงั้นเหรอ?"

     

    "ถูกต้อง!"

    เฟรย่าดีดนิ้วเกิดเสียงดังเปาะ

    "เมื่อเราก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองมาพลังที่มหาศาลกว่าเก่าก็จะถือกำเนิดเรียกสิ่งนั้นว่าลิมิตเบรกยังไงล่ะ"

     

    โลกิพยักหน้า

    "พอจะเข้าใจเรื่องลิมิตเบรกแล้วทีนี้ก็...

    แล้วเหลือบสายตาไปทางโมสโซลี่

    บาบูนเฒ่าเหมือนรู้ตัวจึงหันมาสบตาด้วยเป็นครั้งแรก

     

    "ครั้งที่สามแล้วสินะที่ได้พบกันแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาพูดกันตรงๆ แบบนี้"

    โมสโซลี่พูด

     

    "ครั้งที่สาม?"

    โลกิเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดต่อว่า

    "ถ้านับคราวก่อนที่เจอกันในโรงละครกับครั้งนี้เราพึ่งเจอกันสองครั้งเองนะ"

     

    "นั่นก็ใช่แต่ว่าข้าน่ะเคย..."

    ไม่ทันที่โมสโซลี่จะพูดเสร็จก็มีเสียงหัวเระาและเสียงพูดแทรกดังเข้ามาขัดจังหวะสนทนา

     

    "ฮ่าๆๆ ได้ยินเรื่องสนุกเข้าให้แล้วสิ"

    จากทิศทางต้นเสียงนั้นสัตว์หางผู้มาใหม่ปรากฏตัวขึ้น เป็นชายเผ่าปูทะเลที่ร่างกายหุ้มด้วยกระดองสีแดงทั้งตัวตาขวาปิดไว้ด้วยผ้าคาดตาสีดำและขาซ้ายด้วนกุดใส่ไม้ดามเอาไว้ภาพลักแบบโจรสลัดในนิทานก่อนนอนแต่ชุดสวมใส่นั้นกลับเป็นเสื้อคนครัวสีขาวและหมวกเชฟทรงสูง ในมือถือไม้คฑารูปก้างปลาสีเขียวมรกตแบบเดียวกับที่เคยเห็นมาโอห์ใช้ตอนอยูที่พีรามิด

     

     

    "ปูม่อน มันมาที่นี่ด้วยเหรอ?"

    เฟรย่าหันไปขอคำตอบกับโมสโซลี่

     

    "อ่าใช่ พามันมาหาแอสทารอทที่มาโอห์ทิ้งไว้ที่พีรามิดน่ะแต่ลืมไปสนิทเลย"

    บาบูนเฒ่าตอบน้ำเสียงเรียบ

    "แล้วมาหาพวกฉันโดยที่ไม่สลัดมันทิ้งก่อนเนี่ยนะ"

    ก็มัวแต่เตรียมตัวกับแผนเตี้ยมของเธอนั่นแหละ

    อย่ามาโบ้ยกันสิว้อย

     

    นี่อย่ามาทำเมินกันนะเหวย

    เสียงตะหวาดของปูม่อนดังขัดการสนทนา

    ในขณะเดียวกันฝูงมัมมี่สุนัขก็ถูกเรียกออกมาด้วยพลังของคฑารูปก้างปลาที่มาโอห์เคยใช้ซึ่งบัดนี้ตกอยู่ในมือของปูม่อนแทน

    ภายหลังจากใช้พลังของคฑาแล้วมันก็เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นมีดอีโต้ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติจนน่าจะเรียกว่าดาบมากกว่า

     

    ชิ นี่ต้องมาสู้กับพวกศพอมตะนี่อีกแล้วเหรอ

    โลกิสบถแล้วตั้งท่าจะสู้

     

    หาใครบอกกันว่าจะใช้ศพพวกนี้น่ะ

    ปูม่อนพูดพลางยิ้มกระหยิ่มอย่างลำพองในพลังของตน หลังจากนั้นไม่นานก้มีเสียงคำรามโหยหวนราวกับเสียงร้องปีศาจดังแว่วมาจากทุกทิศทาง

    โลกิ กวาดสายตามองไปรอๆ เนินทรายก็พบว่านอกจากพวกมัมมี่สุนัขแล้วยังศพเคลื่อนที่ได้จำพวกสัตว์หางเผ่าปลาและกุ้งล็อบสเตอร์ อยู่อีกแต่ละตัวมีผ้าโพกศีรษะสีแดงที่ประทับตราโจรสลัดโพกอยู่บนหัวนอกจากนี้ยังติดอาวุธกันทุกตัวทำให้ยิ่งจัดการลำบากขึ้นไปอีก

     

    พวกเขาตกอยู่ในวงล้อมของผีดิบที่ฆ่าไม่ตายและยังสามารถเพิ่มจำนวนได้อีกด้วยพลังของศาสตรามารแอสทารอทที่ปูม่อนครอบครองอยู่   

     

    แต่ทว่า….สถานการณ์กลับพลิกผันเปลี่ยนแปลงในทันที

     

    นี่โลกิลื้อเห็งเรจิมั่งป่าวน่ออั๊วะหาอีม่ายเจอเลย

    จู่ๆ ไป๋หวู่ก็ถามขึ้นมาอย่างนั้นแล้วยังชี้ให้ดูอะไรบางอย่างพร้อมกับพูดไปด้วยว่า

    แล้วไอเสาไฟนั่งมังคืออารายเหรอเป็นท่าของลื้ออ้ะป่าว

     

    โลกิเลิกคิ้วขึ้น ด้วยความสงสัยจึงหันไปมองตามทิศที่ไป๋หวู่ชี้ ที่นั่นมีเสาเพลิงกำลังก่อตัวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า

    เปล่านะชั้นยังไม่ได้ทำอะไรเลย

    โลกิตอบคำถามนั้นด้วยสายตาเป็นงง และในระหว่างนั้นเองที่เสาเพลิงเริ่มส่ายไหว

    ทันใดนั้นดวงตาแห่งอนาคตก็มอบคำทำนายใหม่ให้

     

    สิ่งที่ถ่ายทอดจากดวงตาสู่สมองคือเปลวไฟที่วาดตวัดออกมาเป็นสายจากเสาแห่งเพลิงนั่น สายเพลิงจะทำลายล้างทุกอย่าง ภายหลังจากนั้นสิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่ภาพของทะเลทรายที่กลายเป็นสีแดงฉานและฝนเลือด กับร่างไร้วิญญาณของพวกเขา และท่ามกลางฝันร้ายนั้น เรจิกำลังลอยอยู่เหนือท้องฟ้าพร้อมกับปีก….

     

    อะ

    โลกิส่งเสียงออกมาภายหลังจากที่ภาพแห่งอนาคตหายไป เขาก็กลับสู่ปัจจุบัน และแล้วเสาไฟก็เริ่มตวัดเส้นสายเพลิงออกมา

    ทุกคนหลบเร็วไฟกำลังจะมา!!”

    วานรแดงตะโกน ทุกคนหันไปยังทิศทางเดียวกันคือเสาเพลิงต้นที่ว่า และหลบแส้เพลิงที่ตวัดออกมาได้ทันรวมถึงปูม่อนเองก็ได้รับอานิสงค์จากคำเตือนไปด้วยสายไฟจึงแล่นผ่านหน้าเขาไป โดนพวกศพคืนชีพที่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเพียงแค่นั้นไฟก็ลุกลามใหญ่โตในทันทีราวกับว่าศพกลายเป็นเชื้อเพลิงให้กับไฟเหล่านั้นทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้

     สายเพลิงไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้แต่ยังสาดยิงลงมาอีกเป็นสิบๆ สาย

    โลกิมองพวกมัมมี่ถูกไฟเผาพลางย้อนนึกกลับไปถึงตอนที่เคยเผชิญหน้ากับพวกมัน

    ไฟไม่สามารถทำให้พวกมันตายได้เพราะต่อให้พวกมันกลายเป็นตอตะโกไปแล้วก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก

    แต่ไฟในตอนนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น  ศพที่ถูกเผาแทนที่จะกลายเป็นซากไหม้สีดำเพราะคราบคาร์บอนภายหลังปฏิกิริยาเผาไหม้กลับกลายเป็นสีขาวใสแทน

     

    ทันทีที่ไฟดับมอดลงศพทั้งหมดที่กลายเป็นสีขาวก็จะแหลกสลายกลายเป็นเกล็ดผลึกไปเพียงแค่เพราะโดนลมพัดเท่านั้น มีเศษผลึกของร่างที่แหลกสลายปลิวเข้ามาในปาก

    เค็ม

    รสชาติของผลึกนั้นละลายเข้าไปในลิ้น

    นี่มันเกลืองั้นเหรอ…”

    โลกิพูด และในตอนนั้นเอง เสาเพลิงก็สลายตัวไปและเผยร่างของตัวการที่สร้างไฟประหลาดนี้ออกมา

     

    กลอเรีย อิน เอ็คเซลซิส เทโอ…..”(Gloria in excelsis Deo )

    ร่างสีแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ ดวงตาไร้แววราวกับตุ๊กตาฉายอยู่บนใบหน้าที่เรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์จนยากที่จะบอกว่านั่นคือ เรจิหมาป่าผู้ร่าเริงไร้เดียงสาที่พวกตนรู้จัก

    เรจิโบกสะบัดปีกสีขาวซึ่งมีด้วยกันถึงหกปีกแล้วตะหวาดด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ

    วัชพืช...วัชพืช...วัชพืชที่รุกล้ำสวนอันศักดิ์สิทธ์...ต้องถอนรากถอนโคนให้สิ้น

     

    ……………………………

     

    ภาพทั้งหมดของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในทะเลทรายสะท้อนอยู่บนผิวน้ำอันเรียบนิ่งในบ่อซึ่งถูกขุดเอาไว้กลางห้องโถงที่มีเสาหลายต้นคล้ายกับภายในวิหาร

    เฟิร์สเทลกำลังยืนทัศนาภาพที่บุตรชายบุญธรรมซึ่งตนตั้งให้เป็นอัศวินสวรรค์กำลังจะกลายเป็นทูตสวรรค์ไปจริงๆ แล้วเหยียดยิ้มสนุกสนาน

    ถือซะว่าเราไม่ได้พูดเองก็แล้วกัน แต่ก็เริ่มแล้วสินะ เจเนซิสโปรเจ็คขั้นสุดท้าย อาละวาดจนกว่าโลกจะจบสิ้นไปเลยนะเทลอาโพคาลิปส์ของเรา

    แล้วพูดราวกับรู้ล่วงหน้ามาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

     

    ****โปรดติดตามตอนต่อไป****

     

    Open your eye for the next tail

    เรจิไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชั้นจะเป็นคนปกป้องเธอเอง

    เหรอขอบใจนะงิเรจิก็จะปกป้องการ์มเหมือนกัน

    เอสไทรด์เจเนซิส จุติเทวทูตสวรรค์เรจิเอล….

    Chapter: 51 เรจิและการ์ม

    ความจริงที่เที่ยงแท้คืออะไรกันแน่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×