คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #65 : Chapter 48.5 Happy Birth Day
Chapter 48.5 Happy Birth Day
กรมตำรวจไมสเตอร์โปลิศเขตการปกครองใกล้กับสถานีอวกาศจูปิเตอร์เอ็กซ์ ซีรี่ย์โลกกันดั้มEXA ที่นี่เป็นสถานีอวกาศเช่นเดียวกับสถานีอวกาศจูปิเตอร์เอ็กซ์ ก่อตั้งขึ้นจากความร่วมมือกับชาวจักรวาลนี้ที่กำลังค้นหาคำตอบของการวิวัฒนาการโดยการไดร์ฟ(Drive)เข้าไปในโลกข้อมูลของกันดั้มซีรี่ย์ เมื่อพวกเขารับรู้ถึงการมีอยู่ของฟิคชั่นไมสเตอร์ก็ได้เจรจาตกลงเพื่อการออกไปสำรวจยังจักรวาลรอบนอกสำหรับใช้ขยายผลการค้นคว้าการวิวัฒนาการ
ทำให้เกิดประชากรไมสเตอร์ที่ไม่ได้มาจากชาวอิเมจิเนี่ยนเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่ซีรี่ย์โลกของที่นี่ที่เดียวแต่ยังมีโลกอื่นๆที่เกิดไมสเตอร์ต่างโลกกันขึ้นมา การเกิดในระดับนี้ส่วนใหญ่จักรวาลนั้นๆมักจะเป็นจักรวาลที่มีอารยธรรมสูงและมีความเป็นปึกแผ่นกันดีแล้วจึงจะทำเช่นนี้ได้
เมื่อเกิดจักรวาลสมาชิกขึ้นมาก็จะมีการจัดตั้งหน่วยกรมไมสเตอร์โปลิศไว้ที่โลกนั้นๆเพื่ออำนวยความสะดวกทางด้านกฎหมายและการควบคุมการกระทำของไมสเตอร์ต่างโลกนอกจากหน่วยงานตำรวจแล้วก็ยังมีหน่วยงานทางการทูตหน่วยงานเทคโนโลยีและอีกมากมายทีเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย
หากมีไมสเตอร์ที่ทำผิดกฎก็จะถูกจับตัวมาสอบสวนที่กรมตำรวจแห่งนี้และวันนี้ก็มีงานเข้ามาให้นายตำรวจประจำสถานีต้องปวดหัวอีกเช่นเคย ผู้ต้องหาที่นั่งประจันหน้าอยู่กับเขาที่โต๊ะสอบสวนเป็นเด็กหนุ่มชาวอิเมจิเนี่ยน จากข้อมูลทะเบียนฟิคชั่นไมสเตอร์ระบุว่าเด็กหนุ่มคนนี้ชื่อ เกรท โฮโอเร็น (Great Hououren) อายุ 17 ปี เป็นไมสเตอร์ฝึกหัดศึกษาอยู่ที่โรงเรียนฟิคชั่นไมสเตอร์ชั้นปีที่สอง
เด็กหนุ่มมีผมสีดำผมหลังกระดกชี้ หน้าตาซื่อบื้อชอบทำตาลอยเหมือนเป็นเอ๋อ กระทั่งตอนนี้ถูกจับสอบสวนก็ยังทำทีเป็นไม่สนใจรอบข้าง จนนายตำรวจที่ทำการสอบสวนเริ่มฉุน
"นี่เธอฟังอยู่รึป่าวเนี่ย"
"คร้าบฟังอยู่คร้าบ"
เด็กหนุ่มตอบส่งๆโดยที่ไม่แม้แต่จะสบตานายตำรวจ
"เธอกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์จูปิเตอร์เอ็กซ์ เลออส อารอย ก่อเรื่องร้ายแรงที่มีผลกระทบต่อการดำเนินเรื่องของจักรวาลกันดั้มเอ็กซ่าลงไปนะรู้สึกสำนึกผิดซะบ้างสิ"
"คร้าบสำนึกแล้วคร้าบงั้นไปได้แล้วใช่มะ"
"นี่ไม่ได้เข้าใจซักนิดเลยนี่หว่า!"
นายตำรวจตะหวาดด้วยความโมโห ในตอนนั้นเองประตูห้องสอบสวนก็เปิดออก โดยผู้มาใหม่สองคนก้าวเข้ามาในห้อง คนหนึ่งคือชายผู้ที่ซักวันหนึ่งจะไม่มีใครในแวดวงไมสเตอร์ไม่รู้จักเขาคือไมสเตอร์เมจิน คามิโอ ทัตสึยะ ในวัย19ปี และที่ยืนอยู่ข้างๆเขาเป็นเด็กสาวที่อายุเท่ากันกับเด็กหนุ่มที่กำลังตกเป็นผู้ต้องหาเธอมีผมยาวมัดเป็นหางม้าย้อมผมสีม่วง หน้าตาเปื้อนยิ้มกับแววตาช่างสงสัยดูน่ารักแบบเด็กสาวแก่นแก้วเธอสวมชุดไมสเตอร์ฝึกหัดเหมือนกับเด็กหนุ่มแต่เป็นชุดของนักศึกษาหญิงซึ่งประกอบด้วยเสื้อเชิตสีขาวและกระโปงลายตารางตัดกันระหว่างสีแดงกับสีดำ
"อ๊ะท่านทัตสึยะ ขออภัยด้วยครับพอดีกำลังอยู่ระหว่างสอบตัวผู้ต้องหาเลยไม่ได้ออกไปต้อนรับ..."
นายตำรวจลุกขึ้นทำท่าตะเบ๊ะอย่างลุกลี้ลุกลน
"พอเถอะครับถึงคุณพ่อท่านจะเป็นผู้กำกับการกรมตำรวจแต่ผมไม่ได้มียศหรือหน้าที่อะไรในกรมเลยนะครับไม่ต้องเกรงใจกันซะขนาดนั้น"
ถึงจะไม่ได้แสดงอาการอันใดออกมาตรงๆ แต่ทัตสึยะก็รู้สึกไม่ชอบใจกับเรื่องที่ตัวเขาเป็นคนของตระกูลที่มีชื่อเสียง ดังนั้นจึงแกล้งพูดกลบเกลื่อนไปที่เรื่องของพ่อที่เป็นผู้กำกับการกรมตำรวจแทน
"ค..ครับ"
หลังจากนายตำรวจกลับไปนั่งที่แล้วทัตสึยะจึงหันไปทางคู่กรณีที่ทำหน้าจิ้มลิ้มอย่างกับรออยู่
"โย่ว ทัตสึยะมาได้จังหวะพอดีเลยช่วยบอกให้เขาปล่อยตัวทีสิ"
"โย่วเย่วบ้านป้าแกสิหนนี้ไปทำอะไรมาอีกล่ะ"
"แค่ชวนคนไปนั่งคุยเรื่อยเปื่อยเฉยๆมันเป็นความผิดร้ายแรงขนาดนั้นเลยรึไง"
ทัตสึยะเชื่อไม่ลงจึงหันไปสอบถามเอากับนายตำรวจแทน
"แค่นั้นจริงๆเหรอครับ"
"ก็เป็นจริงตามที่เขาบอกไปล่ะนะครับเขาชวนเจ้าหน้าที่ของจูปิเตอร์มานั่งคุยกันเฉยๆแต่คุยกันข้ามวันข้ามคืนจนกำหนดการของเจ้าหน้าที่คนนั้นช้ากว่าที่ควรจะเป็นครับ"
"คุยอะไรกันข้ามวันข้ามคืน?"
ทัตสึยะว่าพลางหันมาเขม่นด้วยสายตาจ้องจับผิด
"กึ๋ย...เอ่อ...ง่า...มันก็เรื่องเรื่อยเปื่อยอ่ะแต่ตอนนี้เจ้านั่นก็กลับไปทำงานแล้วจะเป็นไรไป"
เกรทพยายามหลบสายตากินเลือดกินเนื้อที่ทัตสึยะเพ่งมันมาที่เขาเหมือนกับจะบอกว่า โกหกกันอีกแล้วนะแก อย่างไงอย่างงั้น
"แต่นี่มันสามครั้งแล้วนะครับทางจูปิเตอร์เอ็กซ์เขาก็ร้องเรียนมาแล้วด้วยและอีกอย่างการทำแบบนี้ถึงจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยก็เถอะแต่มันอาจจะส่งผลกระทบกับโลกนี้จนกลายเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์จักรวาลเอาได้นะครับ"
นายตำรวจช่วยชี้แจงชนิดกัดไม่ปล่อย จนเด็กหนุ่มถึงกับหน้าซีด
"สามครั้งเลยเหรอ เกรทเนี่ยไม่ระวังเอาซะเลยนะเดี๋ยวตำแหน่งว่าที่ไมสเตอร์ก็ปิ๋วเอาหรอก"
เด็กสาวที่มาด้วยกันกับทัตสึยะเข้ามาผสมโรงช่วยกันตำหนิเขาไปด้วยอีกคน
"อ...อะไรเล่าแคทตี้เธออยู่ข้างไหนกันแน่เนี่ย ฉันกับเธอพวกเราโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าโฮโอเร็นเหมือนกันแท้ๆนาเป็นครอบครัวเดียวกันนาตามหลักแล้วเธอต้องพูดช่วยฉันเด้"
เกรทเริ่มลนลานกับสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดี จนทัตสึยะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายก่อนจะออกตัวช่วยเด็กหนุ่ม
"เอาเป็นว่าช่วยสรุปเรื่องบทลงโทษของเขาให้ทีครับ"
"เอ่อก็...บทลงโทษทางโรงเรียนฟิคชั่นไมสเตอร์จะเป็นคนรับเรื่องไปจัดการครับรู้สึกจะแจ้งมาแล้วว่าให้บำเพ็ญประโยชน์สามวัน"
นายตำรวจยกเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะรับตัวเขากลับไปเองครับ นี่หนังสือจากทางโรงเรียน"
ทัตสึยะกล่าวพร้อมกับส่งเอกสารที่มีการประทับตราโรงเรียนฟิคชั่นไมสเตอร์ให้นายตำรวจรับไปดู
หลังจากไกล่เกลี่ยกันเป็นที่เรียบร้อย เกรทก็ได้รับการปล่อยตัว ทั้งสามเดินทางกลับจักรวาลอิเมจิเนี่ยน เพื่อพาตัวเกรทไปส่งให้อาจารย์ที่กำลังรอเฉ่งเขาอยู่ที่โรงเรียน
……………………………..
ตอนนี้ทั้งสามอยู่ระหว่างนั่งรถไฟฟ้าเพื่อกลับไปโรงเรียน ระหว่างที่แคทลีย่าผลอยหลับไปนั้นเกรmก็ชวน ทัตสึยะคุยเรื่อยเปื่อย
"นี่ทัตสึยะ ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ไม่มีคนร่วมสายเลือดอยู่บนโลกนี้น่ะมันเป็นยังไงกันนะ"
"หา? อะไรของแกอีกล่ะไม่รู้หรอกเฟ้ยฉันไม่เหมือนแกนี่หว่าลองมีคนร่วมสายเลือดเป็นสิบๆแล้วแต่ละคนจ้องจะผลักกันให้ล้มดูสิแล้วจะรู้เลยว่ามันน่าเบื่อขนาดไหน"
"อะไรฟระนี่นายโดนที่บ้านแกล้งมาอีกแล้วเหรอ"
ที่บ้านของทัตสึยะเป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงมาช้านานเป็นตระกูลใหญ่ที่มีตระกูลย่อยมากมายคอยรับใช้เมื่อในอดีต แต่ทว่าในปัจจุบันที่ยังเหลือรอดจากกระแสของเวลาก็เหลือเพียง ตระกูลหลักทัตสึยะ และ ตระกูลรองอีกเพียงสองเท่านั้น ตัวทัตสึยะนั้นมาอาศัยอยู่บ้านใหญ่ของตระกูลหลักในฐานะลูกเลี้ยงเนื่องจากตระกูลรองของตัวเองล่มสลายไป แต่ในด้านของสายเลือดนั้น ทัตสึยะก็รับสืบทอดมาจากเจ้าบ้านใหญ่เพราะเขาเป็นบุตรนอกสมรสของมารดาที่มาจากตระกูลรอง แต่เพราะเหตุนั้นทำให้เขาถูกตั้งแง่จากพวกพี่ๆในบ้านเสมอมา
"ช่างเรื่องของฉันเหอะน่าห่วงตัวเองก่อนดีกว่าหนนี้จารย์ใหญ่โกรธสุดๆไปเลยคงไม่จบแค่เทศนาสองสามชั่วโมงแน่"
"โด่อย่าขู่กันดิว้าคนยิ่งใจไม่ค่อยดี"
"ก็แกทำตัวเองไม่ใช่เรอะ"
"คร้าบสำนึกผิดแล้วคร้าบ"
เกรทตอบส่งๆ ก่อนจะเริ่มบ่นตัดพ้อตัวเองแบบขำขัน
"แหมแต่ก็ว่าไปนั่นยังไงคนอย่างฉันมันก็ไม่มีญาติที่ไหนอ่ะนะถึงจะเป็นไรไปก็ไม่มีใครเขาเดือดร้อนหร้อก"
"...ไม่ขำนะ อยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะแต่อย่าเอาเมื่อกี้ไปพูดต่อหน้าแคทลีย่าเชียวล่ะ"
น้ำเสียงของทัตสึยะเปลี่ยนไป เหมือนจะไม่พอใจกับคำพูดเมื่อครู่
"จะรู้สึกยังไงฉันไม่รู้หรอก แต่แคทลีย่าเป็นครอบครัวของแกไม่ใช่รึไง เธอวิ่งวุ่นมาขอให้ฉันช่วยทุกครั้งที่แกไปก่อเรื่องตลอดเลยนะ รู้รึเปล่าว่าเธอเป็นห่วงขนาดไหนน่ะ"
คำพูดของทัตสึยะ ทำให้เกรทนิ่งเงียบไปพักหนึ่งจนกระทั่งเหมือนจะนึกคำพูดที่อยากจะพูดออก
"รู้สิ..แล้วก็รู้ด้วยว่านายก็เหมือนกัน ที่จริงไอความรู้สึกโดดเดี่ยวที่ถามไปนั่นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันพวกที่สถานสงเคราะห์ก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันจะเรียกว่าเป็นครอบครัวญาติเยอะก็ได้เลยไม่รู้สึกเหงาเท่าไหร่"
“งั้นจะถามเรื่องแบบนั้นไปทำไมอีกล่ะ”
"ก็อีกไม่นานเดี๋ยวทั้งฉันทั้งแคทตี้ก็จะเรียนจบแล้วก็ต้องออกจากสถานสงเคราะห์ พอเริ่มออกไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวความรู้สึกก็คงจะเปลี่ยนไปล่ะมั้ง”
“จะเป็นไรไป๋ เรื่องสายเลือดเดียวกันมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรขนาดนั้นซักหน่อยดูฉันเป็นตัวอย่างสิขนาดพี่น้องร่วมสายเลือดกันยังไม่อยากจะมองหน้ากันเลย ของแบบนี้น่ะสำคัญมันอยู่ที่ใจต่างหาก ถึงฉันจะเรียนจบไปแล้วก็ใช่ว่าจะตัดสัมพันธ์กับพวกนายซักหน่อยนี่”
ทัตสึยะพยายามจบหัวข้อเรื่องสายเลือดอย่างชัดเจน เพราะมันทำให้นึกถึงการแก่งแย่งชิงอำนาจที่บ้านขึ้นมา เกรทเข้าใจความรู้สึกนั้นเพราะคบกันมานานจึงคิดเปลี่ยนเรื่องคุย
”ฉันเนี่ยโชคดีจริงๆน้าถึงจะไม่มีครอบครัวที่ร่วมสายเลือดกันมาแต่ก็อยู่มาได้จนถึงเดี๋ยวนี้ก็เพราะมีคนอื่นๆคอยช่วยเหลือ แค่มีชีวิตอยู่นี่ก็ถือว่าโชคดีสุดๆไปแล้ว เลยคิดว่าซักวันจะต้องตอบแทนให้ได้"
"เอาอีกแล้วเหรอไอความฝันนั่นของแกน่ะที่ว่าจะช่วยคนใช่มะ"
"เออ ฉันจะเรียนให้จบแล้วก็เป็นไมสเตอร์ออกเดินทางไปช่วยเหลือผู้คน"
"ก็เหมาะดีนี่แต่ก่อนจะเรียนจบช่วยปรับปรุงการพูดจาหน่อยก็ดีนะยังไงฉันก็รุ่นพี่แกพูดจาให้มันอ่อนน้อมกว่านี้หน่อยเหอะ"
"แหมไอแบบนั้นคงจะยากอ่ะก็คนมันไม่ได้ฝึกมาอ่ะฮะๆๆ"
พวกเราสามคนเป็นเพื่อนสนิทที่ใครๆต่างก็รู้กัน ทัตสึยะเป็นรุ่นพี่ของพวกเราอยู่หนึ่งปี รู้จักกันตอนที่พึ่งเข้าโรงเรียนไมสเตอร์ตอนนั้นเขาอยู่ปีสองเป็นทั้งประธานนักเรียน แล้วก็นักเรียนดีเด่น แถมยังชาติตระกูลดีอีกต่างหาก เรียกว่าเพอร์เฟ็คแมนเลยแหละ แต่ก็เป็นคนไม่ถือตัวสนิทกับคนง่ายเลยพลอยสนิทกับผมกับแคทลีย่า ที่มาจากสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าไปด้วย และเพราะผมชอบก่อเรื่องประจำ ทัตสึยะเลยตามมาช่วยบ่อยๆจนเราสนิทกันไปทั้งแบบนั้นและกลายเป็นกลุ่มที่ซี้กันที่สุดไป
……………………………………..
………………..
ปีถัดมาทัตสึยะก็เรียนจบและออกไปเป็นไมสเตอร์รุ่นแรกสุดของโรงเรียน ใช้เวลาแค่ปีเดียวก็ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดของวงการฟิคชั่นไมสเตอร์ และได้รับสมยานามว่าเมจิน
ถัดมาหลังจากนั้นอีกผมกับแคทลีย่าก็จบการศึกษาและเป็นไมสเตอร์เต็มตัว แคทลีย่าเลือกเป็นแฟนอาร์ทไซเนอร์แล้วก็แยกตัวไปสอบเป็นไมสเตอร์โปลิศ ส่วนผมที่เลือกเป็นฟิคชั่นไมสเตอร์ก็ไปเข้ากับหน่วยงานไมสเตอร์เรนเจอร์(Meister Ranger) เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือผู้คนในต่างโลกแบบที่ไม่ให้เกิดผลกระทบกับการเดินเรื่องของโลกนั้นๆด้วย
ถึงจะแยกกันทำงานแต่พวกเราก็ได้ร่วมงานด้วยกันบ่อยๆเพราะในยุคสมัยที่เป็นการเริ่มบุกเบิกโลกต่างมิติหน่วยงานที่มาสนับสนุนไมสเตอร์นั้นยังมีไม่ค่อยมากนัก มีเท่าไหร่ก็ต้องช่วยเหลือกันไปบางครั้งงานก็อยู่ที่โลกของพวกเราอิเมจิเนี่ยนเหมือนกัน เพราะไมสเตอร์เทคโนโลยีนั้นเป็นพลังที่มีประโยชน์หลากหลายจึงปรับตัวให้เข้ากับงานได้ทุกรูปแบบเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้พวกเราเลยต้องแสดงศักยภาพด้วยการทำงานช่วยเหลือเรื่องในโลกฝั่งของเราไปด้วย
มีครั้งหนึ่งเกิดอุบัติเหตุห้างสรรพสินค้าถล่ม ไมสเตอร์เรนเจอร์ถูกเรียกตัวมาช่วยงานนี้ด้วยร่วมกับหน่วยงานมากมาย ผมกับแคทลีย่า รวมถึงทัตสึยะก็มารวมตัวกันในงานครั้งนั้น เพราะพลังของไมสเตอร์ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายน้อยมากเมื่อเทียบกับรูปแบบของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น จากเหตุการณ์นี้ทำให้พลังของไมสเตอร์ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในที่สุดและเป็นรากฐานของการสนับสนุนวงการนี้ต่อไปอีกในอนาคต
ทว่าแม้จะมีผู้เสียหายเกิดขึ้นน้อยขนาดไหนก็ตามแต่คามจริงก็ยังมีคนที่ต้องรับเคราะห์อยู่ดีเด็กสาววัยห้าขวบที่ผมกับแคทลีย่าช่วยออกมา สูญเสียครอบครัวไปในเหตุการณ์นั้น พวกเราต่างก็รู้ดีว่าการเป็นเด็กกำพร้ามันเจ็บปวดแค่ไหนดังนั้นผมกับแคทลีย่าจึงรับเธอมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เธอชื่อว่า ปิโย
“นี่ไหนๆก็รับเด็กมาเลี้ยงแล้วพวกเรามาสร้างครอบครัวกันใหม่เลยไหม”
คำชวนของแคทลีย่าช่างน่าฉงนแถมยังเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงที่น่าสงสัย
“ทำไมอยู่ๆก็มาชวนแบบนี้ล่ะกะทันหันไปหน่อยม้างฉันกับเธอยังไม่ทันมีอะไรกันเลยนา หรือนึกอยากจะเล่นเป็นพ่อแม่ลูกขึ้นมาเอาตอนแก่เนี่ยนะ”
“ไม่ใช่ซะหน่อยเล่นเป็นพ่อแม่ลูกอะไรกันเล่า ฉันน่ะไม่คิดแค่จะเล่นหรอกนะแต่จะเป็นจริงๆเลยตะหาก”
“หา? แล้วมันอะไรยังไงกันอ่ะงงนะเนี่ย”
“ตาทึ่มหัดใช้หัวหน่อยสิยะฉันกำลังขอนายแต่งงานอยู่นี่ไงยะ”
ใช้เวลาประมาณสองถึงสามนาทีในการประมวลผลคำพูด
“เหย เอาจริงดิ!”
“ก็เออสิยะแล้ว…คำตอบล่ะ…”
ถึงจะพึ่งมาทำท่าเขินอายเอาตอนนี้มันก็สายไปแล้วแต่คำตอบของผมน่ะยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนแล้วก็ไม่เคยสายเกินไปด้วย
“ก็เอาสิ ฉันเองก็คิดมาตั้งนานแล้วล่ะ แต่งงานกันนะแคทตี้แล้วก็มีลูกกันเยอะๆจะได้เป็นเพื่อนให้ปิโยด้วย มาสร้างสายเลือดของพวกเราร่วมกันตั้งแต่วันนี้ไปเลยนะ”
…………………………………………………
…………………………….
หนึ่งปีต่อมา
เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้นที่โรงพยาบาลในเขตเมืองเกิดถล่มลงมา แต่เป็นอีกครั้งของปาฏิหารย์เช่นกันที่มีผู้เสียชีวิตน้อยจนน่าตกใจ
เสียงไซเรนรถดังระงม รอบที่เกิดเหตุยังคงมีฝุ่นควันจากการถล่มและควันไฟจากไฟไหม้หลงเหลืออยู่ ทัตสึยะเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุหลังจากสิ้นสุดเหตุไปได้ไม่นาน เขาลงจากรถแล้วตรงไปหากลุ่มควบคุมสถานการณ์ทันที
ที่นั่นเองเขาได้พบกับร่างของผู้บาดเจ็บจากเหตุในครั้งนี้ ทัตสึยะมองร่างที่คุ้นเคยด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
"เฮ้ย..ไม่จริงน่ะ...เกรท.."
ทัตสึยะมองร่างของเพื่อนสนิทที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ทั่วทั้งร่าง ลมหายใจของเพื่อนยังคงรวยริน ทั้งที่มีทีมแพทย์คอยประคองอาการอยู่ข้างๆแล้วก็ยังไม่ช่วยให้รู้สึกวางใจได้เลย เกรทฝืนขยับตัวเหมือนพยายามจะบอกอะไร ทัตสึยะรับรู้ความตั้งใจนั้นจึงเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เสียงของเกรทเบาเหมือนกระซิบแต่นั่นคือเสียงทั้งหมดเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวย
“ท….ทัต….ทัตสึยะฝา.…ฝ…ฝาก..ที่เหลือ…ด้วย…”
เสียงหายไปพร้อมกับลมหายใจสุดท้ายได้ดับลง ในตอนนั้นเองจู่ๆก็มีเสียงเด็กผู้หญิงร้องโวยวายดังมาจากด้านหลัง
“ไม่จริง..ไม่จริงหม่าม๊า…หม่าม๊าน่ะ..”
ภายหลังจากเสียงโวยวายก็มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญปานจะขาดใจตายตามมา ที่ตรงนั้นเองทัตสึยะได้มองเห็นความเศร้าโศกที่กลายเป็นรูปธรรม เด็กสาวที่กำลังคร่ำครวญคือเด็กกำพร้าที่ เกรทและแคทลีย่ารับเป็นลูกบุญธรรม เบื้องหน้าของเด็กสาวมี นายแพทย์ของโรงพยาบาลที่เกิดเหตุเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะต้องทำอย่างการปลอบเด็กสาวเลยแต่กลับมีสีหน้าเจ็บปวดเหมือนกับทำอะไรไม่สำเร็จมา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
ทัตสึยะเข้าไปถามหาความกับนายแพทย์
"คุณเป็นใครเหรอครับ"
นายแพทย์ถามกลับ ทัตสึยะคิดอยู่พักนึงก่อนจะบรรจงลูบหัวเด็กสาวเป็นการปลอบเธอให้หยุดร้องไปพร้อมกับเป็นการแสดงหลักฐานความเป็นผู้เกี่ยวข้องที่มีสิทธิ์จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
"ผมเป็นคนรู้จักของพ่อกับแม่ของเด็กคนนี้ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่ของเธอหรือครับ"
"งั้นหรือครับคือว่า...ผมกับภรรยาที่เป็นผู้ช่วยเป็นคนทำคลอดให้กับแม่ของเด็กคนนี้น่ะครับแต่ว่าหลังจากคลอดเด็กออกมาแล้วเธอก็...เธอเสียชีวิตแล้วครับ"
ราวกับถูกสายฟ้าฟาดเข้ากลางใจทัตสึยะที่อดทนอดกลั้นความรู้สึกจากการสูญเสียเกรทไปแล้วต้องมารับรู้ถึงการจากไปของแคทลีย่าอีกคนทำให้เขารู้สึกปวดหัวใจอย่างสุดประมาณ
............................................
.....................
4ปีก่อนถึงเวลาปัจจุบัน วันที่ 25 ตุลาคม เกรซึ่งได้รับรู้อดีตที่แท้จริงของตัวเองตื่นขึ้นมาในเช้าวันเกิดที่อากาศหนาวเหน็บ บนม้านั่งของสวนสาธารณะที่เขาใช้เป็นที่ค้างคืน เต็มไปด้วยหยดน้ำค้างที่หยดลงมาจากต้นไม้ โชคดีที่เขาสวมเสื้อไว้หนาก่อนออกจากบ้านจึงได้เสื้อช่วยรักษาความอบอุ่นของร่างกายจนผ่านความหนาวเย็นยามค่ำคืนมาได้
เป็นเช้าวันเกิดที่รู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต เกรคิดอย่างนั้นขณะยกกระป๋องกาแฟที่กดมาจากตู้ขายน้ำอัตโนมัติขึ้นซดเพื่อบรรเทาความหนาว เวลาได้ข่วยเยียวยาความช็อกที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้บรรเทาลงไปบ้างแล้วแต่เกรก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าต่อจากนี้ไปจะทำยังไง มันเป็นเรื่องจริงที่เขากับพี่ไม่ได้มีสายเลือดร่วมกัน แต่พี่ก็รักเขาแล้วก็เลี้ยงดูประคับประคองมาจนโตป่านนี้เรื่องนี้ตัวเขารู้ดีที่สุดแต่ว่าในส่วนลึกของจิตใจกลับรู้สึกไม่สงบ
ถ้าจะบอกว่าเกิดรู้สึกถึงปมด้อยของตัวเองที่ไร้ญาติขาดมิตรขึ้นมามันก็ไม่เชิงว่าจะใช่เพราะตลอดสิบห้าปีที่ผ่านของช่วงชีวิตทั้งหมดเขาก็เติบโตมาโดยรู้ว่าตัวเองไม่มีพ่อแม่อยู่แล้วไหนจะยังถูกเลี้ยงดูที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าอีก ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ ว่าทำไมต้องรู้สึกโกรธ ทำไมถึงรู้สึกเศร้าขนาดนี้เมื่อได้รู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
เกรเดินออกจากสวนสาธารณะในตอนสายที่แดดเริ่มแรง เดินไปอย่างไร้จุดหมาย อุบัติเหตุโรงพยาบาลถล่มที่เป็นเหตุให้พ่อแม่เสียชีวิตนั้นเป็นอุบัติเหตุที่ตัวเขาเองก็รู้จักและเคยได้ยินมาเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ที่ลงข่าวหน้าหนึ่งทุกฉบับหนังสือพิมพ์ และยังเล่ากันปากต่อปากมาจนถึงทุกวันนี้
กว่าจะรู้สึกตัวว่าขาของเขาพาตัวเองไปยังสถานที่แห่งหนใด เกรก็พาตัวเองมายืนอยู่หน้าจุดที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตซะแล้ว เบื้องหน้าคือซากอาคารที่กองพะเนินเป็นภูเขาขยะ ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นโรงพยาบาลมาก่อนและน่าจะเป็นสถานที่เกิดจริงๆของเขาด้วยเช่นกัน
เกรไม่ใช่เด็กที่หัวทึบซะทีเดียวเขาเป็นคนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์สูงและนั่นทำให้เขาปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างในหัวขึ้นมาจนพาตัวเองมาถึงสถานที่นี้โดยอัตโนมัติแม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกทึ่งจนน่าเศร้า
เกรปล่อยให้ความคิดแล่นผ่านสมองเพื่อค้นหาสาเหตุที่ตัวเขามาอยู่ที่นี่คิดว่าเขามาที่นี่เพื่อทำอะไร แต่สิ่งที่ค้นเจอก็เหมือนจะมีแต่ความมืดมิดและอารมณ์ในด้านลบความรู้สึกโกรธที่ถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพังผสมปนเปกับความอาลัยอาวรณ์ต่อครอบครัวที่เคยมีจนยุ่งเหยิงไปหมด ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังสับสนก็มีกระป๋องน้ำอัดลมลอยมากระแทกหน้าผากเข้าอย่างจัง
ที่ลานด้านหน้าซากโรงพยาบาลนั้นมีกลุ่มเด็กนักเรียนม.ปลายสามคนกำลังสุมหัวกันอยู่คนหนึ่งในสามคนที่ขว้างกระป๋องใส่เป็นหนุ่มเฮ้วย้อมผมสีทองติดตุ้มหูและยังเครื่องประดับแวววาวเกือบทั้งตัว
"เฮ้ยแกตรงนั้นน่ะช่วยเก็บไปทิ้งทีเด้ะ"
คนที่ย้อมสีผมสั่ง
"ใช่เราต้องข่วยกันรักษาความสะอาดเนอะ"
คนที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มสามคนแกล้งพูดเสียงสูงเพื่อจะเยาะเย้ยก่อนที่ทั้งสามจะพากันหัวเราะร่าด้วยความชอบใจ
"ขอโทษฉันมาเดี๋ยวนี้"
เกรตะหวาดพร้อมกับเดินเข้าหากลุ่มนักเรียนม.ปลายอย่างไม่เกรงกลัวที่จริงเพราะตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเรื่องของพ่อแม่ความโกรธจากการถูกทิ้งไว้ข้างหลังกับความโกรธที่ถูกรังแกผสมโรงรวมกันจนกลบอารมณ์ความรู้สึกอื่นๆไปหมด
"ว่าไงนะ"
พวกนักเรียนม.ปลายกล่าวพร้อมกับเข้ามาล้อมเกรไว้ทุกทิศทาง
"ตัวแค่นี้กล้าดีนี่หว่า"
"แต่มาหาเรื่องกับพวกพี่มันจบไม่สวยหรอกนะน้อง"
เกรไม่สนคำขู่ของพวกมันเขาตะหวาดกลับไป
"บอกว่าให้ขอโทษไง ขอโทษฉันมาซะ"
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ยินเสียงขอโทษจากปากของพวกม.ปลายนั่นอาจจะเพราะเขาถูกชกจนกระเด็นล้ม พวกผม.ปลายทั้งสามคนเข้ามารุมกระทืบใส่อย่างไร้ความปราณี
"โธ่เว้ยหัดรับผิดชอบซะมั่งเซ่"
เกรด่าพวกม.ปลายแต่ก็หมายรวมถึงพ่อแม่ที่ทิ้งเขาไปด้วย ถ้าจะตายก็อย่ามีเขาสิ ในเมื่อรับพี่สาวมาเลี้ยงแล้วจะให้เขาเกิดมาอีกทำไมกัน แล้วก็มาทิ้งกันไว้แบบนี้ช่างไร้ความรับผิดชอบกันเหลือเกิน เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นระหว่างที่สัมผัสถึงกลิ่นเหมือนเหล็กของเลือดที่ซึมเข้าปาก
"ไอบ้านี่มันพูดอะไรของมันฟระ"
"สงสัยจะบ้าฟ่ะ"
พวกเด็กม.ปลายยังคงกระทืบเกรอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าหน้าของเด็กหนุ่มจะปูดบวมแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือ ในจังหวะที่หน้าหันไปเพราะโดนอัด ก็แลเห็นเด็กนักเรียน ม.ต้น ผมสั้นสีดำมีผมหลังกระดกนิดหน่อย ใส่แว่นและขนตางอนยาวเป็นจุดเด่นสะดุดตา กำลังเดินผ่านลานแห่งนี้ไป เด็กคนนั้นเหลือบมองมาทางนี้ด้วยสายตาหวาดๆ
เฮอะเจ้าแว่นขนตางอน ไม่คิดจะมาช่วยกันเลยสินะ ไม่ใช่เรื่องของตัวเองนี่ใครจะมันอยากมาเจ็บตัวด้วยเล่า....อ้าว..ตาแบบนั้นมัน...อื้อฮือกลัวเว้ยกลัว….ชิไม่ว่าหน้าไหน…
"พอแค่นั้นแหละ"
มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังแว่วมา ไม่ใช่เสียงของสามคนนั้นแต่พวกนั้นก็หยุดมือหยุดเท้ากันแล้ว เกรพยายามปรือตาที่ปูดบวมเพื่อมองดูว่าใครที่มาช่วยเขาเอาไว้
เบื้องหลังเด็กหัวโจกที่ย้อมสีผมนั้น มีชายร่างสูงเรือนผมสีดำหวีปัดออกด้านข้างติดกิ๊ฟหนีบผมสีเงินเหน็บที่ปลายผมไว้สองอัน เขาสวมแว่นกันแดดสีดำทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนกำลังบีบไหล่เด็กหัวโจก
"ขืนทำมากกว่านี้อีกฉันจะจับพวกเธอส่งตำรวจซะเลยดีไหม"
"ว่าไงนะลุง เกี่ยวไรกะเค้าด้วย"
เด็กที่ตัวโตที่สุดในกลุ่มจ้องหน้าชายแว่นแดดอย่างไม่เกรงกลัว
"ปล่อยนะ.."
เด็กหัวโจกที่โดนบีบไหล่อยู่สั่งด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทิ้มแรงบีบของมือที่ชายแว่นกันแดดบีบนั้นแทบจะหักไหล่ของเขาได้สบายๆ
"ก็ไม่เกี่ยวหรอกแต่ฉันทนดูเฉยๆไม่ได้"
ชายแว่นกันแดดกล่าวพร้อมกับออกแรงบีบมากขึ้นไปอีกจนเด็กหัวโจกทนเจ็บไม่ไหวจึงทั้งดิ้นทั้งสะบัดให้หลุดแล้วก็หลุดออกมาได้เพราะชายแว่นกันแดดจงใจปล่อยมือ
"พูดแบบนี้แปลว่าจะเอาใช่มะลุง"
เด็กที่ตัวโตกล่าวขณะรอรับร่างของหัวโจกที่เซถลามาเพราะชายแว่นกันแดดปล่อยมือระหว่างที่ดิ้นสุดแรงเกิดจึงเสียหลักกะทันหัน
"เฮ้ยพอเถอะ"
เด็กหัวโจกสั่งพลางทำสัญญาณหันให้เพื่อนหันตามไปดูที่ด้านนอกลานมีรถที่เหมือนกับรถสายตรวจของตำรวจมาจอดรออยู่และยังมีนานตำรวจมาดเข้มอีกสองคนลงจากรถมาแสตนบายด์รออยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีเด็กม.ปลายทั้งสามจึงลามือแล้ววิ่งหนีออกจากเขตนี้ไปทันที หลังจากนั้นชายแว่นกันแดดจึงเข้าไปช่วยประคองร่างของเกรขึ้นมาดูอาการ
30นาทีต่อมา ย้ายมาที่สวนสาธารณะซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก เกรซึ่งเสร็จจากการล้างหน้ากับแผลก็เดินออกจากห้องน้ำด้วยสภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัว ชายแว่นกันแดดส่งผ้าขนหนูให้เขารับไปเช็ด
"ขอบคุณที่ช่วยไว้นะครับ...เอ่อคุณ..."
"เรื่องของฉันน่ะช่างเถอะแต่ว่ามีเรื่องอยากจะถามเธอหน่อย"
ชายแว่นกันแดดจ้องหน้าเกรเขม็งอยู่ตลอดขณะที่สนทนากัน
"อาจจะถามอะไรแปลกๆไปบ้างแต่ว่านะเธอน่ะเมื่อก่อนคุณพ่อเคยประสบเหตุที่โรงพยาบาลนั่นถล่มด้วยรึเปล่า"
"ก็...ใช่ครับคุณพ่อกับคุณแม่ท่านเสียที่นั่นผมได้ยินมาอย่างนั้น"
"ว่าแล้วเชียวเธอคือลูกของเกรทจริงๆด้วย"
น้ำเสียงของชายแว่นกันแดดเปลี่ยนไปจากเดิมเขาทำหน้าดีใจที่เดาถูก จนอดสงสัยไม่ได้จึงถามอย่างตรงไปตรงมา
"ทำไมคุณถึงรู้จักชื่อพ่อของผมล่ะคุณเป็นใครกันแน่"
"ฉันชื่อคามิโอ ทัตสึยะ เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนของพ่อกับแม่เธอ"
....…………………….………………
.…………………….……………
19ปีก่อนถึงเวลาปัจจุบัน วันที่25 ตุลาคม
ลานจอดรถใต้ดินของโรงพยาบาล มีรถจำนวนมากอยู่สภาพหลังคายุบไม่ก็พังไปทั้งคัน รวมไปถึงไฟที่ลุกลามจากการระเบิดของเครื่องยนต์ทำให้ทั่วทั้งลานตลบอบอวลไปด้วยควัน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการต่อสู้กันระหว่างไมสเตอร์ กลุ่มของผู้ก่อการร้ายลักลอบขนระเบิดเข้ามายังลานจอดรถใต้ดินเพื่อจะติดตั้งระเบิดพิเศษที่จะทำให้โครงสร้างอาคารพังทลายลงมาทันทีที่มันระเบิด แต่ก็มีฟิคชั่นไมสเตอร์คนหนึ่งมาเจอเข้าและแจ้งไปยังกรมตำรวจกับไมสเตอร์โปลิศ ด้วยความที่ว่าตนเป็นไมสเตอร์จึงคิดรับมือกับพวกผู้ก่อการร้ายเพียงลำพัง โชคไม่ดีนักที่ฝ่ายผู้ก่อการร้ายก็เป็นไมสเตอร์ การต่อสู้จึงดุเดือดและยืดเยื้อ และในที่สุดระเบิดที่ติดตั้งไว้ก็ทำงาน
พวกผู้ก่อการร้ายหนีไปหมดไปแล้วโดยทิ้งชายหนุ่มที่ต่อสู้กับพวกมันจนบาดเจ็บสาหัสเอาไว้ในลานจอดรถที่เตรียมจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ชายหนุ่มยังคงประคองสติไว้ได้เขามองเพดานคอนกรีตของลานจอดรถกำลังปริร้าว เหนือแผ่นคอนกรีตนั่นมีเหล่าคนสำคัญที่เขาอยากจะปกป้องเอาไว้ เขาลงมาสู้กับพวกก่อการร้ายก็เพื่อถ่วงเวลาให้ชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดมาได้ลืมตาดูโลก
"พยายามเข้านะแคทตี้...ฉันจะช่วยเธอให้ได้...เลย.."
ชายหนุ่มเค้นแรงทั้งหมดที่มีหยัดร่างที่โทรมเป็นผ้าขี้ริ้ว จนลุกขึ้นมาคลานได้ ที่ตัวเขากลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะการโจมตีของพวกผู้ก่อการร้ายนั้นสามารถเจาะทะลวงพรป้องกันของไลฟ์การ์ดเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับไมสเตอร์ได้ทั้งที่ไม่น่าจะทำได้
ชายหนุ่มลากสังขารที่เหลืออยู่คลานไปเก็บฟิคชั่นไดรเวอร์ของตนซึ่งตกอยู่ไม่ไกลนัก มันกระเด็นออกมาตอนที่เขาเสียท่าให้กับพวกผู้ก่อการร้าย จำนวนไลฟ์การ์ดยังคงเหลืออยู่สามใบและจำนวนการ์ดที่มีเหลืออยู่ในสำรับก็มีอีกสิบใบ ตามหลักการแล้วเขาสามารถคงสภาพไมสเตอร์ได้อีกราวสามนาทีครึ่ง ซึ่งนั่นเป็นกรณีของการใช้ไดรเวอร์ในโหมดฟูลออพชั่น(Full Option)
ถ้าเป็นโหมดปฏิบัติการอิสระที่จะตัดเรื่องของการสนับสนุนจากไลฟ์การ์ดที่ช่วยคุ้มครองร่างกายออกไปก็น่าจะอยู่ได้อีกครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น
"ป...เปลี่ยนเป็น...ปฏิบัติการอิสระ.."
/Independent Mode Activate/
หน้าจอของไดรเวอร์แสดงการตอบกลับพร้อมเสียงสังเคราะห์ว่ายืนยันคำสั่งของเขาเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นจึงทำท่าปาดมือไปทางขวาเพื่อเรียกการ์ดที่ยังใช้ได้อยู่ขึ้นมาดูโชคดีที่การ์ดที่ต้องการนั้นยังพร้อมใช้งานอยู่ ชายหนุ่มเลือกการ์ดใบที่ต้องการมาไรท์ทันที
"ร...แรงค์สาม...มิวทู" /Character Write Pokemon/
แสงสว่างอาบร่างของชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วร่างของเขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดสีขาวขนาดตัวเท่ากับมนุษย์ปกติมีหูแหลมยื่นยาว มันคือสิ่งมีชีวิตจากจักรวาลคู่ขนานที่ถูกเรียกว่าโปเกม่อนเวิร์ล โปเกม่อนพันธุกรรม มิวทู(MewTwo) พลังจิตของมันแก่กล้าจนเป็นที่กล่าวขานกันในจักรวาลของมันเอง
แต่ทว่าแม้จะไรท์เพื่อเปลี่ยนตัวเองเป็นคาแรกเตอร์ที่แข็งแกร่งแค่ไหนบาดแผลและความบอบช้ำที่เคยมีในร่างต้นก็จะถูกถ่ายทอดมายังร่างแปลงในตอนนี้ไปด้วย มิวทู จึงมีร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและอ่อนแรงแต่พลังของมิวทูก็สูงกว่ามนุษย์ปกติ ด้วยพลังนั้นเองทำให้เขากลับมามีแรงอีกครั้ง
ความจริงแล้วเขาอยากจะใช้พลังในการฟื้นตัวของมิวทูด้วยแอคชั่นการ์ด 'ท่าฟื้นพลัง(Recovery)' แต่หากทำแบบนั้นจะสิ้นเปลืองพลังงานของไดรเวอร์และทำให้คงสภาพแปลงร่างได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่ฟื้นพลังแล้วเปลี่ยนไปใช้แอคชั่นการ์ดสำหรับแก้สถานการณ์ปัจจุบันแทน
"แรงค์หนึ่ง ไซโคคิเนซิส" /Action Write Pokemon/
มิวทูชูแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วกางมือ ออกพร้อมกับส่งพลังจิตขึ้นไปค้ำยันเพดานซึ่งยุบลงมาพอดี ในตอนนี้เองพลังจิตของเขาได้ช่วยค้ำจุนโรงพยาบาลทั้งหมดไม่ให้ถล่มลงมาและนั่นหมายความว่าตัวเขาจะขยับออกไปจากที่นี่ไม่ได้อีกแล้วจนกว่าจะมีใครมาพบ
เวลาผ่านไปจนเหลือเพียงห้านาทีสุดท้ายก่อนที่ฟิคชั่นไดรเวอร์จะหยุดการทำงาน ความเหนื่อยล้าและอาการบาดเจ็บริดรอนเอากำลังที่มีเหลืออยู่ไปจนใกล้จะหมดไม่สิมันหมดไปตั้งนานแล้วที่ตอนนี้ยังยืนอยู่ได้ก็เพราะแรงใจเพียวๆของเขาเอง เวลาเหลืออีกไม่มากแล้วทั้งขีดจำกัดของร่างกายและพลังงานของฟิคชั่นไดรเวอร์ ในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่มีทางรอดได้เลยและจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีวี่แววของตำรวจหรือหน่วยไมสเตอร์มาด้วยซ้ำไป
"เปิดไฟล์เวิร์ดล่าสุดขึ้นมาให้ทีแล้วเปลี่ยนไปใช้การบันทึกด้วยเสียงลงที่ย่อหน้าสุดท้าย"
/Meister Word 2K has opened/
ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูดอีกเขาอยากจะสั่งเสียมันไว้ในไดรเวอร์เพื่อลูกที่กำลังจะเกิดมา ถ้อยคำในใจทั้งหมดได้หลั่งไหลออกมาในช่วงหนึ่งนาทีสุดท้ายก่อนเวลาหมด
/Time Out, System will shutdown. Thank you./
ร่างของมิวทูกลับคืนเป็นชายหนุ่มอีกครั้ง เขาล้มตัวลงฟุบกับพื้นด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง พร้อมกับแผ่นคอนกรีตที่พังทลายลงมาถับถมใส่ร่างอย่างไร้ความปราณี
กว่าที่เขาจะถูกพบก็เป็นเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังและฝากฝังทุกอย่างไว้กับเพื่อนสนิทก่อนที่จะเสียชีวิต
.…………………….…………….………
.…………………….……………
"พ่อของเธอคือวีระบุรุษที่ช่วยเหลือผู้เคราะห์ร้ายของโรงพยาบาลเอาไว้ได้ถ้าไม่มีเขาอยู่ที่นั่นในตอนนั้นล่ะก็แม้แต่เธอเองก็อาจจะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ก็ได้"
ชายแว่นกันแดดว่า เขาคอยสังเกตปฏิกิริยาของเกรหลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งหลังจากได้ฟังเรื่องของพ่อตัวเองก็มีหลายสิ่งให้เขาขบคิดมากมาย
อยากที่จะถามอยากจะที่รู้ เรื่องของพ่อและเรื่องของแม่แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างมากดเอาไว้จนไม่กล้าที่จะถาม เขากำลังกลัว กลัวว่าถ้ารู้มากกว่านี้แล้วตัวตนของเขาในตอนนี้จะเปลี่ยนไป เดิมทีเด็กหนุ่มรู้เพียงแค่ว่าพ่อกับแม่ทิ้งเขากับพี่แล้วหนีไปทำให้เขาเมินเฉยในตัวพ่อกับแม่เสมอมา แต่ตอนนี้เขารู้ความจริงแล้วความรู้สึกทั้งหมดกำลังจะเปลี่ยนไปนั่นคือความกลัวที่เกิดขึ้น
"เดี๋ยวฉันจะต้องกลับไปทำงานแล้วล่ะถ้ายังไงขอเบอร์ติดต่อหน่อยสิฉันอยากจะเจอเธออีกน่ะ"
ชายแว่นกันแดดว่าพลางหยิบเอาสมาร์ตโฟนขึ้นมาจิ้มนิ้วลงไปสองสามทีก่อนจะส่งให้ เด็กหนุ่มรับเอาไปกดเบอร์ติดต่อเพื่อบันทึก หลังจากให้เบอร์ติดต่อเสร็จเรียบร้อยเขาก็ส่งห่อกระดาษที่ถือเอาติดตัวตอนลงจากรถที่พามาสวนสาธารณะ
"ส่วนนี่ฉันให้..เป็นของดูต่างหน้าของพ่อเธอ"
เด็กหนุ่มทำตาโตด้วยความตกตะลึงเขารับห่อของมาอย่างรีบๆแล้วแกะดูข้างในทันที มันเป็นอุปกรณ์ที่เขาเคยเห็นในทีวีมาก่อน สีแดงกับสีขาวของตัวเครื่องคือสิ่งที่บ่งบอกว่ามันคือฟิคชั่นไดรเวอร์
ว่ากันว่ามีสายอาชีพนอกเหนือจากฟิคชั่นไมสเตอร์อยู่อีกอย่างแฟนอาร์ทไซเนอร์ หรือ แฟนซับริทเตอร์(Fan-Sub Ritter) แต่ทั้งหมดก็ถูกเรียกรวมๆว่าไมสเตอร์เพราะพื้นฐานมาจากฟิคชั่นไมสเตอร์เหมือนกันและเป็นเหล่าผู้ใช้พลังแห่งจินตนาการเฉกเช่นเดียวกัน ตัวไดรเวอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้งานก็คือฟิคชั่นไดรเวอร์เหมือนๆกันต่างกันเพียงแค่สิ่งที่ใช้ระบุตัวตนที่เรียกว่าไมสเตอร์การ์ดที่เป็นแคนวาส(Canvas)
ไดรเวอร์ที่เด็กหนุ่มได้รับมานอกจากหน้าจอของเครื่องที่เป็นกระจกกันกระแทกแบบพิเศษแล้วส่วนที่เป็นหุ้มเครื่องซึ่งทำจากพลาสติกผสมพิเศษนั้นกลับเป็นริ้วรอยและมีจุดถลอกอยู่ทั่วไปหมด
"ที่จริงจอมันแตกไปแล้วแหละนะแต่ว่าข้อมูลที่อยู่ข้างในมันจำเป็นกับการสืบสวนเขาก็เลยซ่อมจอให้ ฟังชันก์ข้างในยังทำงานได้ตามปกติแต่ไมสเตอร์การ์ดที่พ่อของเธอสะสมไว้ถูกเก็บกลับไปให้ส่วนกลางแล้วล่ะ ตอนนี้มันก็เป็นแค่เครื่องเปล่าแต่พวกข้อมูลหรือข้อความที่พ่อของเธอทิ้งเอาไว้ยังอยู่ครบนะ ฉันตั้งใจจะฝากมันให้กับพี่สาวของเธอตอนที่มันถูกตรวจสอบเสร็จแต่ว่าทั้งเธอแล้วก็พี่เธอถูกแยกกันไปซะก่อนฉันเลยตามรอยอะไรไม่ได้เลยโชคดีจริงๆในที่สุดก็ได้ส่งให้ถึงมือเธอซะที”
ชายแว่นกันแดดพูดจนเสร็จแล้วเขาก็เดินกลับไปที่รถแล้วจากไปทันที เหลือแต่เกรที่ยืนอยู่ในสวนสาธารณะตามลำพัง เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักใหญ่…. นี่พ่อ --- ช่วยคนจนตัวตายงั้นเหรอ…..
……………………………
………………..
พ่อไม่ได้ช่วยแค่แม่แล้วก็ลูกของตัวเองเท่านั้นแต่ยังช่วยคนอื่นๆที่ติดอยู่ในโรงพยาบาลด้วย….ตอนนี้เรื่องของพ่อแม่ก็กระจ่างแล้วโดยที่ยังไม่ได้ฟังจากปากพี่สาวเลยซักคำ รู้สึกเหมือนเป็นโชคชะตาที่กำหนดมาแบบนี้ ได้รู้เรื่องของตัวเองได้รู้เรื่องของพ่อแม่ที่แท้จริง ในวันคล้ายวันเกิดของตัวเองแล้วก็เป็นวันเดียวกับที่สูญเสียพวกเขาไปด้วย เกรในวัยสิบห้าปีทำได้เพียงรู้สึกสับสนตัวเขาอยู่ก้ำกึ่งกันระหว่างความรู้สึกต่างๆ
ระหว่างทางเดินกลับบ้านก็เป็นเวลาย่ำเย็นแล้วดวงตะวันกำลังจะคล้อยดินแสงสีแสดย้อมท้องฟ้าให้เป็นสีม่วง เกรเปิดไดรเวอร์ที่ได้มาดูไปพลางระหว่างเดินข้างในเครื่องมีแต่ไฟล์บันทึกข้อความที่พ่อของเขาเป็นคนเขียนเอาไว้ ส่วนใหญ่เป็นไดอารี่เขียนประจำทุกวันชื่อไฟล์จะตั้งชื่อด้วยวันที่หมด ยกเว้นอยู่ไฟล์หนึ่งที่ไม่ได้ตั้งชื่อด้วยวันที่และมีรายละเอียดบอกว่าเป็นไฟล์ที่มีการแนบการบันทึกเสียงเพิ่มเติมเอาไว้ด้วย
[ ถึงลูกที่กำลังจะเกิดมา ]
เมื่อลองเปิดไฟล์นั้นขึ้นมา ตัวอักษรมากมายร้อยเรียงเป็นข้อความ ปรากฏขึ้นบนจอภาพเด็กหนุ่มตั้งใจอ่านมันอย่างละเอียด….
[ ถึงลูกที่กำลังจะเกิดมา
สุขสันต์วันเกิดนะลูก เกิดมาแล้วก็เตรียมใจให้ดีล่ะพ่อจะรักแกให้สุดเหวี่ยงจะสั่งสอนจะด่าจะถ่ายทอดทุกอย่างที่พ่อมีให้หมดเกลี้ยงเลย ]
“แต่ก็ดันชิงตายไปซะก่อนนี่…”
เด็กหนุ่มลำพึงกับตัวเอง ก่อนจะเริ่มอ่านเนื้อความที่เหลือในเครื่องต่อ
[ ขั้นแรกเลยอยากให้โตมาเป็นคนที่รักพ่อแม่พี่น้องรักครอบครัว ]
“มีพ่อแม่พี่น้องให้รักด้วยเรอะไง”
[ พ่อกับแม่โตมาเป็นผู้เป็นคนได้เพราะได้รับการช่วยเหลือจากใครต่อใครมา พ่อก็เลยอยากเป็นคนที่จะเป็นที่พึ่งพาให้ใครต่อใครได้ อยากจะช่วยคนที่กำลังลำบาก แล้วพ่อก็อยากให้ลูกเป็นคนแบบนั้นด้วย ]
เครื่องฟิคชั่นไดรเวอร์สีแดงขาวลอยละลิ่วออกไปมันลอยอยู่พักนึงก่อนจะตกลงกระแทกพื้นการลอยตัวนานๆนั้นหมายถึงมันถูกขย้างไปไกลมากหลังจากตกพื้นแล้วก็ยัง กระเด้งกระดอนอยู่สองสามครั้งถึงจะหยุด แต่ไดรเวอร์เป็นอุปกรณ์ที่ทำจึ้นเป็นพิเศษแรงกระแทกเพียงเท่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบกับตัวเครื่องภายใน
“อย่ามาพูดบ้าๆนะ พูดจาเอาแต่ใจตัวเองชะมัดเลย”
เด็กหนุ่มตะหวาด เขาทำหน้าขมขื่นไปด้วยระหว่างที่ตัดพ้อความรู้สึกของตัวเองต่อความคาดหวังของพ่อ
“ช่วยคนอะไรกัน ตัวเองตายไปแล้วจะไปช่วยอะไรใครได้ก็แค่พวกบ้าเป็นฮีโร่ไม่ใช่รึไง…อย่ามาทำเป็นสั่งเสียหน่อยเลยช่วยคนอะไรกัน…พ่อเฮงซวยพรรค์นี้ตายๆให้มันพ้นๆไปเลยเหอะ”
หยดน้ำใสไหลอาบแก้มของเด็กหนุ่ม ในตอนที่เขาตะโกนขึ้นฟ้าไปนั้น
"...อ้าวก็ตายไปแล้วนี่หว่า...ฮึก.."
ไม่มีใครอยู่ในที่แห่งนั้นเลย ทางเดินกลับบ้านที่เขากำลังยืนอยู่เป็นถนนที่ตัดขนานไปกับแม่น้ำสายใหญ่ลอดใต้สะพานข้ามแม่น้ำ ข้างทางมีบันไดลงไปยังริมตลิ่ง
จากตลิ่งนั้นเองมีเสียงเอะอะดังแว่วมา
"ถ...ถึงจะเก่งยังไงแต่สามต่อหนึ่งน่ะมันไม่ไหว..."
มีเสียงตุบดังปนมากับเสียงพูดเมื่อครู่ เกรหันไปทางต้นเสียงนั้น
"โอ๊ะๆโทษทีๆ พอดีเห็นว่าขยับตัวก็เลยนึกว่าจะตั้งท่าสู้แล้วหมัดมันเลยวิ่งไปก่อนน่ะ"
เสียงใหม่ที่ได้ยินนอกจากเสียงเมื่อครู่ เขาจำได้ว่ามันคือเสียงของพวกนักเรียน ม.ปลายที่รุมอัดเมื่อเช้า ตอนนี้ที่ริมตลิ่งพวกนั้นอยู่กันครบทั้งสามคนและกำลังรุมเด็กนักเรียน ม.ต้นอยู่ เป็นคนเดียวกันกับเด็กแว่นขนตางอนที่เจอเมื่อเช้าแต่ว่าตอนนี้แว่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
พวก ม.ปลาย เริ่มซ้อมเจ้าขนตางอน เกรยังคงไม่ขยับเขาทำเพียงแค่จ้องมองราวกับเป็นการเอาคืน จนกระทั่งเจ้าขนตางอนโดนอัดจนหน้าหันมาทางถนนสายของทั้งคู่ก็สบหากัน สายตาที่เหมือนกับจะวิงวอน เกรได้แต่นึกขำอยู่ในใจ….สายตาพรรค์นั้นมันอะไรกันทีเมื่อเช้านายยังไม่เห็นจะช่วยฉันเลย ไอคนเห็นแก่ตัว...ช่วยคนอื่นเรอะถ้าฉันไปช่วยแล้วเกิดตายขึ้นมา…เกิดต้องมาเจ็บแทนจะทำยังไง…ฮึ ฉันจะอยู่คนเดียวจะไม่ช่วยเหลือใครทั้งนั้นจะอยู่เพื่อตัวเอง…
เกรตัดสินใจแล้วว่าจะเลิกสนใจคนอื่นและก้าวเท้าเดินต่อ ทำเมินเด็กขนตางอนโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งเท้าไปสะดุดเข้ากับเครื่องฟิคชั่นไดรเวอร์ที่ขว้างทิ้งมาเองเมื่อกี้ จึงเก็บมันขึ้นมา ตอนที่เก็บนั้นนิ้วบังเอิญไปสัมผัสถูกหน้าจอทำให้ไฟล์เสียงที่แนบเอาไว้ใน กับไฟล์จดหมายของพ่อถูกเปิดเล่นเอง
/...ตอนที่ลูกฟังเจ้านี่คงจะโกรธสินะที่พ่อทิ้งลูกไปแต่พ่อเองก็โดนครอบครัวเอาไปทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าตั้งแต่เกิดเหมือนกัน ก็เลยเข้าใจความรู้สึกของลูก ถ้าเป็นไปได้พ่อก็อยากจะพูดคำๆนี้กับลูกด้วยตัวของพ่อเอง….แต่ว่าเวลาก็ไม่มีเหลือแล้วเพราะงั้นพ่อจะขอสั่งเสียเอาไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน…./
เสียงของพ่อซึ่งสั่งเสียกับเครื่องเอาไว้ก่อนตายราวกับมีมนต์สะกด จนไม่อาจหยุดฟังมันได้คำพูดของพ่อตั้งใจจะบอกอะไรแก่เขา
/…เพื่อนพ้องคือสมบัติชั่วชีวิตจงช่วยเหลือกันและกันรักษาสายสัมพันธ์เอาไว้ ถึงจะถูกคนหักหลังก็อย่าได้หักหลังใครเด็ดขาด แล้วก็ถ้าเจอคนที่กำลังลำบากอย่าเมินผ่านไปเฉยๆ… ถึงจะไม่ได้เจอกันแต่พ่อก็รักลูก ขอบใจนะที่เกิดมาเพื่อพ่อ…./
เสียงของพ่อเงียบไปแล้ว โดยที่ไม่รู้ตัวขาของเขาได้ก้าวพุ่งลงบันไดไปทันที
“เฮ้ย!! พวกแกหยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ย”
เกรเอาตัวเข้าไปขวางพวกเด็ก ม.ปลาย
“หา!? อะไรของแกวะเฮ้ย”
“นี่มันเจ้าเด็กคนเมื่อเช้านี่หว่า”
“ตกลงแกเป็นใครกันวะรู้จักกับไอหมอนี่เรอะไง”
“เปล่า ฉันก็แค่ทำเมินเฉยไม่ได้...”
นี่เราทำบ้าอะไรวะเนี่ย เกรได้แต่คิดตำหนิตัวเองที่ทำอะไรบ้าๆแบบนี้ แต่ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเสียใจเลยซักนิดเดียว เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มองไปยังพ่อที่อยู่บนสวรรค์แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“ได้ยินรึเปล่าเจ้าพ่อบ้าถึงจะน่ารำคาญก็เหอะแต่ผมรับสืบทอดมาแล้วนะ ได้ยินไหม!!”
“หา? ตะโกนบ้าอะไรของมันฟระ”
“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”
ถึงจะสับสนมึนงงกับการกระทำของเกร แต่พวกเด็ก ม.ปลาย ก็ยังจะลงมือทั้งกับเขาแล้วก็กับเด็กขนตางอน แต่เกรก็ไม่ปล่อยให้พวกมันเข้าไปรังแกเด็กคนนั้นได้อีกแม้จะต้องเอาร่างกายเข้าแลกก็ตาม
เวลาผ่านไปซักพักพวกเด็ก ม.ปลายที่ กระหน่ำอัดจนพอใจก็เลิกแล้วเดินจากไป ส่วนเกรที่บอบช้ำจากทั้งเมื่อเช้ารวมถึงตอนเย็นรอบนี้ก็ถึงกับหงายหลังล้ม ฟ้าใส ไปเลย
“ข…ขอโทษนะเพราะฉันแท้ๆเลยนายถึงต้องเจ็บตัว เป็นอะไรมากไหม”
เด็กขนตางอนที่ถูกช่วยไว้เข้ามาถาม พลางทำท่าเซ่อซ่าเหมือนอยากจะช่วยแต่ไม่รู้จะทำยังไง
“แค่นี้จิ๊บๆน่า…อูย”
เกรครางด้วยความเจ็บพร้อมกับเอามือกุมปากที่ถูกต่อยจนแตกเลือดอาบ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนเอง
“ฉันเนี่ยมันไม่เอาไหนเลยเรียนการต่อสู้ป้องกันตัวมาแท้ๆแต่พอเอาจริงดันเข่าอ่อนทำอะไรแทบจะไม่ได้ นายนี่เป็นคนเข้มแข็งจริงๆนะ”
เด็กขนตางอนกล่าวด้วยความชื่นชม ซึ่งเกรไม่มีทางรู้มาก่อนว่าเดิมทีแล้วเด็กคนนี้เคยคิดดูถูกเขาเพราะปมในใจที่เกิดจากการรู้ชาติกำเนิดของตัวเองเหมือนกัน แต่หลังจากได้เกรช่วยเอาไว้เขาก็สำนึกและรู้สึกนับถือแทน
“เข้มแข็งตรงไหน? ไม่เห็นรึไงโดนอัดซะน่วมขนาดนี้เนี่ย…โอ้ยยย”
“ไม่ใช่เข้มแข็งแบบนั้น”
รอยยิ้มแสนบริสุทธิ์ที่ยิ้มออกมาจากใจจริงของเด็กขนตางอน เกรมองสิ่งนั้นด้วยความรู้สึกประหลาดแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม ราวกับว่าได้ปลดแอกตัวเองจากโซ่ตรวนของความรู้สึกผิดทั้งปวง …การช่วยคนมันเป็นแบบนี้เองสินะ เขาคิดและนึกขอบคุณตัวเองที่ไม่หนีไปซะก่อนและขอบคุณพ่อที่ช่วยถ่ายทอดเรื่องนี้ให้แม้ตัวจะไม่อยู่แล้วก็ตาม
“แบบว่าแว่นมันกระเด็นหายไปตอนที่โดนเจ้าพวกนั้นชกอ่ะนะก็เลยแทบมองไม่เห็นหน้านายเลย ว่าแต่นายชื่ออะไรเหรอ ถ้าไม่รังเกียจฉันอยากจะขอบคุณให้มันเป็นเรื่องเป็นราวกว่านี้…”
“ช่างเถอะมองไม่เห็นแบบนี้แหละดีแล้วพวกเราคงไม่เจอกันอีกแล้ว ฉันน่ะแค่เห็นว่ากำลังลำบากก็เลยมาช่วยแค่นั้นแหละ ฉันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดต้องออกชื่อหรอก”
ว่าจนจบแล้วก็ปัดฝุ่นออกจากเสื้อจนหมด จึงค่อยตบเท้าเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
เด็กขนตางอน หรือ เกล ผู้ที่ในอนาคตจะมีชะตาร่วมกับเขา มองแผ่นหลังของชายผู้ช่วยเหลือและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองอยากจะเข้มแข็งขึ้นให้ได้อย่างนั้นบ้าง
“สิ่งที่เรายังขาดไปคือจิตใจที่เข้มแข็งกล้าเผชิญหน้ากับความโหดร้าย…จะต้องเข้มแข็งแล้วก็แมนให้มากกว่านี้ จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้”
เกล ปฏิญาณกับตัวเองแล้วเริ่มคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้มแข็งขึ้น
“เริ่มจากตัดผมสั้นแล้วลองใส่คอนแทกเลนส์ดูดีกว่าแฮะ จะเปลี่ยนแปลงได้รึเปล่าน้า”
ความคิดเห็น