ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    12Tails: Tails Apocalypse Ⓣ (Turn Bringer Invasion)

    ลำดับตอนที่ #45 : Chapter 37: เอนราเจีย Enragea

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 207
      0
      31 ส.ค. 57

    Chapter 37: เอนราเจีย Enragea

     

    นักจิตวิทยาอับราฮัม มาสโลว์ เจ้าของทฤษฏี ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ เคยพูดเอาไว้ว่าความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ มี 5 ลำดับขั้น

     

    ความต้องการทางด้านร่างกาย ( Physiological needs )

    ความต้องการความปลอดภัย ( Safety needs )

    ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (Belongingness and love needs )

    ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ( Esteem needs )

    ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง (Self-actualization needs )

     

    คุณได้อะไรจากการเรียนรู้ทฤษฎีทางจิตวิทยาของมนุษย์ที่สั่งสมมาเป็นร้อยเป็นพันปีพวกนี้บางสัจธรรมงั้นเหรอหรือว่าเป็นความเที่ยงตรงของโลกที่แสนโหดร้ายกันล่ะ เอาล่ะเราต่างก็รู้กันว่ามนุษย์ทุกคนต้องการความปลอดภัยในชีวิตซึ่งมันก็อยู่ในลำดับขั้นความต้องการที่ว่ามานั้นล่ะไม่ว่าใครก็ไม่อยากตายไม่อยากเจ็บไม่อยากป่วยอยากมีชีวิตยืนยาวดังนั้นจึงต่อต้านการต่อสู้เพราะมันทำให้เจ็บปวดมันทำให้ตายเร็วขึ้นแต่ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมสงครามถึงยังเกิดขึ้นอีกล่ะ นั่นก็เพราะสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างก็ลืมไปปัจจัยที่ทำให้เกิดความต้องการพื้นฐานไง มนุษย์น่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบการต่อสู้เพราะไม่อย่างนั้นแล้วมนุษย์ก็คงสูญพันธุ์ไปหมดตั้งนานแล้ว

     

    ต่อสู้เพื่อให้ได้ปัจจัยในการดำรงชีวิต ต่อสู้เพื่อชื่อเสียง ต่อสู้เพื่อปกป้อง  ไม่ว่าจะอย่างไหนก็เป็นเรื่องปกติที่ไม่มีใครเอะใจเลยน่าตลกสิ้นดีที่พวกเราซึ่งชอบการต่อสู้ชนิดฝังอยู่ในDNA กลับเป็นเดือดเป็นร้อนกับการทำสงครามและความรุนแรงซะได้ คงไม่ปฏิเสธหรอกนะเพราะแค่มีชีวิตอยู่ก็เป็นการต่อสู้แล้วอยู่ที่ว่ารู้ตัวหรือไม่แค่นั้นแหละ

     

    ถ้าไม่สู้ก็เท่ากับว่าตายไปแล้วมันคือสัญชาตญาณของมนุษย์….. แต่ก็เพราะแบบนี้ไงถึงได้มีกิจการที่หากินกับสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ อุตสาหกรรมที่หากินกับสงคราม เมื่อโดนทำร้ายก็ต้องรู้สึกอยากตอบโต้เพราะงั้นมันถึงตอบโจทย์ที่ว่าพวกเราสร้างอาวุธขึ้นมาทำไม และทั้งที่พวกเราต่างก็หวาดกลัวความตายกันทั้งนั้นแล้วทำไมถึงยังก่อสงครามขึ้นมาอีก คำตอบมันก็จะย้อนกลับไปที่ปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์อีกนั่นล่ะ

     

    ราวๆพันปีที่แล้วเด็กหนุ่มคนหนึ่งเคยถามคำถามกระผมซึ่งทำให้นึกถึงทฤษฎีข้างต้นที่ว่ามา ทำไมมนุษย์ถึงต้องต่อสู้ ทั้งที่เกลียดการต่อสู้ เด็กหนุ่มถามคำถามง่ายๆที่ยากจะตอบได้

     

    "คนเราก็มีกันหลายแบบนะ ยิ่งต่างชนชั้นกันสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาก็ต่างกันไหนจะเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนาอีก ยิ่งไม่เหมือนกันยิ่งเข้าใจกันยากขึ้นไปอีก หากเธอเป็นคนของชนชั้นล่างเธอก็คงจะมองชนชั้นที่สูงกว่าตัวเองว่าเห็นแก่ตัว แต่หากเธอเป็นคนของชนชั้นสูงเธอก็คงจะมองว่าชนชั้นที่อยู่ต่ำกว่าเธอคือพวกที่คิดจะโค่นล้มหรือช่วงชิงเอาอะไรจากเธออีกนั่นแหละ มนุษย์เราน่ะเป็นสัตว์สังคม หลายครั้งก็มีคำพูดที่ว่าคนเรามักจะมองจากภายนอก นั่นก็เพราะภายนอกของตัวเรามันสะท้อนถึงสังคมที่เราอยู่ ยังไงล่ะ
    เพราะงั้นเวลาที่เรามองภายนอกของใครมันก็เหมือนกับว่าเรามองสังคมของเขาอยู่ใช่ไหมล่ะ ไม่เกี่ยวกับฐานะศักดิ์ศรีหรืออะไรพวกนั้นหรอกนะ แต่มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์น่ะ"

     

    เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ แทนคำพูดตอบรับ ผู้ตอบคำถามไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะเข้าใจที่เขาพูดจริงๆอยู่แล้ว

    แต่ก็ไม่ได้อยากเซ้าซี้ต่อ ผู้ตอบคำถามเป็นชายร่างสูงสวมใส่เสื้อโค้ทสีแดงคลุมยาวถึงเข่า ใบหน้ามีผ้าสีดำมัดคาดศีรษะปิดบังบริเวณดวงตา ชายผู้นี้ถูกเรียกว่าบาทหลวงแต่ตัวเขาก็หาได้เป็นผู้เผยแพร่คำสอนหรือผู้ประกอบ

    ศาสนพิธีแต่อย่างใด

     

    ผู้คนรอบข้างแค่เลือกที่จะเรียกเขาอย่างนั้น จะด้วยความเมตตาอารีหรือความน่ายกย่องนับถือก็ตาม แต่บาทหลวงคามิโอ ก็เคยเป็นถึงผู้นำสูงสุดของ อาณานิคมปฏิรูปมนุษยชาติ หรือ HR มาก่อนจนกระทั่งถึงตอนที่

     

    มนุษยชาติทั้งหมดเลือกที่จะจำศีลตัวเองด้วยการแช่แข็ง Clod Sleep เพื่อก้าวข้ามกาลเวลานับพันปีที่โลกจะใช้เยียวยาตัวเองเพื่อที่พวกเขาจะได้กลับไปยืนบนแผ่นดินที่เขียวชอุ่มอีกครั้ง หลังจากนั้นบาทหลวงคามิโอก็สละตำแหน่งประธานโดยให้เหตุผลว่าเขาจะออกแสวงบุญไม่มีใครรู้ว่าเขาไปในที่ใดแต่เขาก็ยังวนเวียนไปมาระหว่าง

    โคโลนี่ กับ ดวงจันทร์โดยที่ไม่ต้องมียานพาหนะใดๆ เขามักจะโผล่มาที่นั่นที่นี่ได้โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปมาได้อย่างไร

     

     มีข่าวลือถึงขั้นที่ว่าเขาอาจจะไปท่องเที่ยวบนโลกมาด้วยก็ได้ บนโลกที่มนุษย์ไม่อาจอยู่อาศัยได้อีกโดยไม่ต้องสวมชุดป้องกันพิเศษ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกมานาเผาผลาญเป็นจุล ผู้คนเชื่อว่าบาทหลวงคนนี้ลงไปเดินในที่แบบนั้นได้…….

     

    ……………………………………………..

    …………………………………………………………………………….

    ราว 2 สัปดาห์ก่อนการยิงเวโรนิก้า…………….

     

     

    ภายในโคโลนี่ HR แม้จะเป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นก็ตามแต่ก็สามารถบรรจุธรรมชาติของโลกเดิมก่อนที่จะล่มสลายเพราะสงครามไว้ได้ ทั้งภูเขา ป่าไม้ ลำธาร ไปจนถึงทะเลสาบ สำหรับทะเลหรือมหาสมุทรนั้นค่อนข้างจะใหญ่เกินความจำเป็นจึงไม่ได้บรรจุใส่มาแต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะช่วยเยียวยาจิตใจของผู้คนที่ต้องอาศัยอยู่ในอวกาศได้แล้ว

     

    บนเนินสูงแห่งหนึ่งในเขตธรรมชาติของโคโลนี่ เป็นเนินที่ปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าที่นี่ถูกใช้เป็นสุสาน ถึงจะเขียนเอาไว้แบบนั้นแต่ก็ไม่มีร่างหรืออัฐิกระดูกของผู้ตายฝังอยู่แต่อย่างใดเพราะของเหล่านั้นจะเป็นตัวทำให้เกิดโรคระบาดได้

    สำหรับการใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่จำกัดอย่างโคโลนี่แล้ว ศพจะถูกจัดการด้วยการใส่โลงและลอยออกไปในอวกาศเท่านั้น ที่สุสานจะมีแค่แผ่นศิลาแกะสลักเป็นป้ายสุสานทำขึ้นจากหินอุกกาบาตตั้งไว้เป็นอนุสรสถาน

     

     

    บาทหลวงคามิโอ เดินทางมายังสุสานในวันนี้โดยมีเป้าหมายที่การเคารพศพของเด็กหนุ่มที่เขาเคยตอบคำถามว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องต่อสู้ เด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นทหารและพึ่งเสียชีวิตในหน้าที่จากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็ราวสัปดาห์ครึ่งแล้ว ไม่มีการจัดพิธีศพแต่อย่างใดเนื่องจากเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่มีญาติพี่น้องอื่น คนที่รู้จักมักจี่ด้วยก็มีแต่

    บาทหลวงคามิโอ เท่านั้น ดังนั้นบาทหลวงจึงเป็นผู้จัดการให้ได้สุสานของเด็กหนุ่มมาตั้งไว้ที่เนินแห่งนี้

     

    บาทหลวงถือดอกไม้ช่อใหญ่เดินขึ้นไปบนเนินไล่หาไปทีละแถวจนถึงแถวที่ป้ายสุสานของเด็กหนุ่มคนนั้นตั้งอยู่ จึงเลี้ยวเข้าไปหา ที่นั่นมีคนอยู่มาก่อนที่เขาจะมา บาทหลวงรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยที่มีคนมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้ แม้ดวงตาจะมองไม่เห็นแต่สัมผัสในการรับกลิ่นก็ดีเยี่ยมพอจะแยกแยะว่าใครเป็นใครได้เมื่อได้กลิ่นของคนผู้นั้นความสงสัยก็คลายตัว คนคนนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับทหารเด็กหนุ่มที่ตายไป

     

    มาแต่เช้าเลยนะดาเนะบาทหลวงกล่าวทักออกไป สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มทำคือสวมหมวกทรงเรืออย่างรวดเร็วก่อนจึงค่อยหันมาตกใจกับคำทักทายของบาทหลวง

     

    ไม่ต้องปกปิดไปหรอกนี่ฉันเอง

    บาทหลวงกล่าวแม้ว่าดวงตาจะถูกปิดสนิทด้วยผ้าปิดตาแต่เขากลับรับรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มพยายามซ่อนอะไรไว้

    ดาเนะ นั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือบาทหลวงคามิโอ จึงไม่คิดปกปิดอีกและผ่อนคลายอิริยาบถ

    ก่อนจะถอดหมวกออกสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้หมวกทรงเรือคือใบหูขนาดใหญ่ของสุนัขป่า

     

     

    ดาเนะก็เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่นๆชอบอย่างมนุษย์และเกลียดอย่างมนุษย์ รู้จักรักโลภโกรธหลงเช่นเดียวกับมนุษย์แต่เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ตัวเขานั้นแตกต่างคือพันธุกรรมในร่างกาย ก่อนที่สงครามครั้งใหญ่ในอดีตจะเริ่มขึ้นเสียอีกที่มนุษย์ได้พัฒนาขีดจำกัดขึ้นด้วยการปลูกถ่ายพันธุกรรมของสัตว์ป่าลงในร่างกายเหล่ามนุษย์ที่ดัดแปลงร่างกายของตนด้วยวิธีการทางพันธุเวทกรรม อันเป็นศาสตร์ที่เกิดจากเวทมนต์และวิทยาศาสตร์ในอดีตควบรวมกันได้สรรสร้างเหล่ามนุษย์ครึ่งอสูร พวกเขาถูกเรียกว่า DNA-Changer 

     

    ครั้งหนึ่งวิทยาการนี้ถูกใช้เพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางอวัยวะด้วยการปลูกถ่ายพันธุกรรมของสัตว์ลงในร่างกายเพื่อนำพลังแห่งธรรมชาติมาช่วยเสริมในจุดที่ขาดหายไป

    ต่อมาวิทยาการนี้ถูกใช้ในการสงครามเพื่อสร้างยอดมนุษย์ขึ้นมาใช้ต่อสู้และถูกต่อต้าน กว่าที่ประเด็นของ DNA-Changer จะคลี่คลายลงก็เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์กันไปหนหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตามDNA-Changer ก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกมองว่าต่างจากมนุษย์อยู่ดี ดาเนะไม่รู้ว่าทำไมพ่อและแม่ถึงให้เขาเป็น DNA-Changer เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยพิการหรืออ่อนแออย่างไรถึงได้รับการผ่าตัดให้เป็น DNA-Changer  รู้เพียงแค่ตอนที่เริ่มจำความได้ร่างกายของเขาก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว

     

    เป็นโชคดีของดาเนะที่เขาเกิดในยุคที่สงคราม DNA-Changer นั้นจบไปพักใหญ่แล้วเขาจึงไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่พวก DNA-Changer รุ่นแรกๆประสบ  แต่ก็เกิดสงครามยุคแตกหักหรือสงครามแย่งชิงทรัพยากรขึ้นมาอีก

    ดาเนะจึงพลัดพรากกับครอบครัวและระหกระเหินจับพลัดจับผลูกลายเป็นทหารตั้งแต่อายุ14 และเพราะความเป็น DNA-Changer จึงถูกบรรจุเข้าสู่หน่วยปฏิบัติการพิเศษแบล็กแฟงค์(Black Fangs) ซึ่งนำโดยทหารรุ่นพี่อายุไล่เลี่ยกับเขาและเป็น DNA-Changer ครึ่งสุนัขเช่นเดียวกัน ทหารรุ่นพี่แห่งแบล็กแฟงค์เป็นคนที่ ดาเนะนับถือประหนึ่งพี่ชายแท้ๆและคนคนนั้นตอนนี้ก็เหลือเพียงป้ายสุสานตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าเท่านั้น

     

    พี่เฮย์ ไม่สิพันตรีเฮย์น่ะทำไมคนดีๆแบบเค้าจะต้องมาถูกฆ่าตายด้วยเล่า

    ดาเนะพึมพำกับตัวเองพลาง มองป้ายสุสาน ด้วยความรู้สึกเจ็บแค้น บาทหลวงทำเพียงแค่มองหน้าเด็กหนุ่มแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าของคนสองคนเข้ามาใกล้ เป็นคู่ชายหญิงวัยรุ่น โดยฝ่ายชายนั้นมีสภาพพิกลพิการไร้ซึ่งแขนขวา

     

    ดาเนะ นายก็มาเคารพศพหัวหน้าด้วยเหรอชายพิการตั้งคำถามทันทีที่มาถึง

    ใช่ครับ แล้วผมก็รู้เรื่องที่พวกคุณไปทำภารกิจอะไรมาแล้วด้วย หัวหน้าแอโดมิน่าจะนำเรื่องนั้นเข้าที่

    ประชุมสุดสัปดาห์นี้อยู่แล้วเพราะงั้นไม่ต้องปิดบังผมก็ได้

    คำตอบของดาเนะ สร้างความประหลาดใจให้กับวัยรุ่นทั้งสองพวกเขามองหน้ากันเหมือนจะปรึกษาว่าควรทำยังไงดี ในตอนนั้นเอง ดาเนะจึงทักขึ้นมา

     

    แล้วก็เอ่อคุณอาม่อนแขนขวายังเจ็บอยู่รึเปล่า

     ดาเนะพูดพลางจ้องไปยังแขนเจ้าปัญหา ชายพิการหรืออาม่อน ได้ยินคำพูดที่เหมือนเป็นห่วงของดาเนะเข้าก็รีบแสดงท่าทีสบายๆให้เห็นเพื่อไม่ให้ต้องเป็นกังวล

    โธ่เอ้ยแผลแค่นี้ยะทำไรฉันไม่ได้หรอกน่า

    ทำเก่งเชียวนะยะทั้งที่ตอนแรกร้องโอดโอยซะยังกะจะตายให้ได้ยังไงยังงั้น

    ฝ่ายหญิงที่มาด้วยกันแกล้งพูดจาเหน็บแนม  จนโดนอาม่อนเขม่นตาใส่ เธอจึงทำเสียงหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจที่แหย่เพื่อนชายสำเร็จ

     

    แล้วคุณสเตเซียก็ไม่ได้รับบาดเจ็บด้วยใช่ไหมครับดาเนะหันมาถามสารทุกข์สุกดิบกับฝ่ายหญิงบ้าง เธอส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะตอบน้ำเสียงใส

     

     “ไม่เป็นไรเลย สบายมากก็วันนั้นฉันเป็นคนหอบหมอนี่กลับมาก่อนน่ะนะ

    สเตเซียพูดจบก็เอามือตีหลังอาม่อนเบาๆเป็นการเหน็บแนมไปในตัว ที่เธอทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะโกรธหรือเกลียดอาม่อนแต่อย่างใดเพียงแต่เป็นวิธีแสดงความเอาใจใส่ในแบบของเธอซึ่งอาม่อนก็เข้าใจเรื่องนั้นเป็นอย่างดีจึงไม่ได้ตอบโต้อะไร

     

    ………………..

    ทั้งอาม่อนและสเตเซียต่างก็เป็นทหารหน่วยแบล็กแฟงค์และเป็นรุ่นพี่ของดาเนะ ราวครึ่งสัปดาห์ก่อนพวกเขาได้ลงไปปฏิบัติภารกิจบนโลกที่เมืองแสงซึ่งมันเป็นภารกิจลับที่จอมพลแทรนเซอร์สั่งให้แบล็กแฟงค์ไปจับตัวทอลสัตว์หางที่มีความสามารถเก้าบุตรมา

     

     ที่นั่นพวกเขาต่อสู้กับเหล่าเดโมนิกครูเซเดอร์ของกษัตริยา อาม่อนคือทหารผู้สวมใส่ชุดเกราะ GM Shadow เข้าต่อสู้กับโอดินและถูกไฟนอลมูฟเอ็กซีคิวชั่นทำลายเกราะแขนขวา ทำให้ถูกมานาเผาจนเสียแขนไป เสตเซียถูกหัวหน้าทีมหรือพันตรีเฮย์สั่งให้พาตัวอาม่อนถอยกลับไประหว่างการต่อสู้ ทั้งสองจึงรอดจากการอาละวาดของทอลที่ตามมาหลังจากนั้น แต่เพื่อนทหารในหน่วยคนอื่นๆที่ยังต่อสู้อยู่ต่างก็พลีชีพไปในระหว่างภารกิจ และพันตรีเฮย์ถูกแกรนครอสอัลลิมิเต็ด ที่ทอลใช้เป็นครั้งแรกเผากลายเป็นจุล

    ………………………

     

    งั้นหรือครับถ้าหัวหน้ารู้ว่าพวกคุณยังปลอดภัยดีแบบนี้เขาก็คงจะสบายใจ

    ดาเนะหันไปมองป้ายสุสาน ดวงตาของเขาฉายแววของความเศร้าออกมา นั่นพลอยทำให้ทั้งอาม่อนและสเตเซียอารมณ์ขุ่นมัวตามไปด้วย

     

    ถ้าหากว่า….” เสียงของดาเนะไม่ออกมาในทันทีเป็นเพราะเขาพยายามอดกลั้นความโกรธไม่ให้ระเบิดออกมา

     

     “ถ้าหากว่าผมยังไม่ออกจากแบล็กแฟงค์ล่ะก็บางที่หัวหน้าก็คงไม่…”

     

    พอแค่นั้นแหละดาเนะ นายลืมความหวังดีของพันตรีไปแล้วเหรออาม่อนพูดย้ำให้ดาเนะนึกถึงเรื่องสำคัญ

    หัวหน้าให้เธอไปอยู่กับกองทัพดวงจันทร์ก็เพื่อตัวเธอเองนะสเตเซียช่วยพูดเสริมให้กับอาม่อนอีกแรง

     

    คำพูดของทั้งสองทำให้ดาเนะ นึกถึงสมัยที่ตนยังสังกัดอยู่ในหน่วยแบล็กแฟงค์ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ

    กองทัพดวงจันทร์บูลเบส

     

    ดาเนะจมอยู่กับความทรงจำในอดีต จนไม่ทันสังเกตเห็นเด็กสาววัยเดียวกันผมสีขาวยาวสลวยและสวมใส่เครื่องแบบสีแดงของทหารดวงจันทร์เช่นเดียวกับเขากำลังเดินเข้ามาใกล้

     

    ดาเนะเด็กสาวกระซิบที่ข้างหูดาเนะ เขาสะดุ้งตกใจจนเผลอกระโดดถอยหลังและเกือบหงายหลังล้มแต่อาม่อนก็เข้ามารับตัวเขาเอาไว้ทัน

    ชิชิออนดาเนะเรียกชื่อของเด็กสาว

    เขาเรียกแล้วนะ เดี๋ยวจะต้องลงไปที่โลกด้วยรีบมาเถอะเมื่อดาเนะเข้าใจเหตุผลที่เธอมาแล้วชิออนจึงเดินนำออกจากกลุ่มไปทันที โดยมีดาเนะที่ล่ำลาอดีตรุ่นพี่กับบาทหลวงคามิโอเรียบร้อยวิ่งตามหลังมา

     

    นี่ดาเนะ ที่เรากำลังจะลงไปทำภารกิจบนโลกคราวนี้นายคงจะไม่ได้กำลังคิดเรื่องบ้าๆอย่างการล้างแค้นอยู่หรอกนะ

    ชิออนตั้งคำถามความจริงก่อนที่เธอจะเข้าไปลากตัวดาเนะออกมา ก็ได้แอบฟังเรื่องที่พวกเขาคุยกันอยู่ห่างๆ

     

    นี่เธอแอบฟังเหรอเนี่ย…”

    ช่างเถอะน่ารีบตอบมา

    เปล่าไม่ได้คิดจะล้างแค้นหรอกอีกอย่างที่ที่เราไปก็ไม่ใช่เมืองแห่งแสงที่เจ้าหมาเก้าบุตรนั่นอยู่ซักหน่อย

    ก็ถามเผื่อเอาไว้น่ะว่านายจะไม่หนีงานไปล้างแค้นอะไรแบบนั้นเพราะไม่อย่างงั้นฉันก็ต้องลบนายทิ้งแบบนั้นมันเหนื่อยนะ

    ชิออนพูดว่าลบทิ้งหรือฆ่าให้ตายเหมือนเป็นเรื่องปกติ  ดาเนะไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้นพวกเขาจึงกลับไปฐานทัพที่ดวงจันทร์เพื่อเตรียมตัวสำหรับแผนการ

     

    ………………………………………………..

    …………………………..

    ……………..

     

     

    ซีกโลกตะวันตกคือดินแดนลับแลซึ่งถูกขวางกั้นด้วยหุบเหวลึกอันกว้างใหญ่ที่เรียกกันว่ารอยแผลแห่งโลก ดินแดนซึ่งอยู่อีกฟากของรอยแผลแห่งโลกเป็นแผ่นดินอันแห้งแล้งและเลวร้ายต่างจากซีกโลกที่สัตว์หางอาศัยอยู่อย่างสิ้นเชิง

     

    พื้นดินเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าโรงงานตั้งกันอยู่อย่างแน่นขนัดราวกับป่า ธารน้ำแห้งเหือดถูกแทนที่ด้วยสารพิษและของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตของโรงงาน

     

     ท้องฟ้าก็ไม่ได้มีสีครามสดใสแต่กลับหมองหม่นเป็นสีดำด้วยควันร้อนและไอเสียที่ปล่อยออกมาจากโรงงานซึ่งยังคงทำงานอยู่แม้จะไม่มีมนุษย์คอยควบคุมก็ตาม เทพเจ้าที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ล้วนมีร่างกายพิกลพิการแปลกประหลาดจนแลดูน่ากลัวราวกับฝันร้าย

     

    บางองค์มีขนาดใหญ่โตจนเกือบเท่าอาคารสิบชั้นมีศีรษะที่ประกอบขึ้นด้วยชิ้นส่วนเครื่องจักรหลายๆชนิด บางองค์ขนาดตัวเท่ากับเด็กสิบขวบมีปีกเหมือนค้างคาวทำขึ้นจากเหล็กกล้า กายเนื้อของเทพเจ้าที่นี่ล้วนเป็นสีดำสนิทจากการแปดเปื้อนไปด้วยมลพิษ เทพบางองค์แทบจะกลายเป็นหุ่นยนต์ไปเลยด้วยซ้ำเพราะร่างกายสร้างขึ้นด้วยชิ้นส่วนเครื่องจักรทั้งหมด

     

    เทพเจ้าแห่งฝันร้ายเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่รักษาสมดุลของธรรมชาติเลยโดยปกติแล้วเทพเจ้าก็คือเจตจำนงอันแรงกล้าของธาตุแห่งธรรมชาติที่มาก้าให้กำเนิด เป็นเอเลเมนต์หรือพลังงานบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่หากแต่เทพเจ้าแห่งฝันร้ายเหล่านี้มาก้ามิได้ให้กำเนิดมา พวกมันเกิดขึ้นจากตกตะกอนของมานาที่แปดเปื้อนไปด้วยมลพิษจากโรงงานจึงไม่มีจิตใจเหมือนกับเทพเจ้าของโลกอีกฝั่ง

     

    นอกจากเทพเจ้าที่แปดเปื้อนแล้วยังมีสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิตอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ พวกมันคือหุ่นยนต์ที่ยังทำงานเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญบางอย่างหรือสิ่งที่เป็นผู้ให้กำเนิดและมอบคำสั่งให้กับพวกมัน เอเลเมนต์ตนแรกที่มนุษย์สร้างขึ้น เอนราเจีย

     

    เอนราเจียเป็นเหมือนกับจักรพรรดิของโลกฝั่งนี้ เทียบเท่ากับมาก้าที่อยู่ในร่างของเฟิสเทลเลยก็ว่าได้ เอนราเจียถูกสร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์ในการเปลี่ยนพลังงานมานาที่มนุษย์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ให้นำมาใช้งานได้

     

    ................……………………………………

    ...................................

     

    ความมืดมิดของมิติคู่ขนานเป็นความมืดที่แตกต่างจากอวกาศอย่างสิ้นเชิง หากอวกาศคือทะเลสีดำอันเวิ้งว้างและเงียบสงัดแล้ว มิติคู่ขนานแห่งนี้ก็คือทะเลสีดำอันบ้าคลั่งซึ่งโหมกระหน่ำด้วยคลื่นไฟฟ้าอันเกิดจากความไม่เสถียรของมิติ

    แม้จะเป็นแบบนั้นแต่ยานอวกาศดาร์คแมทเตอร์ของกองทัพดวงจันทร์ บลูเบส

    ก็ยังบินเหินไปมาในมิติที่ไม่รู้ทิศทางไม่ว่าจะข้างหน้าหรือข้างหลัง ข้างบนหรือข้างล่าง ด้วยวิทยาการอันล้ำสมัยของมนุษย์พวกเขาได้สกัดพลังงานจากสินแร่ที่พบในดาวพฤหัส แร่มีด้วยกันสองชนิดคือ อบิสเซียม(Abyssium) และ เคโอเซียม(Chaosium) เมื่อนำพลังงานที่สกัดได้จากแร่ทั้งสองชนิดมาทำปฏิกิริยาร่วมกันจึงสามารถเปิดทางสู่โพรงมิติคู่ขนานซึ่งเรียกว่า เวิร์มโฮล(Worm Hole) การเดินทางในมิตินี้ช่วยย่นย่อระยะทางได้เหมือนกับการวาร์ป(Warp) การเดินทางด้วยเวิร์มโฮลนี้พวกเขาจะเรียกมันว่า วาร์ปโฮล(Warp Hole) ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่หน่วยแบล็กแฟงค์ใช้เข้าไปยังห้องใต้ดินที่ขังทอลโดยตรงและรวมไปถึงตอนที่แอโดมิน่าใช้หลบหนีหลังจากประมือกับทอลด้วย

     

     

    "ค่าความบิดผันของเวลาและมิติคงที่ ระยะทางอีก50ไมคร่อนจะออกจากโพรงมิติคู่ขนาน"

     

    "จะออกจากโพรงมิติคู่ขนานในอีก3..."

    "2.."

    "1.."

     

    สภาพแวดล้อมโดยรอบเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน มิติอันดำมืดหายไปและถูกแทนที่ด้วยท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยเมฆสีดำทะมึน ยานดาร์คแมทเตอร์ออกจากโพรงมิติคู่ขนานแล้วและปรากฏขึ้นบนดินแดนที่อยู่อีกฟากของแผลแห่งโลก

     

    "ยืนยันการวาร์ปเสร็จสิ้นออกจากโพรงมิติคู่ขนานแล้วพิกัดคือ D1191 "

    เจ้าหน้าที่ภายในสะพานเดินเรือรายงานสถานะของยานหลังออกจากโพรงมิติแล้ว ชิออน รับหน้าที่เป็นกัปตันยานชั่วคราวในภารกิจใหม่ เนื่องจากแอโดมิน่าต้องไปเข้าร่วมการประชุมที่จัดขึ้นบนHRโคโลนี่ ส่วนดาเนะที่ยศเท่ากันก็แยกไปทำภารกิจอีกซีกโลก

     

    "ส่งหน่วยจีเอ็มออกไป ฉันเองก็จะออกไปด้วยเตรียมเคออสให้พร้อมล่ะ"

    ชิออนสั่งเอาไว้ก่อนจะเดินไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังโรงซ่อมบำรุง เป้าหมายของภารกิจคือการทดสอบจีเอ็มเครื่องใหม่ของเธอที่สร้างเสร็จแล้วและจัดการกับโลกฝั่งนี้เพื่อแผนการใหญ่ที่จะตามมาในภายหลังภารกิจนี้จึงมีความสำคัญมากและจะผิดพลาดไม่ได้

     

    เมื่อมาถึงโรงซ่อมบำรุง ทหารทุกคนก็ติดตั้งจีเอ็มของตัวเองเสร็จหมดแล้วเมื่อมีประกาศจากสะพานเดินเรือ ผนังฝั่งหนึ่งของโรงเก็บยานก็เปิดออก พวกเขาจัดขบวนกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละสามคนโดยผู้ที่สวมใส่ จีเอ็มชาโดว์ซึ่งมีปีกไอพ่นสองคนจะช่วยกันหิ้วปีก จีเอ็มโซลที่บินไม่ได้พาลงไปส่งบนพื้น ชิออนมองดูกลุ่มทหารกระโดดลงจากยานไปทีละกลุ่มจนหมดแล้ว ค่อยเดินเข้าไปหาทหารช่างให้พวกเขาเตรียมเครื่องของเธอให้

     

    ชิออนรับเอาวัตถุโลหะทรงกลมขนาดเท่าฝ่ามือจากทหารช่างมาถือไว้ มันคือจีเอ็มแอคเคาน์(GM Account) อุปกรณ์สำหรับติดตั้งชุดเกราะเกียร์แมทตริกหรือเรียกย่อๆว่าจีเอ็ม บนวัตถุทรงกลมจะมีรูขนาดให้สอดมือเข้าไปได้ภายในจะมีสลักให้ดึงเพื่อสั่งให้แอคเคาน์ทำการติดตั้ง ชิออนสอดมือเข้าไปในแอคเคาน์แล้วดึงสลักข้างในจนเกิดเสียงดังกริ๊ก

     

    จีเอ็มล็อกอิน

     

    ===GM Login===

     

    พริบตานั้นร่างของเธอก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่าง ภายในแสงปรากฏชิ้นส่วนทำจากเหล็กกล้าประกอบเข้ากับร่างของเธอทีละชิ้นๆ จนเมื่อแสงสว่างจางหายไป ชิออนจึงปรากฏตัวขึ้นในสภาพที่เป็นเกราะเหล็กรูปร่างเหมือนผู้หญิง ลวดเหล็กเส้นเท่าฝ่ามือสามเส้นบนศีรษะขดเป็นมวนเหมือนมวยผมของหญิงสาว ชุดเกราะมีลักษณะคล้ายกับชุดกี่เพ้าและสวมรองเท้าส้นสูงซึ่งติดตั้งอุปกรณ์สร้างคลื่นต้านแรงโน้มถ่วงเอาไว้ทำให้จีเอ็มเครื่องนี้สามารถปฏิบัติการบนท้องฟ้าได้

    /เตรียมการส่งออกเรียบร้อย บีบีเอ็กซ์โอทูวทรีเอสบี เคออส(BBX023SB Chaos)

    เชิญออกยานได้ค่ะ/

    ประกาศจากสะพานเดินเรือดังขึ้น เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไป ชิออนเดินไปจนถึงบริเวณริมขอบที่ผนังโรงเก็บยานเปิดออก เบื้องหน้าคือท้องฟ้าที่มีความสูงจากพื้นดิน100เมตร

     

    "ชิออน อามัตซึ(Xion Amatsu) เคออส จะไปล่ะ"

    เคออส กระโดดลงจากยานไปทันทีที่ประกาศออกตัวจบ สายลมที่พัดขึ้นจากด้านล่างปะทะเข้ากับร่างเหล็กไหล เธอกางแขนและขาออกเพื่อให้มีพื้นผิวสัมผัสกับอากาศมากขึ้นช่วยสร้างแรงต้านทำให้ตกช้าลงกระนั้นก็ตามการตกจากที่สูงขนาดนี้ ร่างของเธอที่ตกลงไปกระแทกพื้นจะแหลกเหลวติดพื้นไปเลย และก่อนที่จะเป็นแบบนั้น

     

    "เปิดระบบต่อต้านแรงโน้มถ่วง"

    ---Gravity Beat---

     

    เมื่อชิออนออกคำสั่ง เคออสก็ตอบสนองด้วยเสียงสังเคราะห์อันแหลมสูง ความเร็วของการร่วงหล่นชะลอตัวลงจนหยุดนิ่ง และกลายเป็นลอยตัวกลางอากาศ

     

    ---System All Green---  เมื่อเคออสยืนยันการทำงานที่สั่งไปแล้ว ชิออน จึงบังคับเครื่องให้บินตรงไปยังหอคอยสูงซึ่งตั่งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ที่นั่นเหล่าจีเอ็มกำลังรอเธออยู่

     

    .........................

     

     

    บนพื้นดินสงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างมนุษย์ผู้สวมใส่จีเอ็มกับเครื่องจักรสังหารก่อนยุคอารยะธรรมล่มสลาย ในอดีตมนุษย์สร้างเครื่องจักรเหล่านี้ให้มาทำงานรับใช้ตนแต่ก็ถูกเอนราเจียชักเชิดให้หักหลังและทำร้ายมนุษย์ผู้สร้าง

    การสู้รบในครั้งนี้จึงเหมือนกับเป็นการเอาคืนของมนุษย์ที่เคยถูกเครื่องจักรหักหลัง

     

    เครื่องจักรที่ต่อสู้กับจีเอ็มมีรูปร่างผอมเพรียวราวกับโครงกระดูก เฟรม(Frame=ชิ้นส่วนหุ้ม)สีขาวบนส่วนหัวยื่นออกมาในลักษณะเรียวแหลมคล้ายกับปากของยุง แขนขวาติดตั้งใบมีดเลเซอร์ที่สามารถยืดหดได้มีความคมและเลเซอร์กำลังสูงสำหรับตัดโค่นต้นไม้ได้อย่างง่ายดาย คัทบอท(CutBot) คือชื่อของหุ่นยนต์ตัดไม้เหล่านี้แม้จะถูกสร้างขึ้นสำหรับงานกรรมกรแต่เมื่อถูกใช้ในสงครามพวกมันก็ยังเป็นอาวุธชั้นเยี่ยมที่ไม่รู้จักกลัวตาย

     

     

    ชิออนบังคับเคออสให้บินข้ามสนามรบที่เหล่าทหารจีเอ็มกำลังเข้าปะทะกับคัทบอท ตามแผนการที่วางเอาไว้ เหล่าจีเอ็มจะดึงความสนใจเพื่อเปิดทางให้ชิออนลอบเข้าไปในหอคอยที่ถูกปกป้องโดนพวกเครื่องจักร

     

    การลอบเข้าไปอาคารสำเร็จด้วยดีตอนนี้ ชิออน อยู่ข้างในหอคอยแล้วภายในมืดสนิทแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเคออสที่สวมอยู่มีดวงตาที่มีความสามารถแบบกล้องอินฟาเรทสำหรับมองในที่มืดอยู่แล้วและหากฉุกเฉินก็ส่องแสงสว่างได้เหมือนไฟฉาย

     

     ชิออนยืนอยู่บนทางเดินซึ่งทอดตัวลึกเข้าข้างในหอคอยเธอเดินเข้าไปตามทางเดินและแวะเปิดประตูห้องทุกห้องที่ผ่าน เพื่อค้นหาสิ่งต่างๆในหอคอย

     

    เมื่อเดินไปจนสุดทางก็พบกับบันไดที่นำขึ้นไปสู่ชั้นถัดไป จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าสถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้คือชั้นล่างสุดของหอคอย ชิออน เดินสำรวจไปทีละชั้นอย่างรวดเร็วจนเมื่อมาถึงชั้นที่สี่ ก็มีเสียงไซเรนดังหวอไปทั้งหอคอย

     เสียงเครื่องจักรกำลังทำงานดังแว่วมา วัตถุโลหะทรงกลมจำนวนสามเครื่องลอยตัวเหนือพื้นดิน มันคือหุ่นยนต์ลาดตระเวรที่เรียกว่าแคมบอท(CamBot)พวกมันเข้ามาล้อมชิออนไว้ทุกทิศทาง ตรงกลางร่างของแคมบอทมีเลนส์กระจกใสเป็นเซนเซอร์คอยจับตาดูศัตรูพร้อมกับเป็นอาวุธไปในตัวเมื่อพวกมันเร่งส่งกำลังไฟฟ้า เลนส์จะร้อนขึ้นจนเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วระเบิดออกมาเป็นลำแสง ชิออนพุ่งตัวถอยออกจากวงล้อมก่อนที่จะถูกลำแสงถาโถม

     

     

     

    "มางะโนะอิคุทาจิ" ---Striker---

    เมื่อชิออนพูด เคออสก็พูดด้วย จักรซึ่งมีรูปร่างกลมแบนเหมือนแพนเค้กดีดตัวออกจากเกราะไหล่ แล้วเข้ามากำบังลำแสงที่แคมบอทยิงมา

     

    แคมบอททั้งสามเครื่องระดมยิงลำแสงมาเป็นระลอกๆแต่ก็ไม่สามารถเจาะทะลุโล่จักรเข้าไปถึงตัวเธอได้ ชิออนสั่งให้เคออส ดีดจักรจากเกราะไหล่อีกข้างออกมาแล้วจับร่อนออกไปเหมือนร่อนจาน จักรบินผ่านกลุ่มของแคมบอท

    ออกไปก่อนจะย้อนกลับเหมือนบูมเมอร์แรง  เสียงเสียดสีของโลหะกำลังฉีกขาดดังสะท้อนไปทั่วทั้งทางเดิน แคมบอทเครื่องหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองท่อน ชิออนรับเอาจักรที่ย้อนกลับมาก่อนจะร่อนมันออกไปอีก ไม่นานแคมบอททั้งหมดก็ถูกกำจัด

     

    ชิออนเก็บจักรใส่เกราะไหล่แล้วจึงออกเดินสำรวจต่อ เมื่อขึ้นสู่ชั้นถัดไปเธอก็เริ่มต่อสู้กับฝูงแคมบอทกลุ่มใหม่

     

    ..................

    .………………………

     

     

    ที่ด้านนอกหอคอย การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป หุ่นยนต์ตัดไม้คัทบอทถูกทำลายลงตัวแล้วตัวเล่าแม้ว่าพวกมันจะมีอาวุธอันร้ายแรงอย่างใบมีดเลเซอร์ แต่ก็เทียบไม่ได้กับพลังของจีเอ็มที่เหล่าทหารสวมใส่ ซากเศษเหล็กของหุ่นยนต์ตัดไม้จึงมีแต่เพิ่มขึ้น ในที่สุดคัทบอททั้งหมดก็ถูกทำลาย บรรยากาศรอบๆกลับคืนสู่ความสงบแต่ก็เงียบเกินไปจนน่ากลัวความสำคัญของหอคอยแห่งนี้ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามันสำคัญขนาดไหน พวกเครื่องจักรจะต้องทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีเข้าปกป้องหอคอยแห่งนี้แค่ล้มหุ่นยนต์สายกรรมกรอย่างคัทบอทลงได้ยังไม่อาจเรียกว่าชนะได้อย่างเต็มปาก ดังนั้นความเงียบสงบที่เกิดขึ้นนี้จึงเปรียบเสมือนความเงียบสงบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ

     

    ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้นเองจู่ๆก็มีเสียงฝีเท้าดังแว่วมาพร้อมๆกับความสั่นสะเทือนของแผ่นดินที่รู้สึกได้ว่าพื้นกำลังสั่นขึ้นลงตามจังหวะของเสียงก้าวเท้า

    ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลัก ไม่มีใครรู้ว่าอะไรกำลังจะมา

     

    บนยานดาร์คแมทเตอร์ที่สะพานเดินเรือ เจ้าหน้าที่ต้นหนเรือกำลังตีความสิ่งที่เรดาร์จับไว้ได้ เธอตัดสินใจแจ้งแก่รองกัปตันยาน

     

    "รองกัปตันคะ เรดาร์จับสัญญาณความร้อนได้ค่ะประมาณสามสิบ"

     

    "พวกคัทบอทอีกรึเปล่า" รองกัปตันถาม

    "จากปริมาณพลังงานคิดว่าไม่ใช่ค่ะน่าจะเป็นพวกซิจบอท(SiegeBot)"

     

    รองกัปตันมีสีหน้ากังวลขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าศัตรูใหม่คือซิจบอท พวกมันเป็นหุ่นยนต์ต่อสู้โดยเฉพาะมีขนาดใหญ่เคลื่อนที่ด้วยล้อตีนตะขาบทำให้มีเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนรถถังในขณะที่มันวิ่ง นอกจากนี้ยังติดตั้งปืนแม่เหล็กไฟฟ้า เรลกันบีม(RailGunBeam) เอาไว้อีกด้วย

     

     

    "แล้วก็มีอีกสัญญาณแต่ขนาดของมันใหญ่กว่าจุดสัญญาณอื่นๆมากค่ะ"

    ต้นหนเรือแจ้งพร้อมกับชี้ไปยังจุดสีแดงขนาดใหญ่กว่าเพื่อนที่ปรากฏบนจอเรดาร์

     

    "เอากล้องซูมไปที่มันแล้วเอาขึ้นจอทีซิ" รองกัปตันสั่ง

     

    ………………………

     

     

    ท่ามกลางหมอกควันของสนามรบ เหล่าทหารจีเอ็มจัดขบวนทัพใหม่โดยยืนล้อมเป็นวงกลมแล้วหันหลังชนกันเนื่องจากบริเวณโดยรอบถูกล้อมด้วยเงาตะคุ่มๆที่เริ่มเด่นชัด

    เมื่อสายลมพัดหอบเอาหมอกควันรอบๆออกไป เงาเหล่านั้นก็เปิดเผยโฉมหน้าพวกมันคือซิจบอท อย่างที่ต้นหนเรือบนยานคาดการณ์เอาไว้ แต่ที่น่าตกใจไม่ใช่พวกซิจบอท

    หากแต่เป็นเจ้ายักษ์ใหญ่ที่มีร่างสีดำสนิทราวกับเงามันสูงกว่าหอคอยด้านหลังพวกเขาเสียอีก เสียงคำรามแหบต่ำของมันดังกึกก้องแม้แต่อากาศยังสั่นสะเทือน

     

     

    "นี่มันเอเลเมนท์อย่างงั้นเหรอ" รองกัปตันยานมองร่างสูงโปร่งดำสนิทผ่านทางจอมอนิเตอร์ เขามีท่าทีกระอักกระอ่วนไปไม่ต่างจากคนอื่นในสะพานเดินเรือ ยักษ์สีดำตนนั้นคือเอเลเมนท์ที่เกิดจากพลังงานอันแปดเปื้อนและยังมีระดับพลังที่ใกล้เคียงกับเหล่าเทพเจ้าทั้งหกที่สัตว์หางนับถือ มันจึงเป็นเหมือนกับเทพเจ้าของโลกฝั่งนี้แต่ไม่ว่าพวกมันจะมีพลังอำนาจขนาดไหนทั้งหมดก็ล้วนแต่รับใช้เอนราเจีย ดังนั้นการที่มันมาที่หอคอยก็เป็นเพราะประสงค์ของเอนราเจียเช่นกัน

     

    การโจมตีเริ่มขึ้นเมื่อเอเลเมนท์ยักษ์ฟาดท่อนแขนอันใหญ่โตโดยเล็งใส่ยานดาร์คแมทเตอร์

     

    "เคลื่อนหลบ" รองกัปตันตัดสินใจในเสี้ยววินาที ยานดาร์คแมทเตอร์เคลื่อนตัวเบี่ยงออกไปทางซ้ายหลบพ้นท่อนแขนยักษ์ได้แบบฉิวเฉียด

     

    โดยพร้อมกันทหารจีเอ็มที่อยู่ข้างล่างก็เปิดฉากโจมตีกับพวกซิจบอท ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าของซิจบอทคำรามดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่า กระสุนความร้อนพุ่งออกจากปากกระบอกด้วยความเร็วอันยิ่งยวด แม้แต่จีเอ็มโซลซึ่งมีเกราะป้องกันที่ทนทานก็ยังร้าวแตกได้หากต้องปะทะกับกระสุนที่ปืนแม่เหล็กไฟฟ้ายิงออกมา

     

     

    บนยานดาร์คแมทเตอร์ ตอนนี้กำลังเตรียมการต่อสู้เพื่อรับมือกับเอเลเมนท์ยักษ์

    รองกัปตันออกคำสั่งให้ลูกเรือทำการเตรียมอาวุธบนยานให้พร้อมใช้งาน

     

    "กาลาฮัด ทริสตัน สแตนบายด์ ช่องยิงมิสไซล์ทุกช่องบรรจุแลนสลอต"

     

    "บีมแคนนอนกาลาฮัดกระบอกที่1และ2 เตรียมพร้อม"

    เจ้าหน้าที่โอเปอเรเตอร์รายงานหลังจากถ่ายทอดคำสั่งลงไปยังสถานีควบคุมอาวุธทั่วทั้งยาน

     

    ประตูกลบนดาดฟ้ายานเคลื่อนตัวเปิดเหมือนประตูเลื่อนอัตโนมัติ ปืนใหญ่ลำกล้องคู่จำนวน2กระบอกเลื่อนขึ้นมาจากช่องประตูกล ปืนสามารถหันได้รอบทิศทาง 360 องศา

     

    "ปืนกลใหญ่ต่อต้านอากาศยานทริสตัน ทุกกระบอกเตรียมพร้อม"

    บริเวณกาบยานซ้ายและขวา จะมีป้อมยิงปืนกลตั้งอยู่ข้างละ3จุด ปืนทุกกระบอกยกลำกล้องขึ้นเล็งหลังจากมีคำสั่งใช้งานจากสะพานเดินเรือ

     

     

    "ช่องยิงมิสไซล์ทั้งหมดตั้งแต่ช่องที่หนึ่งถึงแปดบรรจุหัวรบสลายอนุภาคเอ็มแจมเมอร์(M Jammer) แลนสลอต"

     

    ที่ห้องคลังแสง เจ้าหน้าที่ประจำสถานีต่างเร่งขนกระสุนหัวรบยัดใส่ท่อบรรจุที่ต่อไปยังช่องปล่อยมิสไซล์กันอย่างรวดเร็วจนทุกช่องยิงถูกเติมเต็มด้วยหัวรบ

     

    เมื่ออาวุธเตรียมเสร็จหมดแล้วดาร์คแมทเตอร์จึงเริ่มการโจมตี

     

    "แลนสลอตยิง" รองกัปตันยานสั่ง ช่องยิงมิสไซล์บริเวณท้ายยานทั้งกาบซ้ายและขวาข้างละสี่ช่องทั้งหมดเปิดออกและยิงส่งหัวรบที่บรรจุออกไปพร้อมๆกัน  มิสไซล์พุ่งเข้าเป้าทุกนัดเนื่องจากขนาดของเป้าหมายที่ใหญ่โตจนยากที่จะเล็งพลาดได้

     

    เมื่อหัวรบระเบิดออกก็จะปล่อยสนามพลังรบกวนที่ทำให้มานาเกิดการสลายตัว สำหรับเทพเจ้าที่ร่างกายเกิดจากพลังงานของมานาแล้วหัวรบสนามพลังรบกวนนี้เป็นอาวุธที่ได้ผลดีที่สุด แต่ด้วยขนาดของร่างกายที่ใหญ่โตเกินไปทำให้สนามพลังพวกนี้ทำได้แค่ลดทอนพลังของมันลงเท่านั้นไม่ต่างอะไรกับช้างโดนมดกัด

    เมื่อมิสไซล์ไม่ได้ผลการโจมตีระลอกถัดไปจึงเริ่มขึ้น

     

    "กาลาฮัด ยิง!" 

     

    ปืนใหญ่ลำกล้องคู่บนดาดฟ้ายานทั้งสองกระบอกเคลื่อนศูนย์เล็งยิงไปที่ร่างยักษ์ตรงหน้าแล้วคำราม บีมหรือลำแสงความร้อนวิ่งจากปากกระบอกไปยังเป้าหมายเป็นเส้นตรงระเบิดร่างสีดำกลายเป็นรูโหว่ ทว่าไม่นานร่างของมันก็ฟื้นฟูกลับมาเหมือนเดิม

     

    มือของเทพเจ้าเคลื่อนเข้าหามันตั้งใจจะคว้าดาร์คแมทเตอร์เอาไว้

     

    "เร่งเครื่อง! ถอยหลังเต็มกำลัง" รองกัปตัน กล่าวทันทีที่เห็นว่าเทพเจ้าจงใจจะทำสิ่งใด

     

    ดาร์คแมทเตอร์ปะทุไอพ่นบริเวณส่วนหน้าของยานแล้วพุ่งถอยหลังด้วยความเร็วทั้งหมดที่มีแต่ก็หนีไม่พ้นแขนของเทพเจ้าที่ย้ายมาดักรออยู่ก่อนแล้ว ดาร์คแมทเตอร์กำลังจะถูกจับ เนื่องจากอยู่นอกพิสัยยิงของปืนใหญ่ความร้อนและมิสไซล์ จึงต้องรับมือด้วยปืนกลต่อต้านอากาศยานที่มีอานุภาพทำลายล้างต่ำที่สุด

     

    "ทริสตันยิงต้านไว้อย่าให้มันจับเราได้" ปืนกลต่อต้านอากาศยานทั้ง6กระบอกสา ด กระสุนใส่มือของเทพเจ้าที่เอื้อมเข้ามาแต่ก็ไม่อาจทำให้รู้สึกสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด ดาร์คแมทเตอร์ถูกคว้าไว้ได้ตั้งแต่ส่วนท้ายขึ้นมาจนถึงกลางลำ  ปืนกลต่อต้านอากาศยานรวมไปถึงช่องยิงมิสไซล์ที่ติดอยู่ข้างยานจึงถูกมือของเทพเจ้าบดขยี้ไปพร้อมกัน ดาร์คแมทเตอร์ กลายเป็นลูกไก่ในกำมือ

     

    เจ้าหน้าที่โอเปอเรเตอร์ รายงานความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยาน

    "ทริสตันกับช่องยิงมิสไซล์ทั้งหมดถูกทำลายแล้วครับ"

    "กาบยานถูกบีบขนาบจากทั้งสองข้างหากเป็นแบบนี้ต่อไปยานต้องจมแน่ค่ะ"

     

    "เร่งเครื่องถอยหลังต่อไปจากนั้นเปิดช่องปืนหลักเราจะยิงมันด้วยมอร์เดรท"

    คำสั่งของรองกัปตันสร้างความประหลาดใจให้กับลูกเรือ มอร์เดรท คือปืนใหญ่อนุภาคบวกหรือที่เรียกกันว่าปืนใหญ่โพซิตรอนมันมีกำลังยิงสูงสุดในยานนับเป็นไพ่ตายเลยทีเดียว โดยปกติแล้วจะใช้ยิงเปิดล้อมวงล้อมของศัตรูหรือยิงสนับสนุนจากที่ไกลๆ การเอามาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

     

    เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันมาถามด้วยความใคร่รู้ว่ารองกัปตันคิดอะไรอยู่

    "จะเอามอร์เดรทมาใช้ตอนนี้เนี่ยนะครับ?....."

     

    "ก็ไม่มีตอนไหนจะเหมาะสมเท่านี้แล้วไม่ใช่รึไง"

    "เอ๋"

    เจ้าหน้าที่งงไปพักหนึ่งกับคำตอบของรองกัปตัน

     

    "ตอนนี้ยานเรากับฝ่ายนั้นกำลังยื้อกันอยู่มันดึงเราเข้าไปไม่ได้เพราะดาร์คแมทเตอร์กำลัง

    ถอยหลังเต็มแรง เท่ากับว่าต่างคนต่างก็ขยับกันไม่ได้เป้านิ่งอยู่ตรงหน้าแบบนี้แล้วจะมีสถานการณ์ไหนเหมาะเจาะขนาดนี้อีกเล่า"

     

    เจ้าหน้าที่ช่างสงสัยอ้าปากอ๋อทันทีเมื่อได้ฟังคำอธิบายของรองกัปตัน

    "จริงด้วยถ้าเป็นแบบนี้เราอาจจะเป่ามันให้กระเด็นจนปล่อยยานเราได้หรือไม่ก็อาจจะทำลายมันได้เลยด้วยถ้าเป็นพลังของปืนหลักล่ะก็"

     

    "เอ้า ถ้าเข้าใจแล้วก็รีบทำซะสิ"

    "ครับ"

     

    เมื่อแก้ข้อสงสัยแล้วเจ้าหน้าที่โอเปอเรเตอร์จึงเริ่มถ่ายทอดคำสั่งเพื่อเตรียมพร้อมปืนหลักทันที

     

    "เปิดช่องยิงปืนหลักเริ่มการประจุพลังงาน"

     

    ดาร์คแมทเตอร์เป็นยานอวกาศรูปร่างปิรามิดฐานสามเหลี่ยม ส่วนหัวของยานคือยอดปิรามิดตอนนี้เปิดอ้าแล้วกางแยกออกสามทิศทางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในยอดปิรามิดคือปืนใหญ่สีดำรูปากกระบอกเป็นสี่เหลี่ยมมีสายไฟต่อระโยงระยางจากด้านในของยาน

     

    ประกายแสงสีแดงทอแสงระยิบระยับรอบปากกระบอกปืนใหญ่แสงเหล่านี้เกิดจากการชาร์จอนุภาคโพซิตรอน

     

    "การชาร์จพลังงานปืนหลักเสร็จสมบูรณ์แล้วครับ"

    เพียงสิบวินาทีหลังเปิดช่องยิงปืนหลักก็มีรายงานแจ้งความพร้อมการใช้งานเข้ามา

     

    "มอร์เดรทยิงเลย"

    รองกัปตันตอบรับโดยการออกคำสั่งยิงทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ควบคุมอาวุธสับสวิตซ์ลั่นไกยิงปืนหลักแล้ว เสียงคำรามของมอร์เดรทก็ดังกึกก้อง แสงสว่างเจิดจ้าเป็นสีแดงอาบย้อมร่างของเทพเจ้าให้หายไปในชั่วพริบตาจนเมื่อแสงสว่างหายร่างสีดำที่เคยอยู่ต่อหน้าดาร์คแมทเตอร์ ก็กลายเป็นอดีตท่อนแขนอันใหญ่ยักษ์ซึ่งเคยรั้งยานเอาไว้ค่อยๆสูญสลาย ดาร์คแมทเตอร์จึงเกือบหงายท้องกลางอากาศเพราะเข้าเกียร์ถอยหลังค้างเอาไว้เต็มที่

     

    หลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมยานลงเบรกจนสามารถหยุดดาร์คแมทเตอร์ก่อนจะหงายท้องได้ทัน สภาพภายในสะพานเดินเรือก็เละเทะเต็มที่ข้าวของที่วางอยู่ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายเต็มพื้น เจ้าหน้าที่บางคนที่ร่วงตกจากเก้าอี้ก็นอนแอ้งแม้งอยู่อย่างนั้น

     

    ………………………………………………………..

    ………………………………….

     

     

    ภายในหอคอย เครื่องจักรซึ่งหยุดทำงานแล้วล้มกองเกลื่อนกลาดมีให้เห็นไปทั่ว ชิออน ทำลายพวกมันทุกตัวที่เข้ามาขัดขวางภารกิจ เธอขึ้นมาถึงชั้นบนสุดของหอคอยหลังจากผ่านชั้นที่10 สภาพของชั้นสุดท้ายนั้นแตกต่างจากชั้นที่ผ่านๆมาโดยสิ้นเชิง ห้องนี้มีแสงสว่างเพียงน้อยนิดเพราะไม่มีหลอดไฟบนเพดานและเพดานของชั้นนี้ก็อยู่สูงมากจนแทบมองไม่เห็นจากในความมืดเช่นนี้

     

    เบื้องหน้าชิออนมีเงาตะคุ่มขนาดใหญ่ ขวางเส้นทางเดินอยู่แต่เมื่อมองผ่านกล้องอินฟาเรดของ เคออสจึงพบว่าเงานั่นคือเครื่องจักรแต่มีขนาดใหญ่กว่าพวกแคมบอทหรือแม้แต่ซิจบอทที่อยู่ข้างนอกเสียอีกมันมีขนาดใหญ่กว่านั้นหลายเท่าความสูงของมันแทบจะพอๆกับความสูงของชั้นนี้ มีแสงสว่างดวงใหญ่คู่หนึ่งส่องออกมาจากเครื่องจักรราวกับดวงตา บริเวณใกล้กับส่วนฐานของมันก็มีรอยแยกเหมือนปากมีเขี้ยวเรียงติดกันเป็นซี่เหมือนฟัน

    และมีแสงสว่างส่องออกมาจากข้างใน

     

    ==== Enragea ====

     

    นี่มันเอนราเจีย(Enragea) สินะ

    ชิออนเปรยกับตัวเอง เครื่องจักรเบื้องหน้าเธอคือเป้าหมายของภารกิจ เมนคอมพิวเตอร์หลักที่ควบคุมหุ่นยนต์ทั้งหมดรวมไปถึงเอเลเมนท์หรือเทพเจ้าของดินแดนฝั่งนี้ด้วย เอนราเจียเอเลเมนท์ลำดับแรกที่ถูกสร้างขึ้นโดย

     เกร กีก้าเสลฟ  

     

    เสียงเครื่องจักรดังแว่วมาจากด้านหลัง ชิออน เอี้ยวตัวหลบทันทีหากช้ากว่านี้อีกเพียงซักนิดหัวเธอคงได้กลวง

    เป็นรูโบ๋เพราะแสงเลเซอร์ที่ยิงมาจากทางด้านหลัง

     

    ใครกันที่อยู่ตรงนั้นน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ มางะโนะอิคุทาจิ ----Striker----

    ชิออน หันกลับไปเพื่อประจันหน้ากับศัตรูพร้อมทั้งขว้างจักรออกไป ทว่าแสงเลเซอร์ได้ยิงกราดออกมา จนจักรถูกยิงร่วงก่อนจะทันเข้าถึงเป้าหมาย สิ่งที่ยิงแสงเลเซอร์ ก้าวออกมาจากความมืดของห้องมันเป็นหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายมนุษย์ความสูงโดยประมาณ 2เมตรครึ่ง มีชิ้นส่วนที่คล้ายกับปีกแต่ไม่ได้ยึดติดกับร่างหากแต่ลอยตัวอยู่เหนือพื้นและคอยตามติดหุ่นยนต์แสงเลเซอร์ที่ยิงนั้นออกมาจากส่วนปลายของปีกที่กลมแบนคล้ายกับจาน

     

     

    หุ่นควบคุมแรงโน้มถ่วง กราวิตี้บอท(Gravity Bot) งั้นเหรอ

    ชิออน หยิบกงจักรอีกอันที่เหลืออยู่มาเตรียมพร้อม เธอเข้าใจถึงความร้ายกาจของ กราวิตี้บอทเป็นอย่างดี

    มันเป็นหุ่นยนต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำการรบได้ในทุกสภาวะบนโลกนอกจากอาวุธรูปร่างปีก

    อย่างเลเซอร์วิงค์(Laser Wing) ที่สามารถยิงกราดแสงเลเซอร์ได้แล้วมันยังมีความสามารถควบคุมแรงโน้มถ่วงได้ตามชื่อของมันอีกด้วย

     

    เสียงเครื่องจักรดังมาจากอีกทางและมาพร้อมกับพายุแสงเลเซอร์ ชิออน กระโจนตัวขึ้นด้านบนหนีแสงเลเซอร์ที่กราดเข้ามา แล้วเหวี่ยงจักรสวนออกไป จู่ๆจักรที่ขว้างออกไปกลับร่วงตกลงไปกลางทางเสียก่อน ไม่ใช่เพียงแค่จักรเท่านั้นแต่ในเวลานี้ ชิออนก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายตัวเองหนักขึ้นมาอย่างกะทันหัน จนร่วงตกลงมากองกับพื้น

     

    อะไรกันร่างกายเราทำไมถึงรู้สึกหนักแบบนี้

    ----Gravity Beat System Overloading ----

     

    การแจ้งเตือนของเคออสทำให้ชิออนเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทันที

    ระบบต้านแรงโน้มถ่วงโอเวอร์โหลดเหรอหรือว่า

    ชิออน หันกลับไปยังทิศที่แสงเลเซอร์เคยยิงออกมาก่อนที่จะกระโดด ที่นั่นมีกราวิตี้บอทอีก2เครื่อง เมื่อรวมกับตัวก่อนหน้าแล้วก็เป็น 3 เครื่อง พวกมันปล่อยคลื่นสนามพลังพิเศษออกมาจากท่อนแขนมันคือตัวการที่ทำให้จักรที่ร่อนออกไปเมื่อครู่ตกลงกลางทางรวมไปถึงสาเหตุที่ร่างกายของเธอหนักขึ้นจนขยับไม่ได้

     

    สนามพลังควบคุมแรงโน้มถ่วงแถมยังสามเครื่องพร้อมกันมิน่าล่ะระบบต้านแรงโน้มถ่วงของเคออสถึงได้….อึก

     

    ชิออนพยายามเค้นแรงทั้งหมดที่มีต่อสู้กับสนามพลังแรงโน้มถ่วงที่รั้งดึงร่างของเธอให้ติดกับพื้นแต่ก็ไม่อาจต้านทานได้ เธอนอนแผ่ลงไปโดยที่ไม่อาจต่อต้านได้เลย ในขณะเดียวกันกราวิตี้บอทก็เตรียมที่จะระดมยิงเผด็จศึกพร้อมกัน

     

    มาได้แค่นี้สินะ….” ชิออนเปรยอย่างสิ้นหวังทว่ารอยยิ้มห้าวเป้งกลับผุดขึ้นบนหน้า

    เคออส จีเอ็มไดเรค(GM Direct)

     

    --- Direction Mode---

     

    ===GM Direct===

     

    แสงเลเซอร์กระหน่ำโถมเข้าใส่ร่างของชิออนที่นอนแผ่อยู่บนพื้นอย่างไร้ซึ่งความปราณี แสงสะท้อนของเลเซอร์

    อาบย้อมทั้งห้องให้กลายเป็นสีขาวไปชั่วขณะหนึ่ง จนเมื่อแสงสว่างหายไปก็เป็นเวลาเดียวกับที่ชิ้นส่วนเกราะของเคออส หลุดกระเด็นกระจัดกระจายออกมา ร่างของเธอคงจะระเบิดไปพร้อมกับเคออสที่แตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว แต่ทว่าการกระจายตัวของชิ้นส่วนที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดจากากรที่เคออสระเบิดแต่อย่างใดหากแต่เป็นระบบดีดชิ้นส่วนชุดเกราะที่ไม่มีความจำเป็นออกในเวลาที่ใช้ Direction Mode ของจีเอ็ม ร่างใหม่ของเคออส ที่ได้ลอกคราบทิ้งออกไปแล้วปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มควันที่ตลบอบอวลจากากรยิงถล่มของเลเซอร์

     

    เส้นลวดที่ม้วนขดเป็นมวยผมคลายตัวออกกลายเป็นหงอนพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายด้วยแสงสว่าง

     

    ---Change Butterfly---

     

     

    เมื่อเห็นว่าศัตรูยังไม่ถูกกำจัด กราวิตี้บอทจึงกางสนามพลังแรงโน้มถ่วงอีกครั้ง ร่างของชิออนเริ่มโน้มตัวลงเพราะน้ำหนัก

     

    จีเอ็มโอเวอร์สกิลเริ่มการทำงาน  ซุซาโนโอะ ---Supreme Strom---

     

    ===GM Over Skill===

     

    อุปกรณ์ที่กลางหลังของเคออสกางออกอนุภาคสีเขียวถูกพ่นออกมาจากอุปกรณ์จนคละคลุ้งไปทั้งห้อง

    อนุภาคเหล่านี้เกิดจากการสกัดแร่เคโอเซี่ยมที่ติดตั้งไว้ภายในเคออส ชิออนเรียกมันว่าอนุภาคเคโอเซี่ยม

    อนุภาคบางส่วนจับตัวอยู่รอบๆแท่งของอุปกรณ์ที่กางออกแล้วกลายเป็นปีกแสงโปร่งจำนวน 2 คู่คล้ายกับปีกแมลง อนุภาคที่เคออส ปล่อยออกมาช่วยให้ร่างกายของเธอเบาขึ้นและยกร่างของเธอให้ลอยตัวเหนือพื้นดิน

     

    แสงเลเซอร์จำนวนนับไม่ถ้วนกราดยิงออกจากปีกของกราวิตี้บอทพวกมันเล็งไปที่ชิออน ซึ่งลอยอยู่

     

    ยาตะ โนะ คากามิ ---Chaosium Barrier---

    อนุภาครอบๆจับตัวควบแน่นกลายเป็นกังหันลมสี่แฉกจำนวน 10 กว่าอัน พวกมันช่วยกำบังชิออนจากพายุแสงเลเซอร์ที่โหมกระหน่ำ กังหันเหล่านี้ไม่ได้รับแสงเลเซอร์ตรงๆหากแต่เบนลำแสงให้เลี้ยวออกไป การควบคุมกังหันอนุภาคเหล่านี้จำเป็นต้องใช้พลังพิเศษที่มนุษย์ไม่มี ชิออนก็เหมือนกับดาเนะไม่ได้เป็นมนุษย์ปกติธรรมดา เธอเป็นมนุษย์ดัดแปลงที่ถูกพัฒนาให้ควบคุมคลื่นสมองควอนตัมได้เป็นพิเศษ เธอจึงเป็นคนเดียวที่สามารถใช้พลังของ

     เคออส เครื่องนี้ได้อย่างเต็มที่กว่าใครๆ หรือที่จริงแล้วเคออสเกิดมาเพื่อเธอคนเดียวก็ว่าได้

     

    ชิออนควบคุมให้กังหันอนุภาคส่วนหนึ่งย้ายไปตั้งเป็นขบวนที่อีกฝั่งรอจังหวะจนแน่ใจแล้วจึงเบี่ยงกังหันที่ต้านแสงเลเซอร์ให้สะท้อนเลเซอร์ที่ยิงมาไปหาแถวของกังหันที่จัดเตรียมเอาไว้ แสงเลเซอร์จะสะท้อนจากกังหันหนึ่งไปอีกกังหันหนึ่งตามมุมองศาที่ได้คำนวณเอาไว้อย่างดีท้ายที่สุดเลเซอร์ที่ยิงก็ย้อนกลับไปยิงใส่พวกมันเสียเอง

    กราวิตี้บอทเครื่องหนึ่งถูกเลเซอร์ที่ย้อนกลับมายิงทำลายจนหยุดทำงานไป อีก2 เครื่องที่เหลือจึงเปลี่ยนมุมยิง

    เพื่อไม่ให้เลเซอร์วิ่งเข้าไปในแนวสะท้อนกลับอีก ชิออนจึงต้องเปลี่ยนวิธีสู้ตาม เธอตั้งมือขนานกันบริเวณช่วงอกพร้อมทั้งรวบรวมสมาธิควบคุมอนุภาคให้มารวมบริเวณตั้งมือ อนุภาคควบรวมกันกลายเป็นก้อนพลังงาน

     

    อามาเทราสึ ---Chaosium Tracking Laser---

    ชิออนผลักก้อนพลังงานออกไปกลายเป็นลำแสงสีแดงเจิดจ้า เธอเล็งยิงใส่กังหันอนุภาคที่ให้มารออยู่ก่อนแล้วลำแสงสีแดงเบี่ยงเส้นทางออก และที่ปลายทางนั่นก็มีกังหันอนุภาคมารอเบี่ยงเส้นทางอยู่อีกเช่นกันด้วยวิธีนี้

    ชิออนสามารถควบคุมลำแสงอนุภาคให้บินไปมาได้ตามที่ต้องการ

     

     เธอบังคับให้ลำแสงวิ่งเข้าหากราวิตี้บอทเครื่องหนึ่งลำแสงพุ่งทะลุผ่านลำตัวของมันจนกลวงโบ๋แต่นั่นยังไม่จบกังหันอนุภาคย้ายไปรองรับเอาแสงที่พึ่งทะลุผ่านร่างไว้แล้วเบี่ยงให้หากังหันอันอื่นลำแสงวิ่งย้อนทิศทางกลับมาทะลวงใส่ร่างของมันอีกครั้ง แล้วเป็นเช่นนี้ซ้ำไปเรื่อยๆจนลำแสงสลายหายไปเอง ร่างของกราวิตี้บอทผู้โชคร้ายก็พรุนเป็นรังผึ้งก่อนระเบิดกลายเป็นซากไป

     

    เหลือกราวิตี้บอทอีกเครื่องที่ต้องจัดการ มันเปลี่ยนวิธีต่อสู้ตามเธอด้วยเมื่ออาวุธลำแสงและสนามพลังแรงโน้มถ่วงใช้ไมได้ผล จึงบุกเข้าประชิดตัวแล้วฟาดด้วยท่อนแขนอันหนักหน่วง ชิออนโยกตัวหลบท่อนแขนนั้นฟาดลงไปบนพื้น พื้นก็ยุบแตกในทันที

     

    คุซานางิ โนะ ซึรุกิ ---Chaosium Saber---

    ชิออน ชักเอาแท่งรูปทรงกระบอกขนาดเหมาะมือ2อันขึ้นมาจากซองเก็บของบริเวณหน้าแข้งมาถือไว้มือละด้าม

    แสงสว่างพุ่งออกมาจากแท่งเหล่านั้นแล้วคงรูปเป็นกระบี่แสง ชิออน วาดกระบี่ไปมาอย่างเชี่ยวชาญราวกับกำลังร่ายรำ เธอฟาดกระบี่ตัดเอาแขนข้างหนึ่งของกราวิตี้บอทจนขาด แล้วแทงกระบี่อีกมือเข้าที่กลางช่วงอกตามด้วยถีบร่างของมันจนปลิวกระเด็นข้ามห้อง

     

    อาเมะ โนะ มุราคุโมะ โนะ ซึรุกิ” ---Chaosium Extension---

    ชิออนชูกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะประสานทั้งสองเข้าด้วยกันลำแสงของกระบี่รวมเป็นหนึ่งเดียวแล้วยืดขยายขึ้นจนมีขนาดใหญ่กว่าตัวกราวิตี้บอทถึง2เท่า เมื่อฟาดกระบี่ลงไปแสงสว่างอาบย้อมทั้งห้องให้กลายเป็นสีเขียวเหมือนสีของอนุภาคที่เธอปล่อยออกมา กราวิตี้บอทเครื่องสุดท้ายร่างถูกแผดเผาในแสงสว่างสูญสลายหายไปจนหมดสิ้น

     

    หลังจากปราบยามเฝ้าชั้นสุดท้ายสำเร็จ ชิออนจึงกลับเข้าสู่ภารกิจของเธออีกครั้ง เธอเดินเข้าไปหาเอนราเจียที่ตั้งอยู่ใจกลางของชั้นนี้

     

    เชื่อมต่อโครงข่ายมานาเริ่มทำการปล่อยไวรัสเจาะทำลายระบบของเอนราเจีย

    ---Virus Hacking Program Activated---

     

    …………………………………………………………………..

    ………………………………

     

     

    สถานการณ์ด้านนอกหอคอยไม่สู้ดีเท่าไหร่ แม้ว่าดาร์คแมทเตอร์จะจัดการกับเทพเจ้าผู้แปดเปื้อนไปแล้วก็ตาม

    แต่ซิจบอทที่มีจำนวนมากมายก็ยังต่อกรด้วยยากยิ่ง ทหารจีเอ็มถูกจัดการไปคนแล้วคนเล่า จนในที่สุดทหารจีเอ็มทั้งหมดก็ถูกฆ่าตาย ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าของซิจบอทจึงเล็งหาเป้าหมายใหม่พวกมันเล็งไปที่ดาร์คแมทเตอร์

     

    ยานเราโดนล้อมไว้แล้วครับ

    เร่งเครื่องเต็มกำลังฝ่าออกจากวงล้อมให้ได้

    รองกัปตันพยายามหาทางออกให้กับสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้แต่ก็พบว่ามันยากเสียเหลือเกิน พวกเขาบุกเข้ามาในถิ่นของศัตรูด้วยกำลังที่เตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีแต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ทัพของศัตรูที่มีมากเกินกว่าที่คาดการณ์กันไว้

     

    ไม่นานดาร์คแมทเตอร์ก็ถูกระดมยิงจากทุกทิศทาง อาวุธที่ยังเหลืออยู่ต่างก็ถูกยิงทำลายจนเสียหาย

    ใช้การไม่ได้ไปแล้ว ดาร์คแมทเตอร์ ได้แต่รอเวลาที่ร่วงหล่นลงไปเท่านั้น

     

    การโจมตีหยุดลงแล้ว

    รายงานของเจ้าหน้าที่ต้นหนเรือ สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งสะพานเดินเรือเป็นความจริงดังที่ว่ามาเพราะยานซึ่งเคยสั่นโคลงเคลงไปมาจากการถูกยิงหยุดสั่นแล้ว

     

    พวกมันหยุดการโจมตีแล้ว..ก็หมายความว่า

    หัวหน้าชิออนทำสำเร็จแล้ว พวกเรารอดแล้ว

     

    เสียงโห่ร้องไชโยด้วยความดีใจของบรรดาลูกเรือดังกึกก้องไปทั้งยาน ที่เบื้องล่างนั้นซิจบอททั้งหมดหยุดการทำงานรวมไปถึงหุนยนต์ตัวอื่นๆทั้งหมดที่อยุ๋ในดินแดนแห่งนี้ก็หยุดทำงานเช่นกัน

     

    …………………………………………………….

    ……………

     

    ---- Main Control Center Hack Processing Complete----

    เคออสรายงานยืนยันการเจาะระบบของเอนราเจียเป็นที่เรียบร้อย นั่นคือสาเหตุที่หุ่นยนต์ทั้งหมดหยุดทำงานลง

    ตอนนี้ เอนราเจียอยู่ในการควบคุมของฝ่ายมนุษย์โดยสมบรูณ์

     

    การยึดเอนราเจียสำเร็จเป็นไปตามแผนยืนยันภารกิจเสร็จสิ้น.

    ---Mission Complete----

     

    ………………………………………………….

    …………………………..

     

    ผ่านไป 1 ชั่วโมงหลังจากการยึดเอนราเจียสำเร็จและเก็บกู้ร่างไร้ชีวิตของเหล่าทหารจีเอ็มที่ได้สละเลือดเนื้อในสนามรบกลับขึ้นยานทั้งหมดแล้ว ชิออนจึงกลับมารับหน้าที่บัญชาการยานรบอีกครั้ง

     

    ยานเราได้รับความเสียหายมากก็จริงทั้ง ทริสตัน กาลาฮัด ช่องยิงมิสไซล์ก็พังเสียหายหมด แถมมอร์เดรทก็เอามาใช้รบจริงจังไม่ได้ซะด้วย แต่ว่าระบบวาร์ปโฮล กับเครื่องยนต์ยังทำงานได้อยู่ครับ

    รองกัปตันรายงานความเสียหายให้ชิออนฟัง

     

    เอาเถอะแค่บินกลับไปดวงจันทร์ได้ก็โอเคแล้ว ถ้างั้นรีบไปรับดาเนะแล้วกลับกันดีกว่าป่านนี้ทางนั้นคงทำงานเสร็จแล้วล่ะมั้ง

    ชิออนพูดจบก็ฝากฝังให้รองกัปตันจัดการตามหน้าที่ไปส่วนตัวเองก็เดินไปที่เก้าอี้ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ความเหนื่อยล้าเข้าจู่โจมในที่สุดเธอก็ผล็อยหลับไป

     

    ที่หมายต่อไปคือสหพันธ์แอตแลนต้าไปรับหัวหน้าดาเนะ เส้นทาง20 เร่งเครื่องเต็มพิกัดดาร์คแมทเตอร์ออกยานได้

     

    ********โปรดติดตามตอนต่อไป********

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×