คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : Chapter 27.5 Friend of Friend is Fan เอ้ย is Friend!!!
Chapter 27.5 Friend of Friend is Fan เอ้ย is Friend!!!
*ตอนนี้เป็นเหตุการณ์ ช่วงChapter ที่12 กับ 13 เป็นช่วงเตรียมตัวก่อนเดินทางไปลงดันมาโอห์นั่นเองครับ*
หลังคดีจลาจลซอมบี้กลางเมืองเวลาผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ แม้จะมีคำสั่งเรียกตัวถึงเหล่าผู้กล้า
เพื่อจัดเตรียมหน่วยพิเศษไล่ล่าคนร้ายของคดีจลาจลกลางเมืองคราวก่อน แต่เหล่าผู้กล้าก็ยังคง
มีงานและหน้าที่ของแต่ละคนให้กังวลอยู่ โดยเฉพาะกองอัศวินกาชาดที่ พอเข้าสู่เวลาหลังการ
เฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ ก็ต้องเตรียมจัดงานวันก่อตั้งกองอัศวินกาชาดกันทันที ดังนั้น เวลานี้
ไนติงเกลกระต่ายสาวผู้เป็นหัวหน้ากองอัศวินกาชาดจึงมีภาระงานสุมหัวชุกชุมมากที่สุดในช่วงปี
เธอจะต้องมุดหัวสุมอยู่กับกองเอกสารสูงจรดเพดานในสำนักงาน และประทับตราอนุมัติให้กับเอกสารต่างๆ โดยมีคากามิ เป็นลูกมือคอยช่วยเหลือตลอดทั้งวัน
“คากามิ นายไปยกกองเอกสารของฝ่ายธุรการมาที อ้อแล้วก็เอาตลับหมึกอันใหม่มาด้วยนะอันนี้มันจะหมดแล้ว”
ไนติงเกล สั่งโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารและมือก็ยังจับตราประทับปั๊มกับตลับหมึกข้างๆเพื่อประทับตรารับรองอย่างต่อเนื่อง
ครู่ต่อมา เลขาหมาป่าคากามิ ก็ยกกองเอกสารอีกปึกใหญ่เข้ามาในห้อง เขาสอดมันลงไปบนที่
ว่างของโต๊ะที่มีอยู่เพียงน้อยนิดจากกองภูเขาเอกสารทั้งหมด
“แล้วคุณไนติงเกลคิดรึยังครับว่าปีนี้งานออกร้านสมทบทุนผู้ป่วยเราจะขายอะไรกันครับ?”
คากามิ ถามพลางก้มตัวลงไปใต้โต๊ะแล้วสอดตลับหมึกอันใหม่ ให้กับ มือของ ไนติงเกล ที่รอรับอยู่
เนื่องจากเอกสารกองกันสูงเป็นกำแพงล้อมกรอบเธอจนไม่สามารถส่งตลับหมึกให้ได้ตามปกติ
“ก็ทำแบบทุกปีนั่นแหละ เครื่องประดับทำมือ อะไรพวกนั้นน่ะ”
เสียงของไนติงเกล ดังออกมาจากด้านหลังภูเขาเอกสาร
“หมายความว่าปีนี้ก็จะให้พวกรุ่นพี่มาช่วยอีกใช่ไหมครับ”
“ตามนั้นเลยฝากนายจัดการทีล่ะ”
“เข้าใจแล้วงั้นผมไปก่อนล่ะนะ”
คากามิ พูดก่อนจะแทรกตัวลัดเลาะกองภูเขาเอกสารที่วางอยู่ทั่วห้อง จนออกมาข้างนอกได้โดยที่ไม่มี
กองเอกสารใดๆล้ม
……………………………………………………………………………..
…………………………………………….
กระโจมใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในค่ายของภาคีอัศวินกาชาด นี้ถูกจองในนามของ ไนติงเกล หัวหน้าภาคี
เพื่อใช้เตรียมของชำร่วยสำหรับออกขายหาทุนในงานครบรอบวันก่อตั้งกอง
อัศวินกาชาดซึ่งจัดขึ้นประจำทุกปี ภายในกระโจมเต็มไปด้วยวัสดุและเครื่องมือสำหรับทำ
เครื่องประดับหลากหลายชนิด
ทอล ซาจิทาเรียส เรจิ และ คอยน์ พวกเขากำลังฟังคากามิ อธิบายเหตุผลที่ขอให้พวกเขามาช่วย
งานในวันนี้
“ก็ตามที่เล่าไปนะครับเพราะฉะนั้นปีนี้ก็ฝากด้วยช่วยทำของชำล่วยออกมาให้สวยๆ
เหมือนปีก่อนเลยนะครับ”
คากามิ พูดน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว และด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โดยหวังให้ทั้งสี่คนตรงหน้าเขา
ตอบรับคำขอร้องนี้อย่างเต็มใจ
สำหรับ ซาจิทาเรียส คอยน์ และเรจิ นั้นทั้งสามคนไม่มีปัญหาอะไรเพราะยังไงช่วงนี้พวกเขาก็ว่างงาน
เพราะร้านภารกิจของมีมี่ ก็ยังปิดฉลองทศกาลปีใหม่อยู่อีกทั้งเพราะได้รับคำสั่งให้เตรียมตัวสำหรับภารกิจ
ไล่ล่าที่จะเริ่มในอีกเดือนหนึ่งให้หลัง จึงไม่ได้รับภารกิจหรืองานใดๆเพิ่มให้เป็นที่ค้างคาก่อนภารกิจสำคัญ
“เฮ้ย! คากามิ!” ทอล เรียกพลางส่งสายตาไม่สบอารมณ์ไปที่รุ่นน้อง
“ครับ รุ่นพี่มีคำถามงั้นหรือครับ?”
“มีสิคำถามน่ะ...”
ทอล เว้นช่วงคำพูดสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อทำให้อารมณ์ของเขาสงบลงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“แล้วทำไมจะต้องให้ฉันที่พึ่งฟื้นมาทำงานนี่ด้วยที่สำคัญพวกเราไม่ใช่คนของภาคีอัศวินกาชาดซักหน่อย
นี่ยัยกระต่ายนั่นคิดจะใช้พวกเราก็ใช้ยันเตเลยรึไงน่ะหา?”
ความขุ่นเคืองแสดงออกชัดเจนทางสีหน้า เนื่องจากเขาพึ่งจะฟื้นตัวหลังจากสลบไปสามวันเต็มๆเพราะได้รับบาดเจ็บในการจลาจลซอมบี้ แต่ก็ยังถูกลากมาช่วยทำงานโดยไม่ได้ค่าตอบแทนอะไรเลย และไม่ใช่
เพียงครั้งนี้แต่ปีก่อนๆ เขาและเพื่อนๆก็ถูกเรียกตัวมาช่วยทุกครั้ง
“เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับรุ่นพี่ นั่นก็เพราะหัวหน้าเห็นชอบในความสามารถของ
รุ่นพี่มีสกิลแกดเจ็ตเทียร์(Gadgeteer)ยังไงล่ะครับ แถมไม่เปลืองจิลอีก ไม่ต้องลำบากหาตุ่นมาทำให้ด้วย
ที่สำคัญทำฟรีไม่คิดตังค์อีกต่างหาก ขนาดผมยังเห็นด้วยกับหัวหน้าในเรื่องตรงนี้เลยล่ะครับ”
“เอ่อ ฉันว่านะคากามิ นายนี่ชักจะติดนิสัยเห็นแก่เงินเหมือนไนติงเกลเข้าไปทุกทีๆแล้วนะ”(= =’)
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นข้างแก้ม ก่อนที่ทอลจะ เบ้ปากด้วยความรู้สึกแขยง นี่เขากลายเป็นเครื่องมือหาเงินของ
ไนติงเกลกับคากามิ ไปซะแล้ว
“เถอะน่ารุ่นพี่ครับ ถ้ายอมช่วยล่ะก็วันนี้กลับไปนอนที่ค่ายผมจะทำซุปเปอร์บานาน่าซันเดย์โรยด้วย
สตรอเบอรี่เยอะๆแบบที่รุ่นพี่ชอบให้ทานนะครับ”
คากามิ เสนอข้อต่อรองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฝ่ายทอล พอได้ยินว่าจะทำของกินที่ชอบเข้าไปก็ตอบรับทันทีอย่างไม่ลังเล
“ได้เลยแต่ราดแยมสัปปะรดด้วยนะ!”
“ได้คร้าบ-----”
คากามิ ตอบพร้อมกับแอบยิ้มเงียบๆในใจพลางนึกไปถึงปีที่แล้ว ทอล ในตอนนั้นก็ดื้อดึงเหมือนตอนนี้และจบลงเมื่อเขาบอกว่าจะทำขนมให้กิน
“ทำไมทอลถึงชอบกินของชวนอ้วกพวกนี้ด้วยน้าแค่ได้ยินก็จะอ๊อกแบ้ว”
เรจิ บ่นอุบอิบเงียบๆคนเดียว เขานั้นต่างจากทอล ที่จริงอาจจะต้องบอกว่าทอลนั่นแหละที่ต่างจากหมาป่าตัวอื่น เพราะแทนที่จะชื่นชอบการกินเนื้ออย่างหมาป่าทั่วๆไป ทอล กลับชอบกินผักและผลไม้มากกว่า
กลับกันพอเป็นเนื้อแล้ว ทอลจะคายมันทิ้งอย่างไม่ลังเลเลย
“เอาล่ะพวกเรามาช่วยกันทำของพวกนี้ให้เสร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดินกันเถอะโอ้!!”
ทอล พูดเสียงดังพลางชูกำปั้นขึ้นเป็นการแสดงท่าทางปลุกกำลังใจ
การทำงานเริ่มขึ้นโดย ทอล จะนำเอาวัสดุพิเศษซึ่งมีลักษณะใสราวกับแก้วใส่ลงในหม้อแล้วนำไป
ต้มเป็นเวลานานจนแก้วพิเศษนั้นหลอมเหลวกลายเป็นน้ำเหนียวหนืดใสๆ ระหว่างที่กำลังหลอมแก้ว
อยู่ เรจิ คากามิ ซาจิทาเรียส และ คอยน์ จะช่วยกันเตรียมแผ่นเงิน กา กเพชร ทรายสี แก้ว และ
สารพัดวัสดุสำหรับตกแต่งบนของชำร่วย ใส่ลงแม่พิมพ์โลหะทีละแผ่น แต่ละแผ่นจะมีรูปบนแม่พิมพ์
ต่างกันไปเป็นรูปดาว พระจันทร์เสี้ยว พระอาทิตย์
เมื่อแก้วหลอมเหลวได้ที่แล้ว ทอลจึงใช้กระบวยตักแก้วเหลวขึ้นจากหม้อเทใส่แม่พิมพ์
เมื่อแก้วบนแม่พิมพ์เย็นตัวลงจนเริ่มแข็งตัวในระดับหนึ่งแก้วจะแข็งตัวเป็นรูปตามแม่พิมพ์และมีวัสดุตกแต่ง
ลอยอยู่ข้างในแก้วก็จะเปิดแม่พิมพ์ออกแล้วคีบแก้วที่แข็งตัวแล้วออกมาวางตากลมข้างนอก ให้ผิวนอกของแก้วแข็งตัว
เต็มที่ก็จะได้ตัวเครื่องประดับนำมาร้อยเชือก ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ทั้งห้าคนช่วยกันทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปจนตะวันเกือบจะคล้อยดิน ในที่สุดวัสดุที่เตรียมเอาไว้ในกระโจมก็หมดลงและพวกเขาก็ได้เครื่องประดับมากพอที่จะนำไปออกร้านเช่นกัน
“เหลือแค่ชุดสุดท้ายนี่ก็หมดแล้วสินะ”
คากามิ พูดพลางมองดู ทอล กวาดแก้วเหลวที่ก้นหม้อใส่ลงแม่พิมพ์อย่างชำนาญการ
“อืม ครบแล้วล่ะ” ทอลพูดพร้อมกับวางหม้อลงบนโต๊ะโดยยัดกระบวยใส่หม้อไว้
คากามิ เพ่งสายตามองไปที่ด้ามจับกระบวยมันมีคราบเลือดติดอยู่ ด้วยความสงสัย
เขาจึงเดินเข้าไปจับมือทอลขึ้นมาดู
“มือรุ่นพี่บาดเจ็บนี่ ไปโดนอะไรมาครับ?” คากามิ ถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่รู้สิ สงสัยตอนที่ช่วยตัดแผ่นเงินให้ เรจิ มีดคงบาดเอาตอนนั้นล่ะมั้งเพราะรู้สึกเจ็บๆที่
มือเหมือนกันแต่ไม่เห็นเลือดมันจะออกมาเลยน่ะ”
“เลือดคงจะไหลออกมาเพราะรุ่นพี่บีบด้ามจับกระบวยน่ะแหละ ไปที่กระโจมพยาบาลก่อนเถอะผมจะฆ่าเชื้อแล้วทำแผลให้”
สิ้นคำ คากามิ ก็ลากตัวทอล ออกจากกระโจมไปทันที โดยมีเสียงโวยวายของ ทอล ที่บอกให้คากามิ
เลิกจูงมือเขาเหมือนกับแม่จูงมือลูกดังมาจากที่ไกลๆ
เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองคนก็กลับมาที่กระโจมและมีเสียงโวยวายมาตลอดทาง
“รุ่นพี่ไม่มีความอดทนเอาซะเลยแค่ใส่ยาฆ่าเชื้อล่ะทั้งร้องทั้งดิ้นจะเป็นจะตายเลยนะครับ”
“ก็นายน่ะแหละเอายาฆ่าเชื้อแบบแสบสุดๆมาใส่ให้ฉันไม่รึไง ลองมาโดนเองสิรับรองว่านายได้ร้อง
เหมือนฉันแน่!”
“กลับมาทันพอดีเลยนะตอนนี้แก้วแข็งตัวกำลังดีเลย ว่ากำลังจะเอาออกจาก แม่พิมพ์เนี่ย”
ซาจิทาเรียส พูดพลางชี้ไปทาง คอยน์ กับเรจิ ที่กำลังช่วยกันเปิดแม่พิมพ์ออกทีละอัน
“แย่ล่ะ เฮ้ คากามิ ทอล พวกนายมาดุนี่ทีสิ เกิดปัญหาแล้วล่ะ” คอยน์เรียกน้ำเสียงของเขาไม่สู้ดีนัก
ราวกับเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น หมาป่าทั้งสองจึงรีบเข้าไปดูในทันที โดยมีซาจิทาเรียสตามมาทีหลัง
แล้วสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาตกใจไปตามๆกัน เพราะที่เครื่องประดับรูปพระจันทร์บน
แม่พิมพ์อันหนึ่ง มีหยดน้ำสีแดงหม่นคล้ายกับเลือดลอยอยู่ข้างใน
“ต้องเป็นเลือดของทอมมี่ที่หยดลงไปตอนเทแก้วลงแม่พิมพ์ครั้งสุดท้ายแหงเลย”
ซาจิทาเรียส พูดน้ำเสียงคร่ำเครียด
“ไหงเป็นเงี้ยล่ะเนี่ย ขอโทษนะคากามิ ฉันทำพังไปอันซะแล้ว”
ทอล หันไปพูดกับรุ่นน้องด้วยสีหน้าสำนึกผิด คากามิ ยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า
“ไม่เป็นไรครับรุ่นพี่แค่อันเดียวเองอีกอย่างรบกวนรุ่นพี่มาเยอะแล้วแค่นี้ช่างมันเถอะครับจริงสิไหนๆแล้ว
ยกอันนี้ให้รุ่นพี่ก็แล้วกันครับ”
…………………………………………………………….
………………………..
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า สายลมหนาวแห่งต้นปีพัดผ่านมาสู่เมืองแห่งแสง และหิมะบนถนนสายหลัก
ยังคงละลายไม่หมด
หมาป่าดำ เดินย่ำไปตามพื้นถนนสีขาวโพลน พลางมองสร้อยประดับรูปพระจันทร์ซึ่งร้อยสายคล้องแล้ว
ในมือ มันเป็นอันที่เขาทำเสียไป ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เห้อ แล้วจะทำยังไงกับเจ้านี่ดีเนี่ย จะยกให้เรจิ เจ้านั่นก็ไม่เอาสงสัยต้องเก็บไว้เองซะล่ะมั้ง”
ทอลบ่นไปพลางขณะเดิน ผ่านหน้าร้านอาหารของจาม่อน
แม้จะเป็นร้านกลางแจ้งและในคืนที่หนาวเหน็บแบบนี้ก็ยังมีลูกค้ามากินที่ร้านไม่ขาดสาย
โดยมีโต๊ะหนึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ที่เป็นจิงโจ้ทั้งหมดมาฉลองกันในค่ำคืนนี้
มีตั้งแต่ปู่ย่าตายายไปจนถึงลูกหลานที่มาร่วมโต๊ะทุกคนสนุกสนานกันมาก
เป็นภาพของครอบครัวที่แสนอบอุ่น
ภาพเช่นนี้คงจะสั่นคลอนจิตใจของเขา คงจะปวดร้าวจนทนรับภาพแบบนั้นไม่ได้แน่ถ้าไม่ใช่เพราะ
ปีนี้เขาได้ฉลองคริสตร์มาสและปีใหม่กับน้องชาย และพ่อพร้อมหน้า ไปแล้วหลังจากที่เคยคิดว่าอาจ
จะไม่มีโอกาสทำแบบนั้นเพราะโลกิที่เกือบจะโดนประหาร แต่ก็รอดมาได้ด้วยความช่วยเหลือจาก
เรจิ และ เซเวอร์ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงได้แต่อมยิ้มและมองภาพครอบครัวนั้นด้วยความสุขใจแทน
ทอล เดินเลยไปจนเกือบจะผ่านร้านของ จาม่อนแล้ว ก็มี เด็กชายจิงโจ้คนหนึ่งลุกจากโต๊ะ ออกมาวิ่ง
เล่นหน้าร้าน สายลมแรงได้พัดผ่านมาและทำให้หลังคาผ้าใบของร้านสั่นโคลงเคลงไปมา
ขาตั้งหลังคาข้างหนึ่งเกิดเอนและล้มลงจากแรงลม ส่งให้หลังคาผ้าใบเทตัวลงมายังที่ๆเด็กชายจิงโจ้
คนนั้นยืน ทอล ซึ่งเห็นเหตุการณ์พอดีจึงรีบเข้าไปช่วยแต่เขาก็อยู่ไกลเกินไปที่จะเข้าไปทัน คนในร้าน
ที่พึ่งจะรู้ตัวย่อมไม่สามารถก้าวออกจากร้านมาช่วยได้ทันอย่างแน่นอน
“ वामन (Vāmana)”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากที่ไกลๆ ร่างของเด็กชายจิงโจ้หายไปจากจุดนั้นก่อนที่หลังคาจะถล่มใส่
เสียงถล่มของมันดังก้องไปทั่วทั้งท้องถนน ผู้คนพากันออกจากบ้านเรือนมาดูด้วยความสงสัย
“ไม่เป็นไรนะเจ้าหนู” เจ้าของเสียงเมื่อครู่ปรากฏตัวขึ้นในร้านพร้อมกับ เด็กชายจิงโจ้ ที่ช่วยออกมา
ก่อนจะถูกหลังคาทับใส่
“ไม่เป็นไรคับขอบคุณที่ช่วยนะคับพี่ชาย” เด็กชายจิงโจ้กล่าวขอบคุณก่อนจะวิ่งกลับไปหาครอบครัว
ที่กำลังเป็นห่วง พวกเขาหันมาชอบคุณเซเวอร์เป็นการใหญ่ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปที่โต๊ะส่วนเซเวอร์ก็เดินออกจากร้านมาที่ถนน
“โย่ เซเวอร์!” ทอล เดินเข้ามาทัก ก่อนจะพูดเหน็บแนมเป็นการทักทายในฉบับของเขากับคนที่เป็นคู่กัด
“นายเป็นคนดีกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ซะอีกแหะเห็นทีต้องมองนายใหม่แล้วมั้งนี่”
แม้ว่า ทอล จะทักทายมา เซเวอร์ กลับแค่สบตาเขาเพียงชั่วคราวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ทำเรื่องไร้ประโยชน์ไปเสียแล้วสิ”
“หา?” ทอล เลิ่กคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัยในคำพูดของเซเวอร์
“ทั้งที่ถ้าข้าชนะในศึกอาโพคาลิปส์ ทั้งเด็กนั่นทั้งตัวเจ้ารวมถึงทั้งหมดก็จะต้องหายไปอยู่แล้ว
ไม่เห็นจำเป็นต้องช่วยเลย”
“ถ้างั้นแล้วนายเข้าไปช่วยทำไมล่ะ”
“นั่นแหละที่ข้าไม่เข้าใจ แต่ว่าข้ารู้สึกว่าข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นความเศร้าเสียใจของคนในครอบครัว
มันก็เท่านั้นเอง”
เซเวอร์ ตอบใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและครุ่นคิดหาคำตอบในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
แต่ ทอล กลับยิ้มและมองเขาด้วยสายตาเข้าอกเข้าใจในตัวเขาแทน
“วันที่พวกเราเจอกันวันแรกนายเคยถามเรื่องโลกิแต่ฉันก็ไม่ได้บอกนาย ใช่ไหมทำไมตอนนั้นถึงอยากรู้ล่ะ
แล้วอีกอย่างนายเองก็ยังเข้ามาช่วยโลกิด้วย นั่นก็เป็นเหตุผลเดียวกับวันนี้เหรอ?”
คำถามของทอล ทำให้ เซเวอร์แสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมา เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่
เรื่องนี้แม้แต่กับเรจิ เขาก็ไม่เคยพูดด้วยซ้ำ แต่กับ ทอล ในตอนนี้เขากลับอยากจะพูดออกมาอย่างน่าประหลาด
“ข้า….ไม่มีความทรงจำก่อนที่จะมาเป็นเซเวอร์เลย ข้าไม่รู้ว่าตัวเองเกิดที่ไหนเกิดจากใคร แต่ข้า
ก็รู้สึกว่าเคยมีครอบครัวอยู่และก็มีอีกความรู้สึกหนึ่งด้วยที่ข้าจำได้ มันเป็นความรู้สึกโหยหา….”
ยามที่พูดเรื่องนี้ออกมาและมองกลับไปยัง ครอบครัวจิงโจ้ในร้านอาหาร ดวงตาของเขาเศร้าหมองลง
ก่อนจะกลั้นขำจนลมออกจมูกแล้วพูดกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงปกติ
“สงสัยจะพูดมากเกินไปแล้วข้าไปดีกว่า วันนี้เจ้าจะไปพักที่ค่ายใช่มะ ข้าจะได้หาซื้อข้าวให้ เรจิ ก่อนกลับ”
เด็กหนุ่ม ก้าวเท้าออกเตรียมจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ ทอลยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งตามหลังไป
แล้วคล้องสร้อยประดับให้ เซเวอร์
“อะไรของเจ้าอีกเนี่ย?” เซเวอร์ ถามพลางจับตัวจี้ประดับรูปพระจันทร์ขึ้นมาดูอย่าง งงๆ
“ยังไม่ได้ตอบแทนนายที่ช่วยโลกิไว้เลยนี่”
“เหอะ เรื่องขี้ประติ๋วพรรค์นั้นยังเก็บไปคิดอีกรึเจ้าน่ะ ทำตัวให้มันเหมือนหมาป่าหน่อยเถอะหรือความจริงแล้วเจ้าเป็นตัวเมียกันแน่เนี่ยหา?”
เซเวอร์ พูดพลางส่งสายตาเหน็บแนม จนทอล ถึงกับหน้าแดงด้วยความโกรธจัด
“แมนเต็มร้อยเฟร้ยเจ้าบ้า! แล้วก็นี่ถือเป็นของขวัญคริสตร์มาสย้อนหลังก็แล้วกันตกลงตามนี้นะ!”
พูดเสร็จ หมาป่าดำก็ตบเท้าเดินจากไปอย่างหัวเสีย ทิ้งให้เด็กหนุ่ม มองคล้อยตามแผ่นหลังจนหายลับไป
จากระยะสายตา ก่อนจะย้อนกลับมามองสร้อยอีกครั้ง “คริสตร์มาสย้อนหลังอะไรของมัน ข้าไม่ได้นับถือศาสนาเหมือนพวกเจ้าซักหน่อย?”
……………………………………………………………
……………………………….
ภายในกระท่อมหลังเล็กนอกตัวเมือง มันเคยเป็นบ้านของทอล โอดิน และ โลกิ เนื่องจากทั้งสาม
เข้ารับราชการอัศวินกันหมดจึงพักที่ค่ายทหารแทนและไม่ค่อยได้กลับมาพักที่บ้าน
ทำให้ตอนนี้กลายเป็นที่พักให้กับ เซเวอร์ และ เรจิ ชั่วคราว รวมถึงโลกิ ที่ตอนนี้โดนปลดจากอัศวิน
เหลือแค่ยศผู้กล้าแล้วจึงกลับมาพักที่บ้านตามเคยแทน
ตอนนี้เซเวอร์ ซึ่งกลับจากการจ่ายตลาด(ด้วยเงินช่วยเหลือของเรจิในฐานะอัศวินสวรรค์) กำลัง
เตรียมกับข้าว ส่วนโลกินั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่บนฟูกนอน ระหว่างนั้นเอง เรจิ ก็ทักขึ้นมาเมื่อเห็นสร้อยที่ห้อยคอเขา
“อ๊ะนั่นมันสร้อยที่ ทอล ทำเสียนี่นา เรจิจำได้มีเลือดของทอลติดอยู่ในนี้ด้วย”
“อะไรกันเนี่ยเจ้านั่นเอาของที่เสียแล้วมาให้เหรอเนี่ย แล้วมาทำฟอร์มว่าให้เป็นของขวัญคริสตร์มาส คิดจะบอกว่าข้าเป็นถังขยะรึไงเจ้าหมานั่น”
เซเวอร์ พูดน้ำเสียงกริ้วขึ้นมาทันที
“แต่ว่าถ้าเซเวอร์ได้ของขวัญคริสตร์มาสก็แปลว่าเซเวอร์เป็นเด็กดีนะไม่ใช่ถังขยะหรอก”
“อะไรกันนี่มันเห็นข้าเป็นเด็กอมมืองั้นรึ”
ในขณะที่ เซเวอร์ กำลังมีน้ำโห และโวยวายอยู่กับเรจิ โลกิซึ่งนั่งฟังอยู่ก็ไม่มีสมาธิจะอ่านหนังสือ
จึงได้พูดขึ้นมา
“ถ้านายคิดแบบนั้นล่ะก็ฉันว่านายมันก็เด็กจริงๆล่ะนะคนอย่างพี่น่ะไม่เคยคิดดูถูกใครทั้งนั้นแหละ การได้รับของขวัญคริสตร์มาสน่ะนอกจากจะให้ในโอกาสที่เด็กประพฤติตัวดีแล้ว มันยังมีความหมายหนึ่งนะ”
คำพูดของเขา ทำให้ทั้งสองหันมาฟังอย่างตั้งใจ โลกิ หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อยรู้สึกอายขึ้นมาทันทีที่
คิดจะพูดเรื่องนี้ออกไป
“-มันคือการให้จากครอบครัว- อย่างน้อยๆพี่ก็พูดแบบนั้นตอนให้ของขวัญคริสตร์มาสฉันครั้งแรก”
ใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยความเขินอายเพราะคำพูดชวนจั้กจี้ ที่พูดออกไปแทรกเข้าไปหลบหลังหนังสือทันที
แต่ เซเวอร์ กลับยืนครุ่นคิดอย่างเงียบๆสำหรับคนอื่นมันคงจะฟังดูตลก แต่เขากลับรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม
จนตื้นตัน
……………………………………………………………..
…………………………………………
……………………
“ศรเพลิงทมิฬมังกรโลกันตร์หยาจื้อ!! (睚眦)”
” เกราะสัตตะสวรรค์ดาวดึงส์คุ้มภัย ”
เกราะสวรรค์ของ เซเวอร์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับศรเพลิงของเซอร์คามิโอ
ระหว่างที่ถูกครอกอยู่ในไฟสีดำ เซเวอร์ ได้ยอมจำนนต่อความคิดที่สิ้นหวังว่าเขาคงจะไม่รอดแน่แล้ว
ความทรงจำเกี่ยวกับสร้อยคอที่เขาแขวนไว้ก็พลันแล่นขึ้นมา และในตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่าตัวเองตา
ฝาดไปเขาเห็น เงาร่างของทอล ปรากฏขึ้นมากำบังไฟให้
เซเวอร์ อาจจะไม่รู้ว่าหากไม่มีสร้อยคอที่มีหยดเลือดของทอลฝังอยู่เส้นนี้ แม้จะไม่ถึงตายแต่เขาจะขยับตัว
ไม่ได้อีกเลย และคงไม่พ้นกลายเป็นเหยื่อของชะตากรรมที่จะถูกกำจัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ในทันทีที่พลังของทอลตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์
ความสัมพันธ์ที่ค่อยๆประสานกันนั้นเบื้องหลังของมันคือโศกนาฏกรรมที่เจ็บปวด ในทางกลับกันมันจะกลายเป็น กุญแจที่จะคลี่คลายปมแห่งความแค้นในตอนท้าย พวกเขาจะไม่มีวันล่วงรู้มันได้เลยจนกว่าเวลานั้นจะมาถึง
………………………………………………………………………………………….
ความคิดเห็น