ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    12Tails: Tails Apocalypse Ⓣ (Turn Bringer Invasion)

    ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 15: Human-->Beast -->Tails

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 103
      0
      17 พ.ค. 59

    Chapter 15: Human-->Beast -->Tails

     

     

    แผลแห่งโลก คือสถานที่ ที่ทะเลทรายปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง  สัญลักษณ์อันเป็นผลพวงจาก

    การทำลายล้างของชนเผ่าไร้หางในอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้

    หุบเหวลึกไร้ก้น ทอดยาวจากปลายสุดของตะวันออก และ ตะวันตกมาตัดกัน ณ ใจกลางบาดแผล

    ซึ่งสลักไว้เป็นความอัปยศเหนือพื้นโลกใบนี้

     

    แม่ทัพ อิทาลุส เหยี่ยวหนุ่มผู้มีภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสุขุมเยือกเย็น แต่เนื้อแท้ภายใน คือจิตใจที่สับสน

    และรุ่มร้อนไปด้วยความหว้าวุ่น เพื่อท่านอัลคาเซีย เพื่อความปลอดภัยของท่านอัลคาเซีย เพื่อความจงรักภักดีต่อท่านอัลคาเซีย ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจเหล่านี้ค่อยๆกลายเป็นไฟสุมอก ยิ่งได้มาเห็นรอยแผลแห่งโลก

    แล้วก็ราวกับถูกเติมเชื้อไฟลงไปเสียอีก จากเบื้องล่างของหุบเหวไร้ก้น วัตถุทำจากเหล็กกล้าทรงกลม

    จำนวน หลายสิบลูก กำลังลอยตัวขึ้นมาจากหุบเหว พวกมันเคลื่อนตัวเป็นกระบวนทัพ เหมือนทหาร

    และกำลังมุ่งหน้าลงไปทางใต้

     

     

    นี่สินะ หายนะที่ท่านอัลคาเซีย เคยกล่าวไว้…. อิทาลุสเปรยเสียงเรียบ แม้ใบหน้าของเหยี่ยวหนุ่ม

    จะนิ่งเฉยแต่ อารมณ์ของเขากลับเป็นตรงข้ามกับสีหน้าที่แสดงออกมา

     

     

    หายนะ อะไรอย่างนั้นรึ?

    ด้วยสัญชาตญาณ  อิทาลุส หันหลังกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับชักปืนพก จากเอวขึ้นเล็งเจ้าของเสียง

    ที่เข้ามาจากทางด้านหลังทันที

     

    เฮ้ๆ เจอหน้ากันก็ทักทายกันแบบนี้แล้วรึ เด็กหนุ่มวัย15 ปี ผมสีทอง ปรากฏขึ้นต่อหน้า

    กระบอกปืนของ อิทาลุส แม่ทัพเหยี่ยว ลดปืนลงก่อนจะถามเสียงขุ่น

     

    เจ้ามาที่นี่ทำไมเซเวอร์?

    ข้าก็มาหาคำตอบของข้าน่ะสิ เจ้านั่นแหละมาทำอะไร

     

    อิทาลุส มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาหวาดระแวง ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องรู้

    แม้แต่อัลคาเซียก็ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยใช่ไหม เซเวอร์ แสยะยิ้มแห้ง เมื่อสีหน้าที่เคย

    สงบนิ่งของแม่ทัพเหยี่ยว บิดเบี้ยวด้วยอารมณ์ที่หวั่นไหว

     

    รู้ไหม อิทาลุส วันแรกที่ข้าได้เจอกับเจ้า ข้าได้มองลึกลงไปข้างในตัวเจ้าน่ะไม่ใช่สายลมที่คอยรองรับ

    ฝ่าพระบาทของอัลคาเซียหรอก…..

    เด็กหนุ่มหลับตาลง และพยายามนึกถึงมโนภาพที่เคยเห็น

     

    แต่มันคือไฟ โลกันต์ ที่มีชื่อว่าความภักดี อิทาลุส เอ๋ย หากเจ้ายังปล่อยให้มันเผาไหม้อยู่อย่างนั้น ซักวัน

    ตัวเจ้าที่เป็นฉนวนไฟจักต้องมอดไหม้และกลายเป็นเถ้าถ่านที่ดำสนิท หรือการตกสู่ความมืด

     

    เหลวไหล! อิทาลุสตะคอก ข้าไม่มีวันหนัหลังให้ท่านอัลคาเซีย และ ข้าจะไม่มีวันหัน

    หน้าให้กับความมืดของ เซร่า เด็ดขาด!!

     

    เซเวอร์ ค่อยๆผ่อนลมหายใจออก เจ้านี่หัวแข็งเสียเหลือเกิน การไม่ยอมรับคือความขลาดกลัว เมื่อมันถึงที่สุดแล้ว เจ้าก็จะรู้เอง ข้าขอตัวก่อนล่ะ

     

    สิ้นคำแล้ว เซเวอร์ ก็เดินหน้าต่อเพื่อไปให้ถึงยังหุบเหวไร้ก้น ที่อยู่เบื้องหน้า โดยไม่แม้แต่จะหันมามอง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของ แม่ทัพเหยี่ยว ซึ่งถูกคำพูดของเขาจี้ใจดำเข้าให้

    ครู่ต่อมาแม่ทัพเหยี่ยวจึงได้กางปีกแล้วบินกลับลงไปทางใต้ ซึ่งเป็นทางกลับไปสู่นครแห่งแสง

     

    หึทำเป็นพูดดีไปจนได้นะเราอีกเดี๋ยวก็จะต้องเผชิญสถานะเดียวกับมันแล้วแท้ๆ

     แล้วนี่เราจะยอมรับความจริงได้ไหมเนี่ย

    เซเวอร์ ยิ้มแห้งๆให้กับตัวเอง ก่อนจะกลั้นใจกระโดดลงไปในหุบเหวไร้ก้น

     

     

    ภายในหุบเหวไร้ก้น คือความมืดมิดที่ไม่สิ้นสุด หลังจากตกลงมานานถึงหนึ่งชั่วโมง แสงอาทิตย์ จาก

    ด้านบนเริ่มจะส่องลงมาไม่ถึงแล้ว จนถึงตอนนี้ เซเวอร์ เองก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่า ระยะทางตอนนี้ไกล

    เกินกว่าจะใช้ ความสามารถ ก้าวพริบตา กลับขึ้นไปได้หรือไม่ แต่หากถอดใจเสีย

    แต่ตอนนี้ เขาจะไม่มีวันรู้คำตอบที่ต้องการไปอีกตลอดกาล แรงจูงใจนี้คือสิ่งเดียวที่จะยัน

    ประตูก้นบึ้งของจิตใจเอาไว้มิให้ความขลาดกลัวได้เล็ดลอดออกมา

     

    เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งปัญหาก็มาเยือน เมื่อฝูงลูกบอลเหล็กกล้าที่เขา เห็นก่อนจะกระโดดลงเหว

    กำลังตรงเข้ามาหา

    ให้มันได้อย่างนี้สิ เซเวอร์ สบถพลางชูแขนขึ้นเหนือ ศีรษะ และกางฝ่ามือ ออก

    จงมาฟ้าฟื้น!

    ลำแสงสีฟ้าแล่นปราดลงมาจากปากเหว และสถิตในมือของเด็กหนุ่ม เมื่อเขากำมือแล้วลำแสงจึงเปลี่ยนรูป

    กลายเป็นดาบ อัญมนี สีฟ้าคราม  เซเวอร์ ยกแขนซ้ายขึ้นตั้งท่าเตรียมร่ายเวทมนต์

     

    Κενότητος ἀστράπσατω δὲ τεμέτω! (เคโนเททอส แอสทรัฟซาโต้ เด เทเมโท่! )
    [จงมา มหาราชอัสนีบาต ผู้มาจากอนัตตา จงมาพล่าผลาญอริข้าให้สิ้นไป ]

     

    ยามเมื่อบทร่ายแห่งเวทมนต์ ขับขานออกมา ท้องฟ้าด้านบนของบาดแผลแห่งโลกก็มืดครึ้ม และเต็มไปด้วย

    เมฆฝน สายฟ้าไหลผ่านลงมาจากหมู่เมฆทั้งหมดและรวมกันเป็นลำแสงทะยานลงยังหุบเหวไร้ก้น

    เป็นเวลาเดียวกับที่ เซเวอร์ เปลี่ยนมือไปถือดาบด้วยมือซ้ายแทน มือขวาของเขาชูขึ้นเหนือศีรษะ

    และกางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งออกเหยียดจนสุดนิ้ว

    Δίος τύκος! (ดิออส ทูวคอส)
    [ขวานอัสนีบาตกัมปนาท!]

     

    เซเวอร์ สะบัดมือลงมาโดยค้างมือไว้ทั้งอย่างนั้น พร้อมๆกันลำแสงสายฟ้าได้พุ่งลงมาผ่าใส่ ลูกบอลเหล็ก

    เหล่านั้นจนระเบิดเป็นชิ้นๆ ซากชิ้นส่วนของพวกมัน เป็นวัสดุเครื่องจักรที่ถูกนำมาประกอบกัน

    เซเวอร์ เข้าใจดีว่ามันคืออะไร --หุ่นยนต์ คือคำเรียกของพวกนั้น

    แต่เขาก็ไม่ทันได้มีเวลาคิดสงสัยกับพวกมันมากมายนัก เพราะซากชิ้นส่วนของหุ่นยนต์ที่เขาทำลายไปเมื่อครู่

    ตกลงไปกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังสะท้อนขึ้นมาเสียแล้ว นั่นหมายความว่าตัวเขาใกล้จะลงไปถึงก้นเหวเต็มทีแล้ว นับตั้งแต่ลงมาจากปากเหว เขาพยายามรักษาระยะห่างให้ใกล้กับผนังหินตลอดเวลา

    ก็เพื่อจะใช้มันช่วยชะลอความเร็วยามถึงพื้น เขาใช้ดาบฟ้าฟื้นเสียบทะลุเข้าไปในเนื้อหิน อย่าง

    ง่ายดายราวกับฟองน้ำ และเหยียดเท้าของเขาให้เหยียบลงไปบนผนัง

     การกระทำนั้นก่อให้เกิดแรงเสียดทานจนความเร็วของการตกลดลง พื้นรองเท้าและดาบไถล

    เสียดสีไปกับผนังหินผา จนคว้านเอาฝุ่นดินสีน้ำตาล ออกมาตลบอบอวล ร่างของ เซเวอร์

    หยุดไถลลงมาโดยห่างจากพื้นไปเพียงเมตร ครึ่ง

     

    เซเวอร์ ค่อยๆผ่อนลมหายใจออก ก่อนจะเหยียดเท้าลงบนพื้นแล้วถอนดาบออกจากผนังหิน แม้ว่าจะครูดลง

    มาไกลเป็นสิบๆเมตร แต่ตัวดาบก็หาได้มีรอยขีดข่วนแต่อย่างใด สมกับเป็นดาบมารที่ไม่มีวันบุบสลาย

     

    เซเวอร์เริ่มสำรวจตัวเอง จนแน่ใจว่าไม่มีบาดแผลตรงไหน แล้วจึงเบี่ยงสายออกไปมองรอบๆ

    ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด มันมืดสนิทเสียจนมองทางข้างหน้าไม่เห็นเลยเสียด้วยซ้ำ

     

    เซเวอร์ ชูดาบเหนือหัวพร้อมกับร่าย เวทมนต์ ที่ได้ใช้ปราบพวกหุ่นยนต์อีกครั้ง

    หนนี้เขาต้องรออยู่หลายวินาทีกว่าที่ลำแสงสายฟ้าจะเคลื่อนตัวลงมาถึง เขาใช้ดาบเก็บเอาประจุไฟฟ้า

    จากลำแสงเข้ามา เหมือนเวลาสะสมพลังเพื่อใช้ ท่า Celestial Splitter เพียงแต่หลังจากชาร์จพลังงานแล้ว

    ครั้งนี้เขาไม่ได้ฟาดมันออกไป แต่นำแสงสว่างที่ส่องออกมาจากตัวดาบ ใช้ต่างไฟฉายส่องดูเส้นทาง

     

    เบื้องหน้าของเขาคือโพรงถ้ำขนาดใหญ่ที่นำลงไปยังใต้ดิน

    /ยังจะลงลึกไปอีกเหรอแค่นี้ก็แทบจะไม่เห็นแสงตะวันอยู่แล้ว คิดจะลึกลงไปถึงนรกเลยรึไงกัน/

    เซเวอร์ คิดในใจ เขาเดินตรงเข้าไปในโพรงนั้นโดยไม่แม้แต่จะหยุดลังเล

    ยิ่งเดินก็ยิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ บางครั้งเส้นทางก็ขนาบตัวแคบลงมา จนต้องลงไปคลานแทน

    บางครั้งก็เป็นเหวลึก ที่เกือบจะพลัดตกลงไป และในที่สุด เซเวอร์ ก็มาถึง

     

    ภายในความมืดมิดที่มีแต่แสงสว่างจากดาบเท่านั้น เขามองเห็นเพียงความอ้างว้าง

     ที่แผ่ออกไปในความมืดมิดซึ่งแสงจากดาบส่องไปไม่ถึง

     

    เซเวอร์ตัดสินใจเดินต่อไป ความรู้สึกของเขารับรู้ได้ว่าที่นี่เป็นห้องที่มีความกว้างกว่าที่ผ่านๆมา

    จนเหมือนกับเป็นโพรงใต้ดินขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเสียมากกว่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

    อีกหนึ่งข้อสงสัยที่ทำให้เขามั่นใจว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้น คือ พื้นที่เหยียบอยู่ได้เปลี่ยนจากหินทราย

    เป็นพื้นซีเมนต์ขาว นับตั้งแต่เหยียบเข้ามาในห้องแห่งนี้  เมื่อเดินต่อไปอีก พื้นก็เปลี่ยนจากสีขาว

    เป็นสีดำ เด็กหนุ่มก้มตัวลงแล้วใช้นิ้วป้ายสัมผัสกับพื้น

     

    ยางมะตอย….. เซเวอร์ รำพึงกับตัวเองก่อนจะยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับยื่นดาบออกไปข้างหน้าเพื่อ

    ให้แสงจากดาบทอดออกไปไกลขึ้น พื้นที่สีดำ ทอดตัวยาวและตีโค้งเป็นเส้น

     

    นี่มันถนน ยังงั้นรึ? เซเวอร์ อุทานบัดนี้เขาแน่ใจแล้ว สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมิใช่ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

    และการที่มีถนนนั่นย่อมหมายถึง สถานที่แห่งนี้ เป็นหรืออาจจะเคยเป็นเมือง มาก่อน

    หัวใจของเขาเต้นรัวและเร็วขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่ม สาวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อมองหา

    เบาะแสเพิ่มเติม ในที่สุดเขาก็พบเข้ากับเสาหินต้นหนึ่ง ซึ่งตั้งเรียงกันเป็นโค้ง ขนานไปกับถนน

    เมื่อมองขึ้นไป ที่ด้านบนของเสาหิน มีสะพานหินวางพาดไปบนเสาแต่ละเสาคล้ายทางเดินขนาดใหญ่

    เซเวอร์ กระโจนขึ้นไปทันทีด้วยพลังเหนือมนุษย์ที่เขามี เพียงไม่กี่อึดใจ เด็กหนุ่มก็ได้ขึ้นมายืน

    บนสะพานหินแล้ว บนสะพานหินซึ่งกว้างพอจะให้ รถศึกซักสามคันวิ่งขนาบไปพร้อมกันได้อย่างสบายๆ

    ได้มีวางโครงเหล็กที่เหมือนกับรางรถไฟเอาไว้ และทอดยาวไปตามสะพานหินนี้

     

    สะพาน….กับ รางรถไฟ…. เซเวอร์ เปรย คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากันยามที่ใช้ความคิด

    สมองของเขาประมวลผลเพื่อหาคำตอบของ สิ่งสองสิ่งระหว่างสะพานและรางรถไฟ

    ความรู้สึกและภาพที่ชวนให้คุ้นตาค่อยๆปรากฏเป็นมโนภาพ ในหัวและพริบตาที่มันเด่นชัด

    ถึงที่สุด สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ซีดลงไปในทันที เซเวอร์ หันรีหันขวาง มองไปรอบๆตัวของเขา

    ก่อนจะหันดาบไปทางทิศตะวันตก เด็กหนุ่มค่อยๆก้าวไปข้างหน้าและแสงสว่างจากดาบก็เคลื่อนตามไปด้วย

    สิ่งที่หลบซ่อนในความมืดมิด ค่อยๆเปิดเผยออกมา เสาหินปลายแหลมสูงชี้ฟ้าตั้งอยู่ ณ ใจกลาง

    ของห้องแห่งนี้และรูปปั้นมนุษย์ สามตัวที่ในสภาพชำรุด รายล้อมรอบเสาหิน  มโนภาพหนึ่งที่ผุดขึ้น

    ในหัวของ เด็กหนุ่มคือเมืองหลวงของเหล่ามนุษย์ ถนนที่ตีวงโค้งเป็นวงกลม ล้อมอนุสาวรีย์

    ที่เป็นเสาหินปลายแหลม และรูปปั้นทหารสามรูป รอบนอกถนน มีรางรถไฟฟ้าตีวงโค้งผ่าน

    ออกไป

     

     

    อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ….. เซเวอร์หลุดปากออกมาเองโดยอัตโนมัติ เขารู้จักสถานที่แห่งนี้

    มันพรั่งพรูออกมาราวกับไหลเวียนอยู่ในร่างของเขามานานนับปี

     

    แค่เคย เป็นน่ะ

    เซเวอร์กลับหลังหันในทันที พร้อมกับยื่นดาบออกไปข้างหน้า เด็กหนุ่มผมสีดำที่ดูอายุมากกว่าสองปี

    ที่คอมัดผ้าคลุมสีแดงเลือดหมู ชายผ้าคลุมห้อยยาวลงมาจนถึงแข้ง

     

     

    ทำไม ทำหน้าแบบนั้นล่ะ นายกำลังหาอยู่ไม่ใช่รึไง มนุษย์ที่อาจยังรอดชีวิตอยู่ และ

     เป็นคนที่จะเล่าความจริงทั้งหมดให้นายฟังได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในช่วง 5000ปี มานี้

     

    เจ้าเป็นใคร รู้จักข้าด้วยงั้นรึ?

    อื้ม รู้จักดีเลยทีเดียวเชียวล่ะ ถ้าจะให้พูดก็รู้มาตั้งแต่ตอนที่ นายยังมีชีวิตอยู่เลย กัลกี..

    เด็กหนุ่ม ตอบคำถามของเซเวอร์ ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ

     

    หมายความว่ายังไง?

    ฉันเองไม่ค่อยชอบสปอยง่ายๆเท่าไหร่หรอกนะ แล้วนายเองก็ทำท่าเหมือนกับว่าลืม

    เรื่องอื่นๆไปจนหมดเลยอีกตะหาก ถ้าจะให้เล่าล่ะก็ก่อนอื่นคงต้องฟื้นความจำของนายกลับมาก่อน

     

    ฟื้นความจำ?...เจ้าจะบอกว่าข้าสูญเสียความทรงจำไปงั้นรึ

    ถูกต้อง!! เด็กหนุ่มดีดนิ้วขึ้นเปราะหนึ่ง ถ้าอยากได้หลักฐานล่ะก็ อันดับแรกเลย แค่เห็นหน้าฉันแล้ว

    นายดันถามว่าเป็นใคร นั่นล่ะคือสิ่งที่ฉันเศร้า

     

    สิ้นคำ เด็กหนุ่มก็หายไปจากเบื้องหน้าของ เซเวอร์ และโผล่มาอีกที ที่ด้านหลังของเขา

    พร้อมกับกระซิบที่หูของเขาเบาๆ

    ลืมกันได้แม้แต่คนที่สอนนายเรื่องพื้นฐานของการเล่นซัมมอนเนอร์ไปแล้วรึไงกัน

     

    เซเวอร์ ฉีกตัววิ่งออกห่างจาก เด็กหนุ่มทันที พร้อมทั้งตั้งท่ายกดาบขู่ใส่

    อย่า ปุบปับเข้ามาข้างหลังข้าอีกล่ะ ไม่งั้นหนหน้าหัวเจ้าได้หลุดจากบ่าแน่!!

    งั้นที่ไม่ยอมทำก็เพราะ ว่าฉันยังมีค่าให้นายถามได้อยู่สินะ

    ไม่ทันขาดคำ เด็กหนุ่มก็หายตัวไปจากสายตาและปรากฏขึ้นเบื้องหลังของ เซเวอร์อีกครั้ง

    และหนนี้ เซเวอร์ไม่อาจไว้วางใจในตัวของเด็กหนุ่มได้อีกแล้ว  มือที่ถือดาบจึงได้สะบัดออกไป

    หมายจะสร้างบาดแผลเพื่อให้ ได้จดจำไว้ว่าอย่าริอาจมาเล่นลิ้นกับเขา

     

    ทว่า ดาบฟ้าฟื้นที่เก็บประจุไฟฟ้าเอาไวเต็มเปี่ยมทำให้ใบดาบร้อนระอุจนหลอมเหล็กให้ละลายได้ทันทีสัมผัสถูก แต่เด็กหนุ่มกลับใช้มือเปล่ารับเอาคมดาบไว้ได้อย่างสบายๆ

     

    นายน่ะ ทำร้ายมนุษย์ไม่ได้หรอก เพราะถูกโปรแกรมมาแบบนั้น

    เด็กหนุ่ม ใช้อีกจับข้อมือที่ถือดาบของ เซเวอร์ แล้วกดให้ลดดาบลง

     

    พูดมาแบบนั้นหรือว่าเจ้าจะรู้ว่า เซเวอร์ คืออะไร?

    ปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มที่มีต่อ คำถามของ เซเวอร์ คือรอยยิ้มที่มุมปากซึ่งปรากฏขึ้นมาเพียง

    เสี้ยวเวลาของการกระพริบตา

     

    ฉํนก็มาเพื่อที่จะตอบคำถามนั้นของนายน่ะแหละ เอาเป็นว่าก่อนจะคุยกันเรื่องนั้นเรามา

    ทบทวนกันหน่อยไหมว่า อวตารอบิลิตี้ (Avatara Ability) ของนายนอกจาก กุรมา วราหา

    วามนา แล้วก็ รามา ยังเหลืออีกกี่อย่างที่ยังไม่ได้ใช้กัน

     

    สิ้นคำเด็กหนุ่มก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงซ้ายของตน ก่อนจะดึงเอาการ์ดใบหนึ่งขึ้นมา

    และใช้มือขวากำจี้ห้อยคอ รูปกา กบาท ออกมาถือไว้

     

    ฮาร์ป สแตนบายด์ เทเลอบิลิตี้เจเนเรชั่นโหมด สิ้นคำของเด็กหนุ่มจี้ห้อยคอในมือขวาก็มี

    แสงสว่างส่องประกายซักพัก ก็ปรากฏละอองแสงสีเงินล่องลอยออกมาจากรอบจี้ห้อยคอ

    ----Stand by!! TAG ON!! ----

    เสียงสังเคราะห์ดังขึ้นจากจี้ห้อยคอแล้วมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสี่ยงของจี้ห้อยคอ ย้ายไปรวมกัน

    ที่แขนซ้ายของเด็กหนุ่ม  มันเริ่มจัดเรียงองค์ประกอบใหม่และดึงเอาละอองแสงสีเงิน ที่ล่องลอยอยู่รอบๆ

    มารวมเข้าด้วยกัน จนเป็นรูปร่างของ เกราะแขนจักรกลที่มีฟันเฟืองหมุนกรอ เสียดสีกันอยู่

    ภายใน การเสียดสีของฟันเฟืองเหล่านั้นกระจาย ละอองแสงสีเงินออกมามากมาย จนราวกับเมฆหมอกสีเงิน

    ปกคลุมรอบตัวของพวกเขาทั้งคู่

     

    นายน่าจะคุ้นเคยมันขึ้นมามั่งแล้วนะ กับเจ้าสิ่งนี้เพราะในอดีต นายก็เคยใช้มัน เจ้าสิ่งที่เรียกว่า NOTE

    หรือ Navigate Operation Terminal Execute ฉันยังจำได้เลยเจ้า คอรัส ของนายที่ชอบยุแหย่

    กันอยู่เป็นประจำ

     

    เด็กหนุ่ม เปลี่ยนมือมาถือการ์ดด้วยมือขวาแทน

     

    แอคชั่นไรท์!! รีวีลเรชั่น

    ---Action Write Revelation---

     

    ละอองแสงสีเงินทำปฏิกิริยากับการ์ดของเด็กหนุ่มพวกมันไหลเข้าไปรวมกันที่การ์ดก่อนจะระเบิดออกมา

    กลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ขับไล่ ความมืดมิดที่เคยบดบังทัศนียภาพโดยรอบออกไป

    ภาพของสถานที่ซึ่งปรากฏขึ้นในโพรงใต้พิภพ แห่งนี้คือซากปรักของเมืองในอดีตกาลที่มี

    ชื่อว่า กรุงเทพมหานคร

     

    รอบของฉันจั่วไพ่

    เด็กหนุ่มประกาศขึ้นพร้อมกับ ยายนิ้วเรียวยาวของตนแตะลงที่ ส่วนหนึ่งของปลอกแขน

    ซึ่งที่นั่นมีสำรับไพ่อยู่กองหนึ่งเสียบติดเอาไว้  และใช้นิ้วแตะขยับเลื่อนมันออกมาใบหนึ่ง

    จากสำรับ ขึ้นมาถือไว้

     

    คาแรกเตอร์ไรท์ มาคายาเดีย ดาบอัศวินมังกรทาลิวิลย่า!!

    ---Charater Write Macarhyadia---

     

    ละอองแสงสีเงินไหลเข้าไปรวมที่ไพ่ใบใหม่ แล้วมันก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นดาบยาว ที่ด้ามจับหุ้มไว้ด้วย

    หนังสัตว์มีลักษณะเป็นเกล็ดเหมือนสัตว์เลื้อยคลานและพันทับขึ้นไปถึงใบดาบ

     

    ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดาบมารต่อดาบมาร ฟ้าฟื้น กับ มาคายาเดีย ตำนานของใครจะเป็นที่เลื่องลือกว่ากัน

    และในตอนนั้นคำตอบทั้งหมดจะผุดขึ้นมาจากส่วนลึกที่สุดของจิตใจของนาย กัลกี

    ทั้งคำพูดของเด็กหนุ่มและรูปร่างของดาบที่เสกออกมาจากไพ่ ล้วนมีแต่ความรู้คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก

    เซเวอร์ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเขาไม่รู้จักดาบที่เด็กหนุ่มเสกออกมาหรือแม้แต่เครื่องมือ

    ประหลาดๆอย่างNOTE ด้วยก็เช่นกันทั้งที่นี่เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างเขากับเด็กหนุ่มผู้นี้

    แท้ๆ

     

    หน้าแบบนั้นแปลว่าเริ่มะนึกออกมั่งแล้วสินะ งั้นจะตอบคำถามแรกของนายก่อนก็แล้วกัน

    ฉันชื่อ เกร กีก้าสเลฟ และเป็น ผู้รังสรรค์เรื่องราว ฟิคชั่นเมสเตอร์(Fiction Meister)  

    สิ้นคำเกร ก็พุ่งเข้าโจมตี ทันที เซเวอร์ยกฟ้าฟื้นของเขาขึ้นมารับดาบ ของเด็กหนุ่มเอาไว้

    ความร้อนของใบดาบที่อัดประจุไฟฟ้าไว้เต็มเปี่ยม ควรจะหลอมละลายใบดาบและตัดมันขาดได้ราวกับเนย

    เสียด้วยซ้ำ ทว่าดาบของ เกร กลับทนต่อความร้อนนั้นได้

     

    หนังที่หุ้มมาคายาเดียเอาไว้ คือหนังมังกร และใบดาบทำจากเขี้ยวมังกร สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ในเทพนิยาย

     ความร้อนของประจุไฟฟ้าที่ฟ้าฟื้นเก็บเอาไว้ ไม่ระคายง่ายๆหรอกนะ

    เกรพูด ราวกับอ่านใจของเขาได้

     

    งั้นข้าจะเริ่มจากทำให้เจ้าหุบปากเสียก่อนก็แล้วกัน

    ยังไงล่ะ ขวานอัสนีบาตร น่ะใช้ใต้ดินแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ

    หรือจะใช้ เซเลสเทียลสปริตเตอร์? แต่ถ้าไล่ฉันขึ้นไปอยู่ข้างบนไม่ได้ก็หมดสิทธิ์

     

    เกร พูดพร้อมกับออกแรงดันดาบ จนฟาดให้ เซเวอร์กระเด็นไปกระแทกเข้ากับขอบกั้นรางรถไฟ

    นี่แหละคือการผนึกความแกร่งกล้าของ นายขั้นพื้นฐาน นั่นคือสถานที่ ต้องเป้นที่ปิดไม่มีท้องฟ้า

    ก็จำไม่สามารถเรียกสายฟ้ามาได้ ข้อที่สองต้องอย่าให้มีระยะห่างของความสูงต่ำ

     

    वराह (  Varaha)

    เซเวอร์ เอ่ยขึ้นพร้อมกับยกเท้าขึ้นกระทืบ เพียงครั้งเดียวสะพานรถไฟที่พวกเขายืนก็สั่นไหว และถล่มลงในทันที ร่างของทั้งสองร่วงหล่นลงและเกิดระยะ ของความสูงต่ำ โดยที่เซเวอร์เป็นฝ่ายอยู่ต่ำกว่าเกร

     

    จงจำเอาไว้นามของมันคือผู้แยกผืนฟ้าออกเป็นสอง ฟ้าฟื้นเอ๋ย!!   เซเวอร์ ตะโกนลั่นพร้อมกับ

    ยกดาบขึ้นตวัดฟันเฉียงลงมา Celestial Splitter

     

    เกร แสยะยิ้มและไม่มีทีท่าตื่นกลัวให้กับท่าวิชาของ เซเวอร์แม้แต่น้อยเขาจับไพ่ออกมาจากสำรับอีกใบ

    แล้วยกดาบ มาคายาเดียขึ้น พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงอันดังก้อง

     

    งั้นก็จงจำเอาไว้ ความกล้าคือดาบที่จะฟาดฟันไปสู่อนาคต นามของเราคืออัศวินเทพมังกรทาลิวิลย่า

    ละอองสีเงินพวยพุ่งออกมาจากเกราะแขน และไหลไปรวมกันที่ใบดาบมาคายาเดียจนเปล่งประกาย

    เป็นสีเงิน

     

    เกรทออฟดราก้อน(Great of Dragon)  มาคายาเดีย ฟาดลงแสงสว่างสีเงินพุ่งทะยานออกไป

    สว่างเจิดจ้าราวกับดาวหาง ปลายสุดของลำแสงปรากฏรูปลักษณ์เป็นส่วนหัวของมังกร

    และลำแสงที่เหลือทั้งหมด ก็ราวกับเป็นลำตัวของมัน จนดูเหมือนกับมีมังกรทะยานออกมาจาก

    ดาบของ เกร จริงๆลำแสงมังกรหาได้พุ่งออกมาตรงๆ แต่มันหักเลี้ยวและเคี้ยวคดได้ราวกับ

    มังกรจริงๆ และด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที ลำแสงมังกรได้ทะยานพัดใส่ฟ้าฟื้นของเซเวอร์จนหลุดจากมือ

    ก่อนจะทันปล่อย เซเลสเทียลสปริตเตอร์ หนำซ้ำลำแสงมังกรยังมิได้หายไปทันทีหลังจากนั้น

    มันหักลำกลับมาและพุ่งเข้าใส่ เศษซากของสะพานที่กำลังจะถล่มทับใส่พวกเขา หลอมละลาย

    และป่นจนผงธุลีดิน โปรยปรายลงมาดั่งหมอกฝน

     

    เกร และ เซเวอร์ทั้งสอง ลงจอดถึงพื้นโดยสวัสดิภาพ ไร้ซึ่งบาดแผลหรือรอยฟกช้ำใดๆ

     

    เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ทั้งที่มีโอกาสแต่กลับไม่ลงดาบใส่ข้าหรือเจ้าจงใจทำให้มันสูญเปล่า

    เซวเอร์ สบถเขาสุดจะทนแล้วที่จะรู้สึกสับสนกับการกระทำของ เกร

     

    ไม่หรอกมันไม่ได้สูญเปล่าทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ฉันคาดการณ์เอาไว้ทั้งนั้น รวมไปถึงการ

    ให้นายได้เห็น เกรทออฟดราก้อน นั่นก็ด้วย

    เกร ตอบสีหน้าของเขาจริงจังและไม่ได้มีท่าทางเหมือนกับจะพูดหยอกเล่นเหมือนตอนแรกๆ

    ในตอนนั้นเอง ที่ เซเวอร์ เริ่มรู้สึกถึงสัมผัสที่รุนแรงกำลังพุ่งพล่านขึ้นมาจากภายใน

    หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นและรัวขึ้นราวกับจะหลุดออกมาจากอก อาการคลื่นเหียนกำเริบ

    แข้งขาอ่อนเปลี้ยไร้กำลังขึ้นมาอย่างปุบปับจนต้องทรุดเข่าลงหนึ่งข้างเพื่อทรงตัวไว้

     

    ในหัวของเซเวอร์ มี มโนภาพมากมายหลั่งไหลเข้ามาจนสมองรับแทบไม่ไหว

    หัวของเขาร้อนราวกับไฟ

     

    สภาพแบบนั้นคงจะนึกออกขึ้นมามั่งแล้วสินะ เผื่อจะทำให้นายโล่งขึ้นมาบ้างจะลองถามคำถามพื้นๆ

    ซักคำถามก่อนแล้วกัน อะไรคือตัวการที่ทำให้มนุษย์ตายไปจากโลกเมื่อ 5000ปีที่แล้วและมันไม่ใช่สงคราม

    ฆ่ากันเองของเหล่ามนุษย์

     

    ทั้งหมด….ทั้งหมดเป็นเพราะ….มานา….

    คำพูดหลุดออกจากปากของ เซเวอร์โดยอัตโนมัติ เขาทราบเรื่องราวเหล่านี้ ขึ้นมาทันทีอย่าง

    น่าอัศจรรย์ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเขายังไล่หาคำตอบอยู่แท้ๆว่า แท้จริงแล้วมนุษย์หายไปได้อย่างไร

     

    ถูกต้อง! Mana เกิดจากการปนเปื้อนของ Magic ที่เป็นพลังงานพื้นฐานของมนุษย์

    ในปี พุทธศักราชที่ 2705 การค้นพบเจตจำนงของโลก ทำให้เกิดความขัดแย้งไปทั่วทั้งโลกแล้ว

    มนุษย์ก็เริ่มทำสงครามกันเองอีกครั้งนั่นเพราะว่าเหล่าอสูรเทพที่เคยปรากฏตัวออกมา

    ยับยั้งสงครามของมนุษย์ ไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้ เพราะโลกในตอนนั้นไร้ซึ่งอนุภาคMagic

     เพราะกลายเป็น Mana ไปจนหมด ต่อมาManaพวกนั้น ก็พัฒนาขึ้นมาอีก และกลายเป็นคำสาปที่

    กัดกินจิตใจมนุษย์ให้เกิดความต้องการฆ่าฟันกันเอง เรียกว่าระดับสติปัญญา

    ของมนุษย์ย้อนกลับไปเป็นเช่นสัตว์ป่ารวมถึงร่างกายก็เกิดการกลายพันธุ์

     หลังจากนั้น อารยธรรม ของมนุษย์ก็ล่มสลาย แล้วเทพเจ้าทั้งหกองค์ก็ถือกำเนิดขึ้นจาก

    มวลพลังงาน Mana ขนาดใหญ่อีกหน คำถามต่อไป มนุษย์ที่ย้อนกลับไปเป็นสัตว์ป่าบัดนี้ไปอยู่ไหน

    กันหมดความจริงที่เหล่าเทพทั้งหกเก็บงำมันไว้ มิได้ บอกแก่เหล่าสัตว์หาง รวมถึงเหล่าผู้กล้าด้วย

     

    มนุษย์กลายเป็น…. เซเวอร์ หยุดไปซักครู่คำตอบที่ไหลออกมาจากหัวของเขาตอนนี้มันชวน

    ให้รู้สึกช็อกไม่น้อย ที่จะตอบออกไปว่า มนุษย์ที่ยังเหลือรอด กลายเป็นสัตว์ป่าแล้วก็วิวัฒนาการกลายเป็น

    สัตว์หาง…..

    บิงโก!!”

     

    ………….ไม่อาจมีใครเข้าใจได้ว่าชายผู้บ้าคลั่งคนนี้กำลังพูดเรื่องอะไร หรือ คิดจะทำอะไรเพียง

    แต่การมาถึงของเขากำลังจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของประวัติศาสตร์ไปโดยสิ้นเชิง…………..

     

    …………………………………………………………

    ……………………………………

    …………………….

     

    นครแห่งแสงแหล่งอารยธรรมของเหล่าสัตว์หาง ซึ่งอยู่ร่วมกับเทพีแห่งแสงอัลคาเซีย

    นครอันรุ่งโรจน์ ที่บัดนี้ น่านฟ้าเหนือนครแห่งแสงถูกปกคลุมไว้ด้วย เมฆหมอกสีดำ

    และบรรยากาศแสนอึมครึม ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องของชาวเมือง ดังไปทั่วนคร

     

    ภายในโถงกลางชั้นบนสุดของวังแห่งแสง ราชาแกะสาว กษัตริยา ผู้ที่มิได้ร่วมกลุ่มเดินทาง

    ออกไปกับเหล่าผู้กล้า สายตาอันเฉียบคมของนาง มองผ่านระเบียงออกไปยังภายในตัวนคร

    ที่บัดนี้มีแต่ความวุ่นวายอันเกิดจากการบุกโจมตีของกองทัพโจรสลัด อันที่จริงแล้วเป็นโจรสลัดผีดิบ

    พวกมันเป็นสัตว์หางประเภทปลาและกุ้งที่เนื้อหนังเน่าเปื่อยและหลุดลอกออกจนเห็นโครงกระดูก

    บางตัวก็เหลือแต่โครงกระดูกเสียด้วยซ้ำ

     

    พวกมันผุดมาจากนรกขุมไหนกัน กษัตริยา สบทนางหันกลับไปยังที่ตั้ง บัลลังก์

    ซึ่งอัลคาเซีย ประทับอยู่ สีหน้าของเทพีแห่งแสงไม่สู้ดีนัก พระนางมีอาการเหมือนคนป่วย

    รัศมีแสงรอบกายของพระนาง ซีดและหม่นหมองลง ใครพูดอะไร ก็ไม่ได้ยินและไม่ตอบสนอง

    ราวกับต้องมนต์สะกด นั่นคือสาเหตุที่ตอนนี้ นครแห่งแสงไม่อาจปลอดภัยอีกต่อไป

     

    ************โปรดติดตามตอนต่อไป**************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×