คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : Chapter 15: Human-->Beast -->Tails
Chapter 15: Human-->Beast -->Tails
แผลแห่งโลก คือสถานที่ ที่ทะเลทรายปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง สัญลักษณ์อันเป็นผลพวงจาก
การทำลายล้างของชนเผ่าไร้หางในอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้
หุบเหวลึกไร้ก้น ทอดยาวจากปลายสุดของตะวันออก และ ตะวันตกมาตัดกัน ณ ใจกลางบาดแผล
ซึ่งสลักไว้เป็นความอัปยศเหนือพื้นโลกใบนี้
แม่ทัพ อิทาลุส เหยี่ยวหนุ่มผู้มีภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสุขุมเยือกเย็น แต่เนื้อแท้ภายใน คือจิตใจที่สับสน
และรุ่มร้อนไปด้วยความหว้าวุ่น เพื่อท่านอัลคาเซีย เพื่อความปลอดภัยของท่านอัลคาเซีย เพื่อความจงรักภักดีต่อท่านอัลคาเซีย ศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจเหล่านี้ค่อยๆกลายเป็นไฟสุมอก ยิ่งได้มาเห็นรอยแผลแห่งโลก
แล้วก็ราวกับถูกเติมเชื้อไฟลงไปเสียอีก จากเบื้องล่างของหุบเหวไร้ก้น วัตถุทำจากเหล็กกล้าทรงกลม
จำนวน หลายสิบลูก กำลังลอยตัวขึ้นมาจากหุบเหว พวกมันเคลื่อนตัวเป็นกระบวนทัพ เหมือนทหาร
และกำลังมุ่งหน้าลงไปทางใต้
“ นี่สินะ หายนะที่ท่านอัลคาเซีย เคยกล่าวไว้…. ” อิทาลุสเปรยเสียงเรียบ แม้ใบหน้าของเหยี่ยวหนุ่ม
จะนิ่งเฉยแต่ อารมณ์ของเขากลับเป็นตรงข้ามกับสีหน้าที่แสดงออกมา
“ หายนะ อะไรอย่างนั้นรึ? ”
ด้วยสัญชาตญาณ อิทาลุส หันหลังกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับชักปืนพก จากเอวขึ้นเล็งเจ้าของเสียง
ที่เข้ามาจากทางด้านหลังทันที
“ เฮ้ๆ เจอหน้ากันก็ทักทายกันแบบนี้แล้วรึ ” เด็กหนุ่มวัย15 ปี ผมสีทอง ปรากฏขึ้นต่อหน้า
กระบอกปืนของ อิทาลุส แม่ทัพเหยี่ยว ลดปืนลงก่อนจะถามเสียงขุ่น
“ เจ้ามาที่นี่ทำไมเซเวอร์? ”
“ ข้าก็มาหาคำตอบของข้าน่ะสิ เจ้านั่นแหละมาทำอะไร ”
อิทาลุส มองเด็กหนุ่มด้วยสายตาหวาดระแวง “ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องรู้ ”
“ แม้แต่อัลคาเซียก็ไม่จำเป็นต้องรู้ด้วยใช่ไหม ” เซเวอร์ แสยะยิ้มแห้ง เมื่อสีหน้าที่เคย
สงบนิ่งของแม่ทัพเหยี่ยว บิดเบี้ยวด้วยอารมณ์ที่หวั่นไหว
“ รู้ไหม อิทาลุส วันแรกที่ข้าได้เจอกับเจ้า ข้าได้มองลึกลงไปข้างในตัวเจ้าน่ะไม่ใช่สายลมที่คอยรองรับ
ฝ่าพระบาทของอัลคาเซียหรอก….. ”
เด็กหนุ่มหลับตาลง และพยายามนึกถึงมโนภาพที่เคยเห็น
“ …แต่มันคือไฟ โลกันต์ ที่มีชื่อว่าความภักดี อิทาลุส เอ๋ย หากเจ้ายังปล่อยให้มันเผาไหม้อยู่อย่างนั้น ซักวัน
ตัวเจ้าที่เป็นฉนวนไฟจักต้องมอดไหม้และกลายเป็นเถ้าถ่านที่ดำสนิท หรือการตกสู่ความมืด… ”
“ เหลวไหล! ” อิทาลุสตะคอก “ ข้าไม่มีวันหนัหลังให้ท่านอัลคาเซีย และ ข้าจะไม่มีวันหัน
หน้าให้กับความมืดของ เซร่า เด็ดขาด!! ”
เซเวอร์ ค่อยๆผ่อนลมหายใจออก “ เจ้านี่หัวแข็งเสียเหลือเกิน การไม่ยอมรับคือความขลาดกลัว เมื่อมันถึงที่สุดแล้ว เจ้าก็จะรู้เอง ข้าขอตัวก่อนล่ะ ”
สิ้นคำแล้ว เซเวอร์ ก็เดินหน้าต่อเพื่อไปให้ถึงยังหุบเหวไร้ก้น ที่อยู่เบื้องหน้า โดยไม่แม้แต่จะหันมามอง ใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของ แม่ทัพเหยี่ยว ซึ่งถูกคำพูดของเขาจี้ใจดำเข้าให้
ครู่ต่อมาแม่ทัพเหยี่ยวจึงได้กางปีกแล้วบินกลับลงไปทางใต้ ซึ่งเป็นทางกลับไปสู่นครแห่งแสง
“ หึ…ทำเป็นพูดดีไปจนได้นะเรา…อีกเดี๋ยวก็จะต้องเผชิญสถานะเดียวกับมันแล้วแท้ๆ
แล้วนี่เราจะยอมรับความจริงได้ไหมเนี่ย… ”
เซเวอร์ ยิ้มแห้งๆให้กับตัวเอง ก่อนจะกลั้นใจกระโดดลงไปในหุบเหวไร้ก้น
ภายในหุบเหวไร้ก้น คือความมืดมิดที่ไม่สิ้นสุด หลังจากตกลงมานานถึงหนึ่งชั่วโมง แสงอาทิตย์ จาก
ด้านบนเริ่มจะส่องลงมาไม่ถึงแล้ว จนถึงตอนนี้ เซเวอร์ เองก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่า ระยะทางตอนนี้ไกล
เกินกว่าจะใช้ ความสามารถ ก้าวพริบตา กลับขึ้นไปได้หรือไม่ แต่หากถอดใจเสีย
แต่ตอนนี้ เขาจะไม่มีวันรู้คำตอบที่ต้องการไปอีกตลอดกาล แรงจูงใจนี้คือสิ่งเดียวที่จะยัน
ประตูก้นบึ้งของจิตใจเอาไว้มิให้ความขลาดกลัวได้เล็ดลอดออกมา
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งปัญหาก็มาเยือน เมื่อฝูงลูกบอลเหล็กกล้าที่เขา เห็นก่อนจะกระโดดลงเหว
กำลังตรงเข้ามาหา
“ ให้มันได้อย่างนี้สิ ” เซเวอร์ สบถพลางชูแขนขึ้นเหนือ ศีรษะ และกางฝ่ามือ ออก
“ จงมาฟ้าฟื้น! ”
ลำแสงสีฟ้าแล่นปราดลงมาจากปากเหว และสถิตในมือของเด็กหนุ่ม เมื่อเขากำมือแล้วลำแสงจึงเปลี่ยนรูป
กลายเป็นดาบ อัญมนี สีฟ้าคราม เซเวอร์ ยกแขนซ้ายขึ้นตั้งท่าเตรียมร่ายเวทมนต์
“ Κενότητος ἀστράπσατω δὲ τεμέτω! ”(เคโนเททอส แอสทรัฟซาโต้ เด เทเมโท่! )
[จงมา มหาราชอัสนีบาต ผู้มาจากอนัตตา จงมาพล่าผลาญอริข้าให้สิ้นไป ]
ยามเมื่อบทร่ายแห่งเวทมนต์ ขับขานออกมา ท้องฟ้าด้านบนของบาดแผลแห่งโลกก็มืดครึ้ม และเต็มไปด้วย
เมฆฝน สายฟ้าไหลผ่านลงมาจากหมู่เมฆทั้งหมดและรวมกันเป็นลำแสงทะยานลงยังหุบเหวไร้ก้น
เป็นเวลาเดียวกับที่ เซเวอร์ เปลี่ยนมือไปถือดาบด้วยมือซ้ายแทน มือขวาของเขาชูขึ้นเหนือศีรษะ
และกางนิ้วชี้กับนิ้วโป้งออกเหยียดจนสุดนิ้ว
“ Δίος τύκος! ”(ดิออส ทูวคอส)
[ขวานอัสนีบาตกัมปนาท!]
เซเวอร์ สะบัดมือลงมาโดยค้างมือไว้ทั้งอย่างนั้น พร้อมๆกันลำแสงสายฟ้าได้พุ่งลงมาผ่าใส่ ลูกบอลเหล็ก
เหล่านั้นจนระเบิดเป็นชิ้นๆ ซากชิ้นส่วนของพวกมัน เป็นวัสดุเครื่องจักรที่ถูกนำมาประกอบกัน
เซเวอร์ เข้าใจดีว่ามันคืออะไร --หุ่นยนต์— คือคำเรียกของพวกนั้น
แต่เขาก็ไม่ทันได้มีเวลาคิดสงสัยกับพวกมันมากมายนัก เพราะซากชิ้นส่วนของหุ่นยนต์ที่เขาทำลายไปเมื่อครู่
ตกลงไปกระทบกับพื้นจนเกิดเสียงดังสะท้อนขึ้นมาเสียแล้ว นั่นหมายความว่าตัวเขาใกล้จะลงไปถึงก้นเหวเต็มทีแล้ว นับตั้งแต่ลงมาจากปากเหว เขาพยายามรักษาระยะห่างให้ใกล้กับผนังหินตลอดเวลา
ก็เพื่อจะใช้มันช่วยชะลอความเร็วยามถึงพื้น เขาใช้ดาบฟ้าฟื้นเสียบทะลุเข้าไปในเนื้อหิน อย่าง
ง่ายดายราวกับฟองน้ำ และเหยียดเท้าของเขาให้เหยียบลงไปบนผนัง
การกระทำนั้นก่อให้เกิดแรงเสียดทานจนความเร็วของการตกลดลง พื้นรองเท้าและดาบไถล
เสียดสีไปกับผนังหินผา จนคว้านเอาฝุ่นดินสีน้ำตาล ออกมาตลบอบอวล ร่างของ เซเวอร์
หยุดไถลลงมาโดยห่างจากพื้นไปเพียงเมตร ครึ่ง
เซเวอร์ ค่อยๆผ่อนลมหายใจออก ก่อนจะเหยียดเท้าลงบนพื้นแล้วถอนดาบออกจากผนังหิน แม้ว่าจะครูดลง
มาไกลเป็นสิบๆเมตร แต่ตัวดาบก็หาได้มีรอยขีดข่วนแต่อย่างใด สมกับเป็นดาบมารที่ไม่มีวันบุบสลาย
เซเวอร์เริ่มสำรวจตัวเอง จนแน่ใจว่าไม่มีบาดแผลตรงไหน แล้วจึงเบี่ยงสายออกไปมองรอบๆ
ทุกอย่างตกอยู่ในความมืด มันมืดสนิทเสียจนมองทางข้างหน้าไม่เห็นเลยเสียด้วยซ้ำ
เซเวอร์ ชูดาบเหนือหัวพร้อมกับร่าย เวทมนต์ ที่ได้ใช้ปราบพวกหุ่นยนต์อีกครั้ง
หนนี้เขาต้องรออยู่หลายวินาทีกว่าที่ลำแสงสายฟ้าจะเคลื่อนตัวลงมาถึง เขาใช้ดาบเก็บเอาประจุไฟฟ้า
จากลำแสงเข้ามา เหมือนเวลาสะสมพลังเพื่อใช้ ท่า Celestial Splitter เพียงแต่หลังจากชาร์จพลังงานแล้ว
ครั้งนี้เขาไม่ได้ฟาดมันออกไป แต่นำแสงสว่างที่ส่องออกมาจากตัวดาบ ใช้ต่างไฟฉายส่องดูเส้นทาง
เบื้องหน้าของเขาคือโพรงถ้ำขนาดใหญ่ที่นำลงไปยังใต้ดิน
/ยังจะลงลึกไปอีกเหรอ…แค่นี้ก็แทบจะไม่เห็นแสงตะวันอยู่แล้ว คิดจะลึกลงไปถึงนรกเลยรึไงกัน/
เซเวอร์ คิดในใจ เขาเดินตรงเข้าไปในโพรงนั้นโดยไม่แม้แต่จะหยุดลังเล
ยิ่งเดินก็ยิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ บางครั้งเส้นทางก็ขนาบตัวแคบลงมา จนต้องลงไปคลานแทน
บางครั้งก็เป็นเหวลึก ที่เกือบจะพลัดตกลงไป และในที่สุด เซเวอร์ ก็มาถึง
ภายในความมืดมิดที่มีแต่แสงสว่างจากดาบเท่านั้น เขามองเห็นเพียงความอ้างว้าง
ที่แผ่ออกไปในความมืดมิดซึ่งแสงจากดาบส่องไปไม่ถึง
เซเวอร์ตัดสินใจเดินต่อไป ความรู้สึกของเขารับรู้ได้ว่าที่นี่เป็นห้องที่มีความกว้างกว่าที่ผ่านๆมา
จนเหมือนกับเป็นโพรงใต้ดินขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเสียมากกว่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
อีกหนึ่งข้อสงสัยที่ทำให้เขามั่นใจว่าที่นี่ถูกสร้างขึ้น คือ พื้นที่เหยียบอยู่ได้เปลี่ยนจากหินทราย
เป็นพื้นซีเมนต์ขาว นับตั้งแต่เหยียบเข้ามาในห้องแห่งนี้ เมื่อเดินต่อไปอีก พื้นก็เปลี่ยนจากสีขาว
เป็นสีดำ เด็กหนุ่มก้มตัวลงแล้วใช้นิ้วป้ายสัมผัสกับพื้น
“ ยางมะตอย….. ” เซเวอร์ รำพึงกับตัวเองก่อนจะยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับยื่นดาบออกไปข้างหน้าเพื่อ
ให้แสงจากดาบทอดออกไปไกลขึ้น พื้นที่สีดำ ทอดตัวยาวและตีโค้งเป็นเส้น
“ นี่มันถนน ยังงั้นรึ? ” เซเวอร์ อุทานบัดนี้เขาแน่ใจแล้ว สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมิใช่ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
และการที่มีถนนนั่นย่อมหมายถึง สถานที่แห่งนี้ เป็นหรืออาจจะเคยเป็นเมือง มาก่อน
หัวใจของเขาเต้นรัวและเร็วขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่ม สาวเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อมองหา
เบาะแสเพิ่มเติม ในที่สุดเขาก็พบเข้ากับเสาหินต้นหนึ่ง ซึ่งตั้งเรียงกันเป็นโค้ง ขนานไปกับถนน
เมื่อมองขึ้นไป ที่ด้านบนของเสาหิน มีสะพานหินวางพาดไปบนเสาแต่ละเสาคล้ายทางเดินขนาดใหญ่
เซเวอร์ กระโจนขึ้นไปทันทีด้วยพลังเหนือมนุษย์ที่เขามี เพียงไม่กี่อึดใจ เด็กหนุ่มก็ได้ขึ้นมายืน
บนสะพานหินแล้ว บนสะพานหินซึ่งกว้างพอจะให้ รถศึกซักสามคันวิ่งขนาบไปพร้อมกันได้อย่างสบายๆ
ได้มีวางโครงเหล็กที่เหมือนกับรางรถไฟเอาไว้ และทอดยาวไปตามสะพานหินนี้
“ สะพาน….กับ รางรถไฟ…. ”เซเวอร์ เปรย คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากันยามที่ใช้ความคิด
สมองของเขาประมวลผลเพื่อหาคำตอบของ สิ่งสองสิ่งระหว่างสะพานและรางรถไฟ
ความรู้สึกและภาพที่ชวนให้คุ้นตาค่อยๆปรากฏเป็นมโนภาพ ในหัวและพริบตาที่มันเด่นชัด
ถึงที่สุด สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ซีดลงไปในทันที เซเวอร์ หันรีหันขวาง มองไปรอบๆตัวของเขา
ก่อนจะหันดาบไปทางทิศตะวันตก เด็กหนุ่มค่อยๆก้าวไปข้างหน้าและแสงสว่างจากดาบก็เคลื่อนตามไปด้วย
สิ่งที่หลบซ่อนในความมืดมิด ค่อยๆเปิดเผยออกมา เสาหินปลายแหลมสูงชี้ฟ้าตั้งอยู่ ณ ใจกลาง
ของห้องแห่งนี้และรูปปั้นมนุษย์ สามตัวที่ในสภาพชำรุด รายล้อมรอบเสาหิน มโนภาพหนึ่งที่ผุดขึ้น
ในหัวของ เด็กหนุ่มคือเมืองหลวงของเหล่ามนุษย์ ถนนที่ตีวงโค้งเป็นวงกลม ล้อมอนุสาวรีย์
ที่เป็นเสาหินปลายแหลม และรูปปั้นทหารสามรูป รอบนอกถนน มีรางรถไฟฟ้าตีวงโค้งผ่าน
ออกไป
“ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ….. ” เซเวอร์หลุดปากออกมาเองโดยอัตโนมัติ เขารู้จักสถานที่แห่งนี้
มันพรั่งพรูออกมาราวกับไหลเวียนอยู่ในร่างของเขามานานนับปี
“ แค่เคย เป็นน่ะ ”
เซเวอร์กลับหลังหันในทันที พร้อมกับยื่นดาบออกไปข้างหน้า เด็กหนุ่มผมสีดำที่ดูอายุมากกว่าสองปี
ที่คอมัดผ้าคลุมสีแดงเลือดหมู ชายผ้าคลุมห้อยยาวลงมาจนถึงแข้ง
“ ทำไม ทำหน้าแบบนั้นล่ะ นายกำลังหาอยู่ไม่ใช่รึไง มนุษย์ที่อาจยังรอดชีวิตอยู่ และ
เป็นคนที่จะเล่าความจริงทั้งหมดให้นายฟังได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในช่วง 5000ปี มานี้ ”
“ เจ้าเป็นใคร รู้จักข้าด้วยงั้นรึ? ”
“ อื้ม รู้จักดีเลยทีเดียวเชียวล่ะ ถ้าจะให้พูดก็รู้มาตั้งแต่ตอนที่ นายยังมีชีวิตอยู่เลย กัลกี.. ”
เด็กหนุ่ม ตอบคำถามของเซเวอร์ ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ
“ หมายความว่ายังไง? ”
“ ฉันเองไม่ค่อยชอบสปอยง่ายๆเท่าไหร่หรอกนะ แล้วนายเองก็ทำท่าเหมือนกับว่าลืม
เรื่องอื่นๆไปจนหมดเลยอีกตะหาก ถ้าจะให้เล่าล่ะก็ก่อนอื่นคงต้องฟื้นความจำของนายกลับมาก่อน ”
“ ฟื้นความจำ?...เจ้าจะบอกว่าข้าสูญเสียความทรงจำไปงั้นรึ ”
“ ถูกต้อง!! ” เด็กหนุ่มดีดนิ้วขึ้นเปราะหนึ่ง“ ถ้าอยากได้หลักฐานล่ะก็ อันดับแรกเลย แค่เห็นหน้าฉันแล้ว
นายดันถามว่าเป็นใคร นั่นล่ะคือสิ่งที่ฉันเศร้า ”
สิ้นคำ เด็กหนุ่มก็หายไปจากเบื้องหน้าของ เซเวอร์ และโผล่มาอีกที ที่ด้านหลังของเขา
พร้อมกับกระซิบที่หูของเขาเบาๆ
“ ลืมกันได้แม้แต่คนที่สอนนายเรื่องพื้นฐานของการเล่นซัมมอนเนอร์ไปแล้วรึไงกัน ”
เซเวอร์ ฉีกตัววิ่งออกห่างจาก เด็กหนุ่มทันที พร้อมทั้งตั้งท่ายกดาบขู่ใส่
“ อย่า ปุบปับเข้ามาข้างหลังข้าอีกล่ะ ไม่งั้นหนหน้าหัวเจ้าได้หลุดจากบ่าแน่!! ”
“ งั้นที่ไม่ยอมทำก็เพราะ ว่าฉันยังมีค่าให้นายถามได้อยู่สินะ ”
ไม่ทันขาดคำ เด็กหนุ่มก็หายตัวไปจากสายตาและปรากฏขึ้นเบื้องหลังของ เซเวอร์อีกครั้ง
และหนนี้ เซเวอร์ไม่อาจไว้วางใจในตัวของเด็กหนุ่มได้อีกแล้ว มือที่ถือดาบจึงได้สะบัดออกไป
หมายจะสร้างบาดแผลเพื่อให้ ได้จดจำไว้ว่าอย่าริอาจมาเล่นลิ้นกับเขา
ทว่า ดาบฟ้าฟื้นที่เก็บประจุไฟฟ้าเอาไวเต็มเปี่ยมทำให้ใบดาบร้อนระอุจนหลอมเหล็กให้ละลายได้ทันทีสัมผัสถูก แต่เด็กหนุ่มกลับใช้มือเปล่ารับเอาคมดาบไว้ได้อย่างสบายๆ
“ นายน่ะ ทำร้ายมนุษย์ไม่ได้หรอก เพราะถูกโปรแกรมมาแบบนั้น ”
เด็กหนุ่ม ใช้อีกจับข้อมือที่ถือดาบของ เซเวอร์ แล้วกดให้ลดดาบลง
“ พูดมาแบบนั้นหรือว่าเจ้าจะรู้ว่า เซเวอร์ คืออะไร? ”
ปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มที่มีต่อ คำถามของ เซเวอร์ คือรอยยิ้มที่มุมปากซึ่งปรากฏขึ้นมาเพียง
เสี้ยวเวลาของการกระพริบตา
“ ฉํนก็มาเพื่อที่จะตอบคำถามนั้นของนายน่ะแหละ เอาเป็นว่าก่อนจะคุยกันเรื่องนั้นเรามา
ทบทวนกันหน่อยไหมว่า อวตารอบิลิตี้ (Avatara Ability) ของนายนอกจาก กุรมา วราหา
วามนา แล้วก็ รามา ยังเหลืออีกกี่อย่างที่ยังไม่ได้ใช้กัน ”
สิ้นคำเด็กหนุ่มก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงซ้ายของตน ก่อนจะดึงเอาการ์ดใบหนึ่งขึ้นมา
และใช้มือขวากำจี้ห้อยคอ รูปกา กบาท ออกมาถือไว้
“ ฮาร์ป สแตนบายด์ เทเลอบิลิตี้เจเนเรชั่นโหมด ” สิ้นคำของเด็กหนุ่มจี้ห้อยคอในมือขวาก็มี
แสงสว่างส่องประกายซักพัก ก็ปรากฏละอองแสงสีเงินล่องลอยออกมาจากรอบจี้ห้อยคอ
----Stand by!! TAG ON!! ----
เสียงสังเคราะห์ดังขึ้นจากจี้ห้อยคอแล้วมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสี่ยงของจี้ห้อยคอ ย้ายไปรวมกัน
ที่แขนซ้ายของเด็กหนุ่ม มันเริ่มจัดเรียงองค์ประกอบใหม่และดึงเอาละอองแสงสีเงิน ที่ล่องลอยอยู่รอบๆ
มารวมเข้าด้วยกัน จนเป็นรูปร่างของ เกราะแขนจักรกลที่มีฟันเฟืองหมุนกรอ เสียดสีกันอยู่
ภายใน การเสียดสีของฟันเฟืองเหล่านั้นกระจาย ละอองแสงสีเงินออกมามากมาย จนราวกับเมฆหมอกสีเงิน
ปกคลุมรอบตัวของพวกเขาทั้งคู่
“ นายน่าจะคุ้นเคยมันขึ้นมามั่งแล้วนะ กับเจ้าสิ่งนี้เพราะในอดีต นายก็เคยใช้มัน เจ้าสิ่งที่เรียกว่า NOTE
หรือ Navigate Operation Terminal Execute ฉันยังจำได้เลยเจ้า คอรัส ของนายที่ชอบยุแหย่
กันอยู่เป็นประจำ ”
เด็กหนุ่ม เปลี่ยนมือมาถือการ์ดด้วยมือขวาแทน
“ แอคชั่นไรท์!! รีวีลเรชั่น ”
---Action Write Revelation---
ละอองแสงสีเงินทำปฏิกิริยากับการ์ดของเด็กหนุ่มพวกมันไหลเข้าไปรวมกันที่การ์ดก่อนจะระเบิดออกมา
กลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ขับไล่ ความมืดมิดที่เคยบดบังทัศนียภาพโดยรอบออกไป
ภาพของสถานที่ซึ่งปรากฏขึ้นในโพรงใต้พิภพ แห่งนี้คือซากปรักของเมืองในอดีตกาลที่มี
ชื่อว่า กรุงเทพมหานคร
“ รอบของฉันจั่วไพ่ ”
เด็กหนุ่มประกาศขึ้นพร้อมกับ ยายนิ้วเรียวยาวของตนแตะลงที่ ส่วนหนึ่งของปลอกแขน
ซึ่งที่นั่นมีสำรับไพ่อยู่กองหนึ่งเสียบติดเอาไว้ และใช้นิ้วแตะขยับเลื่อนมันออกมาใบหนึ่ง
จากสำรับ ขึ้นมาถือไว้
“ คาแรกเตอร์ไรท์ มาคายาเดีย ดาบอัศวินมังกรทาลิวิลย่า!! ”
---Charater Write Macarhyadia---
ละอองแสงสีเงินไหลเข้าไปรวมที่ไพ่ใบใหม่ แล้วมันก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นดาบยาว ที่ด้ามจับหุ้มไว้ด้วย
หนังสัตว์มีลักษณะเป็นเกล็ดเหมือนสัตว์เลื้อยคลานและพันทับขึ้นไปถึงใบดาบ
“ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดาบมารต่อดาบมาร ฟ้าฟื้น กับ มาคายาเดีย ตำนานของใครจะเป็นที่เลื่องลือกว่ากัน
และในตอนนั้นคำตอบทั้งหมดจะผุดขึ้นมาจากส่วนลึกที่สุดของจิตใจของนาย กัลกี ”
ทั้งคำพูดของเด็กหนุ่มและรูปร่างของดาบที่เสกออกมาจากไพ่ ล้วนมีแต่ความรู้คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
เซเวอร์ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเขาไม่รู้จักดาบที่เด็กหนุ่มเสกออกมาหรือแม้แต่เครื่องมือ
ประหลาดๆอย่างNOTE ด้วยก็เช่นกันทั้งที่นี่เป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างเขากับเด็กหนุ่มผู้นี้
แท้ๆ
“ หน้าแบบนั้นแปลว่าเริ่มะนึกออกมั่งแล้วสินะ งั้นจะตอบคำถามแรกของนายก่อนก็แล้วกัน
ฉันชื่อ เกร กีก้าสเลฟ และเป็น ผู้รังสรรค์เรื่องราว ฟิคชั่นเมสเตอร์(Fiction Meister) ”
สิ้นคำเกร ก็พุ่งเข้าโจมตี ทันที เซเวอร์ยกฟ้าฟื้นของเขาขึ้นมารับดาบ ของเด็กหนุ่มเอาไว้
ความร้อนของใบดาบที่อัดประจุไฟฟ้าไว้เต็มเปี่ยม ควรจะหลอมละลายใบดาบและตัดมันขาดได้ราวกับเนย
เสียด้วยซ้ำ ทว่าดาบของ เกร กลับทนต่อความร้อนนั้นได้
“ หนังที่หุ้มมาคายาเดียเอาไว้ คือหนังมังกร และใบดาบทำจากเขี้ยวมังกร สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ในเทพนิยาย
ความร้อนของประจุไฟฟ้าที่ฟ้าฟื้นเก็บเอาไว้ ไม่ระคายง่ายๆหรอกนะ ”
เกรพูด ราวกับอ่านใจของเขาได้
“ งั้นข้าจะเริ่มจากทำให้เจ้าหุบปากเสียก่อนก็แล้วกัน ”
“ ยังไงล่ะ ขวานอัสนีบาตร น่ะใช้ใต้ดินแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ
หรือจะใช้ เซเลสเทียลสปริตเตอร์? แต่ถ้าไล่ฉันขึ้นไปอยู่ข้างบนไม่ได้ก็หมดสิทธิ์ ”
เกร พูดพร้อมกับออกแรงดันดาบ จนฟาดให้ เซเวอร์กระเด็นไปกระแทกเข้ากับขอบกั้นรางรถไฟ
“ นี่แหละคือการผนึกความแกร่งกล้าของ นายขั้นพื้นฐาน นั่นคือสถานที่ ต้องเป้นที่ปิดไม่มีท้องฟ้า
ก็จำไม่สามารถเรียกสายฟ้ามาได้ ข้อที่สองต้องอย่าให้มีระยะห่างของความสูงต่ำ ”
“ वराह ”( Varaha)
เซเวอร์ เอ่ยขึ้นพร้อมกับยกเท้าขึ้นกระทืบ เพียงครั้งเดียวสะพานรถไฟที่พวกเขายืนก็สั่นไหว และถล่มลงในทันที ร่างของทั้งสองร่วงหล่นลงและเกิดระยะ ของความสูงต่ำ โดยที่เซเวอร์เป็นฝ่ายอยู่ต่ำกว่าเกร
“ จงจำเอาไว้นามของมันคือผู้แยกผืนฟ้าออกเป็นสอง ฟ้าฟื้นเอ๋ย!! ” เซเวอร์ ตะโกนลั่นพร้อมกับ
ยกดาบขึ้นตวัดฟันเฉียงลงมา“ Celestial Splitter ”
เกร แสยะยิ้มและไม่มีทีท่าตื่นกลัวให้กับท่าวิชาของ เซเวอร์แม้แต่น้อยเขาจับไพ่ออกมาจากสำรับอีกใบ
แล้วยกดาบ มาคายาเดียขึ้น พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงอันดังก้อง
“ งั้นก็จงจำเอาไว้ ความกล้าคือดาบที่จะฟาดฟันไปสู่อนาคต นามของเราคืออัศวินเทพมังกรทาลิวิลย่า ”
ละอองสีเงินพวยพุ่งออกมาจากเกราะแขน และไหลไปรวมกันที่ใบดาบมาคายาเดียจนเปล่งประกาย
เป็นสีเงิน
“ เกรทออฟดราก้อน(Great of Dragon) ” มาคายาเดีย ฟาดลงแสงสว่างสีเงินพุ่งทะยานออกไป
สว่างเจิดจ้าราวกับดาวหาง ปลายสุดของลำแสงปรากฏรูปลักษณ์เป็นส่วนหัวของมังกร
และลำแสงที่เหลือทั้งหมด ก็ราวกับเป็นลำตัวของมัน จนดูเหมือนกับมีมังกรทะยานออกมาจาก
ดาบของ เกร จริงๆลำแสงมังกรหาได้พุ่งออกมาตรงๆ แต่มันหักเลี้ยวและเคี้ยวคดได้ราวกับ
มังกรจริงๆ และด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที ลำแสงมังกรได้ทะยานพัดใส่ฟ้าฟื้นของเซเวอร์จนหลุดจากมือ
ก่อนจะทันปล่อย เซเลสเทียลสปริตเตอร์ หนำซ้ำลำแสงมังกรยังมิได้หายไปทันทีหลังจากนั้น
มันหักลำกลับมาและพุ่งเข้าใส่ เศษซากของสะพานที่กำลังจะถล่มทับใส่พวกเขา หลอมละลาย
และป่นจนผงธุลีดิน โปรยปรายลงมาดั่งหมอกฝน
เกร และ เซเวอร์ทั้งสอง ลงจอดถึงพื้นโดยสวัสดิภาพ ไร้ซึ่งบาดแผลหรือรอยฟกช้ำใดๆ
“ เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ทั้งที่มีโอกาสแต่กลับไม่ลงดาบใส่ข้าหรือเจ้าจงใจทำให้มันสูญเปล่า ”
เซวเอร์ สบถเขาสุดจะทนแล้วที่จะรู้สึกสับสนกับการกระทำของ เกร
“ ไม่หรอก…มันไม่ได้สูญเปล่าทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ฉันคาดการณ์เอาไว้ทั้งนั้น รวมไปถึงการ
ให้นายได้เห็น เกรทออฟดราก้อน นั่นก็ด้วย ”
เกร ตอบสีหน้าของเขาจริงจังและไม่ได้มีท่าทางเหมือนกับจะพูดหยอกเล่นเหมือนตอนแรกๆ
ในตอนนั้นเอง ที่ เซเวอร์ เริ่มรู้สึกถึงสัมผัสที่รุนแรงกำลังพุ่งพล่านขึ้นมาจากภายใน
หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นและรัวขึ้นราวกับจะหลุดออกมาจากอก อาการคลื่นเหียนกำเริบ
แข้งขาอ่อนเปลี้ยไร้กำลังขึ้นมาอย่างปุบปับจนต้องทรุดเข่าลงหนึ่งข้างเพื่อทรงตัวไว้
ในหัวของเซเวอร์ มี มโนภาพมากมายหลั่งไหลเข้ามาจนสมองรับแทบไม่ไหว
หัวของเขาร้อนราวกับไฟ
“ สภาพแบบนั้นคงจะนึกออกขึ้นมามั่งแล้วสินะ เผื่อจะทำให้นายโล่งขึ้นมาบ้างจะลองถามคำถามพื้นๆ
ซักคำถามก่อนแล้วกัน อะไรคือตัวการที่ทำให้มนุษย์ตายไปจากโลกเมื่อ 5000ปีที่แล้วและมันไม่ใช่สงคราม
ฆ่ากันเองของเหล่ามนุษย์ ”
“ ทั้งหมด….ทั้งหมดเป็นเพราะ….มานา…. ”
คำพูดหลุดออกจากปากของ เซเวอร์โดยอัตโนมัติ เขาทราบเรื่องราวเหล่านี้ ขึ้นมาทันทีอย่าง
น่าอัศจรรย์ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตัวเขายังไล่หาคำตอบอยู่แท้ๆว่า แท้จริงแล้วมนุษย์หายไปได้อย่างไร
“ ถูกต้อง! Mana เกิดจากการปนเปื้อนของ Magic ที่เป็นพลังงานพื้นฐานของมนุษย์
ในปี พุทธศักราชที่ 2705 การค้นพบเจตจำนงของโลก ทำให้เกิดความขัดแย้งไปทั่วทั้งโลกแล้ว
มนุษย์ก็เริ่มทำสงครามกันเองอีกครั้งนั่นเพราะว่าเหล่าอสูรเทพที่เคยปรากฏตัวออกมา
ยับยั้งสงครามของมนุษย์ ไม่สามารถปรากฏตัวออกมาได้ เพราะโลกในตอนนั้นไร้ซึ่งอนุภาคMagic
เพราะกลายเป็น Mana ไปจนหมด ต่อมาManaพวกนั้น ก็พัฒนาขึ้นมาอีก และกลายเป็นคำสาปที่
กัดกินจิตใจมนุษย์ให้เกิดความต้องการฆ่าฟันกันเอง เรียกว่าระดับสติปัญญา
ของมนุษย์ย้อนกลับไปเป็นเช่นสัตว์ป่ารวมถึงร่างกายก็เกิดการกลายพันธุ์
หลังจากนั้น อารยธรรม ของมนุษย์ก็ล่มสลาย แล้วเทพเจ้าทั้งหกองค์ก็ถือกำเนิดขึ้นจาก
มวลพลังงาน Mana ขนาดใหญ่อีกหน คำถามต่อไป มนุษย์ที่ย้อนกลับไปเป็นสัตว์ป่าบัดนี้ไปอยู่ไหน
กันหมดความจริงที่เหล่าเทพทั้งหกเก็บงำมันไว้ มิได้ บอกแก่เหล่าสัตว์หาง รวมถึงเหล่าผู้กล้าด้วย ”
“ มนุษย์…กลายเป็น…. ” เซเวอร์ หยุดไปซักครู่คำตอบที่ไหลออกมาจากหัวของเขาตอนนี้มันชวน
ให้รู้สึกช็อกไม่น้อย ที่จะตอบออกไปว่า“ มนุษย์ที่ยังเหลือรอด กลายเป็นสัตว์ป่าแล้วก็วิวัฒนาการกลายเป็น
สัตว์หาง….. ”
“ บิงโก!!”
………….ไม่อาจมีใครเข้าใจได้ว่าชายผู้บ้าคลั่งคนนี้กำลังพูดเรื่องอะไร หรือ คิดจะทำอะไรเพียง
แต่การมาถึงของเขากำลังจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของประวัติศาสตร์ไปโดยสิ้นเชิง…………..
…………………………………………………………
……………………………………
…………………….
นครแห่งแสงแหล่งอารยธรรมของเหล่าสัตว์หาง ซึ่งอยู่ร่วมกับเทพีแห่งแสงอัลคาเซีย
นครอันรุ่งโรจน์ ที่บัดนี้ น่านฟ้าเหนือนครแห่งแสงถูกปกคลุมไว้ด้วย เมฆหมอกสีดำ
และบรรยากาศแสนอึมครึม ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องของชาวเมือง ดังไปทั่วนคร
ภายในโถงกลางชั้นบนสุดของวังแห่งแสง ราชาแกะสาว กษัตริยา ผู้ที่มิได้ร่วมกลุ่มเดินทาง
ออกไปกับเหล่าผู้กล้า สายตาอันเฉียบคมของนาง มองผ่านระเบียงออกไปยังภายในตัวนคร
ที่บัดนี้มีแต่ความวุ่นวายอันเกิดจากการบุกโจมตีของกองทัพโจรสลัด อันที่จริงแล้วเป็นโจรสลัดผีดิบ
พวกมันเป็นสัตว์หางประเภทปลาและกุ้งที่เนื้อหนังเน่าเปื่อยและหลุดลอกออกจนเห็นโครงกระดูก
บางตัวก็เหลือแต่โครงกระดูกเสียด้วยซ้ำ
“ พวกมันผุดมาจากนรกขุมไหนกัน ” กษัตริยา สบทนางหันกลับไปยังที่ตั้ง บัลลังก์
ซึ่งอัลคาเซีย ประทับอยู่ สีหน้าของเทพีแห่งแสงไม่สู้ดีนัก พระนางมีอาการเหมือนคนป่วย
รัศมีแสงรอบกายของพระนาง ซีดและหม่นหมองลง ใครพูดอะไร ก็ไม่ได้ยินและไม่ตอบสนอง
ราวกับต้องมนต์สะกด นั่นคือสาเหตุที่ตอนนี้ นครแห่งแสงไม่อาจปลอดภัยอีกต่อไป
************โปรดติดตามตอนต่อไป**************
ความคิดเห็น