คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 11: Rex (สัจจะ)
Chapter 11: Rex (สัจจะ)
“ พวกผมคือ แอ็กเกรเซอร์แห่งเกเฮนน่า ”
อาร์ไมม่อน พูด เบื้องหน้าของเขานั้น โลกิ และ ไนติงเกล สองผู้กล้าซึ่งบุกเข้ามาสืบเหตุระเบิด
โรงละครเพียงลำพัง ได้เพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้กับ เขา และถูก มาโอห์ จับขึงไว้ด้วยผ้าพันแผล
“ เกเฮนน่า? ” โลกิ ทวนคำเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย
“ หืม อ๋อครับ เกเฮนน่า คือบ้านเกิดของพวกผมเองครับ มีอะไรอีกไหมครับ ถ้าไม่มีแล้วหุบปากไปครับ ”
อาร์ไมม่อน ตอบก่อนจะละสายตาจากพวกเขา เพื่อกลับไปดูว่า มาโอห์ ทำหน้าที่ไปถึงไหนแล้ว
แมวชรากำลังบรรจงเทของเหลวสีเขียวในขวดโหลใส่ลงในแทงค์น้ำ ของเหลวสีเขียวนั้นคือพิษเข้มข้น
ที่ได้จากเลือดของ เอนเชี่ ยนบัค เมื่อของเหลวในขวดถูกเทออกจนหมด มาโอห์ จึงโยนขวดทิ้งแล้วปิดฝาแทงค์น้ำทันที
“ น้ำมนต์ในแทงค์กลายเป็นพิษแล้วเหลือแค่รอให้ มันฟื้นคืนสภาพจากการถูกสะกดด้วยน้ำมนต์เท่านั้น
เรารีบเอามันไปที่ปลอดภัยกันเถอะ อาร์ไมม่อน ”
แมชรา ก้มตัวลงกอดแทงค์น้ำอย่างระมัดระวัง เพราะพิษที่อยู่ในแทงค์อาจจะล้นหกออกมาได้
“ พวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่ แล้วก็นายน่ะเจ้าตุ่น เป็นพวกผู้กล้าเหมือนกับพวกเราไม่ใช่เหรอ ตอนที่ประชุมกันที่พระราชวังเมื่อเช้าฉันจำได้นะว่าเห็นนายด้วย? ”
ไนติงเกล ถามเธอจำได้เป็นอย่างดี ว่าในการประชุมผู้กล้านั้น อาร์ไมม่อนก็เข้าร่มด้วยเช่นกัน
คำถามนี้ตัว โลกิ เองก็สงสัยกับมันเช่นกัน และหวังจะได้รับคำตอบในเรื่องนี้บ้าง
“……………” คู่กรณีปิดปากเงียบและไม่ยอมตอบอะไรแก่พวกเขาอีก
“ โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอประทานความยุติธรรมของพระองค์แก่กษัตริย์
และความชอบธรรมของพระองค์แก่ราชโอรส ”
(Give the king thy judgments, O God, and thy righteousness unto the king's son.)
เสียงที่ดังขึ้นภายในห้อง สร้างความฉงนระคนตระหนกแก่ สัตว์หางทั้งสองผู้อ้างตัว
ว่าเป็น แอ็กเกรเซอร์ แต่ไม่ว่าจะหันไปมองทางใดก็หาได้พบตัวผู้พูดเลย ทั้งห้องมีเพียงพวกเขากับ
ลิงและกระต่ายที่ถูกตรึงเอาไว้เท่านั้น
“ เมื่อกี้เจ้าพูดรึเปล่า อาร์ไมม่อน? ” มาโอห์ ถาม ใบหน้าของแมวชราซีดเผือดขึ้นมา
ด้วยรู้สึกระแวง มันจึงวางแทงค์น้ำลงเสียก่อน แล้วมองหาศัตรูในความมืดด้วยอาการเร่งรีบ
อาร์ไมม่อน เองก็เช่นเดียวกัน รู้สึกไม่ไว้วางใจกับสถานการณ์ในตอนนี้ จึงไม่ขยับตัวซี้ซั๊วะแต่อย่างใด
“ ท่านจะครอบครองจากทะเลถึงทะเล และจากแม่น้ำนั้นถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก… ”
(He shall have dominion also from sea to sea, and from the river unto the ends of the earth.)
เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง และตามมาด้วยเสียงตะโกนใ
นตอนท้ายว่า “ พหุศรพิฆาตสัตว์หาง ออลเทลสเลเยอร์!! ”
==============All Tail Slayer==============
ฟิ้ว!!!!!!!!ตูมมมมมมมมม!
พลันเสียงลู่ลมและเสียงระเบิดก็ตามขึ้นมาพร้อมๆกัน แสงสว่างสีเหลืองอร่าม แลบขึ้นมาจากกลางห้อง
แล้วแตกกระจายตกใส่ อาร์ไมม่อน กับ มาโอห์ ยามเมื่อร่างกายของพวกเขาสัมผัสถูกแสง
ก็เกิดชักกระตุก ราวกับโดนไฟฟ้าช็อต เนื้อหนังและเส้นขนทุกเส้นถูกเผาจนไหม้เกรียม
ร่างกายของทั้งสองเอนล้มลงแน่นิ่งกับพื้นห้องในทันที
“ ฮู่ว~~~~รอดตัวไปนะพวกนาย ” เสียงปริศนาดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ โลกิ รู้สึกได้ว่า
มันอยู่ใกล้กับเขามาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็พอจะเดาได้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่
เพราะมันเป็นน้ำเสียงที่เขาคุ้นหูมาก และก็ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดเลย เมื่อร่างของ
กิ้งก่าหนุ่ม ปรากฏขึ้นจากความเลือนลางท่ามกลางความมืดของห้องใต้ดิน
ซาจิทาเรียสเพื่อนสนิทของพี่ชายเขาน่ะเอง
“ พวกลื้ออ่ะจายร้องกันจิงๆ อั๊วะเลยไปตามอาซาจิ มาช่วยล่วย ”
(พวกนายใจร้อนกันจริงๆ ฉันเลยไปตามซาจิมาช่วยด้วย)
อีกเสียงดังขึ้นพร้อมๆกับ ผ้าพันแผลที่ตรึงร่างของเขากับ ไนติงเกล ขาดสะบั้นลง
ด้วยสันมือที่คมราวกับดาบ ของแพนด้า ป๋ายหวู่ นั่นเอง
“ นี่พวกนายใช้วิชาอำพรางแล้วแอบตามเรามาอีกทีเหรอ? ”
โลกิ ถาม
“ ก็นะ…หน้าที่ฉันคือคอยจับตาดูนายไว้เพราะงั้นไม่ว่านายไปที่ไหน ฉันก็อยู่ใกล้ๆน่ะแหละ ”
“ งั้นก็แปลว่าพวกนายอยู่กับเราตั้งแต่เริ่มสู้แล้วน่ะสิ ไหงไม่ออกมาช่วยกันล่ะยะ ปล่อยให้สาวน้อยบอบบาง
โดนตุ้ยท้องไปตั้งทีหนึ่ง เจ็บแทบตาย ”
ไนติงเกล บ่นพลางสงส่ายตาขุ่นเคืองใส่ ซาจิทาเรียส
“ ไหนเหรอไนติงเกล? สาวน้อยบอบบาง ไม่เห็นมีเลยนี่ ”
โลกิ ถามพลางมองหาไปรอบๆห้องแต่ก็ไม่พบสิ่งใด
“ อีตาบ้า จะหาว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงรึไงย้า!!!! ”
“ อ่อก!! ”
ไม่ทันไรความซื่อตรงของโลกิ ก็ชักจูงให้หมัดฮุกขวาของ กระต่ายน้อยหวดเข้าที่หน้า
อย่างจังจนกระเด็นไปนอนกองกับพื้นทันที
“ เจ็บนะว้อย!!! ทำบ้าอะไรของเธออีกเนี่ย! ยัยป้าเถื่อน! ”
“ ใครเป็นป้านายกันยะ! ใครสั่งใครสอนให้พูดกับ เลดี้แบบนี้หา! เดี๋ยวก็เอาแครอท
ยัดปากให้จุกตายซะหรอก ”
ก่อนที่ โลกิ กับ ไนติงเกล จะได้เปิดฉากทะเลาะกันนั้นเอง หางตาของพวกเขาก็สะดุดเข้ากับเงาของ
ผู้มาเยือนห้งอใต้ดินคนใหม่ พวกเขาหันควับกลับไปทันที และพบว่าเงานั้น คือ โมโซลี่ ลิงบาบูนเฒ่า
ที่เป็นเป้าหมายหลักของพวกเขานั่นเอง
“ นี่มันเกิดอะไรขึ้น!! ”
บาบูนเฒ่า สบถอุทานออกมาโดยอัตโนมัติ ยามเมื่อห้องลับใต้ดินของตนมีสัตว์หางมาอยู่
รวมกันแน่นขนัดแบบนี้
“ ผู้เฒ่าโมโซลี่! ”
โลกิ และ ไนตกิงเกลพูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน บาบูนเฒ่าสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นพวกเขา
ก่อนจะหนีกลับขึ้นไปข้างบน โลกิ พยายามจะตามไป ทว่าทางออกของห้องกลับถูกปิดตายด้วยผ้าพันแผล
ที่โผล่มาผิดทับบานประตูก่อนที่เขาจะได้ทันออกไปจากห้อง
“ ทำได้แสบนักนะ พวกแกคือผู้กล้าของเทพแสงสินะ งั้นข้าขอทักทายในแบบฉบับของข้าก็แล้วกัน ”
เสียงแหบแห้ง แฝงไว้ด้วยความคลั่งแค้น ลอยมาจากร่างซึ่งดำเป็นตอตะโกของ มาโอห์
พลันร่างที่เคยดำไหม้สนิทนั้น ละลลายกลายเป็นของเหลวสีดำก่อนจะก่อตัวขึ้นมาใหม่และเปลี่ยนรูปร่าง
กลับไปเป็น ร่างก่อนที่จะถูกสายฟ้าของ ซาจิทาเรียส ยิงใส่
“ ข้าคือ มาโอห์ จักรพรรดิ์ลำดับที่ 13 แห่งราชวงศ์เหมียวหง่าว และ ตอนนี้ข้ายังเป็นอัครสาวกของท่าน แอสทารอธ สัจจะแห่งการเสื่อมสลาย(Astaroth, the Rex of Rot) อีกด้วยจะให้พวกเจ้าได้เห็นพลังส่วนหนึ่งหลังการทำสัญญาของข้าก็แล้วกัน ม้าว ฮ่าๆๆ ”
แมวชรา กล่าวจบจึงวางปลายไม้เท้าก้างปลา ลงบนพื้นแล้ววาดสัญลักษณ์บางอย่างขึ้น
สัญลักษณ์นั้นเป็นวงเวทย์รูปดาวห้าแฉกที่มีลวดลายเฉพาะ
เมื่อวาดเสร็จแล้ว มาโอห์ จึงยกนิ้วหัวแม่มือซ้ายขึ้นมาจิกกัดจนเลือดออกไหลหยดออกมา
แล้วจัดแจงหยดเลือดของตนลงบนวงเวทย์ดังกล่าว พร้อมกับร่ายอาคมด้วยภาษาแปลกประหลาดว่า
“ לחגוג את הגופה ” (งานฉลองแห่งซากศพ)
แสงสว่างเจิดจ้าออกมาจากวงเวทย์ อาบห้องทั้งห้องให้กลายเป็นสีขาวชั่วพริบตาก่อนจะดับวูบ
ลงไป ทุกตัวในห้องยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไรแม้แต่น้อย
แต่สัมผัสของเหล่าผู้กล้านั้นพากันรับรู้ได้ทันทีถึงรังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากรอบด้านภายในห้องนี้
เมื่อลองมาสังเกตุดูแล้ว ห้องลับใต้ดินนี้นอกจากแทงค์น้ำที่บรรจุ ราชาแห่งปฏิกูล ที่ตั้งอยุ่ด้านหลัง
มาโอห์แล้ว สิ่งของที่วางอยุ่ภายในห้องยังมี โหลใส่ชิ้นส่วนอวัยวะของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง
ซึ่งน่าจะเป็นแมลง ซากแมลงสต๊าฟ ที่ตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกตามมุมห้อง
เพล้ง!! เพล้ง!!! เพล้ง!!
บานกระจกตู้ใส่แมลงสต๊าฟ แตกพร้อมกันทุกตู้ ร่างไร้ชีวิตที่อยู่ภายในกลับ ขยับได้เองและ
เดินออกมาล้อมกรอบพวกเขาไว้ทุกทิศทาง
“ ซากแมลงมัน…. ”
โลกิ เปรยเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย สิ่งไร้ชีวิตกับขยับได้ราวกับมีชีวิต ซากแมลงพวกนั้น
เดินกระตุกๆ เหมือนกับผีดิบซอมบี้ ในหนังก็ไม่ปาน
“ พลังของข้า…..ไม่สิของท่านแอสทารอธ คือการสิงสู่ซากศพและบงการตามใจชอบ ระวังอย่าให้ตัวเองกลายเป็นศพซะล่ะ เหล่าผู้กล้าเอ๋ย ”
มาโอห์ ขู่พร้อมกับออกคำสั่งให้ ซากแมลงบุกเข้าจูโจมทันที
…………………………
………………………………………
…………………………………………………
ตูมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!
พร้อมๆกับที่เสียงดังสนั่นราวฟ้าร้องสงบลง โรงละครจึงถล่มลงมา และแปรสภาพกลายเป็นซากในพริบตา
ต่อหน้าต่อตา สัตว์หางที่มามุงดูกันอยู่รอบๆ ฝุ่นควันจากการถล่มตลบอบอวลไปทั่วทั้งถนน
เป็นเวลาเดียวกับที่ เหล่าทหารเสือดำเข้ามาควบคุมสถานการณ์พอดี แม่ทัพไลเกอร์ โบลดาส และ
อาร์คไนท์หมาป่าขาวโอดิน เดินออกมาจาก สถานว่าการกลาง ซึ่งอยู่ติดกันกับโรงละคร
“ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันน่ะครับ ผู้การ? ”
ทอล หมาป่าดำผู้เป็นลูกชายของ โอดิน เดินหน้าตื่นออกมาจาก กองทหารเสือดำที่เข้าไปปิดล้อม
บริเวณโรงละคร
“ ไม่รู้เหมือนกันสิ อยุ่ๆก็เกิดระเบิดขึ้นแล้วจากนั้นก็มีระเบิดใหญ่ครั้งที่สองตามมาแล้วโรงละครก็
ถล่มลงมาอย่างที่เห็นนี่ล่ะ ”
โอดิน อธิบายสถานการณ์ให้ลูกชายฟังโดยละเอียด ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงเอะอะดังมาจาก
ฟากที่กองทหารปิดล้อมอยู่ ทั้งสามจึงรีบวิ่งไปดูทันที ภาพตรงหน้าสร้างความประหลาดใจ
แก่พวกเขาจนถึงกับนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ซากแมลงไร้ชีวิตกำลังกับ เข้าปะทะขับเขี้ยวกับเหล่า
ทหารเสือดำจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด
“ พวกนี้มันเป็นตัวอะไรกัน? สมุนของเทพแห่งเงา งั้นหรือ? ”
โบลดาส สบถและยกมือขึ้นขยี้ตาอยู่หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดไป
“ โอ้ยยย!! ”
เสียงโอดครวญของทหารเสือดำนายหนึ่งดังลั่นขึ้น เสือดำตัวนั้นเพลี่ยงพล้ำถูกซากแมลง ขบกัดเข้าที่ลำคอ
โดนไปหนึ่งรอยฟันเขี้ยว โชคยังดีที่ ทหารฝึกหัดหมาป่าสีฟ้านายหนึ่งใช้ดาบตัดหัวแมลงออกแล้ว
ยันถีบด้วยขาจนร่างของมันกระเด็นออกไป ก่อนจะถอนดึงหัวที่ยังขบกัดคาอยู่ที่ลำคอของ
นายทหารเสือดำออก
แผลที่คอนั้นเปิดเหวอะชวนสะอิดสะเอียน ที่น่าเศร้ากว่านั้น นายทหารเสือดำตัวนั้นเสียชีวิตซะแล้ว
ทว่าร่างของซากแมลงที่ถูกตัดหัวไปนั้นกลับลุกขึ้นยืนและขยับต่อได้แม้จะไม่มีหัวก็ตาม
และเป็นเช่นนี้กับอีกทุกตัว ที่แม้ว่าร่างกายจะถูกหอกแทงจนพรุน หรือผ่าร่างขาดครึ่งท่อนก็ตาม
พวกมันก็ยังคงขยับเคลื่อนไหวได้
“ บ้าจริง! นี่พวกมันเป็นอมตะหรือไงนะ ”
ทอล สบถพร้อมกับชักดาบออกจากฝักที่เหน็บเอว ออกมาถือทั้งสองเล่มแล้วออกคำสั่งทันทีว่า
“ ทุกนายถอยออกมา ฉันจะใช้แกรนครอสเป่าพวกมันเอง ”
สิ้นคำ พลทหารทั้งหมดจึงต้อนซากแมลงให้ไปรวมกันแล้วจึงกรูกันถอยออกมาตีวงล้อมปิดทางหนีพวกมัน
รอให้ ทอล ผู้เป็นหัวหน้าหมวด ออกหน้ามาปิดบัญชี
หมาป่าดำ สูดลมหายใจลึกก่อนจะร่ายพระเวทด้วยเสียงอันดังก้อง
“ ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย… ”
“ ช่วยด้วย!!อ๊าคคคคคค!!!!!!!! ”
ยังไม่ทันที่จะร่ายพระเวทจบดี เสียงร้องขอความช่วยเหลือซึ่งดังมาจากด้านหลังของ ทอล
ทำให้เขาต้องหันไปมอง ด้วยความสงสัย ดวงตาของเขาเบิกออกกว้าง เพื่อที่จะรับรู้ว่าเรื่องตรงหน้า
เป็นความจริงมิใช่ภาพลวงตา ร่างของทหารเสือดำที่ถูก แมลงกัดคอจนตายไปแล้วนั้น กำลังขบกัดแขน
ของพลทหารหมาป่าที่เข้าไปช่วยตน เมื่อตอนนั้นอยู่
“ วูฟล์!! บ้าเอ้ย! ” ทอล สบถเขาตัดใจทิ้งภาระที่จะต้องจัดการกับพวกซากแมลงแล้วรีบเข้าไปช่วย
พลทหารหมาป่าก่อนทันที เขากระชับดาบในมือแล้วกล่าวร่ายพระเวทอย่างรวดเร็ว
“ ในนามของพระบิดา พระบุตร และ พระจิต ” (In the name of the Father, and of the Son, and of the Holy Spirit.)
มานาในบรรยากาศถูกดึงดูดมารวมกันที่ดาบด้วยพระเวทและกลายแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์อาบคมดาบไว้
“ อาเมน ” (Amen)
ทอล ยกสองดาบวางประสานกันแล้วจึงหมุนตัวตวัดดาบทีละเล่มวาดเป็น กางเขนขึ้นในอากาศ
กางเขนแสงสว่างสร้างแรงระเบิดผลัดให้ร่างของทหารเสือดำที่ กัดแขนของหมาป่าร่างปลิวกระเด็น
ออกไป
============Cursader============
“ หัวหน้าครับ! จะต้านไว้ไม่อยู่แล้วครับ! ”
ทหารเสือดำ ในสังกัดหน่วยของทอล ตะโกนบอกเขา ซึ่งพวกนั้นต้องรับมือกับซากแมลง
ที่เขา ทิ้งมันไว้ก่อนจะมาช่วย พลทหารหมาป่า ทำให้สถานการณ์ตอนนี้ยุ่งเหยิงไปหมด
เพราะพวกซากแมลงที่เคยถูกต้อนไปรวมกันตอนนี้ตีฝ่าวงล้อมหน่วยของเขาออกมาแล้ว
“ ทหารถอย!!!! ” แม่ทัพโบดาสตะเบ็งเสียง พร้อมกับยกดาบยักษ์คู่ใจของตนขึ้นมาตั้งท่า
เหล่าทหารเสือดดำเห็นแบบนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกนายละทิ้งการต่อสู้แล้ววิ่ง
แยกทางให้กับ โบลดาส ทันที เมื่อทุกนายออกพ้นจากถนนแล้ว โบลดาสจึงเริ่มหมุนตัว
เหวี่ยงดาบยักษ์ให้หมุนตามไปด้วย
“ ไลเกอร์ สวิง!!!! ” แม่ทัพโบลดาส ตะเบ็งเสียงลั่น พร้อมกับหมุนตัววิ่งเข้าไปหา
ซากแมลงราวกับพายุหมุน ดาบยักษ์ของแม่ทัพกวาดเอาร่างของซากแมลงจนล้มระเนระนาด
กระจัดกระจายเป็นชิ้นๆเกลื่อนพื้นถนน ทว่าพวกมันก็ยังไม่ยอมสิ้นท่าแต่โดยดี ยังคงขยับคลานเข้ามา
หวังจะเล่นงานแม่ทัพไลเกอร์ ที่ตอนนี้หยุดหมุนตัวแล้ว
แต่ทั้งนี้นี่ก็เป็นแผนที่ โบลดาสเล็งไว้แต่แรกแม่ทัพไลเกอร์ รีบวิ่งหนีออกจากวงล้อมของซากแมลงในทันที
ด้วยความเชื่องช้าของพวกมันจึงไม่อาจไล่ตามไปได้ในทันทีและจังหวะนั้นเอง
“ Pater Noster, qui es in caelis, sanctificetur nomen tuum. ”
(ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์
จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง .....)
พระเวทซึ่งกล่าวร่ายด้วยภาษาโบราณ ขับขานขึ้นพร้อมกับร่างสีขาวของอาร์คไนท์หมาป่าโอดิน
กระโจนขึ้นสู่อากาศ มานาในบรรยากาศถูกรวบรวมมาเก้บไว้ในคมดาบจนเกิดเป้นแสงสว่างเปล่ง
ออกมา โอดิน ยกดาบทั้งสองเล่มขึ้นประสานเหนือศรีษะแล้วทิ้งตัวลงพร้อมกับฟาด
คมดาบซึ่งเอ่อล้นปด้วยแสงสว่าง
บรึ้มมมมมมมมมม!!!!!!!!!
============Cross Impact===========
แสงสว่างจากคมดาบแผ่พุ่งออกไปสี่ทิศทางกลาย กางเขนแสงสว่างขนาดมหึมาประทับลง
บนซากของพวกแมลง แสงสว่างศักดิ์สิทธิ์ลุกไหม้กลายเป็นเปลวเพลิงสีขาวเผาผลาญซากแมลง
จนวอดวาย ทว่าบางส่วนก็ยังคงเหลือรอดจากการถูกเผา การระเบิดของกางเขนแสงว่างได้ทิ้งรอยแยกรูปแฉก กา กบาทขนาดเล็กซึ่งมีมละอองแสงสว่างลอยออกมาไว้บนถนน
“ Adveniat regnum tuum. Fiat voluntas tua, sicut in caelo et in terra. ”
(.....พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ )
โอดิน ร่ายพระเวทส่งท้ายสั้นๆด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งก่อนจะหันคมดาบทั้งสองปักลงไปบนพื้นดิน
ซึ่งตัวคมดาบนั้นได้กักเก็บมานาจากการร่ายพระเวทเมื่อครู่เอาไว้ นี่จึงเป็นการถ่ายเทมานาลงไปยัง
พื้นดินและไปกระตุ้นให้รอยแยกกา กบาทบนพื้นถนนซึ่งยังคงมีมานาที่ถูกอัดลงในการโจมตี
ครั้งแรกเหลือทิ้งเอาไว้ได้ระเบิดออกมาอีกครั้งและเป็นการระเบิดที่รุนแรงกว่าครั้งแรก
แสงสว่างศักดิ์สิทธิ์แผ่พุ่งออกมาเผาซากที่ยังหลงเหลืออยุ่จนไหม้เป็นเถ้าถ่าน และไม่กลับมาขยับ
เขยื้อนได้อีกต่อไป
============Grand Cross===========
มันคือท่าวิชาสำหรับอัศวินแห่งศาสนจักร มหากางเขนศักดิ์สิทธิ์ แกรนครอส แต่สำหรับระดับอาร์คไนท์
อย่างโอดิน แล้วการร่ายพระเวทจะเปลี่ยนไปร่ายด้วยภาษาโบราณแทน และทำให้มันมีประสิทธิภาพ
ในการทำลายล้างที่ดีกว่า เพราะเป็นการใช้รูปแบบดั้งเดิมของตัวบทเวทโดยตรง ส่วนบท
พระเวทที่ระดับ พาลาดินทั่วไป อย่างทอล ใช้กันนั้นจะเป็นบทสวดที่ถูกดัดแปลงมาเพื่อให้
ใช้งานได้ง่ายเพราะพลังไม่สูงมากนักจึงสะดวกในการควบคุมพลังนั่นเอง
บัดนี้สถานการณ์เหมือนจะสงบลงไปบ้างแต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้นตอนนี้วิกฤติใหม่ได้เคลื่อนตัวเข้ามา
แทนที่ นั่นคือร่างที่ตายแล้วของทหารเสือดำที่ถูกซากแมลงพวกนั้นกัด คืนชีพกลายเป็นซอมบี้เสือดำ
และย้อนกลับมาทำร้ายพวกเขา
“ เอาไงดีล่ะโอดิน เจ้านี่มันตายแล้วรึยังไม่ตายกันแน่? ”
โบลดาส ถามพลางจ้องร่างของซอมบี้เสือดำ เดินกระโพลกกระเพลก โดยไม่อาจละสายตาได้ เกิดมา
ตนเพิ่งเคยเห็นอะไรสยดสยองแบบนี้
“ ……………… ” โอดิน ไม่อาจตอบอะไรได้ แต่อย่างหนึ่งี่เขารู้แน่ชัดคือต้องระวังไม่ให้
ถูกมันทำร้ายเอา ไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะต้องกลายเป็นศพเดินได้แบบนี้ด้วยเช่นกัน
ระหว่างที่สองผู้บัญชาการ กำลังครุ่นคิดกันอยุ่นั่นเอง ปัญหาก็ได้เกิดขึ้น อีกจนได้เมื่อมี
ทหารคนหนึ่งร้องเสียงหลงขึ้นมาซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นเป็นเสียงร้องของ ทอล
“ อ๊าคคคคคค!! ”
โอดิน และ โบลดาสหันกลับไปมองทันที โดยเฉพาะโอดิน ที่รู้สึกช็อกจนอยากสลบไปเสียตรงนั้น
ลูกชายหมาป่าสีดำของเขา ถูกพลฝึกหัดหมาป่าที่ช่วยไว้ กัดเข้าที่แขนซ้ายจมเขี้ยว แววตาของ
พลฝึกหัดนั้นเหมือนไม่ใช่แววตาของเจ้าตัวอีกทั้งใบหน้าก็ซีดขาวเหมือนคนใกล้ตาย
“ ปล่อยนะ วูฟล์…นายจะทำอะไรน่ะ ” ทอล พูดและพยายามแยกตัว พลฝึกหัดที่กำลัง
กัดแขนของเขาออก
ตูม!!
ไม่ทันไรก็เกิดระเบิดขึ้นมาจากซากโรงละครอีกครั้ง แรงระเบิด เป่ากองทหารเสือดำที่เคย
ปิดล้อมพื้นที่บริเวณ โรงละครจนกระเด็นไปตกที่ถนน พร้อมกันนั้น ยังมีร่างของสัตว์หางอีก
4 ตัวกระเด็นลอยออกจากซากโรงละคร มาตกบนถนนด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือ โลกิ ซาจิทาเรียส ไนติงเกล
และ ป๋ายหวู่ นั่นเอง
หลังฝุ่นควันจากการระเบิดเบาบางลงแล้ว เงาหนึ่งก็เดินออกมาจาก ซากปรักของโรงละคร
มาโอห์ ผู้แบกแทงค์น้ำที่ผสมสารพิษลงไปมาด้วย
“ ชิ! ข้างนอกมีหางมารวมตัวกันเยอะขนาดนี้แล้วรึ ” มาโอห์ สบถบัดนี้บนถนน เต็มไปด้วยทหาร
และพลเมืองที่มุงล้อมอยู่รอบนอกอีกที ความเอิกเกริกเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เจ้าตัวไม่อยากให้เกิดขึ้นเป็นที่สุด
แมวชรา ใช้มือซ้ายที่ยังว่างอยู่ สะบัดไม้เท้าก้างปลาในมือ เกิดวงเวทย์เล็กๆขึ้นสี่วง
บนพื้นถนน ล้อมรอบตัวของ มาโอห์ ผ้าพันแผลเก่าๆ จำนวนสี่เส้นพุ่งออกมาจากวงเวทย์
และตรงเข้าหา ชาวเมืองแสงที่มุงดูอยุ่รอบนอกด้วยความเร็วสูง ชาวเมืองผู้โชคร้ายสี่ตัว
ถูกผ้าพันแผลทะลวงหน้าอกแทงทะลุหัวใจจนหลุดออกมาจากกลางหลัง สิ้นใจคาที่ ณ ตรงนั้นทันที
ร่างทั้งสี่ล้มลงแน่นิ่งไม่ไหวติ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไปซักครู่ ศพทั้งสี่ซึ่งไม่ควรจะมีชีวิตอีก กลับขยับตัวลุกขึ้น
มาเดินกระโพลกกระเพลก แล้วมุ่งตรงเข้าทำร้ายหางที่ยังมีชีวิตทันที เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึง
ให้กับทุกผู้ที่เห็น ไม่กี่วินาทีต่อมา ทุกอย่างกลายเป็นความโกลาหลไปในทันที ชาวเมืองพากันหนีเอาตัวรอด
อย่างไม่คิดชีวิต
สูงขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคารว่าการกลาง ซึ่งอยู่ติดกับโรงละคร บุรุษอีกาดำผู้สวมใส่สูทขาวและ
หมวกทรงสูง เซอร์คามิโอ กินนัมกาแกป กำลังเฝ้าจับตาดูเหตุการณ์ที่ถนน
โดยมีสีหน้าของความเหนื่อยหน่าย และถอนหายใจเป็นพักๆ
“ เฮ้อ~~ เจ้าพวกนี้เนี่ยน้า อุตส่ากำชับไปแล้วนะว่าอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต
แต่กลับทำซะเอิกเกริกแบบนี้ อยากให้กลายเป็น Resident Evil กันรึไงน้า~~~ ”
บุรุษอีกา เปรยกก่อนจะย้ายสายตาจากถนนไปยังอีกฝั่งของเมือง กองทหารซึ่งประกอบด้วยสัตว์หาง
เผ่า แกะ และ กระต่าย จำนวนราวๆหนึ่งกองร้อย กำลังมุ่งหน้ามายังที่เกิดเหตุ เครื่องแบบของ
กองร้อยนั้นมีตราสัญลักษณ์ของ กองอัศวินกาชาดติดอยู่
“ หือ? พวกอัศวินแพทย์รึ…..มาเร็วกันดีจังอ้อจริงด้วยสินะ พวกผู้กล้าที่อยู่ในเหตุการณ์มีอยู่ตัวหนึ่ง
ที่เป็นหัวหน้าหน่วยของกองอัศวินกาชาดนี่นะ ชิ! ”
บุรุษอีกา พึมพำก่อนจะจิกกัดริมฝีปากของตนด้วยความเจ็บใจ ปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีก
และมันอาจทำให้แผนการณ์ของเขาล่มเอาได้ “ ถ้าเรื่องแดงออกไปแล้วเจ้าเซเวอร์ มาเห็นเข้าล่ะก็มี
หวังป่นปี้หมดแน่เห็นทีจะต้องช่วยซะหน่อยแล้ว ”
“ มีอะไรที่ข้าจะเห็นไม่ได้งั้นรึ? ”
บรุษอีกาสะดุ้งตัวลอยหลังของเขาเย็นวาบขึ้นมากระทันหัน น้ำเสียงของคำถามนั้นช่างฟังคุ้นหู
ยิ่งนักจนไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ได้ทันทีว่า เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ หรือ เซเวอร์ คนที่เขาไม่อยากให้มา
ยุ่งย่ามกับเรื่องนี้ด้วยที่สุดบัดนี้ยืนอยู่ข้างหลังเขาแล้ว
“ เอ้าไหนว่ามาซิ พิษร้ายของพระเจ้าเอ๋ย เจ้ามีอะไรต้องปิดบังข้างั้นรึ? ”
เซเวอร์ ทวนคำถามอีกครั้ง
“ ……………………….. ” ไร้ซึ่งการตอบรับใดๆจากบุรุษอีกา เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจมองข้ามร่างของ
บุรุษอีกาเหตุการณ์บนพื้นถนนนั่นสะท้อนอยู่ในดวงตาของเด็กหนุ่ม
“ คลื่นพลังแบบนี้คำสาปของ แอสทารอธ? แล้วยังมีของ อาร์ไมม่อน ปนอยู่ด้วย
งานรวมญาติของพวกเจ้ารึไงกัน? ”
“ แหมๆ ดูออกหมดเลยรึขอรับ แล้วจะเอายังไงต่อล่ะขอรับ ถ้าคิดจะขัดขวางกระผมเองก็ไม่มีทางให้เลือกมากนักหรอกนะขอรับ ”
คามิโอ พูดเสียงหวาน แม้น้ำเสียงจะปกติดี แต่ทว่าใบหน้าของ บุรุษอีกา นั้นกลับชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ
นั่นเพราะความกังวลได้ก่อตัวขึ้นในหัวใจอันแสนเย็นชาของปีศาจเช่นเขางั้นหรือ?
มิได้เป็นเช่นนั้นเลย ครั้งนี้ไม่เหมือนกับคราวก่อนในแผนการณ์ของ โลกิ ตัวเขารับหน้าที่เพียงแค่ไปถ่วง
เวลาเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เกินกำลังของเขามากนัก แต่ครานี้หากจะต้องปะทะกับ เซเวอร์ ผู้ยิ่งใหญ่
ซึ่งๆหน้าแล้วล่ะก็แผนการณ์ ของเขาคงจะจบลงแค่นี้ ไม่มีอะไรจะสำคัญเท่าการดำเนินแผนการณ์
ให้ราบรื่นอีกแล้ว สำหรับ คามิโอ นี่คือก้างขวางคอชิ้นใหญ่เลยทีเดียว
“ จะทำอะไรมันก็เรื่องของเจ้า แต่ถ้ามาขวางการต่อสู้แห่งอโพคาลิปส์ ละก็ใครหน้าไหน
ข้าก็ไม่เอาไว้ทั้งนั้น จำคำนี้ไว้ให้ดีก็แล้วกัน ”
คำตอบของเซเวอร์ นำความชุ่มชื้นมาสู่หัวใจ บุรุษอีกา ห่อไหล่ลงและรุ้สึกโล่ง
ราวกับยกภูเขาอออกจากอก
“ รับทราบขอรับ กระผมจะท่องจำสามรอบก่อนนอนให้ขึ้นใจเลยทีเดียว ! ”
เซอร์คามิโอ รับปากทันควันพลางโบกไม้โบกมือลา เซเวอร์ หันหลังกลับไปพร้อมกับจูงมือเพื่อน
หมาป่าสีแดงเรจิ ที่มาด้วยกันกลับไปด้วย
“ ไปกันเถอะ เรจิ ” เด็กหนุ่ม พูดพลางออกแรงจูงมือของเพื่อนหมาป่าแดง ทว่าเรจิ กลับไม่ยอม
ตามไปด้วย สายตาของมันจดจ้องที่ถนน ซึ่งที่นั่นมี ทอล และพวกพ้องผู้กล้าอยู่ แม้จะไร้เดียงสา
แต่หมาป่าสีแดงตัวนี้ก็มีมากด้วยพลังแฝง และ สัญชาตญาณ เขารับรู้ถึงอันตรายและมีความรู้สึกห่วงใยให้
กับสหาย เหมือนเช่นหมาป่าในยุคก่อนๆ ที่จะพัฒนามาเป็นสัตว์หาง มันทำให้เขารับรู้ว่า ทอล
กำลังตกอยู่ในอันตราย
“ กลับกันเถอะ เรจิ พวกนั้นดูแลตัวเองได้ ยังไงซะนี่ก็อาณาเขตของเทพแห่งแสง
พวกนั้นก็เป็นไพร่ฟ้าในความปกครอง เดี๋ยวก็คงทำอะไรซักอย่างแหละ ไม่ใช่หน้าที่
ที่พวกเราจะต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ”
เซเวอร์ ให้เหตุผลพร้อมกับออกแรง กึ่งลากกึ่งจูงมือของหมาป่าแดงให้มาด้วยกันกับตน
“वामन(Vāmana) ” เมื่อ เด็กหนุ่มเอ่ยปากร่ายคาถาโบราณร่างของเขาและหมาป่าแดง
ก็อันตรธานหายไปทันที
…………………………………………..
…………………….
ณ ถนน ที่เกิดเหตุซอมบี้อาละวาด กองอัศวินกาชาดได้มาถึงแล้ว
“ หน่วย A จู่โจมสะกัดพวกมันไว้ หน่วย B ไปรักษาพวกทหารที่บาดเจ็บ
ใช้พระสูตร Cleanse แก้คำสาปนะ ”
แกะสาวผู้เป็นหัวหน้ากองร้อยออกคำสั่ง แบ่งกองร้อยออกเป็น2 ชุดแยกกันไปทำหน้าที่
การปะทะกับเหล่าซากศพเดินได้เปลี่ยนจากการใช้อาวุธทิ่มแทงมาเป็น เวทมนต์แทน มานาในบรรยากาศ
ถูกดูดมารวมเป็นลูกบอลเวทย์ ในอุ้งมือของเหล่านักบวชแกะ ทั้งหลายและขว้างอัดใส่
ร่างซอมบี้ปลิวกระเด็นและถูกความร้อนของพลังเวทย์ เผาจนผิวหนังไหม้เกรียมเป็นแห่งๆ
ทว่าพวกมันก็หาได้แสดงความเจ็บปวดหรือชะงักด้วยโจมตีเหล่านั้นเลย สถานการณ์
เลวร้ายขึ้นยิ่งกว่าเดิม เมื่อหน่วยอัศวินแพทย์ที่เข้าไปทำการรักษา ทหารที่บาดเจ็บถูกทำร้ายโดยทหารเหล่านั้นเสียเอง ซึ่งสูญเสียการควบคุมไปเพราะพิษบาดแผลที่ถูกทำร้ายโดยพวกซอมบี้ แม้จะยังไม่ตาย
แต่ก็มีสภาพใกล้เคียงกับพวกมัน สติสัมปัญชัญญะหายไปจนหมดสิ้น และเดินกระโพลกกระเพลก
“ ฮ่าๆๆๆ เป็นซอมบี้กันไปซะให้หมดเลยนะม้าว~~ ข้าขอชิ่งก่อนล่ะม้าว~~~ ”
มาโอห์ เล็งเห็นช่องทางหนีออกจากวงล้มท่ามกลางความแตกตื่นของเหล่าทหารที่ถูก ซฮมบี้ไล่
ต้อนจนวงล้อมแตกกระเจิงในที่สุด
ท่าก่อนที่ มาโอห์ จะทันหนีหายเข้าไปฝูงชน ดาบของโบลดาส เล่มเขื่องได้พุ่งตัดหน้า ปักลงบนพื้นถนน
น้ำหนักของมันทำให้พื้นปริร้าวเลยทีเดียว หากเมื่อครุ๋เขาไม่ชะงักเท้าตัวเองไว้คงได้หัวกบาลแยกเป็นแน่
“ เจ้าคือตัวการสินะ ” โบลดาส พูดพร้อมกับถอนคมดาบขึ้นจากพื้นแล้วหันใส่ แมวชรา
“ ถ้ายังไงไปดื่มชาในห้องขังกับเราซักแปบจะได้ไหม ”
น้ำเสียงเข้มขรึมของ อาร์คไนท์ เซอร์โอดิน กล่าวขึ้นพร้อมกับดาบคู่ใจยื่นจ่ออยู่ต่อหน้า
มาโอห์
“ ชิ! อาร์ไมม่อน มาช่วยกันบ้างเดะม้าวว~~ ”
แมวชรา สบถคำพูดนั้นทำให้ โบลดาส และ โอดิน ระวังตัวแจ การที่ร้องขอความช่วยเหลือเช่นนี้
แสดงว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดคอยให้ความช่วยเหลือ และพวกเขาพยายามสอดส่ายสายตามองหามัน
รอบด้านไม่ว่าจะซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือแม้แต่ข้างบน
ครึ่กๆ
เสียงประหลาดแว่วขึ้นมา โอดิน กับ โบลดาสเพิ่มระดับการระแวงภัยขึ้นไปอีก
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมองไปทางใดพวกเขาก็ไม่พบใครหรืออะไรที่เป็นต้นเสียง นั้นเลย
“ อาร์ไมม่อน มาแล้วคร้าบบบบ ”
เปรี้ยงงงงง!!!
พื้นถนนที่ โอดิน และ โบลดาส ยืนอยู่ยุบตัวลง กลายเป็นโพรงลึกในชั่วพริบตา
ก่อนที่จะร่วงหล่นลงไป ทั้งคู่ได้ชิงกระโดดหนีออกมาจากโพรงนั่นเสียก่อน
และต่อมา ตุ่นสีขาว อาร์ไมม่อน ก็ได้พุ่งขึ้นมาจากโพลงนั้น
“ หืม? เจ้ามันอาร์ไมม่อนหนึ่งในพวกผู้กล้านี่ ทำไมถึงไปให้ความช่วยเหลือกับคนร้ายห๊ะ?! ”
โบลดาส ถามทันทีที่เห็นร่างของ ตุ่นสีขาว เขาจำได้อย่างแม่นยำว่านัน่คือ หนึ่งในกลุ่ม
12 ผู้กล้าแล้วความสงสัยก็ผุดขึ้นในจิตใจ ทำไมถึงมีผู้กล้ากลายเป็นผู้ทรยศตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกลุ่ม
12ผู้กล้าตั้งแต่วันแรกเช่นนี้
“ พ่อ! ระวังตัวด้วยครับ! เจ้าตุ่นนั่นไม่ใช่ธรรมดา! ”
เสียงตะโกนของโลกิ เรียกให้ หมาป่าขาวโอดิน หันไปมองดู เขาและกลุ่มผู้กล้าอีกสาม ตัว
“ ป๋ายหวู่ ซาจิทาเรียส ไนติงเกล แล้วก็เจ้าทอล ผู้กล้ามารวมกันอยู่ที่นี่เกือบครึ่งหนึ่งเลย
เรอะนี่มันเรื่องอะไรกัน? ”
โอดิน เปรยการที่มีผู้กล้าทรยศ คงไม่สะกิดใจเท่ากับการที่กลุ่มผู้กล้ามาอยู่ที่นี่กันเสียมากมาย
จนอดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า
……………………………………………
“ ปล่อยฉันสิ วูฟล์ บอกให้ปล่อยไง!! ”
ทอล เริ่มจะตะคอกหลังจากยื้อกับ พลฝึกหัดหมาป่า มาซักพัก แขนข้างที่ถูกกัดเริ่มชาจนไม่รู้สึกอะไรแล้ว
ตอนนี้พลทหารที่อยุ่รอบตัวเขาทุกนายต่างก็วุ่นอยู่กับการปะทะกับพวกซอมบี้ ไม่มีทางที่จะมาช่วยเขาได้เลย
และอย่างไรก็ตามจะทำรุนแรงกับลูกน้องของตัวเองก็ไม่ใช่สิงี่ท่เขาจะยอมตัดใจทำแน่ๆ
แต่ตอนนี้มันได้มาถึงขีดสุดแล้ว พลฝึกหัดที่กำลังงับแขนของเขาคงจะไม่ยอมปล่อยดีๆเป็นแน่
แล้วเขาเองก็ยังมีลูกน้องคนอื่นๆที่จะต้องดูแล
“ โทษทีนะวูฟล์ แล้วฉันจะใช้คืนวันหลังนะ ”
ทอล สบถสั้นๆพร้อมกับยกมือขึ้นกำหมัดง้างเตรียมจะต่อยพลฝึกหัด กะเอาให้สลบคาหมัด
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเหวี่ยงหมัด จู่ๆปากที่กัดแขนเขาไว้ก็คลายออกแล้วร่างของพลฝึกหัดก็ล้ม
ลงแน่นิ่งกับพื้นในทันที
“ ไม่เป็นไรใช่ไหมทอล?! ” กระต่ายสาว ไนติงเกล วิ่งข้ามมาจากอีกฟากของถนนพร้อมกับพลนักบวชแกะ
อีกตัวที่วิ่งตามมาด้วยกัน
“ ไนติงเกล?….แล้วเจ้าวูฟล์เป็นอะไรไปแล้วน่ะ อยู่ๆก็ล้มไปซะงั้น? ” ทอล ถาม
“ เมื่อกี้ข้าได้ร่ายพระเวทสะกดนิทราใส่เขาไว้ค่ะ มีแต่วิธีนี้ที่จะหยุดยั้งการอาละวาดของผู้ถูกคำสาป
โดยไม่ต้องทำอันตรายให้ ” พลนักบวชแกะที่มาด้วยกันกับ ไนติงเกล อธิบาย
============Sleep==============
“ แพนธาร่า ฝากเจ้าดูแลเด็กคนนี้ที ”
ไนติงเกล สั่งพลนักบวชแกะ ให้เข้าไปดูแลพลฝึกหัดหมาป่าที่ต้องมนต์สะกดเมื่อครู่ไป
ก่อนจะหันไปดูอาการของทอล ด้วยตนเอง
“ ทอล ! นี่นายโดนกัดมาเหรอ?! ” ไนติงเกล อุทาน
“ ใช่… ”
“ ล…แล้ว…แล้วนายรุ้สึกยังไงมั่งตอนนี้ ”
“ ก็เริ่มรู้สึกมึนๆขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ อุบ… ”
ทอล พูดก่อนจะล้มฟุบลงไป ไนติงเกล รีบจับร่างของเขาไว้สัมผัสอันเย็นเฉียบแล่นจากร่างของ
หมาป่าดำสู่อุ้งมือของกระต่ายสาว สีหน้าของเธอซีดลงอย่างเห็นชัด เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหวั่นๆว่า
“ อะไรกันเนี่ย เนื้อตัวเย็นเชียบหยั่งกับคนตายเลย เฮ้ทอล นาย ทำใจดีๆไว้นะ ทอล!! ”
…………………………..
“ เอานี่ไปกินซะ ม้าววว~~ ”
มาโอห์ พูดแล้วเริ่มควงไม้เท้าก้างปลาไปมาด้วยสองมือของตน ซาจิทาเรียส และ โลกิ
ซึ่งระดมจู่โจมด้วย ธนู และลูกไฟ แต่การโจมตีนั้นก็ถูกไม้เท้าควงปัดทิ้งไปได้ทั้งหมด มิหนำซ้ำ
การโจมตีที่ปัดออกมายังสะท้อนกลับมาเล่นพวกเขาเสียเอง
“ In nomine Patris, et Filii, et Spiritus Sancti. Amen ”
(ในนามของพระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาเมน)
โอดิน ท่องพระสูตรด้วยภาษาโบราณพร้อมกับออกท่าทางดาบตวัดตัดเป็น กา กบาท
==============Crusader===============
แต่การโจมตีนั้นก็ช้าเกินกว่าจะเข้าถึงตัวของ อาร์ไมม่อน ตุ่นสีขาวผู้ว่องไวเกินกว่าปกติ
ซึ่งโลกิ รู้ถึงมันเป็นอย่างดีในตอนที่ปะทะกันครั้งแรก เขาไม่สามารถทำอะไร อาร์ไมม่อน
ซึ่งๆหน้าได้เลย
“ โบลดาสกับพ่อ รับมือเจ้านั่นไม่ไหวแน่....อัก ”
โลกิ เปรยก่อนที่ร่างของเขาซึ่งนอนกองอยุ่กับพื้นถนนจะถูกหิ้วขึ้นมาด้วยมือของ มาโอห์
“ ก่อนจะห่วงชาวบ้านห่วงตัวเองก่อนดีไหม ม้าววว~~ ถ้าข้าโยนแกลงไปกลางฝูงซอมบี้ตรงนั้น
เจ้าหมาป่าขาวกับไลเกอร์จ้ำมั่ม นั่นคงจะยอมปล่อยตัวพวกข้าไปสินะม้าววว~~ ”
หลังจากฟัง มาโอห์ จ้อแผนการณ์ที่จะใช้ตัวเขาเป็นเครื่องมือเพื่อการหลบหนี
ลิงหนุ่มก็คลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขาสร้างความประหลาดใจแก่ มาโอห์ ได้มากทีเดียว
แมวชรา มองเขาด้วยความสงสัย “ ยิ้มอะไร? ม้าวว~~ ”
“ หึ..น่าหัวร่อนัก คิดจะใช้ฉันเพื่อให้พวกแกหลบหนีไปได้งั้นเหรอ ฝันไปเถอะ ตอนนี้ล่ะป๋ายหวู่! ”
“ หา?! ”
แมวชรา อุทานหลังเพิ่งรุ้ตัวว่าตนถูกหลอกเปิดช่องว่างเสียแล้ว พริบตาร่างทั้งก็แข็งทื่อ
จนขยับไม่ได้ รวมไปถึงมือข้างที่หิ้วคอเสื้อของโลกิไว้ ก็อ่อนแรงรั้งตัวไว้ไม่อยู่
ลิงหนุ่มเป็นอิสระจากเงื้อมือของตนเสียแล้ว เหลือแต่ความประหลาดใจที่ร่างกายของตนอยู่ๆ
ก็แข็งทื่อขยับไม่ได้เช่นนี้
“ น….นี่แกทำอะไรข้าเนี่ยทำไม ถึงขยับไม่ได้ ”
มาโอห์ ออกอาการลนขึ้นในทันทีแม้อยากจะหันหน้าเพื่อมองหาต้นต่อก็ยังทำไม่ได้ ต้นคอของมัน
แข็งไปหมด ร่างกายทั้งร่างราวกับเป็นอัมพาตขึ้นมา
“ สะกัดจุดไงล่ะ ว่ากันว่าร่างกายของสิ่งมีชิวตจะมีจุดพลังที่หากสะกัดถูกจุดละก็จะสามารถควบคุม
การเคลื่อนไหวของร่างกายได้ แล้วที่แกโดนไปก็คือการสะกัดจุดให้หยุดนิ่ง ”
โลกิ อธิบาย พร้อมๆกันนั้นก็มีร่างหนึ่งขนาดเตี้ยป้อม เดินดุ่มๆ ออกมาจากด้านหลังของ
มาโอห์
================Stasis Blow==============
ป๋ายหวู่ จอมยุทธ์แพนด้าผู้จิดจางนั่นเองที่สะกัดจุดจนมาโอห์ กลายเป้นอัมพาตทั้งตัว
“ ก..แกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่สิแกเป็นใครกันแน่เจ้าแพนด้า?! ”
มาโอห์ ถึงกับสะดุ้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกถึงตัวตนของ ป๋ายหวู่เลยจนถึงตอนนี้
“ ดูเหมืองว่าอั๊วะจะสำเร็กเคล็กวิชาลบจิกอย่างถ่องแท้แล้วล่ะสิ ”
(ดูเหมือนว่าฉันจะสำเร็จเคล็ดวิชาลบจิตอย่างถ่องแท้แล้วล่ะสิ)
จอมยุทธแพนด้า เอ่ยขึ้นอย่างภาคภูมิ
“ แปลว่าตัวตนจืดจางโดยสมบูรณ์แล้วสินะขนาดฉันมีวิชาอำพรางตัวยังสู้ไม่ได้เลยแหะ ”(= =’)
ซาจิทาเรียส เปรย
“ ความจืดจางเองก็ใช้เป็นอาวุธได้เหมือนกัน ” โลกิ สำทับก่อนจะ หันความสนใจกลับไปยัง
กลุ่มของ โอดิน ที่รับมือกับ อาร์ไมม่อน อยู่ ซึ่งกลุ่มนั้นยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำแต่อย่างใด
เพราะอาร์ไมม่อน ทำเหมือนกับเล่นสนุกคอยหลบการโจมตีของ พวกเขา โดยไม่ตอบโต้
โลกิ หลับตาลงแล้วพยายามนึกถึงเมื่อครั้งที่เขาเคยดื่มยาสูตรลับ ที่ได้มาจาก เซอร์คามิโอ จนสามารถเรียนรู้
เชิงเวทย์แบบใหม่ได้ซึ่งตอนนี้มันยาหมดฤทธิ์ไปแล้วก็จริง แต่ เวทย์บทง่ายๆเขาก็ยังพอจะนึกวิธีใช้
ของมันออกอยู่ ลิงหนุ่มขยับปากร่ายรหัสเริ่มต้นคาถาพร้อมกับจุดดวงไฟเวทย์ขึ้นในมือทั้งสองข้างทันที
“ กาเทสม่า แอสเทก้า มาเทสก้า ตลักเตลี(Tlaltecuhtli) มารดาแห่งภพเอ๋ย
โปรดโอบกอดเครื่องสังเวยไว้ในอ้อมกอดของท่าน! กราวน์ล็อค ”
================Ground Lock================
ยามเมื่อบทกล่าวแห่งมนตราถูกร่ายออกมา มานาในบรรยากาศ ก็ถูกกลั่นมารวมกันบนพื้นถนนและเมื่อ โลกิ
ยื่นมือที่ห่อลูกไฟเวทย์ออกไปข้างหน้า นั่นคือสัญญาณที่ ผลลัพธ์ของเวทมนต์ที่เขาร่ายไปจะแสดง
ผลของมัน พื้นถนนรอบที่ อาร์ไมม่อน ซึ่งเป็นเป้าหมายยืนอยู่ยกตัวขึ้นสูงกลายเป็นเสาดินเรียงเป็น
แนววงกลมกักขังเอาไว้เหมือนรั้ว
“ เท่านี้ก็ขยับไปไหนไม่ได้อีกแล้ว! ”
ขณะที่ โลกิ กำลังยินดีกับชัยชนะ อาร์ไมม่อน ก็แสยะยิ้มขึ้นมาพริบตาต่อมา ร่างของอาร์ไมม่อนก็หาได้อยู่
ในรั้วดินที่เขาร่ายออกมาอีกแล้ว มีเพียงดพรงที่พึ่งขุดขึ้นมาเหลือทิ้งไว้เท่านั้น ครู่ต่อมาตุ่นขาวจึงได้
พุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน โดยโผล่มาทางด้านหลังของ แพนด้าป๋ายหวู่
“ อย่าฝืนเลยคุณจ๋อครับ เวทย์ที่เกี่ยวกับผืนดินน่ะมันใช้กับ สัจจะแห่งผืนดิน(Rex of Earth)อย่างผมไม่ได้หรอก ”
อาร์ไมม่อน พูดด้วยความลำพองก่อนจะยื่นมือทั้งสอง จับล็อคศรีษะของ จอมยุทธแพนด้า
แล้วบิดมันเบาๆ
กร็อบ!!
เสียงกระดูกคอหักพร้อมกับหัวของ ป๋ายหวู่ หมุนพลิกกลับ 360 องศาหรือวนครบหนึ่งรอบพอดี
จอมยุทธแพนด้า ตายคาที่ในวินาทีนั้น
“ ป๋ายหวู่!!!!!!!!!!!!! ” โลกิ ร้องเสียงลั่นทุกตัวตรงนั้นได้แต่ยืนจ้องตาค้างมองร่างที่
ตัวกับหัวหันไปคนละทิศละทางโดยที่พูดอะไรไม่ออก ก่อนที่จะรู้สึกหวาดเสียวไปถึงลำคออีกเมื่อ
อาร์ไมม่อน จงใจแยกส่วนหัวกับลำตัวออกจากการโดยการฉีกด้วยมือเปล่า เสียงกระดูกคอที่ยึดติดกับร่าง
หักดังเปราะหนึ่ง แล้วโลหิตสีแดงสดก็พวยพุ่งเป็นน้ำพุออกจากคอที่ยึดติดกับลำตัว ก่อนจะโยนส่วนหัว
ลงไปกลางฝูงซอมบี้ ซึ่งทันทีที่พวกมันได้กลิ่นเลือดก็พากันละทิ้งการปะทะกับเหล่าทหาร
แล้วเข้าไปยื้อแย่งกันกัดกิน ชิ้นส่วนศรีษะของ ป๋ายหวู่ กันอุตหลุด
“ ทีนี้ก็ได้วัตถุดิบชั้นเยี่ยมมาแล้วนะครับ มาโอห์ ”
อาร์ไมม่อนพูด พร้อมกันนั้นร่างของ มาโอห์ ก็คลายจากฤทธ์สะกัดจุด แล้วหันปลายไม้เท้ามายัง
ศพของป๋ายหวู่ ก่อนร่ายมนต์สาปใส่ ทันใดนั้น ร่างไร้หัวของแพนด้า ก็เริ่มขยับเดินได้ด้วยตัวเอง
สร้างความสยดสยองยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ไม่ทันไรร่างไร้หัวก็หยุดนิ่งและยืนตัวแข็งเด่อยู่ในท่าเดิม ร่างนั้นเริ่มแตกสลายและชิ้นส่วนที่แตก
ผุไปก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นละอองแสงล่องลอยหายไปในท้องฟ้า
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันแม้แต่ ตัว อาร์ไมม่อนกับมาโอห์ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างของ
ป๋ายหวู่ ถึงได้สลายหายไปแทนที่จะกลายเป็นซอมบี้
“ ทำไมถึงสลายไป…กันล่ะ? ” อาร์ไมม่อน เปรยระหว่างที่สนใจอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า
บรรยากาศทั่วทั้งเมืองแสงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เมฆบนท้องฟ้าพากันหายไปจนหมด
ท้องฟ้าเปิดจนมองเห็นพระราชวังแห่งแสงกำลังเคลื่อนตัวออกมาจากสวนแห่งแสง และกำลังมุ่งตรงมา
ยังถนนที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูง
……………………………………………….
……………….
ภายในพระราชวังแห่งแสง เทพีแห่งแสงผู้เปี่ยมล้นด้วยปัญญา ได้เตรียมการร่ายมนตราของนาง
ต่อหน้า พระสังฆราชสิงโตทะเล เรกกุ และ แม่ทัพเหยี่ยว เซอร์อิทารุส มานาจากบรรยากาศกลั่น
ตัวกลายเป้นละอองแสงมารวมกันภายในห้องจนคละคลุ้งราวกับสายหมอก และตัวเทพีแห่งแสง
เองก็ปลดปล่อยมานาออกมาเช่นกันจนหมกมานามีความหนาแน่นมาก และรวมตัวกันกลายเป็นแสงสว่าง
เจิดจ้าส่องออกไปนอกวัง
“ Luminous Dawn ” เทพีแห่งแสงกระซิบ และแล้วแสงสว่างทั้งหมดก็พุ่งจากพระราชวังลงไป
เมืองแห่งแสงทั้งเมือง
…………………………………..
แสงสว่างจากพระราชวัง อาบใส่ร่างของทุกผู้ที่ยืนอยู่บนถนน รวมไปถึงพวกซอมบี้ เหล่าซอมบี้ที่เป็น
ร่างศพพากันล้มหงายและลุกไหม้เป็นจุล ส่วนใครที่ถูกคำสาปจากการกัดควบคุมสติก็หายจากอาการ
และได้สติกลับมา แสงสว่างของเทพีแห่งแสงได้ล้างเอาคำสาปที่ มาโอห์ ร่ายไว้ออกไปอย่างหมดจด
“ ม้าวว~~~ เจ้าเทพแสงจอมจุ้มเอ้ย ข้ายังไม่แพ้หรอกนะ ”
มาโอห์ สบถแล้วเตรียมจะร่ายคำสาปออกมาปลุกเหล่าซอมบี้อีกครั้ง ทว่าคำสาปที่ร่ายออกมา
กลับไม่สำแดงผลใดๆเลย ในระหว่างที่กำลังงุนงงกับ คำสาปที่ไม่ทำงาน
พลทหารทั้งหมดได้ตรงเข้ามาล้อมทั้ง มาโอห์ แล อาร์ไมม่อน ไว้แล้ว
“ 3….2……….1 Abracadabra เวลาเอ๋ยจงหยุด……. ”
แล้วเสียงดีดนิ้วก็ดังขึ้นก้องกังวานไปทั่วทั้งเมือง ทุกสรรพสิ่งล้วนหยุดนิ่ง
ทั้งทหารทั้งแม่ทัพ ทั้งผู้กล้า ทั้งฝูงชน จวบจนถึงพระราชวังแห่งแสง
ที่ลอยตัวอยู่บนน่านฟ้าของเมืองแสง ก็หยุดนิ่งลงด้วยเช่นกัน
บัดนี้เวลาได้หยุดลงโลกใบหยุดนิ่งราวกับกดปุ่ม Pause หยุดเล่นคลิปวิดีโอ
“ เอาล่ะพวกคุณสองคนเล่นมามากพอแล้วสำหรับวันนี้ กระผมไม่อยากให้แผนการณ์ผิดพลาด
ไปมากกว่านี้อีกแล้วล่ะนะ ”
เสียงแหบแห้งดังขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียง เซอร์คามิโอ บุรุษอีกาสูทขาว ลอยตัวลงมายืนบนพื้น
ข้างๆกับ อาร์ไมม่อน และ มาโอห์ ที่ตัวแข็งทื่อไปด้วยจากผลของการหยุดเวลา
นี่คือคำตอบว่าทำไมก่อนหน้านี้ในการต่อสู้กับเซเวอร์ ที่สามารถเร่งความเร็วให้มีระดับเทียบเท่าแสง
แต่กลับไม่สามารถมองการเคลื่อนไหวของเขาทัน นั่นเป้นเพราะตัวเขามีพลังที่อยุ่เหนือกาลเวลา
และสามารถทำให้ทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งลงได้แม้แต่แสงสว่าง
“ อ๋อลืมไปซะสนิท ว่าพวกนายก็พลอยหยุดไปด้วยสินะ เอาล่ะ 3….2….1 ”
เซอร์คามิโอ ดีดนิ้วขึ้นสองเปราะ พร้อมกับพูดว่า “ เอ้าขยับสิ ”
อาร์ไมม่อน และ มาโอห์ กลับมาขยับตัวได้อีกครั้งและรู้สึกทึ่งกับภาพของเวลาที่
หยุดนิ่งตรงหน้า รวมถึงแขกผู้มาเยือนคนใหม่
“ ท่านพี่? มาทำอะไรกันครับ? ” อาร์ไมม่อน ถาม
“ ไม่ต้องมาถามไถ่แล้ว พวกนายรีบเอา ราชาแห่งปฏิกูล ออกไปจากเมืองนี้แล้วไปรอที่พีระมิดซะ ”
เซอร์คามิโอ ขึ้นเสียงเล็กน้อย ซึ่งทั้งสองก็ยอมทำตามแต่โดยดี รีบยกแทงค์น้ำ แล้ววิ่งออกจากเมืองไปทันที
เมื่อทั้งสองไปลับแล้ว บุรุษอีกา จึงเดินออกมาจากวงล้อมเพื่อไปนั่งลงที่โต๊ะที่ยังว่างของร้านจาม่อน
ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะนับถอยหลัง “ 3…..2…..1 ” แล้วดีดนิ้วขึ้นอีกหนึ่งเปราะ
“ เวลาเอ๋ยจงเดินหน้า ”
พรึ่บ!
เวลากลับมาเดินอีกครั้งทุกอย่างกลับสู่สถานะปรกติ เว้นเสียแต่อย่างเดียวคือร่างของสอง
ผู้ก่อการร้ายอย่างมาโอห์ และ อาร์ไมม่อน ได้หายไปจากเมืองแล้ว โดยมีใครทราบหรือ
รู้เลยว่าพวกเขาหายตัวไปได้อย่างไร
************** โปรดติดตามตอนต่อไป***************
ความคิดเห็น