ตอนที่ 79 : Login 76: Salvation of fake god
Login 76: Salvation of fake god
ครั้งหนึ่งอิงศรเคยรู้ว่ามนุษย์ปกครองโลกแต่ไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมดซะทีเดียว มีเพียงมนุษย์จำนวนแค่หยิบมือที่มีอำนาจ มนุษย์ที่เรียกว่า นักการเมือง ตำรวจ มาเฟีย แก๊งอันธพาล ฯลฯ
กลุ่มของผู้มีอำนาจที่อยู่ในโลกเบื้องหลังที่ซึ่งปลาใหญ่กินปลาเล็กแข่งขันกันอย่างไร้กฎเกณฑ์แล้วกลุ่มอำนาจเหล่านั้นก็สร้างกฎขึ้นมาเพื่อบีบบังคับคนสามัญที่ตัวโดดเดี่ยวไร้สมัครพรรคพวกให้อยู่ภายในกรอบอันแออัดที่เรียกว่าสังคม ราวกับว่าพวกผู้มีอำนาจอยากจะอยู่กันแค่เฉพาะพวกตัวเองและคงคิดหาทางทำแบบนั้นอยู่เรื่อยมา...
จนเมื่อโลกล่มสลายลงอิงศรก็ได้รู้เพิ่มขึ้นอีกว่าในบรรดาผู้กุมอำนาจทั้งหมดนั่น ธุวดารกะคือปลาตัวใหญ่ที่สุดในทะเลแห่งอำนาจและยังรู้อีกด้วยว่าที่เคยคิดเอาไว้นั้นผิด เหล่าผู้มีอำนาจไม่อาจอยู่ได้หากขาดซึ่งคนสามัญที่เป็นเสมือนฟันเฟืองขับเคลื่อนสังคม อำนาจจะไร้ความหมายเมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่หายไปหมดและพระเจ้าเองก็คงรู้ถึงเรื่องนั้น...
แล้วเมื่ออิงศรได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวตนเหนือสามัญสำนึกที่เรียกว่าพระเจ้า นั่นก็ทำให้รู้ต่อไปอีกว่าเพราะระบบที่เรียกว่าสังคมได้ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่ที่เรียกว่าสามัญชนสูญเสียความตั้งใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า พวกเราได้แต่ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตอยู่ในระบบที่ผู้มีอำนาจกำหนดมาเพราะรู้ดีว่าถึงดิ้นรนไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จึงเลือกที่จะใช้ชีวิตเพื่อให้ผู้มีอำนาจก้าวต่อไปแทน
แต่แบบนั้นมัน ‘ผิดธรรมชาติ’ คนเราไม่ตั้งใจจะก้าวเดินไปข้างหน้าแต่กลับเจริญรุดหน้าไปเพราะเหตุนั้นพระเจ้าก็เลยมอบบททดสอบให้ เพื่อแสดงให้มนุษยชาติได้รู้ว่าอำนาจที่คิดว่ายิ่งใหญ่นั้นมันเล็กกระจ้อยขนาดไหน แสดงให้เห็นว่าระบบที่ชื่อมนุษยชาตินั้นพังทลายได้ง่ายเพียงใดหากยังคิดจะเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกรรมวิธีเดิมๆ
นั่นคือเรื่องที่เคยเป็นความจริง แต่เมื่อได้เห็นพลังของอารย-สนธยา มุมมองต่อโลกก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เท่าที่ลองค้นคว้าเพิ่มเติมเองหลังกลับมาจากห้องทดลองลับของ อารย-สนธยา ทำให้ได้รู้มาว่ารากเหง้าที่แท้จริงและสายป่านสำคัญของ อารย-สนธยา ก็คือลัทธิบูชาเทพเจ้า...
ที่ข้าวหลามพูดว่าพวกเขาเป็นเสียงของผู้ถูกลืมคงหมายถึงเรื่องนี้ มนุษย์ที่จนตรอกอยู่ในสังคมอันคับแคบแต่ไม่อยากยอมจำนนก็ได้เรียกร้องหาเทพเจ้าแล้วซีลอร์ดก็เคยบอกเอาไว้ว่า
‘ปีศาจน่ะโหยหาโชคชะตาที่พวกเขาไม่มีดังนั้นเป้าหมายจึงเป็นมนุษย์’
ถ้าคำว่า ‘โชคชะตา’ นั่นคืออย่างเดียวกับความปรารถนาที่อยากจะอยู่เหนือสังคมแล้วล่ะก็ โชคชะตาจำนวนมหาศาลก็คงจะไหลบ่าเทบ่าไปที่อารย-สนธยาและนั่นก็ทำให้พวกนั้นมีฝูงปีศาจอยู่ในอาณัติเป็นร้อยๆ ตัว
ตอนนี้เป็นไปได้ว่าเสียงของผู้พ่ายแพ้ในสังคมได้กลับมาเอาคืนผู้ชนะแล้ว เหล่าเทพมารมากมายที่เบื้องหลังข้าวหลามคือหลักฐานที่เด่นชัดที่สุด และเสียงของผู้พ่ายแพ้ก็ไม่เพียงแค่สร้างความปั่นป่วนแต่แทรกแซงไปถึงบททดสอบที่พระเจ้าสร้างขึ้น
หลังจากข้าวหลามประกาศเจตจำนงของอารย-สนธยาจบ กุมภาก็...
“เจ้าคนปลิ้นปล้อนอย่าคิดนะว่ามาท้าทายพวกเราแล้วจะรอดกลับไปได้น่ะ!”
พูดมาแบบนั้นทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ จะเพราะยังมีแผนรับมืออยู่หรือว่าแค่กลัวเสียหน้าเพราะศักดิ์ศรีความเป็นผู้ชนะมันค้ำคออยู่กันแน่ แต่ก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่าในเวลานี้อารย-สนธยา กลายเป็นผู้นำของเกมชิงอำนาจนี้ไปแล้ว
แต่ข้าวหลามเมินกุมภาสนิทใจแล้วพูดกับอิงศรแทน
“ว่าไงล่ะตอนนี้เริ่มอยากมาอยู่ฝั่งนี้บ้างรึยัง”
แล้วยื่นข้อเสนอมาอีกครั้ง
"ทำเมินกันเหรอ!"
กุมภาตั้งท่าจะบุกเข้าหาอีกแต่ก็ถูกพญานาคเลื้อยเข้ามาขวางทำให้หล่อนต้องกันไปสาละวนอยู่กับทางนั้นแทน
สำหรับอิงศรตอนนี้เมตไตรยถือว่าเป็นศัตรูไปแล้วตั้งแต่ตอนที่พวกพ้องถูกทำร้ายเขาก็ไม่คิดจะเชื่อใจองค์กรอีกแต่จะให้จับมือกับอารย-สนธยาที่มีแต่ลับลมคมในที่ยังไม่รู้อยู่อีกมากมันก็อันตรายเกินไปยิ่งคนออกปากชวนเป็นคนที่ทรยศสิงห์ได้ลงคอแล้วยังเล่นละครมาเป็นปีๆ ตบตาเมตไตรยได้อย่างแนบเนียนมันไม่มีอะไรเป็นหลักประกันเลยว่าการไปอยู่กับอารย-สนธยาจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ดังนั้นอิงศรก็เลยปฏิเสธ
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากตกเป็นเครื่องมือแก้แค้นของคนอื่นหรอกนะแล้วยิ่งคนชวนเป็นนายด้วยยิ่งแล้วใหญ่”
แต่เขาเองก็ไม่ได้เลือกจะอยู่ข้างธุวดารกะเหมือนกัน...
แล้วข้าวหลามก็ถามกลับมาพอดี
“ถ้างั้นนายก็ยังจะอยู่ข้างเมตไตรยเหมือนเดิม?”
“ก็ไม่อีกนั่นแหละ”
อิงศรตอบชัดถ้อยชัดคำพลางลดธนูลงแล้วชักดาบสั้นจากเอวตวัดใส่เชือกที่มัดข้อมือของกวินทร์เพื่อปลดปล่อยเขา
“อะ...ขอบคุณครับ”
กวินทร์พูด สีหน้ายังคงความงุนงงเอาไว้ตั้งแต่แรกที่ได้พบกันในห้องนี้คงเพราะตามสถานการณ์ไม่ทัน ที่จริงอิงศรเองก็ตามไม่ค่อยจะทันเหมือนกันทุกอย่างมันกะทันหันเกินไปแต่เขาก็เจอเรื่องพรรค์นี้มาตั้งแต่ตอนที่โลกล่มสลายแล้วก็เลยจัดการความรู้สึกได้ดีกว่า
เมื่ออิงศรปฏิเสธที่จะไม่อยู่กับข้างใดๆ เลยข้าวหลามก็หยอดคำถามมาอีก
“งั้นนาย...”
แต่กลับมีเสียงคำรามดังแทรกขึ้นมา
“ส่งผู้กอบกู้มา!”
พญาครุฑผู้เป็นเจ้าของเสียงโฉบลงมาเกาะที่ตัวอาคารทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งหลังแล้วยื่นลำตัวท่อนบนขึ้นมาบนห้อง
“ใจร้อนจริงนะ”
ข้าวหลามพูดขณะหันกลับไปมองพญาครุฑต่อมาก็เปลี่ยนแขนข้างที่แบกนรินทร์ให้กลายเป็นงูแล้วยืดไปส่งเขาให้กับมัน
“ผู้กอบกู้ของข้า…กัลกีของข้า…”
พญาครุฑจับตัวนรินทร์ไว้ในอุ้งเล็บของมันแล้วพูดเหมือนพร่ำเพ้อก่อนจะที่อาคารทั้งหลังจะสั่นโยกเยกอีกครั้งเพราะมันดีดตัวเองออกแล้วกางปีกบินหนีหายไปยังขอบฟ้าด้วยความรวดเร็ว
กว่าอิงศรจะรู้สึกตัวและพยายามไล่ตามก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว
“พวกนายจะทำอะไรนรินทร์น่ะ!”
แต่ข้าวหลามกลับพูดว่า
“เป็นอะไรไป อยากจะเล่นบทพระรามไปทวงตัวนางสีดาที่กรุงลงกาขึ้นมาหรือไง”
“อย่ามาเล่นลิ้นหน่อยเลยน่า!”
“งั้นก็มาอยู่ข้างเดียวกับฉันสิแล้วจะบอกให้ก็ได้”
อีกฝ่ายยื่นข้อเสนอมา
“…”
แต่อิงศรไม่ตอบโต้กับเงื่อนไขนั้น
“นี่สินะคำตอบของนายน่าเสียดายแฮะ”
ข้าวหลามทำหน้าเสียดาย ดูเหมือนจะอยากได้ตัวเขาไปร่วมด้วยจริงๆ
ระหว่างนี้เองคุณแฟนสาวที่กลายเป็นปีศาจก็ส่งตัวโดโกบาร์ให้กับข้าวหลาม
อิงศรเลื่อนสายตาไปยังตัวเด็กชายที่ถูกส่งต่อแล้วเล็งจังหวะนั้น
"เทคนิคัลเวพ่อน"
พริบตาถัดมาคันธนูในมือซ้ายก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นหน้าไม้ อิงศรยกมันขึ้นเล็งไปที่ข้าวหลามแล้วลั่นไกยิงลูกดอกเหล็กออกไป
ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นในเวลาเสี้ยววินาที
ข้าวหลามที่ไม่ทันระวังตัวจะต้องตายอย่างแน่นอนเพราะลูกดอกนั้นเล็งไว้ที่ราวนมทางซ้ายหรือก็คือจุดที่มีหัวใจอยู่ อิงศรต้องการจะให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายตายสนิทจึงเล็งไปตรงนั้น ถึงจะเคยมีมิตรสัมพันธ์กันมาก่อนแต่ข้าวหลามในตอนนี้เป็นอันตรายเกินไปดังนั้นจึงต้องตัดใจฆ่าทิ้ง
วินาทีที่ลูกดอกกำลังจะทะลวงหน้าอกซ้ายนั่นเอง
วินาทีถัดมามันก็ปะทะเข้ากับค้อนเหล็กแล้วกระเด็นไปปักที่พื้นห้องแทน
อิงศรเอื้อมมือไปขึ้นลูกดอกใหม่ทันที หน้าไม้พิเศษนี้เพียงแค่ดึงคันชักลูกดอกใหม่ก็จะถูกสร้างขึ้นมาเองแต่ก่อนที่มือจะเอื้อมไปถึงคันชักก็มีเสียงปืนดังขึ้น มือของเขาหยุดลงเพราะตกใจกับกระสุนที่ระเบิดพื้นซึ่งเยื้องออกไปข้างหน้าทะลุเป็นรูโหว่ มันเป็นการยิงขู่อย่างชัดเจน
อิงศรเงยหน้ามองไปที่ข้าวหลามตอนนี้มีสมาชิกใหม่ของอารย-สนธยาเข้ามาเพิ่มสองคนเป็นเด็กหนุ่มที่น่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับกวินทร์ ราวๆ 15-16 ปี ทั้งคู่แต่งตัวเหมือนๆ กันใส่เสื้อรัดรูปสีเทากับกางเกงขายาวสีดำและสวมปลอกคล้องโซ่ที่ปลายขาดเอาไว้ คนหนึ่งมีเรือนผมสีดำเป็นผู้แทรกหัวค้อนเข้ามาปกป้องข้าวหลามและอีกคนเรือนผมสีทองหยิกหยักศกเล็กน้อยน่าจะเป็นคนที่ยิงขู่มาเมื่อครู่เพราะถือปืนนั่งยองๆ เล็งมาทางนี้
แต่ทำไมถึงต้องยิงขู่กันล่ะ?
ถ้าอีกฝ่ายยิงมาได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวก็น่าจะยิงสังหารไปเลยก็ได้เพราะเขาเองก็เล็งสังหารแกนนำของฝ่ายนั้นไปแล้วไม่มีเหตุให้ต้องประนีประนอมกันอีก
ข้าวหลามทำหน้าเหวอเหมือนเพิ่งจะรู้ตัว
“โอ๊ะ เกือบไปๆ เล่นทีเผลอเก่งขึ้นแล้วนี่ศร”
แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ตามมาหลังจากนั้นก็บอกกันโต้งๆ ว่าเป็นการแสร้งพูดให้เข้าใจไปแบบนั้น อีกฝ่ายรู้ทันแต่แรกและคิดว่าน่าจะตอบโต้ลูกดอกของเขาได้อย่างง่ายดายหรือไม่ก็มั่นใจว่าลูกดอกคงเจาะทะลวงเกล็ดงูบนร่างกายไม่เข้าจะอย่างไหนก็ตามแต่ข้าวหลามจงใจทำแบบนั้นเพื่อให้สมาชิกใหม่สองคนปรากฏตัวออกมาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
ตอนนั้นเองก็มีหัวหนึ่งของพญานาคเคลื่อนเข้ามาหาข้าวหลาม
"เป็นอะไรไหม"
"ไม่เป็นไรเพราะแบคอัพดีน่ะก็เลยรอดมาได้"
แล้วพญานาคก็หันมาทางนี้จ้องมองอิงศรด้วยแววตาของงู
“ตักษกะอันนี้กินได้รึเปล่า”
พลางถามข้าวหลามว่าอย่างนั้น
“อย่ากินจะดีกว่านะถ้าไม่อยากท้องเสียเพราะนายคนนี้น่ะเคี้ยวยากพอตัวเลยล่ะ”
เมื่อการโจมตีอาจจะไม่ได้ผลและตอนนี้ข้าวหลามก็กำลังแบกตัวโดโกบาร์ที่รับส่งมาทำให้เสี่ยงที่จะยิงโดนพวกเดียวกันอิงศรจึงได้แต่ถามคำถามออกไป
“นรินทร์ก็คนหนึ่งแล้วนี่นายคิดจะทำอะไรเด็กนั่นด้วยน่ะหา!?”
ข้าวหลามตอบว่า
“คงต้องขอริบเครื่องทำสวนเอาไว้ก่อนล่ะนะถึงจะขยับไม่ได้เพราะอมฤตไม่มีเหลืออยู่บนโลกแล้วก็เถอะแต่จะปล่อยทิ้งไว้กับนายก็อันตรายเกินไปสำหรับแผนการของพวกเรา”
คำพูดนั่นหมายความว่าถ้ามีโดโกบาร์ก็อาจจะทำลายแผนการของอารย-สนธยาได้อย่างนั้นสินะ
ด้วยเหตุนั้นทำให้อิงศรดึงคันชักแลัวเล็งหน้าไม้อีกครั้ง
พญานาคพูด
“อันตรายจริงๆ จะให้ข้าอมไว้ในปากก่อนไหม”
แต่ยูลี่ก็พูดแทรกขึ้นมา
“ไม่จำเป็นหรอกเพราะเขาไม่มีทางทำอะไรได้อีกแล้ว”
ปีศาจสาวมองมาที่อิงศรด้วยใบหน้าสงบนิ่งแบบนักบุญ ร่างปีศาจของหล่อนเองก็บ่งบอกว่าเป็นปีศาจที่น่าจะได้รับความเคารพดั่งเทพเจ้ามีทั้งชุดที่สวยงามและถือก้านดอกบัวซึ่งเป็นเครื่องหมายของเทพ
“เพราะว่าเธอโกรธแค้นที่พวกพ้องถูกทำร้ายเพราะว่าเธอใจดีเกินไปแค่นี้เธอก็แพ้พวกเราไปเรียบร้อยแล้ว”
อิงศรสบถใส่คำพูดนั่น
“หมายความว่ายังไง!”
ยูลี่ยิ้มด้วยใบหน้าสงบของปีศาจแล้วพูดว่า
“ยังจำใบหน้าเหล่านี้ได้อยู่รึเปล่าล่ะ”
ได้ฟังดังนั้นอิงศรก็ลองสังเกตใบหน้าของสมาชิกใหม่ที่เข้ามาขัดขวางเมื่อครู่แล้วก็ต้องถลึงตาด้วยความตกตะลึง
“ฟู....มิกซ์”
ถึงจะดูแตกต่างไปจากในความทรงจำเพราะอายุกับรูปร่างที่เพิ่มขึ้นแต่ทั้งสองคนคืออดีตครอบครัวหลังจากโลกล่มสลายฟูกับมิกซ์อย่างแน่นอน เพียงแต่...
“ชิ...ร่างโคลนสินะ”
อิงศรจิกปาก เขารู้ดีว่านั่นไม่ใช่ครอบครัวจริงๆ ของเขาเป็นเพียงโคลนนิ่งที่ อารย-สนธยา สร้างขึ้นเพื่อทดลองมนุษย์ครึ่งปีศาจเหมือนในห้องทดลองลับใต้ดินนั่น
ในตอนนั้นเองข้าวหลามก็ทำเสียงผิวปาก
“นี่รู้กระทั่งเรื่องโคลนนิ่งด้วยเหรอเนี่ยแสดงว่านายคงไปเห็นเข้าแล้วสินะสถาบันวิจัยลับที่ไหนซักแห่งของพวกเรา”
แต่อิงศรไม่ตอบ
“...”
เขาไม่ต้องการให้ความลับรั่วไหลในสถานการณ์แบบนี้ แต่ข้าวหลามก็พูดมาอีกว่า
“แต่ว่าพวกนี้จะเป็นโคลนนิ่งอดีตครอบครัวจริงๆ รึเปล่าน้า~”
“หมายความว่ายังไงน่ะ”
“ก็หมายความว่าแบบนี้ไง...เอ้าพวกนายสองคนแสดงหลักฐานกันหน่อยซี่”
แต่ทั้งคู่กลับนิ่งเงียบและทำหน้าเหมือนกำลังนึกชั่งใจว่าจะพูดดีรึเปล่าจนกระทั่งโคลนนิ่งของมิกซ์ที่จับปืนด้วยมือที่เหมือนจะเริ่มสั่นมาตั้งแต่เมื่อกี้พูดออกมาเป็นคนแรก
“พ...พี่ศรพวกมันจับพลอยกับทุกคนเป็นตัวประกัน...พวกเราไม่มีทางเลือกจริงๆ”
ทันใดนั้นโคลนนิ่งของฟูก็...
“เฮ้ย! มิกซ์จะพูดไปทำไมเล่า”
ตะหวาดใส่มิกซ์ เด็กหนุ่มผมสีทองหน้าเหวอแล้วตอบกลับไปด้วยอาการกล้ำกลืน
“ก...ก็มัน”
โคลนนิ่งของฟูทำเสียงจิกจักในปากแล้วหันมาพูดกับเขาว่า
“พี่ศร! เราสองคนจะเป็นยังไงก็ช่างแค่เฉพาะพลอยกับเน็กซ์กับนิวเท่านั้นช่วยสามคนนั้นก็พอ!”
ตอนนั้นเองยูลี่ก็แทรกขึ้นมาว่า
“ใครใช้ให้พูดมากกว่านั้นกันเล่า”
แล้วกำมือข้างที่ว่างทันใดนั้นก็ปรากฏโซ่เรืองแสงสีทองอร่ามไล่จากมือแล้วแตกแขนงแยกไปต่อกับปลายโซ่ที่คล้องคอทั้งสองคนจากนั้นร่างกายของพวกนั้นก็ชักกระตุกเหมือนโดนไฟช็อต
“อ๊ากกก!” “อ๊ากกก!”
ทั้งคู่กรีดร้องก่อนจะทรุดตัวล้มลง มีควันสีดำกับกลิ่นเหม็นไหม้ลอยออกมา
เมื่อกี้คืออะไร?
คือการแสดงเพื่อให้ตายใจ?
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงได้เหมือนมากเกินไปหน่อยระหว่างที่กำลังชั่งใจอยู่นี้เด็กหนุ่มที่ชื่อฟูก็...
“พี่ศร...พวกเราสัญญากันเอาไว้แล้วนะว่าจะปกป้องพี่ให้เอง...เพราะงั้นไม่ต้องมาสนใจ...อัก”
พูดเรื่องที่มีแต่ฟูตัวจริงเท่านั้นที่พูดได้ เพราะมันคือเนื้อหาที่ฟูกับมิ่งขวัญเคยทะเลาะกันเมื่อสามปีก่อน
ตอนนี้อิงศรค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นตัวจริงแต่ว่า...
“ไม่จริงน่ะ...ก็พวกนาย”
“เพราะว่าตายไปแล้วสินะ”
ยูลี่พูดราวกับอ่านใจเขาออกแล้วก็พูดต่อไปว่า
“แต่สำหรับโพธิสัตว์อวโลกิตะผู้นี้แล้วแค่ทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมามันเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนักนี่ล่ะคือพลังแห่งการโปรดสัตว์ของเราไม่เพียงแต่สองคนนี้เท่านั้นแต่เหล่าสานุศิษย์ที่เจ้าเคยผูกพันธุ์เป็นเหมือนครอบครัวด้วยเมื่อสามปีก่อนนั้นเราได้คืนชีพให้ทั้งหมดแล้ว”
อิงศรได้ฟังดังนั้นก็ขบเขี้ยวเคี้ยวกรามแล้วจ้องมองปีศาจผู้อ้างตัวว่าเป็นพระโพธิสัตว์ด้วยสายตาไม่พอใจ
“นี่แกกล้าเอาคนตายมาล้อเล่นแบบนี้เหรอ!”
จากนั้นจึงเลื่อนหน้าไม้เล็งไปที่นางมารร้ายในคราบพระโพธิสัตว์แต่ฟูกับมิกซ์ก็ฟืนลุกขึ้นมาขวางทางยิง
“หลบไปเซ่!”
อิงศรตะหวาดใส่แต่ทั้งสองคนไม่หลบ
“…”
ทั้งฟูและมิกซ์ต่างก็มีใบหน้าที่แสดงการขัดขืนอย่างเต็มที่แต่ขัดขืนกับอะไรกันหรือว่า...
“ใช่อย่างที่เจ้ากำลังคิดเหล่าสานุศิษย์ไม่มีทางขัดขืนเราได้เพราะอย่างนั้นถึงบอกไปแล้วไงว่าเจ้าไม่มีทางเอาชนะพวกเราได้อย่างเด็ดขาดเพราะว่าเจ้าเป็นคนเห็นแก่พวกพ้องและครอบครัว”
อีกฝ่ายคงอ่านใจเข้าได้จริงๆ นั่นแหละเพราะเอาแต่พ่นเรื่องที่กำลังคิดออกมาจนหมด ถ้าเขาทำร้ายฟูกับมิกซ์ไม่ได้ก็ช่วยโดโกบาร์ไม่ได้เหมือนกัน
“บัดซบ!”
อิงศรทำได้แค่สบถและก้มหน้าอย่างสิ้นหวัง
ข้าวหลามคงจะสังเกตได้ถึงเรื่องที่เขากำลังอับจนหนทางจึงพูดข้อเสนอมาอีก
“เอ้า ว่าไงคิดจะเปลี่ยนใจแล้วยังถ้านายมาฝั่งนี้ล่ะก็จะได้เจอครอบครัวอีกครั้งแล้วก็ได้พลังที่จะเอาไว้ใช้ช่วยน้องชายกลับมาจากพวกต่างดาวด้วยไม่คิดว่ามันมีแต่ได้กับได้รึไงคนฉลาดๆ อย่างนายน่าจะเข้าใจถึงเรื่องนั้นดีที่สุดนี่นะ”
มันก็จริงอย่างที่ว่า...
อิงศรหลับตาลงแล้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง
...ถ้ายังอยู่ต่อไปแบบนี้ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรไมได้เลย อาจจะช่วยมิ่งขวัญไม่ได้ อาจจะต้องจบชีวิตอยู่ในโลกที่ล่มสลายแห่งนี้ไปในซักวัน แต่ตอนนี้อารย-สนธยามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกแล้วก็ยังมีครอบครัวอยู่ด้วยเพียงแค่ตอบรับคำเชิญก็จะทุกอย่างที่สูญเสียไปกลับคืนมา
แต่ถ้านั่นเป็นแค่สิ่งที่พวกมันอยากให้เขาคิดล่ะ
เจ้าพวกนี้รู้เรื่องเกมโลกาวินาศเป็นอย่างมากแล้วก็น่าจะรู้เรื่องที่เขามีฟันเฟืองอยู่กับตัวบางทีนี่อาจจะเป็นเป้าหมายจริงๆ ของการชักชวนก็ได้ถ้าคิดด้วยหลักเหตุผลมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นแต่หัวใจของเขากลับเรียกร้องหาครอบครัวที่สูญเสียไปอีกครั้งมากกว่าเขายังอ่อนหัดเกินไปจริงๆ นั่นแหละ...
“เลิกตื้อได้แล้วศรไม่ไปกับเฮียหรอกน่า!”
เสียงตะโกนของเมษาดังแทรกเข้ามาห้วงภวังค์ความคิด อิงศรปรือตาขึ้นแล้วก็มองเห็นแผ่นหลังของพวกพ้อง เมษา มีนา กวินทร์ ทั้งสามคนออกมายืนขวางข้างหน้า
“ตื้อมากๆ ระวังจะโดนเกลียดเอานะคะพันโท”
มีนาพูด
“เอาครอบครัวของพี่ศรมาล้อเล่นกันแบบนี้ถึงเป็นพันโทผมก็ไม่ยกโทษให้หรอกนะครับ”
กวินทร์พูดพลางหักนิ้วมือดังกร๊อกๆ ไม่เคยเห็นหมอนั่นเวลาโกรธใครจริงจังเท่าตอนนี้มาก่อนเลย
มีแต่เมษาที่มีสนับปลอกแขนกับมีนาที่กำเคียวซึ่งพัฒนาขึ้นมาให้มีตัวเกี่ยวทั้งหัวและปลายซึ่งเป็นอาวุธเทคนิคัลทั้งคู่เท่านั้นส่วนกวินทร์มีแค่มือเปล่ากับสถานการณ์ตอนนี้ที่อมฤตถูกตัดขาดทำให้ใช้สกิลก็ไม่ได้พลังสนับสนุนจากสเตตัสก็ไม่มี
แล้วเจ้าพวกสามคนนี้ก็ยังคิดจะต่อสู้กับฝูงปีศาจนับร้อยนั่นอีก...
น่ากลัวเหลือเกินที่จะต้องคิดว่าทั้งสามคนนี้กำลังต่อสู้เพื่อเขา
เพื่อให้เขาที่กำลังลำบากใจกับหนทางทั้งหมดที่ล้วนมีแต่ขวากหนามกล้าตัดสินใจเลือกทางที่ยากที่สุดแต่เป็นหนทางที่ยอมรับได้มากที่สุด
“เจ้าพวกบ้าเอ้ย...”
อิงศรพึมพำเบาๆ จนไม่มีใครได้ยินแล้วก้าวเท้าออกไปยืนข้างหน้าพวกพ้องที่ยอมติดตามเขามา
“ก็อย่างที่ว่าไปนั่นแหละต่อให้แกจะชุบชีวิตคนทั้งโลกมาต่อรองฉันก็ไม่เอากับอารย-สนะยาด้วยหรอก”
จากนั้นจึงหันไปพูดกับอดีตครอบครัว
“ฟู มิกซ์ ฉันจะช่วยพวกนายให้ได้จะช่วยพลอยกับทุกคนให้ได้ด้วยเพราะงั้นห้ามตัดใจเด็ดขาดเลยนะ!”
เด็กหนุ่มทั้งสองที่ได้ยินคำพูดของเขาก็พากันก้มหน้าจะเพราะซาบซึ้งหรือตระหนักว่าพวกตนได้สร้างเรื่องลำบากให้กับเขากันแน่ก็ไม่รู้ แต่จะอย่างไหนอิงศรก็ไม่คิดจะล้มเลิกเรื่องช่วยครอบครัว
“อวดดีอะไรอย่างนี้นะ”
อวโลกิตะพูดน้ำเสียงเหมือนจะขยะแขยงต่อความปรารถนาอันเกินเลยนั่น
แต่ข้าวหลามกลับหัวเราะ
“ฮะฮะฮะ ตอบได้สมกับเป็นนายเลยเคี้ยวไม่ลงจริงๆ เอาเป็นว่าถ้าสนใจเมื่อไหร่ก็ติดต่อมาแล้วกันยังไงซะนายที่มีเฟืองอยู่ทำให้ผลิตอมฤตใช้เองได้ก็ยังคงให้ระบบทำงานได้อยู่ส่วนทางฉันพอกลับไปแล้วจะต่อสายพ่วงอมฤตอีกทีก็รับข้อความนายได้แล้ว”
แถมยังพูดเรื่องของอมฤตออกมาอย่างง่ายดายหากว่าพวกนั้นควบคุมอมฤตได้ดั่งใจตามที่พูดจริงๆ ล่ะก็อารย-สนธยาจะไม่เพียงแค่มีอำนาจของปีศาจแต่ยังสามารถใช้ระบบของเกมได้เหมือนเดิมทุกอย่างด้วยสิทธิพิเศษที่จำกัดแค่พวกนั้นทำให้ความเท่าเทียมกลายเป็นเรื่องงี่เง่าไปเลย
ข้าวหลามยังคงพูดต่อไปอีกว่า
“แต่เร็วๆ หน่อยล่ะเพราะว่าโลกจะดับสูญในอีกไม่นานแล้วล่ะ”
ก็อีกตั้งหกเดือนไม่ใช่รึไง....
แต่นั่นเป็นสิ่งที่อิงศรรู้มาจากซีลอร์ด บางทีพวกอารย-สนธยาอาจจะทำให้มันเร็วขึ้นกว่านั้นก็ได้รึเปล่าหรือพวกนั้นมีแผนการที่จะทำให้โลกไปถึงจุดจบได้เร็วขึ้นกว่านั้น
“…”
อิงศรไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปอีก
จากนั้น...
“งั้นก็หมดธุระแค่นี้แหละ ไป! พวกเรากลับกันเถอะแผนการยังต้องรุดหน้าต่อไปอีก”
ข้าวหลามก็ประกาศถอยทัพทั้งที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ ชายผู้ทรยศทั้งสิงห์และเมตไตรยแบกร่างของโดโกบาร์เดินหายเข้าไปปากของพญานาคที่อ้ารออยู่แล้วหันกลับมาพูดทิ้งท้าย
”ส่วนนายพระรามก็รีบตามมาช่วยนางสีดาล่ะแล้วจะรอฟังคำตอบของนายใหม่ตอนนั้นด้วย”
จากนั้นปีศาจตนอื่นๆ ก็ทำแบบเดียวกันพวกนั้นเข้าไปอยู่ในปากของอนันตนาคราชแล้วมันก็ย้ายหัวทั้งหมดออกไปจากห้องกลับไปที่ทะเลแล้วดำหายไปราวกับเรือดำน้ำ
ไม่มีพวกอารย-สนธยาเหลืออยู่ในห้องอีก ไม่มีแม้แต่พวกปีศาจที่หลุดจากแอพพลิเคชั่นเหลืออยู่เช่นกัน พวกมันทั้งหมดได้จากไปแล้ว
แต่ทว่า...
อิงศรเริ่มมองหาทางหนีเพราะตอนนี้โจทย์เก่ายังคงอยู่ในห้อง พวกเมตไตรยที่สูญเสียคนไปมากในการต่อสู้กับพญานาคตอนนี้ได้หันอาวุธเล็งมาที่พวกเขา
จากทางด้านหลังนั้นกุมภาผู้นำของธุวดารกะที่สูญเสียผู้นำตัวจริงไปในขณะนี้ก้าวออกมาข้างหน้าเหล่าทหารที่ล้อมพวกอิงศรไว้
“มีนา เมษาพวกเธอคงไม่คิดจะทรยศไปด้วยหรอกนะพวกเธอแค่ถูกสิงห์ชักจูงไปเท่านั้นไม่จำเป็นต้องขายครอบครัวเลยซักนิด”
คำพูดกับสภาพของหล่อนดูไม่ไปด้วยกันเลยแตกต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง ท่าทางว่าการบุกของอารย-สนธยารอบนี้จะสร้างความเสียหายให้กับเมตไตรยอย่างแสนสาหัสจนพลเอกหญิงผู้ปราดเปรื่องจนตรอกขนาดต้องพยายามไม่ให้เสียกำลังรบที่เคยมองว่าไร้ค่าอย่างสองฝาแฝดแบบนี้
มีนาพูดมาโดยไม่หันมอง
“คุณอิงศรคะเดี๋ยวฉันกับเมษาจะช่วยกันเปิดทางให้พอถึงตอนนั้นแล้วก็รีบโกยให้สุดชีวิตไปเลยนะคะ”
เพราะพวกเมตไตรยปิดล้อมทางเข้าเอาไว้และด้านหลังพวกเขาก็คือหน้าผาที่เกิดจากการบุกโจมตีของอารย-สนธยา ดังนั้นจึงเหลือทางหนีแค่ทางเดียวแล้วมีนาก็พูดว่าจะเปิดทางให้
ที่ตรงนั้นยังมีทหารอยู่อีกหลายสิบคนแล้วพวกเขาก็ไม่มีทั้งสกิล สเตตัส หรือปีศาจย่อมไม่มีทางเอาชนะชายฉกรรจ์สิบคนได้อยู่แล้ว
มีนายังพูดมาอีก
“ถ้าเป็นความสูงแค่นี้คุณอิงศรที่ยังมีพลังอยู่น่าจะกระโดดลงไปได้อยู่ค่ะเพราะงั้นพากวินทร์หนีไปด้วยกันก็พอพวกฉันจะอยู่ถ่วงเวลาเอง”
สรุปว่าสองฝาแฝดตั้งใจจะสละตัวเองเพื่อให้เขากับกวินทร์หนีไปอย่างนั้นสินะ
“แล้วแบบนั้นพวกเธอจะทำยังไงต่อกันล่ะ”
อิงศรถาม
“พวกฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะก็เป็นธุวดารกะนี่เนอะ”
เธอหันไปขอแรงสนับสนุนจากน้องชายแต่อิงศรก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“คิดว่าหลอกฉันได้รึไงเจ้าพวกนั้นที่เธอเรียกว่าครอบครัวมันไม่ปราณีคนทรยศแน่อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ!”
แต่เมษาก็แย้งกลับมาแบบขวานผ่าซาก
“เลิกเอ้อระเหยแล้วรีบๆ ไปซักทีเหอะน่าถ้านายโดนจับได้แล้วใครจะไปช่วยพวกที่ถูกอารย-สนธยา จับตัวไปเล่า”
ทว่าอิงศรก็ยังคงดึงดัน
“แล้วให้ทิ้งพวกนายไปเนี่ยนะฉันไม่ทำหรอก!”
คำพูดนั้นทำให้สองฝาแฝดเหลือบหันมาเล็กน้อยใบหน้าของทั้งสองกำลังลำบากใจ แต่ในตอนนั้นเอง...
“น่าๆๆ ไปกันได้แล้ว”
ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังมาเสียงสดใสของผู้หญิง
แล้วเจ้าของเสียงในชุดจีนโบราณสีขาวก็โผล่ออกมาจากไหนไม่รู้แต่หล่อนวิ่งฝ่าแนวของฝาแฝดธุวดารกะเข้ามาจูงมืออิงศรแล้วลากออกไปด้วยแรงมหาศาลจนขาลอยจากพื้นเลยทีเดียว
“พี่ศร!”
กวินทร์เสียงหลงด้วยความตกใจแล้วพุ่งตัวเกาะขาของอิงศรไว้กะว่าจะถ่วงน้ำหนักให้หญิงในชุดจีนปริศนาล้มแต่ดันกลับตาลปัตรถูกลากไปด้วยกันทั้งคู่หล่อนมีเรี่ยวแรงถึงขนาดนั้น
อิงศรและกวินทร์ถูกลากไปจนถึงหน้าผาแล้วหล่อนก็กระโดดลงไปโดยไม่ลังเลเลยซักนิดลากเอาเด็กหนุ่มทั้งสองติดไปด้วยกันและหายลับไปในเมืองข้างล่าง
ถึงจะยังฉงนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่มีนาก็ยิ้มออกมาเพราะว่าตอนนี้อิงศรหนีไปได้เรียบร้อยแล้วที่เหลือก็แค่ถ่วงเวลา...
“อึก!”
จู่ๆ ก็มีปลายแหลมของไม้เท้าแทงทะลุหน้าอกของตัวเองผู้ที่เสียบมันเข้ามาคือเทวทูต
“ผู้แปดเปื้อนไปด้วยมลทินเอ๋ยเจ้าเลือกเองนะ”
น้ำเสียงเด็ดขาดมีอำนาจของราฟาเอล จนถึงเมื่อครู่นี้เหล่าเทวทูตยังสาละวนอยู่กับปีศาจของอารย-สนธยาแต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้วดังนั้น มีนาผู้ทรยศก็จะต้องตายที่นี่
“มีนา!”
เมษาเรียก เด็กหนุ่มวิ่งหน้าตั้งจะเข้ามาช่วยพี่สาวแต่ก็ถูกชายร่างใหญ่เข้ามาขวาง
“อึก...พี่กรกฎ...”
แล้วตั้งท่าเตรียมสู้ทันทีเพราะอีกฝ่ายกำลังจะปล่อยหมัดซ้ายตรง เมษาเอี้ยวตัวหลบหมัดนั้นได้แล้วเกร็งกำปั้นขวาของตนซึ่งติดสนับมือไว้ตั้งใจจะปล่อยสวนออกไปที่ปลายคางตอนที่ลำตัวของอีกฝ่ายโยกเข้ามาใกล้พอ แต่ทว่า...
“อ่อก”
เมษากระอักแล้วคู้ตัวงอจนล้มลงไปกองกับพื้น ช่วงเวลาที่เขาเล็งเอาไว้กลับถูกเป็นฝ่ายถูกสวนด้วยหมัดฮุคขวาของอีกฝ่ายกระแทกเข้ากับลำตัวอย่างจัง กรกฎจับใบหน้าของน้องชายผู้ทรยศขึ้นมาแล้วใส่แรงบีบจนเกิดเรียกร้าวของกระดูก
“อ๊ากกก!!!”
เด็กหนุ่มกรีดร้อง มีเลือดไหลออกมาตามรอยจิกที่มือบีบทะลุกะโหลกหากจะกระฉากหนังหน้าออกให้เสียดเลือดจนตายเลยก็ทำได้ไม่ยากแต่กรกฏเลือกที่จะบีบต่อไปจนกะโหลกของเมษาเริ่มปริร้าว
เสียงกรีดร้องยิ่งทวีความดังมากยิ่งขึ้น เลือดไหลออกมามากขึ้นก่อนที่กุมภาจะพยักหน้าให้เป็นสัญญาณกรกฎจึงจับเมษาทุ่มลงไปกับพื้นทำให้หัวฟาดจนแตกเลือดสาดกระจายไปทั่วบริเวณนั้นแล้วจึงปล่อยมือ
เมษาสลบคาที่ไปทั้งอย่างนั้นใบหน้าถูกอาบไว้ด้วยเลือดสีแดงฉานดวงตาถลมเหลือกราวกับคนตายแต่ยังมีชีวิตอยู่ยังมีลมหายใจอยู่ถึงจะแค่รวยรินก็ตาม
ส่วนทางด้านมีนาที่กำลังจะถูกเทวทูตสำเร็จโทษก็ได้กุมภาอีกเช่นกันที่ช่วยเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะอย่าเพิ่งฆ่าเด็กคนนั้นเธอเป็นของที่สิงห์เหลือเอาไว้ถ้าเอามาใช้ดีๆ เราอาจจะต่อกรกับพวกอารย-สนธยาได้ค่ะ”
เทวทูตมองไปที่กุมภาสลับกับมองมีนาอยู่สองสามครั้ง
“…”
แล้วจึงค่อยถอนปลายไม้เท้าออกพร้อมกับรักษาบาดแผลให้ด้วยพลังของเทวทูต บาดแผลที่อกสมานตัวปิดสนิทในพริบตาเหลือไว้เพียงรอยฉีกขาดของเสื้อเท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิดผู้รับใช้ของพระเจ้าพวกเราขอตัว”
ราฟาเอลพูดเช่นนั้นแล้วเขากับเทวทูตอีกสององค์ กาบรีเอลและอูริเอลก็หายตัวขึ้นไปยังเบื้องบน
“จะให้ทำยังไงกับเจ้านี่”
กรกฎถาม
“เดี๋ยวให้ทหารเอาตัวไปขังไว้ก่อนรักษาให้ด้วยล่ะชีวิตของมันยังเอาไปต่อรองกับเด็กคนนั้นได้ส่วนมีนา...”
กุมภาตอบแล้วหันไปมองมีนาที่สลบไม่ได้สติอยู่บนพื้น
“เดี๋ยวให้หน่วยวิจัยรับไปจัดการหลังจากตรวจค้นแล้วยึดงานวิจัยของสิงห์ได้ทั้งหมดเราจะสานต่อมันทันที”
“ท่านพลเอกครับแย่แล้วครับ!”
ที่ประตูทางเข้ามีนายทหารคนหนึ่งวิ่งมาด้วยอาการเร่งรีบและแจ้งข่าวร้ายอันน่าตกใจแก่ที่ประชุม
“เมื่อซักครู่ระบบของเกมได้หยุดการทำงานไปเองอย่างไร้สาเหตุแล้วก็อีกเรื่องพวกมนุษย์ต่างดาวมันยกทัพมาโจมตีพวกเราแล้วครับ!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
