ตอนที่ 73 : Login 70: Last Supper
Login 70: Last Supper
หลังจากเรดจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายองค์กรเมตไตรย...
ทหารบางส่วนก็ต้องไร้ที่ซุกหัวนอนเพราะผลกระทบจากลำแสงของเพ็คด้าที่ลอยข้ามกำแพงจนไประเบิดโดนส่วนที่พักของทหาร เพื่อแก้ปัญหาจึงได้มีการจัดเตรียมที่พักชั่วคราวโดยจองโรงแรมราคาถูกในเมืองไว้ให้
ท้องฟ้าเป็นสีดำดวงจันทร์เริ่มปรากฏให้เห็น
สรุปก็คือตอนนี้เป็นช่วงหัวค่ำ
“เอ้าชนแก้ว!!”
เสียงนั้นดังข้ามาจากโต๊ะด้านหลังแล้วก็ยังมีเสียงทำนองนี้ดังมาจากโต๊ะอื่นๆ ที่อยู่รอบตัว เพราะที่นี่คือภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมแต่ถึงจะเรียกว่าห้องจัดเลี้ยง...
ที่จริงมันดูเหมือนโรงอาหารมากกว่า
โต๊ะขาเหล็กแบบพับขนาดหกที่นั่งวางเรียงกันเป็นตับกับขวดน้ำอัดลมอีกสองสามขวดบางโต๊ะก็เป็นเหล้ากับโซดา
ที่มุมห้องมีโต๊ะที่จัดไว้เป็นโซนบุฟเฟ่สำหรับตักอาหารกับพวกหม้อไฟฟ้าและจานชามอาหารเลี้ยงคืนนี้คือสุกี้ที่ทำจากเนื้อของสัตว์เทวะในเรดบอสนั่นเอง
“...”
อิงศรไม่ได้สนใจเสียงฉลองพวกนั้นแต่กำลังคิดเรื่องของไพ่อาคานาร์ที่ปรากฏขึ้นมาวันนี้ทีเดียวสองใบแถมยังออกมานอกเงื่อนไขที่เคยคิดเอาไว้
ใบแรกคือเดอะทาวเวอร์ออกมาหลังจากเมล์ตัวจับเวลาตายของสิงห์ถูกทำให้เป็นโมฆะอันนี้ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์เดิมครบทั้งหมดเพียงแต่คนที่ช่วยสิงห์เอาไว้นั้นไม่ใช่เขา...
ได้ยินว่าเมษาเป็นคนช่วยเอาไว้แล้วก็อีกใบได้มาจากที่ช่วยโดโกบาร์แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้มีเมล์ตัวจับเวลาตายเข้ามาแต่ไพ่เดอะจัดจ์เมนท์กลับปรากฏขึ้น
ทั้งสองใบมีจุดร่วมเดียวกับใบก่อนหน้าคือมีคนที่กำลังจะตายและถูกช่วยไว้
นอกจากเดอะทาวเวอร์ของสิงห์แล้วใบอื่นๆ ที่ได้มาเขาก็เป็นคนช่วยผู้เคราะห์ร้ายเองกับมือบางทีนี่อาจจะเป็นคีย์เวิร์ดที่แท้จริง
ต้องมีคนที่กำลังจะตายแต่ถูกช่วยไว้และคนพวกนั้นก็ต้องเป็นคนรู้จักของเขา
กวินทร์ มีนา เมษา แล้วก็สิงห์ สี่คนนี้ถูกช่วยไว้แล้วไพ่ก็ปรากฏออกมา
ยังมีพิพัฒน์ที่เป็นเหยื่อของเมล์รายแรกอีกคนแต่เขาช่วยไว้ไม่สำเร็จไพ่เดอะแชริออทที่ออกมาหลังจากนั้นจึงเป็นไพ่กลับหัวและตามที่ซีลอร์ดบอกมาว่ามันหายไป...
แต่แล้วก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหลังจากฟันเฟืองอาละวาดบางทีอาจจะเป็นเพราะเมล์ตัวจับเวลาตายของอิงศรเองที่ไม่สำเร็จแต่เขาก็ยังไม่ตายไพ่จึงออกมาในลักษณะกลับหัวแต่ไม่หายไป
กวินทร์กับนรินทร์เพิ่งกลับมาจากตักอาหารระหว่างที่เขากับมีนาเฝ้าโต๊ะให้ส่วนเมษาก็เอาหม้อไปเติมน้ำร้อนแล้วก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน
อิงศรเหลือบสายตามองโดโกบาร์ที่นั่งอยู่เก้าอี้ข้างๆ แล้วครุ่นคิดถึงเรื่องงานฉลองในวันนี้เป็นเพราะไม่มีการสูญเสียเลยแม้แต่คนเดียวเป็นการศึกที่จะต้องจารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์และทั้งหมดนั่นมีเบื้องหลังความสำเร็จมาจากหมอนี่
ควรจะฆ่าทิ้งซะตอนที่เผลอถ้าหากปล่อยเอาไว้ซักวันหนึ่ง วันที่เจ้านี่จะหันกลับมาทำลายมนุษย์ในฐานะของเครื่องทำสวนคงจะมาถึง...
อิงศรคิดแบบนั้นแล้วก็ยังคิดอีกว่า
ไม่มีทางทำแบบนั้นได้... เหตุผลไม่ใช่เรื่องหยุมหยิมอย่างเช่นอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหรือเคยเป็นพวกพ้องอะไรแบบนั้นเพียงแต่มันทำไม่ได้ต่างหาก
ไม่มีทางเลยที่จะจัดการกับสัตว์ประหลาดที่สามารถฆ่าจ่าฝูงสัตว์เทวะเลเวล 70 รวดเดียวสี่ตัวอย่างสบายๆ แบบนั้นได้ดังนั้นจึงต้องพูดว่าโชคยังเข้าข้างที่โดโกบาร์เลือกจะช่วยมนุษยชาติในวันนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามทีวันนี้เมืองกับศูนย์ใหญ่รอดมาได้ก็เพราะหมอนี่ที่จริงควรจะได้รับยกย่องเป็นวีระบุรุษเลยด้วยซ้ำแต่ทว่า...
“เฮ้ย! ศรแกแกล้งแรงไปแล้วนะเนี่ยมีนาร้องไห้ไม่ยอมหยุดเลย”
เมษาพูดตะเบ็งเสียงขณะที่วางหม้อลงบนเตาไฟฟ้าแล้วกวินทร์ก็เริ่มตักเครื่องจากจานบุฟเฟ่ใส่ลงหม้อต้ม
อิงศรมองข้ามไปยังอีกฟากของโต๊ะที่ซึ่งมีนาฟุบหน้าส่งเสียงสะอึกสะอื้นไม่ยอมหยุดตั้งแต่เข้ามาที่ห้องจัดเลี้ยง
คนที่ต้องแบกรับการสรรเสริญของโดโกบาร์ก็คือมีนาเพราะไม่อยากให้เรื่องที่มีเครื่องทำสวนมาอยู่กับพวกเขาแดงออกไปถึงหูของสิงห์จึงต้องกลบเกลื่อนโดยให้มีนาออกรับแทนแล้วมันก็สร้างความลำบากให้ใจกับเด็กสาวอย่างประเมินค่าไม่ได้ ระหว่างทางที่มายังห้องจัดเลี้ยงมีเหตุการณ์ชุลมุนมากมายเกิดขึ้นกับเธอซึ่งก็มาจากพวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านที่แห่กันมาถามถึงเรื่องที่เธอเป็นคนจัดการเรดบอสในวันนี้ได้อย่างไรซึ่งก็ได้นรินทร์ช่วยคิดเรื่องโกหกอย่าง...
‘นั่นเป็นอาวุธลับที่จะต้องใช้เวลาในการดำเนินพิธีกรรมเนิ่นนานเอามากๆ แถมพลังทำลายก็รุนแรงควบคุมก็ยากเลยถูกห้ามไม่ให้เอาออกมาใช้แต่เพราะคราวนี้เป็นเหตุสุดวิสัย’
อะไรทำนองนี้แหละจนบางทีก็รู้สึกทึ่งกับความสามารถในการโกหกหน้าเป็นของนรินทร์ที่เคยหลอกกระทั่งซากิรินักวิจัยซึ่งศึกษาระบบของเกมโลกาวินาศมาเป็นอย่างดีได้สนิท
มีนาพูดเสียงสะอื้น
“คุณอิงศรใจร้ายจังค่ะ”
อิงศรก็ไม่ได้อยากเพิกเฉยกับเรื่องนี้นักเพราะมันเป็นความผิดของเขาที่ไม่ได้ถามความสมัครใจของเธอแต่แรกดังนั้นเขาจึงคิดหาคำพูดที่จะปลอบใจเด็กสาวได้
“เอาน่าก็จะปล่อยให้เรื่องที่เรามีเจ้าอาวุธทำลายล้างโลกนี่แดงออกไปได้ไงเล่าแถมตอนนั้นคนที่เป็นซัมมอนเนอร์ก็มีแค่เธอด้วยอีกอย่างมีคนสรรเสริญก็ดีแล้วนี่อยากเป็นไอดอลไม่ใช่เหรอเธอน่ะเรื่องได้รับการยกย่องแค่นี้จิ๊บจ๊อยน่า”
เขาพยายามพูดอย่างนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่มันกลับออกแนวประชดประชันซะมากกว่าถ้าไม่นับเรื่องน้ำเสียงล่ะนะก็ในชีวิตสี่ปีหลังโลกล่มสลายเขาใช้วิธีพูดแบบนี้แค่ตอนที่ปลอบใจมิ่งขวัญให้เลิกร้องไห้เท่านั้นเอง
แต่มีนากลับส่ายหัวทั้งที่ยังฟุบหน้ากับโต๊ะ
“ไม่ใช่เรื่องนั้นค่ะ”
“หา? แล้วมันเรื่องอะไรเล่า”
อิงศรเลิกคิ้วด้วยความฉงน ดูเหมือนเพื่อนๆ เองก็เริ่มสงสัยว่าตกลงแล้วเธอกำลังโกรธเรื่องอะไรกันแน่
แล้วมีนาก็พูดด้วยเสียงที่เบาเป็นอย่างมากจนเหมือนกับเป็นการพึมพำ
“เห็นรึเปล่า...”
“เอ่อ...เมื่อกี้ว่าไงนะ”
“เห็นรึเปล่าคะตอนที่ทำฉันตกลงไปในหลุมน่ะ”
อิงศรทำหน้างงๆ เขาไม่รู้ว่าหล่อนกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“ก็แล้วเห็นอะไรเล่าพูดมาชัดๆ เด้!”
ในทันทีเด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาปุบปับแล้วตะคอกใส่หน้าเขาว่า
“ฉันถามว่าตอนที่ฉันตกลงไปเห็นใต้กระโปรงรึเปล่าคะ!”
ใบหน้าของหล่อนแดงก่ำเป็นลูกมะเขือเทศหลังจากพูดเรื่องนั้นออกมา ที่ขอบตายังมีรอยคราบน้ำตาติดอยู่
อิงศรส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วตอบปฏิเสธไป
“ไม่เห็น”
มีนาถามย้ำมา
“จริงๆ นะคะ”
“น่ารำคาญน่าบอกว่าไม่เห็นก็ไม่เห็นสิข้างล่างนั่นมืดซะขนาดไหนเธอก็เห็นแล้วไม่ใช่รึไง”
พอตะหวาดกลับไปแบบนั้นอีกฝ่ายก็ทำตัวหดลงเล็กน้อย แต่ครู่เดียวรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าสลดนั่นก่อนจะเปลี่ยนมันเป็นใบหน้ายิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ
“ในที่สุดก็ทำให้คุณอิงศรยอมฉันได้แวบหนึ่งแล้วค่ะ”
หล่อนพูดมาอย่างนั้นแต่อิงศรไม่เข้าใจความหมายของมัน
“ตกลงว่านี่เธอแกล้งร้องไห้เพื่อหลอกฉันเรอะ”
“เปล่าค่ะ ไอ้ที่โกรธน่ะมันก็โกรธอยู่หรอกเพราะจู่ๆ ก็มาให้รับบทแบบนั้นทั้งที่ไม่ได้ตกลงอะไรกันก่อนเลยแบบนี้คุณอิงศรไม่มีสิทธิ์มาบ่นนะคะ”
“อึก...”
“แต่เอาเถอะค่ะเพื่อโดโรธีจังแล้วจะยอมหยวนๆ ให้ก็ได้ค่ะ”
มีนาพูดแล้วยกตัวลอยข้ามโต๊ะมาจับหูสุนัขของโดโกบาร์ดึงให้ยืดออกอย่างสนุกมือ
ตกลงแล้วเขาเป็นห่วงเสียเปล่าสินะกับยัยคนนี้น่ะ...
อิงศรคิดเช่นนั้น
ขณะเดียวกันกวินทร์ก็ถามแทรกเข้ามา
“ว่าแต่พี่มีนาไอ้ที่ทำให้เคียวไฟลุกออกมาได้น่ะมันคือสกิลอะไรเหรอครับ”
"ที่ใช้ตอนอยู่ในหมอกพิษของอาริออทน่ะเหรอคะอันนั้นเป็นเดม่อนแอพค่ะ"
"เห~ พี่มีนาไม่ได้มีปค่เวตาลหรอกเหรอครับ"
"ก็ใช่ค่ะที่ได้จากกองทัพคือเวตาลอันเดียวส่วนซาลามันเดอร์นั่นซื้อมาจากร้านค่ะ"
ได้ฟังดังนั้นกวินทร์ก็ทำหน้างุนงง
"ซื้อมา...จากร้าน?"
มีนาปล้อนมือจากหูของโดโกบาร์แล้วกลับไปนั่งที่ก่อนจะเปิดหน้าจอบางอย่างส่งให้กวินทร์ดู
"นี่ไงคะเดม่อนช็อปที่เพิ่มขึ้นมาในหน้าร้านค้าตอนที่แพทซ์อัพเดท"
บนหน้าจอนั้นมีรายการที่เป็นชื่อของปีศาจมากมายเรียงลงมาเป็นแถวพอกดดูรายการหนึ่งก็จะมีหน้าต่างย่อยบอกรายละเอียดของแอพพลิเคชั่นปีศาจนั้นๆ ปรากฏขึ้นมา
กวินทร์ผุดยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กเห็นของเล่นแล้วก็เริ่มเปิดหน้าเดียวกับที่มีนาเปิดบ้าง
"อ้าวไหงหน้าช็อปของผมมีแค่สองตัวเองง่ะแถมเป็นแจ็กโอกับแจ็คฟรอสอีกตะหาก"
เด็กหนุ่มเบ้ปากพลางหันหน้าจอรายการที่มีแค่สองบรรทัดให้พรรคพวกดูแล้วมีนาก็พูดอธิบายมา
"เพราะปีศาจที่ซื้อได้จะมาจากการคำนวณความสามารถกับความเหมาะสมของคนๆ นั้นน่ะค่ะดังนั้นของกวินทร์อาจจะยังความสามารถไม่พอหรือไม่ก็เข้ากับปีศาจได้แค่ตระกูลแจ็คล่ะมั้งคะ"
"แปลว่าผมอ่อนสินะ เฮ้อ~"
กวินทร์ถอนหายใจด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่ายดูเหมือนจะรู้สึกสมเดชตัวเองที่แพ้เรื่องเดม่อนแอพตลอดซึ่งมันก็น่าให้เสียใจอยู่หรอกแต่อิงศรกลับรู้สึกส่าตนกำลังอิจฉากวินทร์อยู่นิดหน่อย
หมอนี่มีปีศาจที่พลังไม่สูงมากก็จริงแต่นำมาพลิกแพลงใช้ได้หลากหลายแล้วก็พวกมันเชื่อฟังคำสั่งไม่เหมือนกับของเขาอย่างเอลิกอร์นอกจากไม่ค่อยเขื่อฟังแล้วยังพยายามยึดร่างพอมาตอนนี้เป็นโอดินก็ดันหยิ่งผยองจนไม่ยอมฟังอะไรเลยถ้าให้เลือกระหว่างปีศาจที่เก่งกาจแต่ใช้งานไม่ได้สู้มีปีศาจกระจอกๆ แบบกวินทร์ยังจะดีซะกว่า
จากนั้นกวินทร์ก็ตัดใจจากเรื่องแอพฯปีศาจแล้วกลับไปเคี่ยวของในหม้อต่อจนกระทั่งน้ำเริ่มเดือดของในห้อมก็พร้อมที่จะกินจึงตักมันแบ่งใส่ถ้วยส่งให้ทีละคนวรจนครบทั้งโต๊ะ
อิงศรรับถ้วยของตัวเองมาดูแล้วก็ต้องเบ้ปาก
“ไม่เคยได้ยินว่ามีสุกี้ที่ใส่เนื้อวาฬกับเต่าลงไปด้วยนะ”
แล้วใช้ตะเกียบคีบกระดองเต่าจากถ้วยพลางมองเนื้อน่าสงสัยที่ลอยอยู่ในน้ำซุปและส่งกลิ่นประหลาดออกมา
กวินทร์พูด
“อ้ะ แต่กระดองของเพ็คด้ามันกินได้นะครับกรุบๆ กรอบๆ เหมือนเคี้ยวปูจ๋าเลยล่ะฮะ”
จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบกระดองเต่าในถ้วยตัวเองกัดมันคำโตให้ดูซึ่งก็เคี้ยวได้จริงๆ แถมยังส่งเสียงกรุบกรับออกมาจากปาก
นอกจากกวินทร์แล้วคนอื่นๆ ก็เริ่มตักของในถ้วยเข้าปากกันแบบไม่มีลังเล
มีนากินพวงใสๆ ที่ดูเหมือนแมงกะพรุน
เมษากินสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนปลาดาวตัวเล็กและสีม่วง
นรินทร์กินหนวดของปลาหมึกยักษ์
หลังจากกัดคำแรกเข้าไปก็มีคอมเมนท์ไหลออกมาเป็นสาย
มีนาพูด
“แมงกะพรุนดูเบนี่อร่อยกว่าที่คิดนะคะ”
เมษาพยักหน้าพูด
“อื้ม เมรัคนี่เห็นเป็นปลาดาวก็นึกว่าจะแข็งๆ ซะอีกแต่เจ้านี่นุ่มเป็นลูกชิ้นเลยล่ะ”
นรินทร์พูด
“หนวดของอาริออทก็มีรสเผ็ดตามที่เขียนกำกับไว้ในรายละเอียดไอเทมเลย”
เห็นดังนั้นอิงศรก็คีบก้อนปะการังในหม้อขึ้นมาบ้างแล้วตั้งคำถามกับพวกที่กำลังกินไม่ลืมหูลืมตา
“งั้นมิซาร์นี่ที่รายละเอียดไอเทมเขียนว่าชิ้นส่วนของมิซาร์ก็อาจจะมีอัลคอร์เป็นไส้สอดไว้ข้างในด้วยใช่มะ”
คำพูดนั้นทำให้อีกสี่คนหยุดตะเกียบทันควันแถมทำท่าจะสำรอกออกมาอีกต่างหาก
เมษาทำท่าโมโหแล้วตะเบ็งเสียงมาว่า
“เฮ้ย! อย่าพูดชวนอ้วกตอนกินข้าวซี่!”
“นั่นไงพวกแกเล่นกินไม่คิดกันเลยนี่หว่า”
อิงศรเถียงกลับ
“น่าๆ ทั้งสองคนอย่าทะเลาะกันกระทั่งเวลากินเลยนะ”
นรินทร์เป็นคนเข้ามาห้ามทัพแล้วตอนนั้นเองชิ้นปะการังที่อิงศรคีบไว้ก็เปื่อยจนขาดหลุดจากตะเกียบไปครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งเผยให้เห็นตัวอ่อนของหนอนอัลคอร์ขดตัวอยู่ด้านใน
เพียงเท่านั้น....
“เฮ้ย!!!”
เมษาตกใจจนเผลอหงายหลังตกเก้าอี้
“ว้ายยยยย!!!”
มีนากรีดร้อง
“อุบ...แหว”
กวินทร์ทำท่าจะสำรอกใบหน้าของรุ่นน้องเริ่มเปลี่ยนสี
“มีหนอนจริงๆ ด้วย”
นรินทร์จ้องมองตัวอ่อนที่อยู่ในชิ้นปะการังด้วยสายตาทึ่งเล็กน้อย
แล้ววงกินข้าวก็เป็นอันจบสิ้นลงด้วยประการฉะนี้....
เวลาผ่านไป
ตอนนี้ห้าทุ่ม แต่งานเลี้ยงยังคงไม่เลิกรา
พวกของอิงศรออกจากงานมาก่อนโดยตั้งใจว่าจะไปพักพวกเขาเดินผ่านระเบียงที่จะนำไปยังห้องพักแล้วก็สวนกับกลุ่มของทหารเด็กสาวที่มากันสามคน
“อ้าวมีนานี่”
เด็กสาวคนหนึ่งทักแล้วอีกสองคนก็ทักตาม
“ใช่จริงๆ ด้วย”
“เออนี่ๆ มาเม้าให้ฟังหน่อยสิเรื่องที่เค้าว่าเธอเป็นคนจบเรดเนี่ยเรื่องจริงเหรอยอดไปเลยนะเธอ”
มีนาเองก็ทำท่าเหมือนจะรู้จักทั้งสามคนนั้นจึงหันมาทางพวกเขาแล้วบอกให้ไปกันก่อน
“ไว้จะตามไปทีหลังค่ะขอแยกตรงนี้ก็แล้วกันเมษาอย่าลืมอุ่นน้ำรอด้วยล่ะ อ่ะกุญแจ”
แล้วส่งกุญแจห้องให้เมษาไป
“ใช้ยันเลยนะ”
เด็กหนุ่มรับกุญแจนั้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
หลังจากนั้นพวกเขาก็แยกกันเป็นสองทางเมษาไปกับกวินทร์เพราะพักห้องเดียวกันแล้วก็อยู่ข้างห้องของมีนา ส่วนนรินทร์ที่พักห้องเดียวกับเขาก็เดินตามไปอีกทาง
เดินขึ้นบันไดจนมาถึงระเบียงของชั้นที่สองซึ่งกันหน้าเข้ากำแพงที่ขวางกั้นทะเลไว้ก่อนจะถึงกำแพงก็ยังมีถนนกับตลาดนัดที่เริ่มเก็บร้านกันแล้ว ทิวทัศน์ยามค่ำคืนก็ยังสงบสุขราวกับว่าเรดเมื่อตอนบ่ายไม่เคยเกิดขึ้น มนุษย์หลังการล่มสลายใช้ชีวิตโดยเคยชินกับเรื่องพวกนี้พยายามปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์คือการอยู่รอดอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ระหว่างที่เดินอยู่กันสองคนตามลำพังนรินทร์ก็พูดขึ้นมา
“คนเราเนี่ยพอมีความหวังกันก็จะแสดงความน่ารังเกียจออกมาขนาดนั้นเลยเหรอ”
ไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดมาอย่างนั้น
นรินทร์ยังคงดำเนินบทสนทนานี้ต่อไปคนเดียว
“พอคุณมีนาแสดงพลังให้เห็นก็แห่กันมาคาดหวังเอาเองแบบนั้นก็เข้าใจอยู่หรอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะยินดีกันน่ะ”
“อะไรของนายเนี่ยจู่ๆ ทำไม...”
“ ไม่ใช่แค่วันนี้หรอกนะตอนที่อิงศรมาช่วยผมไว้จากมังกรในเรดสี่สัตว์เทพนั่นก็ด้วยตอนนั้นผมเองก็ดีใจที่ยังมีความหวังปรากฏขึ้นในวินาทีสุดท้ายแต่ว่าทำไม...”
นรินทร์หยุดคำพูดไปเพราะต้องหายใจเขารีบร้อนพูดจนเกินไป
“แล้วทำไมผมถึงต้องรู้สึกอึดอัดทุกทีเวลาที่เห็นทุกคนแสดงความคาดหวังออกมาด้วยนายพอจะเข้าใจบ้างรึเปล่าความรู้สึกนี้”
อิงศรมองนรินทร์ เด็กหนุ่มทำสีหน้าลังเลตลอดเวลาที่พูด
"..."
"อะ...ขอโทษนะที่พูดอะไรแปลกๆน่ะทำให้นายเห็นอะไรแปลกๆซะได้"
นรินทร์เปลี่ยนท่าทีที่พูดแล้วเริ่มหัวเราะแก้เขิน
อันที่จริงอิงศรก็พอจะสังเกตุเห็นพฤติกรรมของนรินทร์มาได้สักพักแล้ว
นรินทร์มักจะทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบไม่ก็ใกล้เคียงอยู่เสมอจนบางทีก็รู้สึกว่ามันมากเกินไปด้วยเหตุนั้นจึงถูกเรียกว่าอัจฉริยะผู้สมบูรณ์แบบแต่มันมีเหตุผลที่จะต้องเป็นแบบนั้นอยู่หรือเปล่าดูเหมือนความคิดนี้จะถูกต้องนรินทร์มีเหตุให้ต้องพยายามถึงขนาดนั้นสินะ
"แล้วไงถ้านายบอกว่าคาดหวังมันน่ารังเกียจหมายความฉันที่คาดหวังความสามารถโอเปอเรเตอร์ของทีมจากนายก็น่ารังเกียจด้วยงั้นสิ"
แต่นรินทร์ก็ปฏิเสธทันที
"ไม่ใข่แบบนั้นนะ...เอ่อ ถ้าเป็นอิงศรล่ะก็จะคาดหวังยังไงผมก็..."
"หมายความว่านายอยากเป็นคนที่ถูกคาดหวังซะเองว่างั้น"
"มันก็ไม่ใช่แบบนั้นเหมือนกันคือที่ผมอยากจะพูดน่ะ..."
"..."
อิงศรรอให้นรินทร์อธิบาย
"..."
นรินทร์จ้องมาที่เขาแล้วสูดลมหายผ่อนมันออกจากนั้นก็เริ่มพูดโดยเรียบเรียงใหม่อีกครั้ง
"คือที่ผมอยากจะบอกน่ะที่บอกไปว่าจำอะไรก่อนจะตื่นขึ้นมาโลกล่มสลายนี่ไม่ได้ที่จริงแล้วผมโกหก"
"นายจำได้ทั้งหมดงั้นเหรอ"
นรินทร์เกาหัวแล้วพูด
"เปล่า แค่เลือนรางน่ะจำได้แค่ว่าต้องเคยอยู่ท่ามกลางความคาดหวังของใครต่อใครมากมายแล้วพอความคาดหวังนั้นไม่ถูกตอบสนองก็เลยเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น...อ๊าาา ช่างมันเถอะ!"
เขาเปลี่ยนอารมณ์ไปหลายครั้งระหว่างที่พูด
"พอดีเห็นว่าอิงศรรอบรู้อยู่เลยคิดว่าน่าจะรับฟังปัญหาของผมได้ก็เลยถือวิสาสะอะนะขอโทษจริงๆ"
นรินทร์ขอโทษอย่างจริงจัง
"ก็ไม่เห็นต้องขอโทษนี่ นายพูดออกมานั่นแหละดีแล้วเก็บไว้ก็อึดอัดเปล่าๆ"
พอพูดไปแบบนั้น สีหน้าของนรินทร์ก็ดูผ่อนคลายลง
"งั้นเหรอ"
"เออสิ นายมันก็แค่เป็นคนดีเกินไปเท่านั้นแหละ"
"..."
นรินทร์ทำหน้าไม่เข้าใจที่พูดไปดังนั้นอิงศรจึงอธิบาย
"สำหรับนายความคาดหวังมันเป็นสิ่งน่ากลัวแล้วก็ทำให้ทรมานนายก็แค่ไม่อยากให้ฉันหรือมีนาต้องรู้สึกแย่กับความคาดหวังพวกนั้นเหมือนที่นายรู้สึกใช่รึเปล่า"
นรินทร์พยักหน้าให้อย่างเห็นด้วย
"ก็จริงนะบางทีอาจจะเป็นอย่างที่อิงศรว่า"
"ถ้างั้นก็เลิกกังวลเหอะไอ้ความคาดหวังอะไรนั่นน่ะจะมีนาหรือฉันหรือใครมันก็ไม่มีความหมายทั้งนั้นใช่ว่าทำพลาดแล้วจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นซักหน่อยคนเรามันไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปหมดถ้านายทำหน้าที่โอเปอเรเตอร์พลาดฉันหรือมีนาหรือคนอื่นก็แค่แก้ไขให้มันถูกต้องไม่มีความหมายที่จะต้องไปคาดคั้นเอาอะไรจากความผิดพลาดเลยนี่"
นรินทร์พยักหน้าอีก
"อืม"
"แล้วอีกอย่างไอ้ฉันน่ะมันชินกับความคาดหวังอะไรพวกนี้อยู่แล้วด้วยก็ถูกสิงห์มันคาดคั้นเอาอยู่ทุกวัน"
"เอ่อ คาดหวังกับคาดคั้นมันไม่เหมือนกันนา..."
"จะคาดไหนก็ช่างมันเหอะ"
แล้วนรินทร์ก็หัวเราะ
"ฮะๆๆ นั่นสิช่างมันเถอะพวกเราเนี่ยก็พูดเรื่องพรรค์นี้กันซะยืดยาวเลย"
“...”
จู่ๆ ก็เห็นเงาของใครบางคนปรากฏขึ้นมาแทรกกลางระหว่างพวกเขา
มันคือโดโกบาร์แต่... เด็กชายมาถึงที่นี่ตอนไหนกัน
อิงศรมองโดโกบาร์แล้วถามคำถาม
“มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“สองคนนั่นบอกให้ข้าตามมาทางนี้”
สองคนที่ว่าคงหมายถึงเมษากับกวินทร์ถ้าอย่างนั้นโดโกบาร์ก็ตามพวกเขามาตลอดตั้งแต่ตอนที่แยกกับมีนาแต่กลับไม่รู้สึกถึงตัวตนเลยอย่างนั้นหรือ
อิงศรถาม
“ก่อนหน้านี้ไปไหนมารึเปล่า”
โดโกบาร์ตอบ
“เปล่า”
นรินทร์พูด
“เพราะปกติไม่ค่อยพูดเลยไม่ค่อยรู้ว่าอยู่ล่ะมั้ง”
นั่นก็ฟังดูมีเหตุผลแต่คนปกติที่แค่ไม่พูดจะทำให้ตัวตนบางเบาขนาดที่เขาซึ่งมีความสามารถรับรู้อย่างละเอียดอ่อนของสายอาชีพเรนเจอร์ยังจับสัมผัสไม่ได้เลยหรือ
หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับห้องพร้อมกันสามคนโดยที่ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องความเบาบางของโดโกบาร์อีกค่ำคืนแห่งการฉลองจึงสิ้นสุดลงแค่นั้น
ทว่าอีกด้านหนึ่ง...
รถยนต์คันหนึ่งจอดสนิทอยู่ตรงทางโค้งหักศอกบนภูเขาด้านหลังตัวเมือง
ที่ตรงนี้เคยเป็นจุดชมวิว ตรงขอบทางก่อนถึงรั้วกั้นยังคงเหลือซากขาตั้งกล้องส่องทางไกลแบบหยอดเหรียญที่ตัวกล้องหลุดหายไปแล้ว
สิงห์ ธุวดารกะ ลงจากรถคันนั้นพร้อมด้วยข้าวหลามที่ลงจากที่นั่งฝั่งคนขับจากนั้นก็มีรถอีกคันขับเข้ามาจอดขนาบข้าง หญิงสาวคนหนึ่งลงจากรถคันนั้น
เส้นผมสีทองไว้ยาว ดวงตาสีน้ำข้าว ใบหน้าสวยได้รูปน่าจะมีเชื้อสายลูกครึ่ง
หล่อนสวมเครื่องแบบชนิดเดียวกับสิงห์ เครื่องแบบประจำตำแหน่งพลเอกและเป็นผู้ร่วมใช้ชื่อธุวดารกะเช่นเดียวกับตน
“เรียกมาซะป่านนี้คิดจะทำอะไรกันแน่กุมภา”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
