ลำดับตอนที่ #67
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #67 : Login 64: ความนึกคิดของเหล่าราชครู 1
Login 64: ความนึกคิดของเหล่าราชครู 1
ถึงประตูเหล็กจะปิดไปแล้วก็ยังมีเสียงทุบดังตึงตังบางทีพวกปีศาจคงพยายามจะพังประตูออกมาด้วยพลังระดับนั้นก็ขึ้นอยู่กับเวลาที่ประตูจะพังลงเมื่อไหร่
"เกือบไปแล้วเนอะศร"
เด็กสาวที่น่าจะเป็นสีดาหันมาส่งยิ้มให้ หล่อนยังเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปเลยทั้งรอยยิ้มทั้งความมีน้ำใจที่หยิบยื่นให้รวมถึงรูปร่างด้วย...
ดังนั้นอิงศรจึงตั้งคันธนูแล้วโก่งสายสร้างลูกธนูเพลิงเล็งไปที่เด็กสาว
"จะทำอะไรน่ะศรนี่สีดาเองนะ"
สีดาพูดมาด้วยท่าทีลำบากใจ
"เธอ...ไม่เปลี่ยนไปเลย"
"แหมอิงศรก็เหมือนเดิมเลยนะชอบทำอะไรให้ตกใจอยู่..."
แต่อิงศรพูดขัดคำพูดของหล่อนด้วยเสียงเหมือนตะหวาด
"ไม่ใช่! ฉันบอกว่านี่มันผ่านไปสามปีแล้วแต่ทำไมเธอถึงไม่โตขึ้นเลยต่างหากแถมยังพลังที่ต่อกรกับพวกปีศาจนั่นอีกเธอเป็นใครกันแน่"
ได้ยินดังนั้นเด็กสาวก็หุบยิ้ม หล่อนหรี่ตาลงแล้วพูดมาว่า
"งั้นเหรอ ไม่มีประโยชน์ที่จะเล่นละครต่อไปสินะ"
จากนั้นสีดาก็ลงมือฉีกทึ้งร่างกายตัวเอง สิ่งที่อยู่ภายใต้ผิวหนังที่มีชื่อว่าสีดาก็คือมนุษย์ต่างดาวเพศหญิง
มนุษย์ต่างดาวผู้งดงามไร้ที่ติ ผมสีทองยาวสยาย
ใบหน้าปราดเปรื่อง หางตาเชิดขึ้นเล็กน้อย
สวมเสื้อโค้ทสีดำที่เป็นเครื่องแบบประจำชั้นราชครู
ชื่อบนแถบพลังชีวิตเขียนเอาไว้ว่ารูบิเดียม
Rubidium LV. 144
[/////45230:45230/////]
จากบันทึกของกองทัพอิงศรจำได้ว่านั่นเป็นชื่อของราขครูลำดับที่สามซึ่งมีพลังเหนือกว่าลิเธียมลำดับที่หกที่เคยประมือกันแบบเทียบไม่ติด
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางสู้หล่อนได้เลย ดีไม่ดีต่อให้แอพพลิเคชั่นปีศาจอันใหม่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบก็อาจจะไม่คณามือหล่อนด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านออกว่ากำลังถูกประเมินค่าไว้สูง
สีหน้าเราแสดงออกขนาดนั้นเชียว...
รูบิเดียมยิ้มย่องอย่างพอใจ
"อย่าคิดต่อต้านให้เสียแรงเปล่าเลยรีบลดอาวุธลงเถอะ"
แต่อิงศรไม่ลดคันธนูลง
"สามปีก่อนพวกเอเลี่ยนบุกมาตอนนั้นเป็นฝีมือเธอสินะ"
พอถามไปแบบนั้นรูบิเดียมก็ยกมือแตะริมฝีปากอย่างคนตกใจ
"อุ้ย นี่เพิ่งรู้เหรอ"
หล่อนหัวเราะเหมือนจงใจจะยั่ว แต่อิงศรไม่เดินตามเกมง่ายๆ ถึงจะเพิ่งคิดว่าตัวเองโง่ขนาดไหนที่เคยโศกเศร้าให้กับหล่อนในฐานะครอบครัวที่ถูกมนุษย์ต่างดาวฆ่าตาย
บนสมรภูมิที่มีชื่อว่าโลกจะก่อนหรือหลังการล่มสลายก็แทบไม่ต่างกันมีคนโกหกมีคนหลอกลวงมีคนปลิ้นปล้อนอยู่ในทุกที่ทุกหนทุกแห่ง วัชพืชแห่งสวนขยะชอนไชรากลึกกว่าที่เห็นด้วยตาทั้งเลี้ยวลดและเคี้ยวคดยากจะหยั่งถึงแม้แต่คนที่คิดว่าเป็นครอบครัวก็ยังวางใจไม่ได้ ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งคนตรงหน้านี้ ไม่มีใครที่จะไว้ใจได้เลย
อิงศรเข้าใจเรื่องนั้นดีแต่กลับทำใจยอมรับไม่ได้
รู้สึกได้ว่าความโกรธควบคุมได้ยากและใบหน้าก็แสดงความเกลียดชังต่ออีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
"แล้วคนที่เปลี่ยนขวัญเป็นพวกเราก็คือฉันเอง"
รูบิเดียมจงใจยั่วยุ พอได้ยินแบบนั้นก็ไม่รู้แล้วว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาเป็นแบบไหนแต่ลูกธนูเกือบจะหลุดออกไป แวบหนึ่งที่เขาคิดอยากจะปล่อยลูกศรใส่หน้าของนางมารตรงหน้าให้แหว่งหายไปซักครึ่งซีกแต่หากทำแบบนั้น หากปล่อยให้อารมณ์ครอบงำจนต้องต่อสู้กันที่นี่คนที่จะตายก็คือเขาเองนั่นแหละ
แต่ว่าเฟืองบนหลังจะยอมให้เขาตายไหมนะ?
หรือควรจะปล่อยให้อาละวาดที่นี่ให้พังพินาศไปพร้อมกับศัตรูตรงหน้าเสียเลยดี?
อิงศรรู้ว่านั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ควรเลือกมันไม่ใช่หนทางของมนุษย์มันไม่ต่างอะไรจากเลือกทางที่จะตาย โลกอาจจะพังพินาศไปก่อน
"แกมาทำอะไรที่นี่... ไม่สิการที่แกมาอยู่ที่นี่ก็แสดงว่าแกรู้เรื่องการทดลองนั่นแล้วก็เล็งตัวฉันกับขวัญไว้ใช่ไหม"
อิงศรถามโดยที่ยังจับธนูไว้มั่น สายตาขอวรูบิเดียมที่เหม่อมองมานั้นเหมือนกำลังสมเพช
"ปึกเอกสารในมือนาย.."
หล่อนชี้มาที่ปลายของกระดาษที่แล่บออกมาจากคอเสื้อ มันคือเอกสารของอารย-สนธยาที่อิงศรยัดใส่เสื้อไปตอนที่เล็งธนู
"งั้นนายก็คงรู้เรื่องของที่นี่แล้วสินะ"
"พวกที่อยู่หลังประตูนั่นก็ฝีมืออารย-สนธยางั้นเรอะ"
รูบิเดียวเหลียวกลับไปมองที่ประตูเหล็กซึ่งยังคงมีเสียงทุบตึงตังดังมาไม่ขาดสาย
"หมายถึงพวกเดโมนอยด์นั่นน่ะเหรอ"
"เดโม... อะไรนะ"
รูบิเดียมหันกลับมาแล้วเริ่มพูด
"เดโมนอยด์น่ะเป็นพวกมนุษย์โคลนที่ตัดต่อพันธุกรรมรวมกับปีศาจจากแอพพลิเคชั่นปีศาจสำหรับสร้างกองทหารเทพมารแต่ว่าพวกที่หลังประตูเป็นของที่ล้มเหลวจากการทดลอง แน่นอนว่าของที่ทำสำเร็จมันก็มีเหมือนกันเจ้าพวกนั้นจะมีสติสัมปัญชัญญะเหมือนมนุษย์ทุกอย่างแต่สามารถใช้พลังของปีศาจได้อย่างสมบูรณ์เป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจที่เหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยายเลยล่ะ"
เป็นอย่างที่อิงศรคาดเดาไว้พวกเด็กจากสถานสงเคราะห์เป็นมนุษย์โคลนของอารย-สนธยา
"อ้อ แต่สบายใจได้นายกับขวัญน่ะไม่ได้เกิดจากการทดลองพวกนั้นหรอกนะ"
ไม่รู้ทำไมหล่อนถึงพูดมาอย่างนั้น บางทีอาจเป็นเรื่องโกหก... หรือว่าจงใจพูดให้รู้สึกสับสนกันแน่
"ฉันไม่สนใจเรื่องชาติกำเนิดตัวเองหรอกนะที่นี้ก็บอกมาซะว่าขวัญอยู่ที่ไหนเธอเอาหมอนั่นไปเก็บไว้ที่ไหน"
อิงศรดึงสายดีดธนูจนมันตึงถึงขีดสุด
แต่รูบิเดียมกลับหัวเราะ
"อะไรของนายเนี่ยนั่นมันคำพูดของทางนี้ต่างหาก เอาล่ะมากับฉันสิ"
หล่อนพูดแล้วยื่นมือออกมา
"ฉันจะพานายไปพบขวัญให้เองแล้วก็จะเปลี่ยนนานเป็นพวกของเราทีนี้เรื่องวุ่นวายก็จะจบลง"
ทั้งที่พูดมาแบบมั่นใจว่าจะจับตัวเขาไป ไม่สิเรื่องนั้นน่ะทำได้ง่ายมากหล่อนแข็งแกร่งกว่าจนเขาเทียบไม่ติดต้องพาตัวเขาไปได้อย่างแน่นอนแต่หล่อนกลับเป็นฝ่ายลดมือที่ยื่นมาซะเอง
"ก็อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอกแต่ฝั่งฉันดันมีตัวจุ้นเข้ามาสอดอยู่ขืนพานายกลับไปตอนนี้มีหวังแผนการป่นปี้หมดแน่เพราะงั้นหนี้ฉันจะปล่อยนายไปก็แล้วกัน"
หล่อนพูดมาอย่างนั้นแล้วผายมือไปยังทางแยกด้านข้างที่อยู่ก่อนถึงประตูเหล็ก
"ถ้าเดินออกไปตามทางเส้นนี้ก็จะขึ้นไปข้างบนได้รีบหนีไปกับพรรคพวกซะก่อนที่พวกของฉันจะมาถึงที่นี่แล้วไม่ต้องกลับมาอีกนะเพราะพรุ่งนี้ที่นี่ก็จะถูกทำลายจนหมดแล้ว"
ไม่รู้ว่าทำไมแต่หล่อนก็เดินสวนเขามาแล้วผลักหลังให้จนเซมาถึงหน้าทางแยก จากตรงนี้เขาสามารถหนีหล่อนพ้นได้ คิดว่านะ...
"เอ้ารีบไปซี่"
รูบิเดียมพูดเร่งมา ดูเหมือนหล่อนจะเอาจริงเรื่องปล่อยให้เขาหนี
"พวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่"
"ก็ช่วยชาวโลกอย่างพวกนายไงเพราะแบบนั้นงานวิจัยของ อารย-สนธยา มันถึงได้อันตรายเกินไปก็เลยจะทำลายให้หมดพูดแค่นี้พอจะเข้าใจไหมล่ะ"
มันก็ต้องไม่เข้าใจอยู่แล้ว แต่ที่ไม่เข้าใจคือเรื่องที่บอกว่าช่วยมนุษย์นี่แหละพวกเอเลี่ยนคิดอะไรอยู่กันแน่เขาไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย
"มนุษย์จะถูกกอบกู้โดยมนุษย์เท่านั้น"
อิงศรพูด
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกไป แค่มันรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นไปโดยสัญชาติญาณ บางทีคงจะเป็นอคติที่มีต่อมนุษย์ต่างดาวแล้วเขาก็อยากต่อต้านมันด้วยตัวเองจึงพูดออกไปแบบนั้น
แต่ทว่า...
คำพูดเมื่อครู่นั้นทำให้รูบิเดียมหน้าถอดสี
"อดาเมียม..."
แล้วหล่อนก็พึมพำคำพูดที่ไม่มีความหมายหรืออาจจะมีความหมายในแบบที่มนุษย์ไม่เข้าใจออกมา
“หา?”
พอส่งเสียงไปแบบนั้น หล่อนก็รีบเปลี่ยนท่าที
“รีบไปซะก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ”
อิงศรไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามที่บอก เขาออกไปข้างนอกด้วยทางแยก
ทางเดินคับแคบจนเหลียวตัวแทบไม่ได้แถมยังมืดสลัวนำไปยังบันไดอิงศรก้าวเท้าขึ้นบันไดพอไปถึงขั้นสุดท้ายก็พบกับประตูฉุกเฉินและเมื่อเปิดมันออก
แสงแดดก็สาดลงมาจนตาพร่าไปชั่วขณะ
จนเมื่อสายตาปรับชินกับแสงแล้วก็พบว่าตัวเขามาโผล่เอาที่อาคารร้างแห่งหนึ่งที่ชั้นข้างบนถล่มลงมาหมดรวมถึงเพดานทำให้แสงแดดส่องลงมา
อิงศรหันกลับไปมองบันไดที่ขึ้นมาแล้วนึกทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้น
เรื่องของอารยสนธยา
เรื่องของตัวเองที่เป็นผลการทดลองอะไรซักอย่างที่เมอร์คาบาห์
เรื่องของสีดาที่ตัวจริงกลับกลายเป็นมนุษย์ต่างดาวแล้วก็เรื่องของมิ่งขวัญที่หล่อนพูดมา
อิงศรออกเดินพลางปล่อยให้ความคิดแล่นไป
"ว่าแต่ต้องเดินไกลขนาดไหนล่ะเนี่ย"
เด็กหนุ่มเหม่อมองตึกห้างสรรพสินค้าที่จะต้องเดินกลับไปซึ่งตั้งอยู่ไกลพอสมควรแล้วเวลาที่นัดกับวิเชียรมาศไว้ก็ใกล้จะหมดแล้วไหนยังจะที่รูบิเดียมพูดเอาไว้เรื่องที่จะยกกำลังมาที่นี่แล้วทำลายห้องวิจัย ถ้านั่นเป็นความจริงก็ต้องรีบกลับไปให้ทันแล้วรีบหนีออกจากที่นี่ทันที
เมื่อสรุปสิ่งที่ต้องทำแล้วอิงศรก็เริ่มออกวิ่ง
หลังจากนั้นหลายสิบนาทีเขากับวิเชียรมาศก็หลบหนีออกจากเมือง
...
มิ่งขวัญลองดึงสายปลอกคอที่สวม
แปล๊บ... ความรู้สึกแบบนั้นแล่นขึ้นมาทันทีจนเผลอสะดุ้งปล่อยมือจากปลอกคอ
ปลอกคอระเบิดอันใหม่ที่ได้รับจากรูบิเดียมหนนี้มันถูกปรับปรุงให้มีกระแสไฟฟ้าไหลออกมาเมื่อพยายามแกะออกและหากฝืนมากๆ เข้าระเบิดก็จะทำงาน
หลังจากเหตุการณ์ที่หนีออกไปครั้งนั้นจู่ๆ ก็มีคำสั่งให้ย้ายมารับใช้ราชครูลำดับที่สองแล้ววันนี้ก็เป็นวันแรกที่ย้ายมาอยู่บนยานอวกาศของสังกัดที่ว่า
เขาได้รับเวลาว่างสำหรับทำความคุ้นเคยกับยานจึงออกมาเดินเล่น ให้ถูกคือจำใจออกมาเพราะเป็นคำสั่ง
มิ่งขวัญเดินเอ้อระเหยอยู่บนสะพานเหล็กที่พาดผ่านเตาพลังงาน
พื้นระเบียงเป็นร่องตาจ่ายทำให้ความร้อนจากเตาส่งผ่านขึ้นมา
เขาจึงปลดกระดุมปกเสื้อไว้หลวมๆ
ในตอนนั้นเอง...
"เอ่อขอโทษนะค้า~"
มีเสียงดังมาจากอีกฟากของสะพานมนุษย์ต่างดาวหญิงสาวกำลังวิ่งมาทางนี้
ผมสีเงิน สวมแว่นตา ท่าทางป้ำๆ เป๋อๆ ดูจากบุคลิกแล้วน่าจะเป็นพวกชั้นครู
ชุดของหล่อนเป็นชุดชั้นราชครูสีดำและชื่อประจำตำแหน่งมนุษย์ต่างดาวก็คือ ‘โซเดียม’
Sodium Lv. 144
[/////49500:49500/////]
แถบพลังชีวิตและชื่อของหล่อนแสดงข้อมูลเหมือนกับโซเดียมคนก่อน
น่าจะเป็นผู้รับตำแหน่งลำดับที่ห้าคนใหม่แทนที่โซเดียมคนก่อนซึ่งตายไปในสงครามกับพวกเมตไตรยหนนั้น
ราชครูสาวตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยพอเธอเข้ามาใกล้ก็เลยต้องเงยหน้าพูดกับมิ่งขวัญ
"คิดว่าต้องหลงทางซะแล้วพอเดินเพลินๆ อยู่คุณอัศวินก็หายไปซะงั้น"
หล่อนพูดมาอย่างเร่งรีบจนจับใจความไม่ได้แต่ดูเหมือนว่าจะหลงทาง
"ว่าแต่ที่นี่มันที่ไหนแล้วคะเนี่ยถึงเวลาที่ท่านลำดับที่สองนัดแล้วด้วย"
ราชครูสาวพูดพลางแลซ้ายทีขวาที หล่อนดูไม่ค่อยนิ่งเท่าไหร่แตกต่างลำดับที่หกคนก่อนโดยสิ้นเชิง
"..."
มิ่งขวัญไม่ตอบคำถามดังนั้นหล่อนจึงพูดมาอีกด้วยใบหน้าสลด
"เอ่อคือว่า คุณอัศวินโกรธที่ฉันเอาแต่เดินตามใจงั้นเหรอคะ"
"..."
"คือว่าถ้าทำให้คุณอัศวินไม่พอใจฉันต้องขอโทษด้วยค่ะ"
แล้วเด็กสาวก็ก้มหัวลง
"..."
โดนราชครูก้มหัวให้ง่ายๆ ก็เลยไม่รู้จะตอบรับอย่างไรถึงจะดี
ควรบอกเธอว่าเขาไม่ใช่อัศวินอย่างที่เธอเรียกน่าจะดีกว่า
แต่ทว่า...
"เขาไม่ใช่อัศวินของท่านหรอกขอรับข้าพเจ้าอยู่ทางนี้ต่างหาก"
มีชายคนหนึ่งพูดมาอย่างนั้นจากทางด้านหลังของราชครูสาว
ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ชายคนนั้นจับจ้องสายตามายังมิ่งขวัญ
"เขาคือรากเหง้าเดิมของข้าพเจ้าที่อยู่ในสวนแห่งนี้แต่ว่าถูกท่านรูบิเดียมเปลี่ยนให้เป็นบุตรแห่งแสงเหมือนพวกเรา"
มิ่งขวัญมองหน้าชายเจ้าของคำพูดแต่ใบหน้านั้นกลับเป็นรูปสะท้อนของตัวเองในอีกสองปีข้างหน้า เป็นมิ่งขวัญวัย 17 ปีที่มีท่าทางสุขุมกว่าตัวเขาในตอนนี้
ใบหน้าที่ชวนให้นึกถึงเรื่องในอดีตราวสองปีก่อน...
ผ่านไปได้ปีหนึ่งหลังจากที่กลายเป็นมนุษย์ต่างดาวมิ่งขวัญก็ได้พบกับตัวเองอีกคนที่มีอายุ 17 ตอนนั้นรูบิเดียมพาเขาไปแสดงเป็นผลงานให้ราชครูลำดับที่หนึ่งกับสองดู แต่ตอนนั้นลำดับที่สองไม่ได้อยู่ด้วยคนที่มาเป็นตัวแทนในตอนนั้นก็คือหมอนี่...
ตัวเขาอีกคนไม่ได้ดูต่างไปจากตอนนั้นเลยแม้เวลาจะผ่านมาสองปีแล้วก็ตาม
ราชครูสาวอุทาน
“ต...ตายแล้วคุณอัศวิน..คุณแบเรียมมีสองคน”
ขณะที่หันสลับไปมาระหว่างมิ่งขวัญทั้งสองคน
แต่ชายหน้าเหมือนที่ชื่อว่าแบเรียมทำเมินท่าทีเช่นนั้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ท่านโซเดียมท่านพี่กำลังรออยู่ขอรับโปรดตามข้าพเจ้ามา”
ราชครูสาวตอบเสียงอ้ำอึ้ง
“เอ่อ...อ่า...ค่ะ”
แล้วแบเรียมก็มองข้ามหัวหล่อนมาทางนี้
“เจ้าเองก็ด้วยท่านพี่กำลังเรียกหา”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น