ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #64 : Login 61: ภัยจากท้องฟ้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 704
      35
      2 ม.ค. 60

    Login 61: ภัยจากท้องฟ้า


                อิงศรมองดูมีนากำลังเลือกรายการจากหน้าจอที่ฉายบนแท่นบูชาซึ่งตั้งอยู่กลางลานหินอ่อนรูปวงกลมที่รายล้อมด้วยเสาหินเจ็ดต้นและถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้ของป่าอีกที

                ที่นี่คือ 'เทอมินัล' สถานที่ๆ จะพาพวกเขาไปยังดันเจี้ยน

                มีนาเพิ่งจะเลือกรายการสุดท้ายที่เป็นการยืนยันสถานที่ปลายทางไป

                แท่นบูชาเปล่งแสงออกมา แสงสว่างเจิดจ้าจนต้องหลับตา

                สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของแสงนั้น มันกำลังใกล้เข้ามา

                พวกเขาถูกแสงจากแท่นบูชาห่อหุ้มเอาไว้ที่รู้มีเพียงแค่นั้น...

     

                'การขนส่งเสร็จสิ้น'

                มีเสียงดังมาแบบนั้น อิงศรปรือตาขึ้น

                พวกเขายังยืนอยู่บนเทอมินัลแต่สถานที่รอบตัวเปลี่ยนไป

                ตอนนี้เทอมินัลไม่ได้ตั้งอยู่กลางป่าแต่ตั้งอยู่กลางทะเล

                พื้นทราย น้ำตื้น คลื่นกระเพื่อมเบาๆ

                ท้องฟ้าว่างเปล่าไม่มีเมฆเลยซักก้อน แสงแดดแรงเสียจนรู้สึกร้อนอบอ้าว ร้อนเสียจนเหงื่อไหลย้อย

                บริเวณโดยรอบไม่มีอะไรเลยนอกจากทะเลน้ำตื้นที่ทอดยาวออกไปจนติดกับเส้นขอบฟ้าที่ว่างเปล่า ที่นี่คงไม่ใช่สถานที่บนโลกแต่น่าจะเป็นมิติพิเศษที่สร้างขึ้นมามากกว่า

                แล้วจากที่ไม่มีอะไรเลยนั่นเอง...

     

    Zodiac Follower Blue Fin Lv. 60

    [/////9500:9500/////]

     

                แถบพลังชีวิตกับชื่อของสัตว์เทวะก็เริ่มลอยขึ้นมาจากใต้ทราย ไม่นานพวกมันก็ปรากฏร่างขึ้นมา แหวกว่ายหรืออาจจะต้องบอกว่า คลานไปบนน้ำมากกว่า สัตว์เทวะหน้าตาเหมือนปลาหัวโตมีตาสองคู่ตั้งอยู่ข้างบนกรอกไปมาได้ พวกมันใช้ครีบบริเวณอกต่างขาในการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

                สัตว์เทวะหน้าตาประหลาดเริ่มโผล่กันออกมามากขึ้น คืบคลานไปบนน้ำตื้นราวกับหนอนยั้วเยี้ะไปหมดทุกที่

                เมษาพูดด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

                คราวนี้เป็นปลาตีนเทวะล่ะ

                นั่นน่าจะเป็นคำจำกัดความรู้สึกของพวกเขาทุกคนในตอนนี้

                จากนั้นเสียงของซากิริที่ส่งผ่านมาทางแว่นตาก็ดังขึ้นแต่เหมือนจะสัญญาณจะไม่ค่อยดีนัก

                'นี่...ได้...ไหม...ด้วย'

                หลังจากนั้นเสียงจึงหยุดลงแล้วตรงหน้านรินทร์ก็ปรากฏหน้าจอสื่อสารขึ้นมา

                'ภาพจากกล้องดับไปแล้วดูเหมือนทางนั้นจะมีคลื่นแทรกหรือไม่ก็เพราะความต่างของมิติเวลาล่ะมั้งเอาเป็นว่าไว้กลับมาเล่าให้ฟังด้วยล่ะ'

                หล่อนบอกธุระเสร็จก็ตัดการสื่อสารไปเลย เป็นพวกสนใจแต่เรื่องของตัวเองอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าตอนนี้ปลอดภัยจากการถูกจับตามองแล้ว

                มีนาออกมายืนข้างหน้าพวกเขาแล้วเริ่มพูด...

                "จะขอทวนภารกิจอีกครั้งนะคะเกี่ยวกับอาชีพซัมมอนเนอร์ของฉันซึ่งทางกองทัพใช้การแฮกข้อมูลของเกมโลกาวินาศเปลี่ยนให้ซึ่งที่จริงพอเลเวลหกสิบแล้วฉันก็จะได้รับการบริการแฮกข้อมูลเพื่อเปลี่ยนเทคนิคัลจ็อบให้อยู่แล้วแต่เพราะแพทซ์อัพเดทล่าสุดทำให้อาชีพซัมมอนเนอร์สามารถเปลี่ยนได้เป็นอาชีพปกติและเพื่อเก็บข้อมูลในเรื่องนี้พวกเราเลยต้องมาตกระกำลำบากกันที่นี่ค่ะ"

                หล่อนพูดไปยิ้มไปอย่างน่าหมันไส้แต่ก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว

                มีนาชี้ไปที่สัตว์เทวะแล้วพูดด้วยท่าทีสนุกสนาน

                "แล้วเจ้าปลาตะเพียนนั่นก็คือเหยื่อที่จะต้องล่าเพื่อดรอปเอาไอเทม 'ครีบสีคราม' มาให้ฉันใช้เปลี่ยนเทคนิคัลจ็อบค่ะ"

                เมษาหักนิ้วไปมาจนเกิดเสียงดังกร๊อก

                "อาว~ล่ะ หลังจากวิ่งอย่างเดียวจะได้ยืดเส้นยืดสายบ้างแล้ววุ้ย"

                พลางตั้งท่าจะเริ่มเป้นคนแรกแต่ทว่า...

                "งั้นผมไปก่อนนะครับเทคนิคัลเวพ่อน! (Technical Weapon)"

                กวินทร์ชักดาบออกมาแล้วใช้สกิลปลดปล่อยพลังใส่อาวุธ สกิลของเทคนิคัลจ็อบ Double Dealer ซึ่งเชี่ยวชาญการใช้อาวุธเสริมพลังด้วยธาตุทั้งสี่อย่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ

                ดาบสีดำเล่มหนาแยกตัวออกเป็นดาบสองเล่มและมีขนาดที่บางลงกวินทร์ตวัดดาบคู่ออกแล้วพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

                เมษาที่ตามไม่ทันจึงได้แต่ร้องเรียก

                "หา...เฮ้ยรอฉันก่อนเด้!"

                แต่กวินทร์ไม่ฟัง รุ่นน้องไปถึงตัวสัตว์เทวะแล้วเงื้อดาบทั้งสองเล่มขึ้น

                "อิเล็กทริคเบลด! ไพโรเบลด!"

                สายฟ้ากับเปลวไฟวนพันรอบใบดาบแต่ละเล่ม กวินทร์ตวัดดาบเหล่านั้นอย่างคล่องแคล่วเพียงพริบตาเดียวสัตว์เทวะก็ถูกจัดการไปเรียบร้อย

                ทันทีที่ร่างของสัตว์เทวะสลายไปถุงสิ่งของและสารพัดขวดยากับกล่องไม้ก็โปรยลงมาลอยเจิ่งเต็มพื้นน้ำแต่ดูเหมือนจะไม่มีของที่ต้องการอยู่ในนั้น กวินทร์จึงออกหาเหยื่อรายต่อไปแล้วจัดการโดยที่ไม่เก็บของที่ดร็อปออกมาเพราะล้วนแต่เป็นของที่ไม่มีมูลค่าหรือไม่ก็มีราคาน้อยนิดจนไม่คุ้มที่จะเสียเวลา

                เมษาที่ยังไม่ได้ก้าวไปไหนก็บ่นออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจ

                "โธ่เว้ย อยากใช้เทคนิคัลเวพ่อนมั่งจังแต่ของเราดันเป็นแบบไว้ป้องกัน"

                แล้วแยกออกจากวงไปไล่จัดการสัตว์เทวะอีกคน

                ดูเหมือนว่าแค่กวินทร์กับเมษาก็จัดการได้อย่างสบายๆ จนไม่มีช่องให้เข้าไปแทรก

                เพราะอย่างนั้นมีนาถึงได้เสนอเรื่องไร้สาระขึ้นมา

                "ท่าทางพวกเราคงไม่ต้องทำอะไรกันแล้วล่ะค่ะงั้นตอนนี้หาเรื่องคุยฆ่าเวลากันดีกว่าค่ะอย่างเรื่องของคุณนรินทร์ก่อนโลกล่มสลายอะไรแบบนี้"

                หล่อนพูดแล้วส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปทางนรินทร์

                เด็กหนุ่มที่ถูกจ้องทำหน้าตกใจ

                เอ๋?”

                "ก็ไหนๆ คุณนรินทร์ย้ายจากหน่วยของพลเอกสิงห์มาอยู่หน่วยพวกเราถาวรแล้วนี่คะถือว่าเล่าไว้เพื่อเป็นการทำความรู้จักพื้นเพของแต่ละคนไงคะ"

                อิงศรพูดโดยไม่หันไปมอง

                "ชอบจุ้นจ้านเรื่องชาวบ้านเหลือเกินนะเธอเนี่ย"

                "ไม่ปฏิเสธค่ะก็มันเป็นพรสวรรค์ของฝ่ายข่าวกรองอย่างฉันอยู่แล้วนี่คะ"

                แต่นรินทร์กลับทำท่าเหมือนกับลังเลอยู่

                "..."

                ตอนนั้นเอง อิงศรก็นึกถึงเรื่องที่มีนาเคยถามกวินทร์เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อนเป็นเรื่องที่กวินทร์เคยคุยกับมนุษย์ต่างดาวผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งตอนนั้นมาพร้อมกับมิ่งขวัญ และกวินทร์ก็เรียกเธอคนนั้นว่า พี่สาว

                อย่างไรก็ตามกวินทร์ไม่ได้เล่าความจริงให้พวกเขาฟังเจ้าตัวให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องที่อยากจะลืมทุกคนก็เลยไม่เซ้าซี้ต่อ

                อิงศรหันไปพูดกับนรินทร์ที่ยังคงไม่ตอบคำถาม

                "ถ้าไม่อยากเล่าไม่ต้องฝืนก็ได้นะ"

                แต่นรินทร์ส่ายหน้า

                "คือมันไม่ใช่ว่าไม่อยากเล่าหรอกแต่ว่า..."

                แล้วเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังนึกคำพูด

                "ตัวผมตอนที่ตื่นขึ้นมาก็อยู่ในโลกที่ล่มสลายไปแล้วล่ะดูเหมือนผมจะป่วยร้ายแรงอะไรซักอย่างเลยทำให้นอนหลับมาตลอดล่ะมั้งแถมยังจำเรื่องก่อนหน้านั้นไม่ได้อีกด้วย"

                มีนาพูด

                "งั้นก็เหมือนกับฉันเลยน่ะสิคะที่หายจากโรคร้ายได้เพราะโลกกลายเป็นเกม"

                นรินทร์พยักหน้าให้คำพูดนั้น

                "อืมก็คงอย่างงั้น"

                อยู่ๆ มีนาก็ทุบมือดัง ปึ้ก

                "จริงด้วยค่ะ พอพูดขึ้นมาก็นึกออกเลยล่ะค่ะ"

                แล้วหันไปทางอิงศร

                "ตอนนั้นเราสัญญากันไว้นี่คะว่าจะมาถกกันเรื่องที่ทำไมคุณอิงศรถึงยังไม่หายตาสั้นทั้งที่โลกกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว"

                “…”

                 อิงศรพยายามนึกอยู่ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเคยมีพูดอะไรไว้แบบนั้นจริงๆ

                "ตอนนั้นเธอพูดเองเออเองอยู่คนเดียวไม่ใช่รึไง"

                "เหรอคะ แต่ไหนๆ ก็ว่างกันอยู่แล้วมาถกเรื่องนั้นฆ่าเวลากันเถอะค่ะ"

                ถึงหล่อนจะเซ้าซี้มาอย่างนั้นก็ตามแต่จะตอบยังไงดีล่ะเพราะขนาดเรื่องนี้ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

                ตอนนั้นเอง นรินทร์ก็เสนอขึ้นมา

                "คือ...ตอนนี้ฝั่งคุณซากิริก็ไม่ได้ยินพวกเราแล้วไม่ลองถามโดโรธี เอ้ย... โดโกบาร์ดูล่ะเขาน่าจะรู้นะ"

                โดโกบาร์หันมาเหมือนจะรู้สึกด้วยตัวเองว่ากำลังโดนพูดถึงอยู่ แล้วมีนาที่จดจ่ออยู่กับหัวข้อคำถามก็เดินดุ่มๆ ไปถามเอาดื้อๆ

                "จะว่าไปก็จริงด้วยนะคะ ถ้างั้นก็ขอถามโดโรธีเลยก็แล้วกันค่ะ"

                ดูเหมือนว่าโดโกบาร์จะรู้ทันเรื่องที่กำลังคุยกันจึงตอบมาว่า

                "แต่ละคนก็มีขีดจำกัดในความสมบูรณ์อยู่อมฤตหรือที่พวกเจ้าเรียกกันว่าไวรัสแห่งวันสิ้นโลกนั้นเพียงแค่ทำให้มนุษย์เข้าใกล้ความสมบูรณ์ของแต่ละปัจเจกบุคคลซึ่งเพราะขีดจำกัดที่มีไม่เท่ากันนั้นถึงทำให้มีทั้งมนุษย์ที่ตายในทันทีที่ได้รับอมฤตหรือไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นอย่างพวกเจ้าในตอนนี้"

                นั่นเป็นเรื่องที่เพิ่งจะเคยได้ยิน...ทำให้เกิดคำถามตามมา

                "แล้วอายุมีผลต่อการรับไวรัสได้หรือไม่ได้รึเปล่า"

                อิงศรถาม แต่โดโกบาร์ก็ทำหน้านิ่งพลางยักไหล่เหมือนจะบอกว่าไม่รู้

                "อาจจะมีหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้อะไรคือปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ทนต่อ อมฤตได้หรือไม่ได้น่ะผู้ที่รู้ก็คงมีแต่โซลาริสกับลูนาริสที่เป็นแอดมินิสเทรเตอร์เท่านั้น"

                อิงศรพึมพำ

                "เจ้าซีลอร์ดจะรู้รึเปล่านะ"

                ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบกลับมาจากหน้าจอสื่อสารที่จะเปิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติเมื่อมีเพื่อนที่บันทึกไว้เรียกมา

                'ก็อย่างที่โดโกบาร์พูดไปผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน'

                เสียงนั่นคือซีลอร์ด... แล้วมีนากับนรินทร์ก็เริ่มมองมาทางนี้

                อิงศรถามกลับไป

                "นี่นายแชทมาจากทางนั้นได้ด้วยเรอะ"

                'ก็ต้องได้สิเราแอดเฟรนกันไว้แล้วนี่นา'

                "จำไม่เห็นได้เลยว่าไปทำอะไรแบบนั้นตอนไหน"

                'ตอนที่ผมบอกชื่อไปไง'

                "แล้วทำไมถึงรู้ว่าฉันพูดอะไรอยู่ล่ะนายเพิ่งแชทมาเองนี่ไม่น่าจะได้ยินไม่ใช่รึไง"

                'ผมก็จับตาดูเธออยู่ไงล่ะอิงศรก่อนหน้านี้เวลามาที่รูนรูมก็ไม่เห็นจะสงสัยเลยนี่'

                "ก็นึกว่านายอ่านความคิดฉันเอาเห็นปกติทำได้อยู่แล้วนี่"

                'อะไรกันน่ะก็เรื่องนั้นเธอเป็นคนขอไม่ให้ผมทำไม่ใช่รึไง'

                "ช่างเหอะ ว่าแต่ทำไมถึงได้แชทมาล่ะ"

                'ก็จะมาถามเรื่องที่ค้างเอาไว้เมื่อวานน่ะตกลงเธอคิดจะทำยังไงต่อไปเหรออิงศร'

                เรื่องที่ว่าก็คือเรื่องที่หลังจากนี้ไปจะเคลื่อนไหวอย่างไรหากรู้แล้วว่าโลกใบนี้จะถูกลบหายไปในเวลาอีกไม่ถึงห้าเดือน

                อิงศรตอบไปว่า...

                "ยังไม่ได้คิด...ตอนนี้ในหัวฉันคิดแต่เรื่องช่วยขวัญก่อนเท่านั้นแหละ"

                'งั้นไว้เธอทำเรื่องนั้นเสร็จเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที'

                แล้วสายก็ตัดไปทั้งอย่างนั้น

                มีนาพูด

                "มาไวไปไวเลยนะคะคุณซีลอร์ดเนี่ย"

                "เอาแต่ใจล่ะไม่ว่าถามเรื่องตัวเองฉอดๆ แล้วก็วางเลยเนี่ยนะ"

                อิงศรปิดหน้าจอสื่อสารแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ว่างเปล่า

                "ร้อนชะมัด"

                ก่อนจะปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากออก

                ในตอนนั้นเอง...

                ดวงอาทิตย์ก็ถูกบดบังด้วยบางอย่าง แสงแดดไม่ส่องลงมาแค่ตรงที่พวกเขายืนอยู่ มิหนำซ้ำยังรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเหมือนถูกกดทับ

                อิงศรมองไปยังต้นตอที่ก่อให้เกิดความอึดอัดนั่นซึ่งอยู่บนท้องฟ้าเป็นเงาของอะไรบางอย่างที่บังแสงแดดไว้และมันกำลังดิ่งลงมาที่นี่

                เมื่อเงานั้นใกล้มาก็แทบไม่ต้องเสียเวลาคิดร่างกายอิงศรขยับไปเองด้วยสัญชาตญาณเขากระโจนตัวไปตะครุบมีนากับนรินทร์ลากทั้งคู่ลงไปหมอบกับพื้น

                เงานั้นโฉบลงมาเงื้อกรงเล็บรอไว้แล้ว แต่ก็พลาดเป้าไปเพราะอิงศร

                สิ่งนั้นโผทะยานกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า

                อิงศรเงยหน้ามองสิ่งที่เข้ามาจู่โจม

                "อะไรกันน่ะ!?"

                มีนาที่มองตามมาทีหลังพูดว่า

                "เหมือนจะเป็นนกนะคะ"

                ถ้าดูจากรูปร่างของเงาที่กำลังกระพือปีกบินอยู่ตอนนี้ก็คงจะเป็นนกอย่างที่มีนาว่า

                ทั้งสามคนลุกขึ้นยืนสายตายังจับจ้องอยู่ที่เงานั้นซึ่งตอนนี้เหมือนจะบินอ้อมกลับมา

                นรินทร์ดึงไม้เท้าออกจากหน้าจอคลัง

                "จะลองวิเคราะห์ดูนะ"

                จากนั้นก็สั่งให้แอพพลิเคชั่นปีศาจที่ติดตั้งในไม้เท้าทำงาน วิญญาณปีศาจในรูปลักษณ์ของโครงกระดูกสวมสูทปรากฏขึ้นด้านหลังเขาแล้วสวมแว่นตารูปหน้ากากให้

                ขณะเดียวกันเมษากับกวินทร์ก็วิ่งมา

                เมษาพูด

                "เฮ้ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย"

                "ดูเหมือนจะมีสัตว์เทวะจ่าฝูงบุกมาน่ะ..."

                วินาทีที่มีนาพูดตอบออกไป

                วินาทีต่อมานั้นเงาของนกที่จู่โจมพวกเขาก็โฉบลงมาทางด้านหลังของเมษากับกวินทร์อย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งที่เมื่อครู่มันยังบินอยู่ข้างบน

                อิงศรตะโกน

                "พวกนายข้างหลัง!"

                ทั้งสองคนหันกลับไปมองก่อนจะทำหน้าตกใจสุดขีดแล้วพากันหมอบลงกับพื้นทำให้กรงเล็บของนกพลาดเป้าไป

                นกบินกลับขึ้นไปแล้วบินวนเหมือนจะหาจังหวะจู่โจมลงมาอีก

                เมษาเงยหน้าที่มีแต่ทรายขึ้นมาแล้วพูดด้วยท่าทางหวาดๆ

                "สัตว์เทวะอะไรกันเนี่ย"

                แต่นรินทร์กลับพูดขัด

                "ไม่ใช่...เจ้านั้นไม่ใช่สัตว์เทวะ...เป็นปีศาจน่ะ"

                มีนาพูด

                "หมายความว่ามีคนใช้เดม่อนแอพมาเล่นงานเราหรือคะ"

                "พลังงานมันเข้มข้นกว่าจะเป็นเดม่อนแอพน่ะเหมือนเคยเห็นแบบนี้ตอนที่อิงศรเรียกปีศาจให้มีตัวตนออกมาเลย"

                ระหว่างนี้เองเจ้าปีศาจที่บินวนอยู่ข้างบนก็โฉบลงมาอีกครั้ง

                อิงศรดึงธนูออกมาจากหน้าจอคลัง

                "ชิ จะเป็นปีศาจหรืออะไรก็ต้องสู้ก่อนแล้วล่ะ"

                พลางพูดสบถแล้วเล็งคันศรไปที่เงาซึ่งโถมถลาลงมาอย่างรวดเร็ว หากใช้ประโยชน์จากแรงดิ่งของมันโจมตีสวนออกไปตอนนี้ก็น่าจะสร้างความเสียรุนแรงให้มันได้

                อิงศรกำแผ่นยันต์ไว้แน่นใช้มือข้างเดียวกันนั้นโก่งเส้นเอ็นธนู ลูกศรที่เหมือนกับไฟปรากฏขึ้น

                "ชาร์คชู้ตท์"

                แผ่นยันต์ลุกไหม้ ธนูเพลิงเปลี่ยนเป็นโลหะสีฟ้า

                เขาแผลงมันออกไปลูกธนูระเบิดกลายเป็นมวลน้ำจำนวนมากลอยค้างกลางอากาศก่อนจะควบแน่นเป็นรูปปลาฉลามและเข้าปะทะ แต่ทว่า...

                หา!?”

                ปีศาจกลับทะลวงผ่านคมเขี้ยวของศรฉลามมาอย่างง่ายดาย ไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยขีดข่วน ไม่แม้แต่จะออกอาการอะไรเลย มิหนำซ้ำเพราะอีกฝ่ายเป็นปีศาจจึงไม่มีแถบพลังชีวิตให้เห็นว่ามันได้รับความเสียหายไปมากแค่ไหน

                ปีศาจยังคงพุ่งลงมา ตรงดิ่งมาโดยไม่ชะลอความเร็วลง

                หรือมันคิดจะพุ่งชนพวกเขาให้บี้แบนไปพร้อมกับพื้นเลยกันนะ...

                ทุกคนพากันวิ่งแยกไปคนละทิศละทางเฉียดกันชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดก่อนที่วิหกปีศาจจะปะทะเข้ากับพื้น

                น้ำทะเล ทราย สัตว์เทวะ อิงศร มีนา เมษา กวินทร์ นรินทร์

                ทั้งหมดพากันลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศการปะทะรุนแรงถึงขนาดนั้น ราวกับภูเขาทั้งลูกตกใส่ฟองน้ำ และเมื่อทุกอย่างที่ลอยขึ้นไปตกลงมาพื้นที่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกทราย

                อิงศรตกลงมายังจุดหนึ่งที่ห่างจากนกปีศาจประมาณสี่เมตรซึ่งมันยังคงอาละวาดต่อไปเหมือนไม่เห็นเขา ยังคงฟาดพื้นฟาดน้ำจนทัศวิสัยถูกเติมเต็มไปด้วยฝุ่นทรายที่กระเด็นขึ้นมา

                ใกล้กับที่ตกลงมามีนาและโดโกบาร์ก็อยู่ด้วยเนื้อตัวมอมแมมไม่ต่างกันนัก

                ได้ยินเสียงของกวินทร์กับเมษาจากอีกฟากของม่านทรายบางทีคงกำลังต่อสู้ดึงความสนใจของปีศาจอยู่ อิงศรเงยหน้ามองร่างของปีศาจที่โผล่พ้นม่านทราย กายสีทองคล้ายมนุษย์ใบหน้าสีขาวมีจะงอยปากนกอินทรียื่นออกมาบนหัวมีหงอนแหลมคล้ายกับชฎาและมีปีกสีแดงเชื่อมแขนกับเอวเอาไว้ด้วยกันเหมือนพังผืด และที่พิเศษสุดๆ ก็คือขนาดที่ใหญ่เกือบเท้าบ้านทั้งหลัง และนั่นก็คือรูปลักษณ์แห่งเทพนิยายที่เล่าขานกันของชาวอินเดีย

                เจ้านี่หรือว่าจะเป็นพญาครุฑ

                อิงศรพึมพำออกมา พลางคิดหาวิธีจัดการครึ่งคนครึ่งนกยักษ์ตรงหน้า ด้วยสกิลที่มีในตอนนี้คงจะทำอะไรมันไม่ได้แน่ดังนั้นอาวุธเพียงอย่างเดียวที่จะต่อกรกับมันได้

                ถ้าเป็นปีศาจก็ต้องให้เจอกับปีศาจ

                อิงศรชูคันธนูขึ้นแล้วเปล่งเสียงสั่ง

                "โอดิน"

                แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

                หือ? อ้าวเฮ้ยทำไมล่ะก็คูลดาวน์ตอนที่ใช้ก่อนหน้านี้เสร็จไปแล้วนี่

                อิงศรชักคันธนูกลับมาพลิกดูแต่ก็ไม่มีอะไรผิดแปลกแล้วเมื่อตรวจสอบจากหน้าจอรายละเอียดอาวุธที่เรียกขึ้นมาก็มีการสั่งใช้งานไปเมื่อครู่จริงๆ แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีนายื่นหน้าเข้ามาจากทางด้านหลังมองดูรายละเอียดของอาวุธที่ติดตั้งแอพฯปีศาจของเขาแล้วพูดอธิบายมาว่า

                คงเป็นเพราะเดม่อนแอพมันไม่เข้ากับคุณอิงศรล่ะมั้งคะก็เลยเกิดกรณีไม่ทำงานตามที่สั่ง

                จะว่าไปตอนที่มีนาเอาเอลิกอร์มาให้ก็เคยพูดไว้แบบนั้นเหมือนกัน

                แต่ไอ้เจ้าเอลิกอร์มันก็ไม่ได้ฟังกันซักเท่าไหร่เลยไม่ใช่หรือไงทำไมแบบนั้นถึงเรียกว่าเข้ากันได้เนี่ยปัดโธ่ถ้างั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน

                อิงศรถอดใจที่จะใช้พลังจากแอพพลิเคชั่นแล้วแต่ยังคงไม่ล้มเลิกความคิดที่จะพึ่งพาพลังของโอดิน เพราะมันคือพลังเพียงหนึ่งเดียวที่น่าจะต่อกรกับพญาครุฑได้ เขาหันไปใช้พลังของอาคานาร์แห่งราชา เดอะเอ็มเพอเรอร์

                อาคานาร์ฟอร์ซ!”

                ไพ่อาคานาร์ปรากฏขึ้นในมือ เขากำมันไว้พร้อมกับขยี้จนมันแตกสลายเสียงดังเหมือนจานแตก เพียงเท่านั้นก็รู้สึกถึงสายลมกำลังพัดกรรโชกออกมาจากคันธนูในมือ อากาศกำลังสั่นสะเทือน บางอย่างปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาห่างไปไม่กี่เมตร สิ่งนั้นคือชายร่างสูงผู้มีนัยน์ตาเดียวปีศาจที่อิงศรพบเมื่อคืนหลังจากรวมร่างเอลิกอร์กับสเลปเนียร์ ราชันย์เทพแห่งแดนเหนือ โอดิน นั่นเอง แต่ความสูงแตกต่างจากตอนที่เจอกันในรูนรูมลิบลับ ใหญ่กว่าประมาณห้าเท่าได้ เล็กกว่าพญาครุฑไปเพียงไม่กี่คืบ

                ไม่มีความรู้สึกชั่วร้ายแผ่ออกมาเหมือนเวลาที่เรียกเอลิกอร์ ไม่รู้สึกเหมือนจะถูกครอบงำใดๆ โอดินดูจะเป็นมิตรกว่ามากจนคำพูดของมีนาเหมือนจะเป็นเรื่องโกหกไปเลย ดังนั้นอิงศรจึงออกคำสั่ง

                จัดการเจ้าปีศาจนั่นเลย

                เด็กหนุ่มชี้ไปที่พญาครุฑแต่โอดินกลับนิ่งเฉย

                “…”

                อิงศรเงยหน้ามองโอดินแล้วออกคำสั่งอีกครั้ง

                “เฮ้ได้ยินไหมเนี่ยจัดการเจ้านั่นที

                เพียงเท่านั้นก็ทำให้โอดินหันปลายหอกมาทางนี้ อิงศรเคลื่อนตัวหลบการโจมตีนั้นไปแบบฉิวเฉียด

                เฮ้ย! ทำอะไรเนี่ยศัตรูอยู่ทางนั้นนะ...

                แต่แล้วคำพูดของอิงศรก็หยุดลงเมื่อหอกที่พลาดเป้าแทงลงไปบนพื้นกลับทำให้เกิดสายฟ้าฟาดโถมเข้ามาจนต้องรีบวิ่งหนีอย่างหัวซุกหัวซุน กระทั่งมีนาที่อยู่ใกล้ๆ ก็ยังโดนหางเลขจนต้องหนีมาเช่นกันเว้นแต่โดโกบาร์ที่ยังยืนนิ่งเหมือนกับไม่เห้นว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้โดนสายฟ้าฟาดใส่ไปเต็มๆ

                เกิดระเบิดขึ้นทุกอย่างถูกกลืนหายเข้าไปในม่านควันที่ฟุ้งกระจายเพราะแรงระเบิด

                แล้วตอนนั้นเองก็มีการติดต่อเข้ามาจากซีลอร์ด หน้าจอสื่อสารเปิดขึ้นเองแล้วเสียงก็ดังออกมา

                ท่าทางเธอคงต้องเรียนรู้การปฏิบัติตัวกับเทพและปีศาจให้มากกว่านี้นะ

                ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ด้วย

                หมายความว่าไงฟะ

                อิงศรถามกลับไปโดยที่ยังวิ่งเพื่อทิ้งระยะห่างจากโอดิน

                เธอคิดว่าเทพเจ้าจะฟังคำสั่งของมนุษย์เหรอไม่เลยเทพเจ้าน่ะเงี่ยหูฟังแต่คำขอร้องเท่านั้นส่วนจะตอบสนองหรือไม่ก็ขึ้นกับแต่ละตน

                หมายความว่าต้องก้มหัวขอร้องปีศาจหรือไงฟระ

                ก็ไม่ได้ชัวร์ว่าจะยอมช่วยร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกอย่างน้อยก็คงทำให้ไม่โดนไล่เสียบด้วยหอกกุงกุเนียร์ล่ะนะ

                คำว่าเทพ กับ ปีศาจ ดูเหมือนจะมีเส้นกั้นบางๆ ที่เรียกว่าความหยิ่งทระนงอยู่ ที่ไม่ถูกครอบงำไม่ใช่เพราะว่าเป็นมิตรด้วย แต่น่าจะเป็นโดนดูถูกหรือโดนเหยียดที่เป็นมนุษย์ก็เลยไม่คิดเข้ามายุ่งเกี่ยวมากกว่า

                ในตอนนั้นเอง...

                ลิเบอร่าเม

                ก็มีเสียงดังมาจากกลุ่มควันตรงที่โดโกบาร์เคยยืนอยู่ จากนั้นลำแสงสีแดงก็ตกลงมาจากท้องฟ้า

                ลำแสงระเบิดใส่โอดินจนกระทั่งร่างสลายไปอย่างง่ายดาย ความต่างชั้นกันของพลังมีถึงขนาดนั้นและยังไม่ได้หยุดแค่โอดินแต่พุ่งไปที่พญาครุฑด้วย

                แต่อีกฝ่ายกลับรู้ตัวจากการที่โอดินถูกทำลายไปก่อนจึงกระพือปีกบินหนีขึ้นข้างบน แรงลมที่เกิดจากการกระพือปีกนั้นรุนแรงราวกับพายุ จนอิงศรต้องจิกเท้าลงไปในทรายเต็มที่แต่กลับถูกพัดห่างออกไปสุดท้ายก็ต้านไม่ไหวและถูกลมพัดลอยขึ้นไปกลางอากาศ หมุนตัวสองตลบก่อนจะตกลงมา

                อิงศรพลิกตัวลงพื้นได้อย่างปลอดภัยประจวบกับที่ลมพายุสงบลงพอดี ม่านควันที่กระจายอยู่เมื่อครู่ก็ถูกลมพัดหายไปหมดทัศวิสัยน์จึงกลับเป็นปกติ ส่วนพญาครุฑก็บินหนีหายไปแล้ว ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะกลับคืนสู่ความสงบในที่สุด

                แต่ยังมีเรื่องคาใจอยู่อย่าง อิงศรเบนสายตาไปที่โดโกบาร์

                ทั้งที่โดนสายฟ้าของโอดินซัดเข้าไปเต็มๆ แต่ตัวเด็กชายกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน อีกทั้งสกิลที่เรียกลำแสงลงมาจากท้องฟ้าก็ทำให้แน่ใจได้แล้วว่าบอสของดันเจี้ยนกระจกเงาก็คือโดโกบาร์ทั้งชื่อและรูปแบบเหมือนกันที่ต่างออกไปคงเป็นพลังทำลายที่ใช้

                ขณะเดียวกัน กวินทร์ เมษา นรินทร์ ก็วิ่งมาจากอีกฟากแล้วเริ่มถามคำถามที่จะต้องอธิบายกันอีกยาว โชคดีที่มีนาช่วยรับหน้าที่นั้นให้เขาจึงไม่ต้องพูดเอง

                อิงศรใช้เวลาระหว่างที่รอมีนาอธิบายมองสำรวจบริเวณรอบๆ

                จำนวนของสัตว์เทวะบางตาลงไปอย่างมากเพราะลูกหลงจากการต่อสู้และเพราะเหตุนั้นก็เลยมีไอเทมจำนวนมากตกกระจายเกลื่อนพื้นไปหมด หนึ่งในนั้นมีของที่เหมือนกับครีบปลาสีฟ้าตกอยู่

                อิงศรเดินไปเก็บมันขึ้นมาแล้วมองไปที่มีนา การอธิบายยังคงไม่จบและดูเหมือนจะยังใช้เวลาอีกพักใหญ่

                เวลา... อีกห้าเดือนโลกนี้จะหายไป

                ด้วยเวลาเพียงแค่นั้นจะช่วยมิ่งขวัญแล้วก็ช่วยโลกดูจะเป็นเรื่องที่เกินตัวไปไม่น้อย

                บางทีอาจจะไม่ทันเวลาก็ได้พอช่วยมิ่งขวัญแล้วโลกก็อาจจะไม่มีอยู่อีกต่อไป

                ถ้าอย่างนั้นก็ควรช่วยโลกก่อนแต่ก็ไม่รู้วิธีอยู่ดีอีกนั่นแหละ

                ถ้างั้นก็ต้องช่วยขวัญก่อน

                อิงศรพึมพำผลสรุปในใจออกมาระหว่างนั้นเองการอธิบายของมีนาก็เหมือนจะเสร็จสิ้นไปแล้วเขาได้ยินเสียงของกวินทร์ถามโดโกบาร์ว่า

                ไม่นึกเลยนะว่าโดโรธีจะมาช่วยพวกเราน่ะแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ

                แต่โดโกบาร์...

                หน้าที่เดิมก็คือการทำลายทุกอย่างในสวนแห่งนี้อยู่แล้วนี่ก็แค่เลื่อนการทำลายมนุษย์อย่างพวกเจ้าออกไปก่อนไม่ได้เป็นการช่วยเหลืออะไรนี่

                พูดมาอย่างนั้นด้วยสายตาเย็นชา จนทุกคนพากันกระอักกระอ่วน

                อิงศรเดินมาเข้ากลุ่มแล้วถามมีนา

                จะว่าไปเธอเอาเจ้านี่มาเข้าทีมได้ไงล่ะเนี่ย

                 ก็แค่บอกกับเจ้าหน้าที่จัดการหน่วยย่อยว่าเป็นธุวดารกะเรื่องก็ราบรื่นน่ะค่ะ

                ที่แท้ก็ใช้เส้นหรอกเรอะ

                ช่วยไม่ได้นี่คะจะให้เที่ยวหิ้วเด็กไปไหนมาไหนกับกองทัพก็คงจะสะดุดตาเกินไป

                แล้วไอ้ทหารเด็กแบบนี้มันจะไม่ยิ่งสะดุดตากว่าเรอะ

                “เอาแค่ไม่เตะตาพี่สิงห์ฉันว่าวิธีนี้ดีที่สุดแล้วนะคะเพราะถ้าเรื่องนี้รั่วออกไปล่ะก็คิดว่าคุณอิงศรคงเดาได้

                ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป ถ้าสิงห์รู้เรื่องนี้เข้าบางทีอาจจะเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้น

                น่ากลัวว่าสิงห์อาจจะใช้ประโยชน์จากโดโกบาร์

                และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือโดโกบาร์อาจจะทำลายทุกอย่างเมื่อมนุษย์ไม่สามารถเชื่อใจได้

                จะอย่างไหนก็วิบัติไม่แพ้กัน

                โดโกบาร์เริ่มมองมาเพราะพวกเขาเอาแต่ซุบซิบกันอยู่ มีนาเลยเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน

                อ่า~ จริงด้วยค่ะเพิ่งนึกขึ้นได้พรุ่งนี้เป็นวันตรวจเช็คสภาพเดม่อนแอพทุกคนอย่าลืมไปกันนะคะ

                แต่แล้วคนที่มีปฏิกิริยาตอบรับกับคำพูดของเธอดันกลายเป็นอิงศร

                มีอะไรแบบนั้นด้วยเรอะ

                มีนาจ้องมาด้วยสายตาเป็นงง

                ก็มีน่ะสิคะเดม่อนแอพน่ะเป็นสมบัติของกองทัพเป็นของสำคัญมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ต้องมีการตรวจเช็คเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลแอพรั่วไหลออกไปหรือถูกขโมย ถึงตอนนี้มันจะกลายเป็นของสาธารณะไปแล้วก็เถอะค่ะ

                ยุ่งล่ะสิดันเอาไปผสมแล้ว....

                “เมื่อกี้คุณอิงศรบอกว่าผสมอะไรเหรอคะ?”

                เปล่าๆ เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ฉันจะโดดนะ

                อะ อ้าวไหงเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะคะ!”

                จากนั้นเมษาก็พูดแทรกเข้ามา

                อะไรของนายวะลุกลี้ลุกลนตั้งกะตะกี้แล้ว

                ไม่มีไรทั้งนั้นแหละแต่พรุ่งนี้จะไม่อยู่แล้วก็ไม่กลับมาซักสองสามวัน

                แต่มีนาก็พูดดักคอไว้เสียก่อน

                คนตรวจประจำหน่วยเราคือพันโทข้าวหลามนะคะมีหวังเรื่องได้ไปถึงหูพี่สิงห์แน่แบบนั้นจะไม่เป็นไรเหรอ

                เอาเหอะน่าเดี๋ยวฉันไปคุยกับเจ้าสิงห์มันเองพวกนายก็ไปตรวจตามปกติเหอะ

                ทุกคนยังคงสงสัยในตัวเขาสายตาที่จับจ้องมาบอกอย่างนั้น แต่จะเพราะอะไรก็ตามพวกเขาไม่ได้เซ้าซี้อิงศรอีก

                กวินทร์เริ่มถามหาเหตุผลของการตรวจสอบสภาพตามนิสัยที่ช่างสงสัยไปทุกเรื่องของเขา

                ทำไมจู่ๆถึงจะมีการตรวจสภาพล่ะครับ

                นรินทร์เป็นผู้ตอบคำถามนั้น

                อาทิตย์หน้าจะมีเรดเลเวลเจ็ดสิบบุกมาที่ศูนย์หลักน่ะ เรดแตรแห่งวิบัติทั้งเจ็ด

                กวินทร์ทำหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วพูดว่า

                เรดอีกแล้วเหรอครับเนี่ยคราวก่อนที่ตีกันที่ค่ายกรุงเทพก็ทำเอาขยาดแล้วนะครับ

                เมษาตอบคำพูดตัดพ้อของกวินทร์

                ทำไงได้ล่ะก็ตามกฎของการคราฟเมืองจะต้องมีเรดบอสบุกมาโจมตีทุกๆ เดือนอยู่แล้วนี่

                อิงศรเมินบทสนทนาเหล่านั้นแล้วเริ่มคิดเรื่องของตัวเองอีกครั้ง

                สาเหตุที่เขาจะโดดตรวจสอบสภาพวันพรุ่งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องที่ผสมเอลิกอร์ซึ่งเป็นสมบัติของกองทัพไปแล้วเท่านั้นแต่เขาอยากจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติม

                ข้อมูลของตัวเขากับมิ่งขวัญ ข้อมูลของครอบครัวตัวเองที่มีความเกี่ยวข้องกับแอพพลิเคชั่นปีศาจตั้งแต่ก่อนที่โลกจะล่มสลายดังนั้นจึงต้องกลับไปที่กรุงเทพอีกครั้ง

                กลับไปยังบ้านของตัวเอง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×