ตอนที่ 62 : Login 59: ทะเล
ในอดีตว่ากันว่าเมื่อชีวิตถือกำเนิดขึ้นชีวิตนั้นก็จะถูกกำหนดโชคชะตาไว้แบบหนึ่งจากอาคานาร์สิบสองรูปแบบ
แจนนูวาร์มมาร์ เอพบูรลาร์ เวโนมาชาร์
เอกาพิลุสซาร์ เมยอกซาร์ จูเนมินาร์
จูลลับบิตาร์ ออทิเกสซาร์ เซพทรูสตาร์
โดโกบาร์ โนเวมโบอาร์ ดีเซมแมร์
ทั้งหมดคือนามแห่งเครื่องทำสวนศักดิ์สิทธิ์ ทำไมจึงถูกกำหนดด้วยนามของเครื่องทำสวน?
นั่นเพราะทุกชีวิตก็เปรียบดั่งเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงไปบนสวนศักดิ์สิทธิ์ เมล็ดจะได้รับการบำรุงดูแลโดยเครื่องทำสวนที่เป็นเสมือนคนทำสวนคอยรดน้ำพรวนดินให้เติบโตได้อย่างงดงามจึงได้กล่าวว่าเครื่องทำสวนเป็นดั่งโชคชะตาของเมล็ดพันธุ์แล้ววันหนึ่งในบรรดาเมล็ดพันธุ์ที่หว่านออกไปกลับมีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก
เมล็ดพันธุ์นั้นเติบโตขึ้นเป็นต้นวัชพืชที่น่ารังเกียจมันเติบโตได้เองแม้จะไม่ถูกเครื่องทำสวนเครื่องใดดูแล เมล็ดพันธุ์นั้นคือมนุษย์ที่กลืนกินผลแห่งปัญญาจึงได้รับความสามารถในการสังเกตทำให้เกิดการรู้แจ้งด้วยตัวเองจึงไม่ต้องพึ่งพาเครื่องทำสวน
พวกเขาไม่ได้สังกัดอยู่ภายใต้โชคชะตาทั้งสิบสองแบบอีกต่อไปแต่กลับรู้แจ้งว่าโชคชะตานั้นไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงได้เสมอและกำหนดมันขึ้นมาใหม่เป็นยี่สิบสองรูปแบบและกลายเป็น ‘เมเจอร์อาคานาร์’ ที่ใช้ทำนายกันในปัจจุบัน
อย่างไรเสียเจ้าของสวนไม่อาจยอมรับให้วัชพืชงอกงามในสวนอันศักดิ์สิทธิ์จึงได้ขับไล่วัชพืชเหล่านั้นลงไปจากสวน
เมื่อเวลาผ่านมายาวนานเหล่าวัชพืชก็ลืมเลือนเรื่องที่เคยอยู่ในสวนแห่งที่หนึ่งไปจนหมดสิ้นและแพร่พันธุ์เจริญงอกงามอยู่บนสวนแห่งที่สองไปเรื่อย
ไม่เหมือนกับสวนแห่งที่หนึ่งภายในสวนแห่งนี้ไม่มี ‘อมฤต’ ปาฏิหาริย์แสนวิเศษที่คงความเป็นนิรันดร์ให้กับพืชพันธุ์ดังนั้นวัชพืชจึง เกิด แก่ เจ็บ และตาย วนเวียนเป็นวัฏจักรชีวิต เบื้องหน้าของเราเองก็เช่นกันวัชพืชต้นหนึ่งกำลังหลงวนเวียนอยู่ในสารระบบแห่งการเกิดและตาย...
สถานที่คือห้องเดี่ยวในโรงพยาบาลที่ไหนซักแห่ง
บนเตียงผู้ป่วยมีเด็กชายคนหนึ่งนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนนั้นที่ข้างเตียงหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังซบใบหน้ากับเตียงและคร่ำครวญอย่างน่าอดสู
“ลูกของแม่...ฮือ...ฟื้นขึ้นมาสิลูกแม่”
ดูเหมือนเธอจะเป็นผู้ให้กำเนิดเด็กชายและทั้งที่เสียงคร่ำครวญดังขนาดนี้แต่เด็กชายกลับไม่มีปฏิกิริยาที่หัวเตียงมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เหมือนจะใช้บอกว่ายังมีชีวิตอยู่ เด็กคนนี้คงจะป่วยเป็นโรคเจ้าชายนิทราหรืออะไรทำนองนั้น
มีเสียงดังขึ้น
เสียงที่ไม่ใช่ของแม่เด็ก แล้วก็ไม่ใช่เสียงของมนุษย์
น้ำเสียงสดใส สงบนิ่ง และอ่อนโยนราวกับเสียงของเทวดา
เสียงนั้นตั้งคำถามมาว่า
‘มนุษย์เกิดและตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นสัจธรรมที่พวกเจ้ายอมรับด้วยตัวเองหากว่ามีหนทางที่จะหลีกหนีออกจากวงจรอันไม่จบสิ้นนี้เจ้าจะเลือกมันไหม’
เจ้าของเสียงยื่นมือไปข้างหน้าหงายมันแล้วเสกสิ่งที่เหมือนกับไพ่ขึ้นมา
‘หากเจ้าปรารถนาที่จะออกจากวงจรนี้ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายนั้นคือจุดจบของโลกทั้งใบจะยอมแลกหรือเปล่า’
“ถ้ามีสิ่งนี้....ถ้ามีมันนรินทร์จะกลับมาใช่ไหมถ้างั้นจะอะไรก็ได้”
แม่ของเด็กตอบรับคำเชิญชวนนั้นแล้วโลกก็ล่มสลายลง
จากนั้นเด็กชายผู้ไปไม่ถึงความตายอันเป็นเส้นสุดท้ายและเส้นเริ่มต้นของชีวิตก็ได้ถูกปลูกความตายเอาไว้ภายในกาย
‘ความตาย’
Login 59: ทะเล
อิงศร โรจน์จุฬา มองดูอดีตปีศาจในแอพพลิเคชั่นปีศาจที่ได้รับจากสิงห์กำลังก่นด่าสาปแช่งใส่หน้าเขา หลังจากยินยอมให้ทำการทดสอบพลังของอาคานาร์ใบใหม่ที่ได้รับมาจากการช่วยชีวิตของกวินทร์ เดอะเทมเพอแรนซ์ ซึ่งมีอำนาจในการรวมร่างปีศาจตั้งแต่สองตนขึ้นไปให้กลายเป็นปีศาจตนใหม่ที่แข็งแกร่งกว่า
“เจ้าลืมไปแล้วรึไงเพราะข้าหรอกนะเจ้าถึงรอดตายมาได้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกัน”
เอลิกอร์หรือปีศาจผู้สวมชุดเกราะสีแดงก่ำบนหลังม้ากำลังจมลงไปบนพื้นที่ถูกวาดด้วยวงเวทย์จากพลังของอาคานาร์ ที่ข้างกันนั่นมีม้าปีศาจอีกตัวกำลังจมลงไปด้วย มันคือสเลปเนียร์ ปีศาจจากอาคานาร์เดอะเลิฟเวอร์ที่ได้มาเพราะช่วยชีวิตมีนาเอาไว้ ถึงจะบอกว่าเป็นรวมร่าง แต่อัตตาตัวตนของปีศาจเดิมจะหายไปและถูกแทนที่เป็นปีศาจตัวใหม่อย่างสมบูรณ์ เหมือนเป็นการเซ่นสังเวยปีศาจด้วยกันเพื่อเรียกตัวใหม่ที่เก่งกว่าออกมาก็ว่าได้
เอลิกอร์ยังคงพูดจาทวงบุญคุณต่อไปว่า
"ทั้งตอนนั้น แล้วก็ตอนที่เจ้าต้องสู้กับมังกรข้าก็เป็นผู้ที่ช่วยเหลือเจ้าเอาไว้..."
แต่อิงศรทำเมินคำพูดเหล่านั้นแล้วโบกมือลา
"เออๆ ขอบใจที่ป่วนมาตลอดนะบ๊ายบาย"
"บัดซบ!!"
เอลิกอร์คำรามถึงจะไม่เห็นสีหน้าเพราะถูกหมวกเกราะบังเอาไว้แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะโกรธแค้นเขาจนแทบอยากฆ่าให้ตายแต่เพราะพลังของอาคานาร์ที่สั่งให้รวมร่างจึงไม่อาจเคลื่อนไหวตามอำเภอใจได้
อิงศรมองดูจนกระทั่งเอลิกอร์และสเลปเนียร์จมหายลงไปในวงเวทย์บนพื้น ทันใดนั้นวงเวทย์ก็เปล่งประกายด้วยแสงสว่างเจิดจ้า แสงอาบย้อมทุกอย่างจนขาวโพลนแล้วจางลงในทันที
ระหว่างที่อิงศรหลับตาเพราะแสงที่จ้าเกินไปซีลอร์ดที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เรียกเขา
"สำเร็จแล้วล่ะอิงศร"
อิงศรปรือตาขึ้นแล้วจ้องมองปีศาจตนใหม่ที่เกิดจากการรวมร่างซึ่งยืนอยู่บนวงเวทย์ เป็นชายร่างยักษ์ในชุดเกราะหนังสัตว์แบบชาวไวกิ้งในมือถือหอกที่กะด้วยตาน่าจะยาวเกือบสามเมตร ดวงตาข้างหนึ่งปิดสนิทอาจจะบอดหรือมีสาเหตุบางอย่างที่ไม่ยอมเปิดดวงตาและเอาแต่ใช้ตาอีกข้างจดจ้องมาที่อิงศร
ซีลอร์ดเริ่มพูดถึงรายละเอียดของปีศาจตนใหม่นี้
"นี่คือโอดินราชันย์เทพแห่งแดนเหนือถูกทำนายว่าจะตายในสงครามแร็กนาร็อกเป็นปีศาจชั้นสูงเลยล่ะ"
ปีศาจชั้นสูง... อาจจะจริงอย่างที่ว่าเพราะแม้เพิ่งเจอกันแต่อิงศรก็รับรู้ได้ว่าปีศาจตรงหน้ามีพลังมหาศาลขนาดไหนจนเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ
"..."
โอดินยังคงไม่เอ่ยกล่าวแต่เพียงแค่จ้องมองอิงศรด้วยสายตาคมกริบดุจใบมีดโกนก่อนจะสลายไปโดยไม่ทำอะไร เบื้องหลังการหายไปของเทพเจ้าเหลือทิ้งไว้เพียงไพ่อาคานาร์ใบเดียว อิงศรรับไพ่นั้นเอาไว้ก่อนมันจะตกลงบนพื้น มันเป็นไพ่ใบใหม่มีรูปคนผูกเชือกขาตัวเองกับกิ่งไม้แล้วห้อยหัวลงมา
“อาคานาร์นี่ชื่อเดอะแฮงค์แมน (The Hanged Man) รึเปล่า”
อิงศรพูด
ซีลอร์ดทำหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า
“น่าตกใจนะที่เธอรู้จักไพ่ใบนี้ด้วยใช่มันคือ เดอะแฮงค์แมน หมายถึงการหยุดนิ่งก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง การอดทนเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้”
“พอดีว่าเคยเห็นมาก่อนน่ะไม่ได้รู้ลึกถึงความหมายของมันหรอกแต่แบบนี้เท่ากับว่าอาคานาร์ไม่จำเป็นต้องได้จากการขัดขวางสิ่งที่จะเกิดจากเมล์ตัวจับเวลาตายอย่างเดียวก็ได้สินะ”
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าระบบอาคานาร์ของเธอมันทำงานยังไงแต่ดูเหมือนจะเป็นแบบที่ว่านะ”
”เอาเถอะยังไงก็ได้ปีศาจที่น่าจะมีปัญหาน้อยกว่าเอลิกอร์มาล่ะนะ”
อิงศรพูดด้วยท่าทีสบายๆ
จากนั้นซีลอร์ดก็ตีสีหน้าจริงจัง
“จากนี้ไปเธอจะทำยังไงต่อเหรออิงศร”
แล้วพูดออกมาอย่างนั้น
....
แสงแดดยามบ่าย
ผืนทะเลสีฟ้าจรดกับท้องฟ้าสีคราม
หาดทรายสีขาวกับต้นมะพร้าว
แล้วก็ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้อิงศรตอนนี้สวมแค่กางเกงว่ายน้ำสีดำตัวเดียวโดยที่ยังใส่เข็มขัดติดปลอกดาบเอาไว้และยืนเหม่อลอยอยู่บนชายหาดแห่งนี้
เด็กหนุ่มยืนเท้าสะเอววางมือลงบนดาบพลางเหม่อมองทะเลกว้างที่ไม่ได้เห็นมาเสียนาน ด้านหลังอิงศรนั้นพวกพ้องผู้ชายทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นชุดกางเกงว่ายน้ำเหมือนกับเขาด้วย
กวินทร์เปลี่ยนให้ดาบประจำตัวซึ่งปกติมีขนาดใหญ่และมีใบดาบสีดำสนิทกลับไปเป็นโหมดพกพาที่มีปลอกดาบหุ้มแล้วพาดมันไว้บนหลัง
ส่วนเมษานั้นหลังจากจัดทรงผมที่ยุ่งเพราะถูกลมทะเลพัดก็กำลังวอร์มร่างกาย
นรินทร์กำลังสวมเสื้อคลุมเดินชายหาด
ในบรรดาพวกนั้นมีโดโกบาร์รวมอยู่ด้วย เครื่องทำสวนศักดิ์สิทธ์ที่แปลงกายเป็นเด็กชายชาวมนุษย์เพื่อมาจับตาดูพวกเขาและตอนนี้ก็กำลังง่วนกับการพยายามผูกเชือกกางเกงว่ายน้ำให้เหลือปลายเท่ากันเหมือนกับเป็นพวกคลั่งความสมบูรณ์แบบอย่างไรอย่างนั้น
มีเสียงดังมาจากทางป่ารกด้านหลัง
"เปลี่ยนกันเสร็จแล้วหรือคะ"
เป็นน้ำเสียงของหญิงสาว อิงศรหันกลับไปและมองเห็นผู้หญิงที่อายุมากกว่าในชุดเครื่องแบบทหารของเมตไตรยกำลังเดินแหวกพุ่มไม้ออกมา
เป็นหญิงสาวที่รูปโฉมงดงามมีผมสีฟ้าครามมัดเป็นแกละสองข้าง แววตาเย็นชาและสีหน้าเรียบนิ่งจนดูแล้วคล้ายกับสิงห์อยู่ไม่น้อยอาจจะเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากการที่ต้องทำหน้าที่เป็นเลขาของสิงห์กระมัง
อิงศรพยายามนึกชื่อของเธอก่อนจะตอบกลับไปว่า
"ก็เปลี่ยนเสร็จแล้วแต่ขอถามหน่อยเถอะคุณวิเชียรมาศไอ้ชุดแบบนี้มันช่วยให้ต่อสู้ดีขึ้นตรงไหนกัน"
เขาพูดพลางชี้ที่กางเกงว่ายน้ำที่สวมอยู่
วิเชียรมาศพยักหน้าให้คำพูดนั้นแล้วเริ่มอธิบาย
"นี่เป็นชุดปฏิบัติการทางทะเลที่ออกแบบมาเพื่อเสริมความคล่องตัวต่อการเคลื่อนที่ในแหล่งน้ำค่ะไม่ใช่ชุดว่ายน้ำธรรมดาๆ อย่างที่กำลังคิด"
ดูเหมือนหล่อนจะมองออกว่าเขานึกสงสัยเรื่องที่มันไม่ต่างอะไรกับชุดว่ายน้ำอยู่ถึงได้พูดออกมาแบบนั้นถือว่าอ่านทางได้ขาดสมกับที่สิงห์ไว้ใจฝากให้มากำกับหน่วยของเขาในการทำภารกิจวันนี้
เมื่อได้รับคำตอบเรื่องชุดอย่างกระจ่างชัดแล้วอิงศรก็ไม่คิดจะพูดคุยกับวิเชียรมาศให้นานนักเพราะใบหน้าที่เรียบนิ่งของหล่อนดูเหมือนกับหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาเขาจึงเบี่ยงสายตาไปยังหญิงสาวอีกคนที่ตามหลังวิเชียรมาศมาด้วย
เธอคนนั้นมีผมยาวสีดำใบหน้าแบบชาวเอเชียสวมเสื้อกาวน์สีขาวถ้าหากว่าจำไม่ผิดจากเอกสารภารกิจที่เขาได้อ่านมาเมื่อเช้าเธอคนนี้คือ ซากิริ อามาเนะ หัวหน้านักวิจัยจากฝ่ายพัฒนาแอพพลิเคชั่นปีศาจ ในเอกสารระบุว่าเธอขอติดตามมาเพื่อเก็บข้อมูลจากภารกิจในครั้งนี้
หลังจากเกมโลกาวินาศอัพเดทแพทซ์ใหม่เวลาก็ผ่านมาร่วมเดือนแล้วถ้านับแค่ช่วงที่ย้ายจากค่ายที่กรุงเทพกลับมายังศูนย์ใหญ่ที่ชลบุรีนี่ก็ประมาณสองอาทิตย์ ในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการศึกษาและตรวจสอบสิ่งใหม่ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาหลังจากแพทซ์อัพเดทซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นปีศาจแบบสมบูรณ์และอาชีพที่เกี่ยวข้องกันอย่างซัมมอนเนอร์ หนึ่งในนั้นคือการพัฒนาอาชีพขั้นที่สอง หรือที่เรียกกันว่า เทคนิคัลจ็อบ (Technical Job) โดยปกติแล้วอาชีพอื่นที่ไม่ใช่ซัมมอนเนอร์จะมีเงื่อนไขในการทำแตกต่างกันไปแต่ของอาชีพซัมมอนเนอร์นั้นเป็นสิ่งที่เพิ่งมีขึ้นมาดังนั้นหน่วยของพวกเขาจึงได้รับหน้าที่ให้มาตรวจสอบเรื่องนี้หรืออีกนัยหนึ่งก็คือให้พามีนาที่เป็นซัมมอนเนอร์ของหน่วยมาทำเทคนิคัลจ็อบนั่นเอง
จนป่านนี้แล้วมีนาก็ยังไม่โผล่ออกมาตั้งแต่ที่แยกกันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจนกระทั่งฝั่งผู้ชายเปลี่ยนเสร็จกันหมดหล่อนก็ยังไม่โผล่หน้าออกมา
“ยังผูกไม่เสร็จอีกเหรอ”
เสียงของนรินทร์พูดกับโดโกบาร์ที่ยังนั่งผูกเชือกกางเกงว่ายน้ำไม่เสร็จอยู่คนเดียว
อิงศรมองไปที่ชื่อซึ่งแสดงอยู่บนหน้าจอพลังชีวิตของโดโกบาร์
โดโรธี Lv.60
[/////10000:10000/////]
แล้วนึกไปถึงตอนที่ประชุมกันในหมู่พวกตัวเองเกี่ยวกับการดูแลโดโกบาร์ มีนาเสนอให้ปลอมตัวเป็นสมาชิกของหน่วยพร้อมทั้งตั้งชื่อ โดโรธี แต่พอมีคนแย้งว่าจะทำยังไงกับชื่อที่เป็นภาษาอังกฤษบนหน้าจอพลังชีวิตเจ้านี่ก็ทำการเปลี่ยนชื่อกับเลเวลให้ทันทีดูเหมือนจะควบคุมรายละเอียดของตัวละครได้อย่างอิสระตามใจชอบ
จนถึงตอนนี้อิงศรก็เริ่มคิดว่ามันนานเกินไปแล้วจึงบ่นเปรยๆ กับตัวเอง
“จะช้าไปถึงไหนกันนะยัยนั่นรู้งี้ให้ใส่ชุดทหารลุยไปเลยก็ดีหรอก”
แล้วซากิริก็เหมือนจะได้ยินคำบ่นนั้นก็เลยพูดออกมา
“ถ้าแม่หนูหัวแดงล่ะก็อยู่นี่แล้วไง”
ก่อนจะผลักใครบางคนที่แอบหลบอยู่ข้างหลังออกมา ใครคนนั้นส่งเสียงร้องและขัดขืน
“ว้าย!! อย่าผลักสิคะคุณซากิริ”
เด็กสาวในชุดว่ายน้ำสีฟ้าเซถลาออกมาจากด้านหลังของซากิริ
ผิวพรรณซึ่งโผล่พ้นชุดว่ายน้ำที่มีอยู่น้อยชิ้นเป็นสีขาวน้ำนม ผิวเนียนเปล่งปลั่งสมกับเป็นสาวแรกรุ่น เป็นความงดงามระดับที่ชวนให้ชายหนุ่มใจเต้นได้
หล่อนมีเรือนผมสีแดงที่คุ้นตา ใบแก้มอันผุดผ่องขึ้นสีแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย
พวกที่อยู่ด้านหลังอิงศรมองเห็นเธอแล้วก็เริ่มแสดงปฏิกิริยาที่ต่างกันออกมา
กวินทร์ทัดมือขึ้นไปบนหน้าผากเพื่อส่องดูเด็กสาวให้ชัดๆ แล้วพูดอย่างยินดีด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเล็กน้อย
“ว้าว! สวยเช้งไปเลยฮะพี่มีนา”
นรินทร์เองก็หน้าแดงเล็กน้อยพลางใช้มือกุมเสื้อคลุมเดินเล่นแถวบริเวณหน้าอกซ้าย
“เหมาะมากเลยครับคุณมีนา”
แล้วออกปากชมอย่างตรงไปตรงมาส่วนเมษาที่เป็นน้องชายฝาแฝดของหล่อนกลับทำเมินมองไปทางอื่นและไม่ได้พูดอะไร
“…”
เช่นเดียวกันอิงศรก็ไม่ได้พูดคอมเมนท์อะไรไป แต่สายตาของหล่อนกลับจ้องมาทางนี้มากกว่าที่อื่นเหมือนกับคาดหวังอะไรหรืออยากขอตัวช่วย?
หรือเขาควรจะคอมเมนท์ไปว่า “ก็ดูเหมาะดี” กันล่ะ?
เธอต้องการอะไรกันแน่ อย่างไรก็ตามไม่มีโอกาสให้สงสัยแล้วเพราะมีนาหันควับไปทางที่วิเชียรมาศยืนอยู่แล้วพูดขอร้องทั้งน้ำตา
“ฉันไม่เหมาะกับชุดแบบนี้หรอกค่ะคุณวิเชียรมาศไม่มีชุดอื่นแล้วเหรอคะ”
แต่ก็ถูกอีกฝ่ายตอบปฏิเสธอย่างชัดเจน
“ไม่มีค่ะของผู้หญิงที่ไซส์เข้ากับคุณมีแค่ชุดนั้นชุดเดียว”
“ถ้างั้นขอเปลี่ยนเป็นชุดทหารดีกว่า”
แล้วหล่อนก็พูดคำนั้นออกมาจนได้ แต่ถ้าปล่อยให้กลับไปเปลี่ยนจะต้องเสียเวลารอกันอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ดังนั้น อิงศรจึงตัดสินใจหาคำพูดที่จะทำให้เธอเลิกจุกจิกเรื่องเครื่องแต่งกายเสียที
“ชุดนั้นก็เหมาะดีอยู่แล้วไม่ต้องไปเปลี่ยนให้เสียเวลาหรอกน่าเดี๋ยวก็มืดกันพอดีไปทำภารกิจกันได้แล้ว”
ด้วยคำพูดนั้นมีนาเลยหยุดโวยวายเรื่องเปลี่ยนชุดแต่ไม่รู้เพราะอะไรใบหน้าของเธอถึงได้ยิ่งแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม แถมสายตาของพวกพ้องก็ยังมองมาที่เขาแบบแปลกๆ อีกด้วยแต่อิงศรก็ไม่ได้สนใจแล้วออกเดินนำทุกคนไปยังสถานที่ทำภารกิจ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
