ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #6 : Login 4 : Restart แห่งการจากลา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.05K
      156
      9 ส.ค. 60

    Login 4 : Restart แห่งการจากลา



       

           หลังได้รับข้อความสั่งให้หนีจากอิงศรแล้ว มิ่งขวัญก็วิ่งกลับมาถึงห้างสรรพสินค้าและทันทีที่ขึ้นไปถึงชั้นลอยซึ่งเชื่อมไปสู่สถานีรถไฟฟ้าก็เจอพวกเด็ก ๆ จากสถานสงเคราะห์อยู่กันครบห้าคนแต่กลับไม่เจออิงศรและสีดา

           อย่างไรก็ตามเขาได้รับการฝากฝังจากอิงศรมาให้พาทุกคนที่มารวมตัวกันหนีไปขึ้นรถไฟก่อน

     

           "ทุกคนรีบไปที่สถานีกันเหอะ"

           มิ่งขวัญสั่งทันทีที่เข้ามารวมกลุ่ม แล้วทุกคนก็เริ่มวิ่งไปยังสถานี โดยมีฟูกับมิกซ์นำหัวแถว ส่วนมิ่งขวัญคอยรั้งท้ายเพื่อระวังหลังให้

           "ขวัญแล้วพี่ศรล่ะ!?"

           เสียงของฟูดังมาจากแถวหน้า

           "ไม่รู้... เดี๋ยวก็มามั้งรีบไปก่อนเถอะ"

           มิ่งขวัญตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

     

           และแล้วพวกเขาก็มาถึงสถานี ถัดจากนั้นก็วิ่งข้ามประตูเก็บตั๋วไปจนถึงบันไดอีกที่จะขึ้นไปยังชั้นชานชาลาที่หนึ่ง ภายในสถานีไม่มีสัตว์เทวะแล้วเพราะการทำลาย จุดพลังงานตอนที่ยกกันมาสำรวจคราวก่อน


           ตอนนั้นเองเส้นทางเบื้องหน้าบันไดก็ถูกปิดโดยชายผมแดงที่จู่ ๆ ก็โผล่มาขวาง โดยที่พวกเขาแทบจะไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าชายคนนี้เข้ามาในสถานีตั้งแต่เมื่อไหร่

           ชายคนดังกล่าวมีผิวซีดขาวกว่าปกติ สวมเสื้อโค้ทสีแดงมีขนมินท์สีขาวที่ปกคอเสื้อ ชื่อที่เขียนบนหน้าจอแสดงแถบพลังชีวิตเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีฟ้า ตรงกับที่อิงศรแจ้งมา ดังนั้นชายคนนี้จึงเป็นศัตรู ส่วนความเก่งกาจที่ขนาดอิงศรยังบอกว่าอย่าไปยุ่งด้วยนั้นแค่มองตัวเลขเลเวลที่ลอยอยู่ข้างชื่อก็รับรู้ได้

     

    Lithium LV. 144

    [/////39608:39698/////]

     

         ไหนจะมีรังสีฆ่าฟันที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจนรู้สึกได้อีก ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย... 

         มิ่งขวัญนิยามความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ออกมาอย่างนั้น

         สัมผัสของชายผมแดงทำให้มือที่จับดาบสั่นจนต้องเอามืออีกข้างมาช่วยประคอง ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่วาบไปทั่วสันหลังนอกจากนี้ยังรู้สึกถึงสายตาที่คมกล้าดุจดาบกำลังทิ่มแทงเข้ามาจากอีกฝ่าย ถึงแม้จะมีแว่นตาที่มีเลนส์ประหลาด ๆ สะท้อนแสงออกเป็นสีรุ้งได้ใส่อยู่ก็ตาม

     

           "นอกจากเป้าหมายแล้วที่เหลือก็ให้กำจัดทิ้งทั้งหมดสินะ..."

           เหมือนจะได้ยินชายผมแดงพึมพำออกมาเช่นนั้นก่อนจะลั่นวาจาอย่างตรงไปตรงมา


           "คนที่ผมต้องการมีเพียงชาวโลกที่ชื่ออิงศรกับมิ่งขวัญ ถ้าไม่มาขัดขวางจะยอมไว้ชีวิตพวกเธอให้ก็ได้"

           น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแล้วยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกดูถูกดูแคลน ทำเหมือนกับว่าพวกเขาจะขายเพื่อนขายครอบครัวให้โดยง่าย

     

           "พูดบ้า ๆ ใครมันจะไปยอมทำตามที่แกบอกกันเล่า! "

           ฟูตะหวาดเสียงดังลั่น

           ถูกอย่างที่ว่าหากมันคิดว่าพวกเราจะขายพวกเดียวกันเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็มันคิดผิดถนัดเลย... 

         มิ่งขวัญเห็นด้วยกับฟูอยู่ในใจ ถึงอิงศรจะห้ามเอาไว้ไม่ให้เข้าปะทะก็ตามแต่ได้ยินที่พูดมาเมื่อกี้แล้วไม่โกรธก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายแล้ว


           ชายผมแดงเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง ตอนนั้นเสียงปืนของมิกซ์ก็ดังขึ้นทำให้ได้ยินไม่ครบทั้งหมดแต่เหมือนจะเปรยว่า

           "โง่เขลาสมกับเป็นชาวโลกซะจริง..."

           แต่ลูกกระสุนก็พุ่งออกไปแล้วก่อนที่ชายผมแดงจะรู้ตัวเสียอีก ลูกกระสุนจะต้องเข้าเป้าอย่างแน่นอนเพราะถ้าไม่รู้ตัวก่อนก็ไม่มีทางที่จะหลบได้ ทว่า...

           ความคิดเช่นนั้นมันผิดพลาด...

           ผิดพลาดตั้งแต่ตอนที่คิดจะสู้กับสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ตนนี้แล้ว

           ร่างของชายผมแดงเรือนหายไปดั่งภาพลวงตา พริบตาถัดมาก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามิกซ์ราวกับเล่นกล...

     

           เป็นไปได้หรือที่คน ๆ หนึ่งจะหายตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่ได้แถมยังหลบกระสุนปืนที่ยิงออกไปก่อนจะรู้ตัวได้ด้วยอีกต่างหาก

           แล้วตอนนั้นเองก็มีเสียงเหมือนกับกระดูกถูกกระชากจนหลุดออกจากกันดังพล่อก

           ถัดมาศีรษะของมิกซ์ก็หลุดกระเด็นไปต่อหน้า

           กว่าจะเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอนที่เลือดซึ่งพุ่งออกจากคอที่ขาดไปแล้วของมิกซ์หยดลงบนแก้ม สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาก่อนที่ชายผมแดงจะเลือนหายไปอีกครั้งคือเจ้านั่นค้างอยู่ในท่าที่เหมือนกับปัดมือออกไป...

         เป็นไปได้อย่างนั้นหรือที่ใช้แค่มือเปล่าก็ตัดหัวคนได้อย่างง่ายดายเหมือนหักกิ่งไม้

         มิ่งขวัญได้แต่ย้ำถามกับตัวเองว่านี่คือฝันร้ายใช่ไหม

     

           "กรี้ดดด!!"

           เสียงกรีดร้องของพลอยดังขึ้น แล้วเธอก็ถูกทะลวงหน้าอกทะลุไปถึงกลางหลัง สิ้นใจตามมิกซ์ไปทันที กระทั่งเน็กซ์และนิวที่ยังลืมตาดูโลกได้ไม่ถึงสิบปีก็ถูกช่วงชิงชีวิตไปด้วยกัน

           "อึก..."

           ฟูส่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อยทั้งที่ถูกทะลวงทะลุอกซ้ายด้วยมือเปล่า คงเพราะความเจ็บปวดที่ไปหยุดเสียงเอาไว้ ถึงอย่างนั้นเด็กชายก็ไม่มีโอกาสจะรอดชีวิตเพราะสิ่งที่อยู่ในมือของชายผมแดงซึ่งทะลวงหน้าอกทะลุออกมาถึงหลังนั้นคือก้อนเนื้อหัวใจที่ยังเต้นตุบ ๆ และถูกขยี้แหลกคามือที่ย้อมเป็นสีแดงก่ำด้วยเลือดของครอบครัว


           จากนั้นชายผมแดงก็ถอนมือออก ร่างของฟูล้มลงราวกับขอนไม้

           ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว

           กว่าที่สมองจะประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้

           กว่าที่ความเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์จะถูกกลั่นออกมาเป็นน้ำตา

           ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวินาที หลังจากนั้นแรงที่รั้งขาให้ยืนไว้ก็หายไปซะดื้อ ๆ

     

           มิ่งขวัญล้มตัวคุกเข่าอย่างสิ้นหวัง แต่กระนั้นชายผมแดงกลับโผล่มาอยู่ต่อหน้าและยื่นมือให้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งคารมหรือความคิดที่อยากจะรักษาน้ำใจก็ไม่มีอยู่ในคำพูดนั้นเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว

           "เอ้า จะไปกันได้รึยัง"

           ทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าแต่กลับร้องไม่ออก ชายตรงหน้าไม่ใช่คนที่ใช้น้ำตาแล้วจะแสดงความเห็นใจให้อย่างแน่นอน จิตใต้สำนึกบอกกล่าวออกมาเช่นนั้น

           หลังจากคำพูดนั้น มิ่งขวัญก็ไม่ได้ตอบกลับออกไปจึงมีแต่ความเงียบที่เกิดขึ้น

           จนกระทั่งชายผมแดงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนกับพึ่งรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่างจึงดึงมือกลับไปมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์

     

           "อืม...ว่าแล้วเชียวรู้งี้น่าจะใส่ถุงมือก่อน เธอคงไม่ชอบเลือดสินะ แต่ว่าชั้นชอบมันมากเลยล่ะเพราะว่ามันเป็นสีแดงยังไงล่ะ"

           ชายผมแดงปรับน้ำเสียงในครั้งนี้ให้อ่อนลงจนฟังดูเป็นผู้เป็นคนกว่าเดิม แต่ไม่มีคนสติดีที่ไหนเขาพูดเรื่องพรรค์นั้นกันทั้งที่พึ่งฆ่าคนไปหรอก

           ระหว่างความช็อกกับความเศร้า ความกลัวกับความโกรธ ความรู้สึกทั้งหมดผสมปนเปเป็นเนื้อเดียวกันจนร่างกายไม่สามารถตอบสนองอารมณ์ทั้งหมดนั้นออกมาได้นอกจากการหลั่งน้ำตา

         ความเงียบสงัดดำเนินต่อมาหลังจากคำพูดของชายผมแดง ก่อนจะถูกทำลายด้วยเสียงโลหะกระทบพื้น

         มีกระป๋องเหล็กสองใบกลิ้งตกลงมาจากบันไดที่อยู่ทางด้านหลังของชายผมแดง

         และในตอนนั้นเอง

         "บัฟ---แอโร่ว! "

         น้ำที่เสียงคุ้นหูก็ดังข้ามมา ที่ตรงบริเวณกลางบันไดพอดี อิงศรยืนอยู่ที่นั่นแล้วแผลงศรลงมา ในจังหวะเดียวกับที่ควันสีขาวพวยพุ่งออกจากกระป๋องโลหะ

           ชายผมแดงไม่ได้หลบลูกธนูเหมือนตอนหลบลูกกระสุนเพราะวิสัยทัศน์ถูกบดบังจนคาดเดาไม่ได้ว่าลูกธนูจะมาจากทางไหน จึงเลือกที่จะจับมันด้วยมือเปล่าในตอนที่ลูกธนูจวนจะเข้าถึงตัว เขามีพลังถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่ได้เกินกว่าที่อิงศรคาดการณ์เอาไว้นัก

           ลูกธนูที่ชายผมแดงจับอยู่ได้ระเบิดออก เปลวไฟหลังการระเบิดไหลบ่าทับท่วมร่างก่อนจะก่อตัวเป็นมหิงสาเพลิงแล้วผลักไสร่างสีแดงออกไปจากม่านควัน

           ชายผมแดงพยายามใช้เท้าจิกพื้นเพื่อหยุดมหิงสาเพลิงแต่ก็ถูกดันจนลากเอาพื้นสถานีลอกเปิกไปเป็นทาง เขาถอยจนไปชนเข้ากับกำแพงกั้นจนทะลุและร่วงลงไปจากสถานีพร้อมกับมหิงสาเพลิงที่กำลังจะสลายไป

           ท่ามกลางควันจำนวนมหาศาล มิ่งขวัญรู้สึกได้ว่าตัวของเขาถูกลากออกไปจากกลุ่มควัน มีเสียงของอิงศรดังมาว่า

           "ทำใจดี ๆ ไว้ขวัญ"

           ไม่รู้ทำไมแต่พอได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนนั่นแล้วเสียงสะอื้นที่ปล่อยไม่ออกถึงได้ไหลไม่หยุดแล้วมิ่งขวัญก็ร้องไห้คร่ำครวญไปตลอดทางที่หนี


           ณ ชั้นชานชาลารถไฟฟ้าที่สอง อิงศรกำลังสั่งเริ่มการทำงานของระบบคนขับอัตโนมัติ

         เสียงเครื่องยนต์คำรามดังกระหึ่มไปทั้งชานชาลาจนน่าหวั่นว่าเสียงจะนำพาศัตรูมาหา แต่อีกแค่ห้านาทีรถก็จะออกแล้ว จนกว่าจะถึงตอนนั้นคงทันแบบฉิวเฉียด

           เด็กชายเดินออกจากห้องคนขับและ ที่เบื้องหน้านั้นมิ่งขวัญนั่งกอดเข่ารอเขาอยู่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด หลังจากเอาแต่พล่ามว่า ฟูตายแล้ว มิกซ์ตายแล้ว ทุกคนตายหมดแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอกจากส่งเสียงสะอื้น

           อิงศรไม่คิดตำหนิในเรื่องนั้น เพราะขนาดตัวเขาเองที่แค่ไปเห็นตอนร่างกายของทุกคนถูกทำลายลงหมดเท่านั้นก็ยังแทบใจสลาย

           แต่มิ่งขวัญเป็นคนที่เห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ที่ยังพอมีสติอยู่เงียบๆ แบบนี้ได้ถ้าไม่ใช่เพราะสภาพจิตใจเข้มแข็งกว่าก็คงจะช็อกจนเพี้ยนไปมากกว่านี้ แต่ดูจากอาการคงไม่ใช่ทั้งสองอย่าง มิ่งขวัญเหมือนจะมีสิ่งที่ยังช่วยยึดเหนี่ยวเอาไว้มากกว่าจิตใจถึงยังไม่สลายไป


           "ขวัญเข้าไปรอในรถเถอะ"

           อิงศรพูด

           "..."

           แต่มิ่งขวัญยังคงไม่ขยับตัว อิงศรจึงพูดอีกครั้งแต่ปรับน้ำเสียงลดลงจนเหมือนกับอ้อนวอน

           "ขอร้องล่ะขวัญขึ้นไปรอที่รถเถอะ"

           เหมือนจะได้ผล มิ่งขวัญพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ตู้โดยสารอย่างว่าง่าย เด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แค่เดี๋ยวเดียวก็กลับมาตีสีหน้าจริงจังอีก

         นั่นเพราะยังมีอีกเรื่องที่ต้องไปทำ คือตามหาตัวสีดาที่ไม่สามารถติดต่อได้ด้วยระบบของเกม แต่ก่อนหน้านั้นจะต้องส่งมิ่งขวัญหนีไปที่ปลอดภัยก่อน


           อิงศรหันไปมองเสาค้ำยันสถานีต้นที่เขาเคยคุยกับมิ่งขวัญเมื่อสี่วันก่อน ตอนนี้มันถูกติดตั้งระเบิดเอาไว้สี่ลูก ที่ชั้นอื่นของสถานีก็มีติดไว้ทุกที่ ถ้ากดสวิตซ์เมื่อไหร่ทุกลูกจะทำงานพร้อมกันแล้วส่งสถานีแห่งนี้กลับคืนสู่ดิน

           อิงศรติดตั้งระเบิดเหล่านี้ หลังจากบอกให้ทุกคนหนีผ่านทาง 'Chat' แล้วเขาก็ใช้ทางลัดมุ่งหน้ามาสถานีก่อนเพื่อเตรียมการให้พวกมิ่งขวัญที่กำลังจะมาสามารถหนีไปได้โดยปลอดภัยจึงติดตั้งระเบิดเอาไว้ทุกจุดในสถานีกะเอาไว้ว่าเมื่อรถไฟออกไปแล้วจะทำลายสถานีทิ้งไม่ให้พวกมันไล่ตามไปได้

           หลังจากนั้นถ้าเคลื่อนไหวเพียงลำพังก็อาจจะพอเล็ดลอดสายตาศัตรูได้แล้วไปหาตัวสีดาให้เจอจากนั้นค่อยตามไปสมทบกับมิ่งขวัญทีหลัง แผนการทั้งหมดอยู่ในหัวของอิงศร เหลือก็แค่ปฏิบัติตามเท่านั้น


           อีกสามนาทีรถไฟจะออก บริเวณโดยรอบยังคงสงบดีหากสถานการณ์ดำเนินไปแบบนี้ก็ไม่มีอะไรต้องห่วง อิงศรจึงตัดสินใจจะออกไปตามหาสีดาตั้งแต่ตอนนี้เลย

           ทว่า ทันทีเขากำลังจะเดินออกไปจากชานชาลาอยู่นั่นเอง มิ่งขวัญก็ตะโกนมา

           "ศรจะไปไหนน่ะ?! "

           อิงศรหันกลับไปเตรียมจะบ่นว่าอย่าทำตัวเรื่องมาก... แต่ก็พูดไม่ออก ใบหน้าของมิ่งขวัญแสดงความกังวลและความกลัวออกมาอย่างชัดเจน

           เด็กชายจิกปากด้วยความเจ็บใจ เขาไม่อยากทิ้งน้องชายไปกับรถไฟเพียงลำพังในสถานการณ์แบบนี้หรอก แต่จะทิ้งสีดาไปก็ไม่ได้ สามเดือนที่ผ่านมาเธอคนนั้นเสมือนเป็นครอบครัวคนหนึ่งไปแล้ว ถ้าหากว่าที่หลงไปเป็น ฟู มิกซ์ พลอย เน็กซ์ หรือ นิว เขาก็ต้องไปช่วยให้ได้ จนกว่าจะเห็นกับตาว่าทุกคนยังอยู่หรือตายไปแล้ว

     

           "สีดา...ยังหาตัวเธอไม่เจอเลย ขวัญนายไปรอที่สถานีปลายทางก่อนเถอะเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง"

           อิงศรกัดฟันพูดและหวังให้น้องชายเข้าใจ

     

           "ไม่ได้นะ! ขืน...ขืนทำแบบนั้น..."

           น้ำเสียงของมิ่งขวัญสั่นเครือ ใบแก้มอาบไปด้วยน้ำตาพลางพูดถ้อยคำที่แสนเจ็บปวด

           "ขืนทำแบบนั้นเดี๋ยวศรก็ถูกพวกมันฆ่าไปด้วยหรอก"

           พูดออกมาอย่างนั้นแล้วก็วิ่งมาฉุดแขนของเขาจะลากให้ไปที่ตู้โดยสารด้วยกัน


           "เราหนีกันเถอะนะศร"

           "อย่านะ...ขวัญ...ปล่อยสิ"

           อิงศรพยายามแกะมือน้องชายออก

           "ขวัญเราจะทิ้งครอบครัวไม่ได้นะช่วยเข้าใจแล้วรีบหนี"

           "ไม่เอา ขวัญไม่อยากเสียใครไปอีกแล้ว! "

           มิ่งขวัญพูดแทรกแล้วดึงแขนเขาแรงกว่าเดิม


           "ขวัญ!! "

           อิงศรกระชากแขนออกจนเผลอทำมือปัดใส่หน้าน้องไป มิ่งขวัญเซถลาเหมือนจะล้ม

           "อ๊ะ! "

           ด้วยความตกใจจึงรีบเข้าไปจับตัวน้องไว้

           "ขอโทษนะขวัญ เจ็บมากรึเปล่า"

           มิ่งขวัญส่ายหน้าก่อนจะยืนยันคำเดิม

           "ศรหนีไปด้วยกันเถอะนะ"

     

           อิงศรถอนหายใจอีกครั้ง พยายามคิดหาคำพูดที่จะทำให้มิ่งขวัญยอมเข้าใจ ตอนนั้นเองที่สถานการณ์ผันเปลี่ยนไปอีกครั้ง

    จากด้านหลังเขารู้สึกได้ว่ามีร่างของมนุษย์คนใหม่เพิ่มขึ้นมาในชานชาลารถไฟ

         ดูเหมือนอีกฝ่ายจงใจทำให้พวกเขารู้เพราะถึงกับพูดออกมาเสียงดังให้ได้ยินกันอย่างชัดเจน


           "อ้าว ตรงนั้นมันพวกลูกของชาวโลกที่ ซุงลี่กำลังตามหาอยู่นี่น้า~"

           เจ้าของเสียงเป็นชายผิวซีดเหมือนกับพวกศัตรูมีผมสีเงินและสวมเสื้อโค้ทแบบเดียวกับชายผมแดง แต่ชุดของชายผู้นี้เป็นสีดำ

           “เอ๊~  ชื่ออะไรแล้วนะพวกเธอน่ะอ๋อใช่ ๆ อิงศรกับมิ่งขวัญ งั้นก็ต้องเรียกว่า ซุงอิง กับ ซุงมิ่ง สิน้าผมล่ะทึ่งกับพวกเธอจริง ๆ     ทั้งที่เจอกับระดับราชครูแต่ก็ยังหนีรอดมาได้อีกเนี่ยไม่ทราบว่าทำได้ยังไงหรือครับ"

           ย่างก้าวของผู้มาใหม่แต่ละก้าวนั้นล้วนสง่างามแม้แต่เด็กที่ไม่สนใจเรื่องกิริยามารยาททางสังคมชนชั้นสูงอย่างเขาเองก็รับรู้ได้ เมื่อรวมใบหน้าที่งดงามเข้ากับลักษณะท่าทางอันสูงส่งเยี่ยงขุนนางแล้วนั่นก็ทำให้รู้สึกถึงความน่าเกรงขามคนละแบบกับที่ชายผมแดงมี

           อิงศรเพ่งสายตาไปที่หน้าจอแสดงชื่อและเลเวลของชายชุดดำ


    Potassium LV. 144

    [/////66666:66666/////]

     

           แล้วจิกปากพลางสบถว่า

           "โถ่เว้ยเจ้านี่ก็ระดับเดียวกับไอ้หมอนั่นเรอะ"

           "อะฮะ  สีหน้าแบบนั้นใช้ได้เลยนี่"

           ชายชุดดำกล่าวนำจากนั้นก็เริ่มพล่ามไม่หยุดปาก

           "สำหรับผมแล้วหนึ่งในสิ่งที่ชื่นชอบเกี่ยวกับชาวโลกมากที่สุดก็คือใบหน้ายามสิ้นหวังของพวกเธอเนี่ยแหละ ในตอนที่ความหวังสูญสิ้นไปต่อหน้านั่นน่ะมันงดงามยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดบนดวงดาวที่แสนโสมมแห่งนี้เลยเชียว"

     

           ราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ไม่สิทำเป็นไม่เห็นมากกว่า...

         อิงศรตีความอีกฝ่ายออกมาอย่างนั้น ทั้งที่เขายกคันธนูก็แล้ว ขึ้นลูกศรก็แล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ได้มีทีท่าจะป้องกันตัวเลยแม้แต่น้อย

    จากจุดนี้ระยะห่างราว ๆ สิบสองเมตรไม่มีทางที่คนสายตาสั้นเช่นเขาจะยิงโดน ยิ่งกับสัตว์ประหลาดแบบพวกมันยิ่งเป็นไปไม่ได้เว้นแต่ว่า

     

           "ล็อกออน! "

           อิงศรประกาศใช้สกิลจากนั้นก็ดึงลูกศรเพลิงเหนี่ยวสายดีดออกแล้วพูดต่อทันทีว่า

           "ฟาสช็อต (Fast Shot) "

           แล้วแผลงธนูออกไป การยิงที่เหมือนกับยิงออกไปเพียงครั้งเดียว แต่ความจริงแล้วเขายิงออกไปสามครั้งด้วยกัน เป็นผลมาจากสกิลที่ใช้ ด้วยวิธีนี้ลูกธนูทั้งสามดอกจะได้รับการสนับสนุนจาก 'ล็อกออนช่วยให้มั่นใจได้ว่าการยิงนี้จะไม่พลาดเป้า

     

           “เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์ เอเลี่ยนอย่างพวกผมน่ะเก่งกว่าชาวโลกตั้งสิบสองเท่าเชียวนะ...

           จังหวะที่ชายชุดดำเอ่ยขึ้นมานั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกธนูเพลิงทิ่มแทงใส่ร่าง และในตอนที่สมองของอิงศรสรุปว่าลูกธนูเข้าเป้าไปแล้วนั่นเอง ร่างของชายชุดดำกลับเลือนหายไปจากสายตา

           "สิ้นหวังไปซะจะดีกว่าเพราะสีหน้าแบบนั้นมันงดงามมากกว่าน้า~"

           อิงศรหันเหสายตาไปยังทิศทางตรงกันข้าม ที่นั่นชายชุดดำกำลังยืนกอดอกอยู่ ดวงตาหรี่แคบจดจ้องมาทางพวกเขา มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องปากเหมือนกำลังหัวเราะเยาะ ส่วนอีกข้างนั้นกำลูกธนูเพลิงทั้งสามดอกเอาไว้ สมองเปลี่ยนข้อสรุปใหม่

         เป็นข้อสรุปที่ยากจะเชื่อ แต่มันคือเรื่องจริงที่อีกฝ่ายรับลูกธนูเอาไว้ได้ทั้งหมด

     

           "ช่วยดิ้นรนอย่างเต็มที่แล้วก็สิ้นหวังลงไปอย่างงดงามให้ดูหน่อยเถอะ... "

           ชายผู้อ้างตัวว่าเป็นเอเลี่ยนกล่าวออกมาเช่นนั้น แล้วบีบธนูเพลิงที่กำเอาไว้ ลูกธนูหักเปาะและสลายตัวลงในทันที

           

    เหลือเวลาอีกราวหนึ่งนาทีก่อนที่รถไฟจะออกจากสถานี แต่ศัตรูที่ไม่มีทางเอาชนะได้กลับยืนอยู่ต่อหน้า จากการนี้เองอิงศรก็ได้ข้อสรุปของการต่อสู้ในครั้งนี้ เป็นข้อสรุปที่น่าเศร้า...

           จะต้องมีใครซักคนเสียสละตัวเองยื้อศัตรูเอาไว้แล้วให้อีกคนหนีไปซึ่งคนที่จะโดยสารรถไฟขบวนนี้จะต้องเป็นมิ่งขวัญ จากนั้นเขาจะระเบิดสถานีแห่งนี้ไปพร้อมกับตัวเอง โครงเรื่องแบบนั้นคงจะดีที่สุด มันเป็นคำตอบที่สร้างขึ้นจากความหวังที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด

           "ไม่มีทางเลือกแล้วสินะ"

           อิงศรพูดเหมือนจะสบถ

           "ขวัญนายรีบขึ้นรถไปซะอีกหนึ่งนาทีรถจะออกแล้ว ชั้นจะต้านเอาไว้ให้จนกว่าจะถึงตอนนั้น"

           น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดเพื่อเป็นหลักประกันว่ามิ่งขวัญจะไม่ขัดขืนต่อประสงค์ดีที่จะเสียสละร่างนี้ต่อชีวิตให้ แล้วอิงศรก็พุ่งออกไปพร้อมกับขึ้นธนู

     

         "อะฮะ เลือดขึ้นหน้าแล้วสิแบบนั้นมันน่าเบื่อน้า~"

         เอเลี่ยนพูดเปรยๆ เหมือนจะเสียดาย จากนั้นร่างกายก็เริ่มเลือนหาย

         พริบตานั้นเองด้วยสัญชาตญาณพาไปอิงศรตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวสุดท้ายของศัตรูก่อนที่จะหายไปจากสายตา

         ร่างที่กำลังเลือนหายนั้นก็แค่ภาพติดตาที่เกิดจากการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนตามองไม่ทัน แต่การเคลื่อนไหวก่อนที่ภาพติดตาจะหายไปจะช่วยบอกล่วงหน้าได้ว่าอีกฝ่ายจะบุกเข้ามาจากทางไหน

           อิงศรอ่านการเคลื่อนไหวที่ว่าแล้วก็เหมือนจะจับจุดขึ้นมาได้เด็กชายหยุดวิ่งแล้วย้ายคันธนูไปทางซ้าย

     

           "เห เธอเร็วขึ้นกว่าเดิมรึเปล่านี่"

           เอเลี่ยนโผล่มาตรงจุดที่คันศรหันไปพอดี ถึงฟังจากน้ำเสียงจะดูเหมือนกำลังตกใจแต่สีหน้าก็ยังคงรอยยิ้มไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

           "เสร็จฉันล่ะไอ้ปีศาจ! "

           อิงศรสบถใส่รอยยิ้มนั้นแล้วปล่อยมือจะแผลงศรออกไป แต่ทว่ามือของชายชุดดำได้ตวัดขึ้นมาก่อนสันมือนั้นฟันถูกกระดูกข้อต่อและแขนข้างซ้ายของอิงศรก็ถูกตัดขาดอย่างง่ายดายราวกับกระดาษ

     

           "ศร !!"

           มิ่งขวัญส่งเสียงตะโกนมาจากด้านหลัง ทั้งที่ควรจะขึ้นไปอยู่บนรถไฟแล้ว

           "อิเล็กทริกเบลด! "

           ตอนนั้นแขนของอิงศรที่ยังจับคันธนูไว้ก็ลอยเคว้งกลางอากาศ เลือดพุ่งทะลักออกจากส่วนที่โดนตัด เด็กชายใช้มือขวากดมันไว้

    ความรู้สึกที่แขนซ้ายหายไปชั่วขณะ

           "อึก..."

           ความเจ็บปวดเริ่มแทรกเข้ามาร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการส่งเสียงครางแถบพลังชีวิตลดลงไปเกินครึ่งในการโจมตีนี้


    อิงศร LV. 17

    [//...160:850.....] 


           มิ่งขวัญวิ่งผ่านอิงศรไป แล้วกวัดแกว่งดาบที่มีสายฟ้าสถิตไปมาอย่างสะเปะสะปะ ถ้าคู่ต่อสู้เป็นสัตว์เทวะแค่นั้นก็คงจะทำอะไรได้บ้าง แต่มันใช้กับศัตรูที่มีความคิดและฝีมือเหนือชั้นกว่าไม่ได้

           แค่หวดดาบได้ไม่กี่ครั้งก็ถูกชายชุดดำจับแขนยกตัวลอยขึ้นเหนือพื้นก่อนจะถีบส่งจนร่างลอยละลิ่วกลับมากระแทกอิงศรแล้วลากกันกลิ้งโคโล่ไปหยุดอยู่หน้าประตูรถไฟ

     

           "โอ๊ะโอ๋ดูเหมือนว่าหนูน้อยหมวกแดงของเรากำลังจะมากันแล้วนะ"

           เอเลี่ยนกล่าวออกมา แล้วตอนนั้นเองก็มีผู้มาเยือนชั้นชานชาลาที่สองเพิ่มขึ้น ชายผมแดงเดินขึ้นบันไดมาพร้อมกับกลุ่มชุดดำที่เป็นพวกเดียวกัน

     

           เอเลี่ยนละความสนใจไปจากพวกเขาแล้วหันไปทางกลุ่มของชายผมแดง

           "อ้าว มาแล้วเหรอกำลังเล่นกันเพลิน ๆ เลยล่ะแต่ก็เริ่มน่าเบื่อแล้วเหมือนกัน"

           แล้วพูดคุยด้วยอย่างสนิทสนม

           ชายผมแดงมองมาทางอิงศรกับมิ่งขวัญที่ยังฟุบกันอยู่หน้าประตูรถไฟสลับกับเอเลี่ยนที่กำลังส่งยิ้มหน้าชื่นมื่นให้ อยู่สองถึงสามครั้งก่อนจะเริ่มตำหนินายเอเลี่ยนชุดดำ


           "ท่านลำดับที่สี่ ไปลงมือกับพวกเขาแบบนั้นเกิดตายขึ้นมาจะโดนท่านลำดับที่สามว่าเอาได้นะครับ"

           ได้ฟังดังนั้นเอเลี่ยนก็เหยียดยิ้มสนุกสนาน

           "ออมมือไว้แล้วล่ะเพราะถ้าขืนโดนท่านรูบิเดียมเล่นงานถึงเป็นผมก็คงเอาชีวิตไม่รอดหรอก เชิญเธอจับลูกหมาป่าใส่ตะกร้าต่อเลยซุงลี่หมวกแดง"

           ชายผมแดงทำเมินคำพูดเล่นสนุกนั้นแล้วเดินเข้ามาหาแต่ก็ทิ้งระยะห่างเอาไว้

           "จะไม่ทำร้ายพวกเธอหรอกนะยอมมอบตัวแต่โดยดีเถอะ"

           แล้วยื่นข้อเสนอตอนนั้นเองถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายทิ้งระยะห่างเพื่อให้พวกเขาเชื่อในคำพูดที่ลั่นวาจามา


           อิงศรยันร่างกายท่อนบนขึ้นแล้วเปิดหน้าจอ 'Inventory' แล้วหยิบกระป๋องระเบิดควันกับสวิตซ์กดระเบิดออกมาถือด้วยมือขวาที่เหลืออยู่

           "จะหนีไปด้วยสิ่งนั้นสินะ"

          ชายผมแดงชี้มาที่รถไฟ พริบตาที่ความสนใจของพวกเอเลี่ยนมาถึงจุดนี้ ดวงตาของอิงศรก็เบิกกว้างขึ้น ...

         นี่มันสถานการณ์เลวร้ายสุดกู่ถ้าหากว่ารถไฟถูกทำลายขึ้นมาพวกเขาก็หมดทางรอด แต่ทว่า...

           "จะหนีไปก็ได้นะ"

           ชายผมแดงพูดอย่างนั้นราวกับจะมอบความหวังให้

           "แต่ยานที่ช้าเป็นเต่าคลานแบบนั้นน่ะแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ตามทันแล้วเลิกคิดซะจะดีกว่า"

           แล้วพูดอย่างมั่นใจ น้ำเสียงนั้นไม่ได้แฝงคำโกหกไว้เลย


           "อะฮะ ข่มกันซะไม่เหลือให้ตั้งตัวเลยนะซุงลี่ถึงมันจะจริงก็เถอะ"

    เอเลี่ยนชุดดำพูดกลั้วเสียงหัวเราะ

           มื่อประเมินจากความสามารถที่ผ่านมาก็มีความเป็นไปได้ที่คำพูดทั้งหมดจะเป็นความจริง พวกเขาไม่สามารถหนีรอดได้...

            แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะหนีให้ดู จะต้องพามิ่งขวัญหนีไปให้จงได้ อิงศรสาบานกับตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องของศักดิ์ศรีพี่ชายอีกแล้วแต่เป็นใจจริงที่อยากจะปกป้องครอบครัวเอาไว้

           แล้วก็พลางนึกถึงตอนที่ฟังมิ่งขวัญพูดแล้วรู้สึกหวั่นไหวเมื่อสี่วันก่อนขึ้นมา

           ถึงได้พึ่งจะมาเข้าใจเอาตอนนี้ ที่ตัวเขาเปลี่ยนไปไม่ใช่เพราะถูกความป่าเถื่อนของโลกนี้กลืนกินจนสูญเสียความเป็นคน แต่เป็นเพราะตัวเขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้นต่างหาก เพื่อคนที่รักเพื่อครอบครัวที่ถวิลหามนุษย์สามารถจะกลายเป็นฆาตกรหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น

     

           "ขวัญฟังนะ ก่อนสิบวินาทีสุดท้ายที่ประตูรถจะปิด สัญญาณเตือนจะดังตอนนั้นชั้นจะใช้ระเบิดควันนี่ถ่วงเวลาพวกมันไว้แล้วนายก็รีบหนีขึ้นรถไฟไปซะ"

           อิงศรยกกระป๋องระเบิดให้ดูแล้วกระซิบ

           "ศรจะหนีไปด้วยกันใช่ไหม?"

           มิ่งขวัญยังคงถามคำถามเดิมอยู่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะตอบตกลง สวิตซ์กดระเบิดจะต้องกดตอนอยู่ที่ชานชาลาเท่านั้นไม่อย่างนั้นระยะสั่งการจะไม่พอทำให้ระเบิดทั้งหมดทำงาน และต้องกดตอนที่รถไฟวิ่งออกไปจากสถานีแล้ว


           "อืม ชั้นจะไปด้วย"

           อิงศรพูดพลางหลบสายตา

           "ศร..."

         มิ่งขวัญเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่แล้วเสียงสัญญาณรถไฟออกกลับดังขึ้น

         "ตอนนี้แหละไปเลย! "

         อิงศรขว้างระเบิดลงพื้น ไอควันจำนวนมหาศาลพวยพุ่งตลบอบอวลไปทั่วทั้งชานชาลา


         "ทำแบบนั้นไปก็เปล่าประโยชน์น่า"

         ชายผมแดงตะหวาด

         "เออนี่ซุงลี่"

         ชายเสื้อโค้ทสีดำเรียกเขาจึงหันไปสนทนาด้วยระหว่างที่รอให้ควันจาง

           "ตอนที่ผมมาเดินเล่นอยู่แถวนี้ก็เห็นมีระเบิดวางเอาไว้ให้ทั่วตึกเลยล่ะ นั่นเป็นของเธอรึเปล่า"

           "หือไม่นะครับภารกิจตามล่าเราไม่พกของทำนองนั้นมากันหรอก"

           "งั้นก็ชักท่าไม่ดีแล้วล่ะ ทางที่ดีเราเตรียมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจะดีกว่านะ"

           ด้วยคำพูดนั้นทำให้ชายผมแดงย้ายมือไปวางลงกับดาบที่เอว

     

           เวลาผ่านไปจนกระทั่งประตูรถไฟปิดลงไอควันถึงได้จางหายและตอนนี้มิ่งขวัญก็ไปอยู่อีกฟากของประตูรถไฟเพียงลำพังตามโครงเรื่องที่อิงศรคิดไว้...

     

           "ขวัญ! เฮ้ขวัญ!  ทำไมทำแบบนี้ล่ะ!"

           แต่อิงศรกลับเป็นฝ่ายที่ทุบมือใส่ประตูรถจากฝั่งด้านในของตู้โดยสาร....

           นั่นก็เพราะตอนที่ระเบิดควันทำงานมิ่งขวัญที่ควรจะต้องเข้ามาอยู่ข้างในตามที่เขาพูดโกหกไว้ กลับเข้ามาแย่งสวิตซ์กดระเบิดไปจากมือแล้วผลักเขาเข้ามาในรถแทน

     

           "พี่ศรน่ะเวลาจะพูดโกหกจะไม่ยอมพูดตามใจขวัญอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ"

           เสียงของมิ่งขวัญไม่สามารถจะเล็ดลอดผ่านประตูรถไฟไปได้ อิงศรจึงไม่ได้ยินคำพูดของเขา

           "ขวัญก็กลัวนะ....กลัวที่จะตายเหมือนกัน..."

           เด็กชายกล่าวถ้อยคำทั้งน้ำตาพลางเหลือบสายตามองไปยังเสาค้ำยันสถานีต้นที่พวกเขาพูดถึงกันเมื่อสี่วันก่อน ตอนที่อิงศรยอมว่าตามอย่างง่าย ๆ ก็รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้น

           "แต่ที่กลัวยิ่งกว่าก็คือโลกที่ไม่มีศรอยู่...โลกแบบนั้นน่ะขวัญอยู่ไม่ได้หรอก"

         และแล้วรถไฟก็เคลื่อนตัวออกจากสถานี อิงศรพยายามวิ่งสวนทางกลับไปยังตู้โดยสารท้ายขบวนด้วยกำลังทั้งหมดเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวยในสภาพที่เสียเลือดจากแขนข้างที่ขาด ภาพของมิ่งขวัญที่มองผ่านกระจกประตูรถในแต่ละบานนั้นทยอยห่างไกลออกไป

           จนกระทั่งภาพสุดท้าย คือภาพที่ร่างของมิ่งขวัญถูกชายผมแดงตวัดดาบผ่าลำตัวขาดกลาง แถบพลังชีวิตสุดท้ายที่มองเห็นก่อนที่ขบวนรถจะออกไปพ้นสถานีนั้นเหลืออยู่เพียงน้อยนิด

     

    มิ่งขวัญ LV. 16

    [/......66:1450.....]

     

           อิงศรเบ้ปากแล้วตะโกนสุดเสียง

           "ไม่ได้นะ! ถ้ากดระเบิดทั้งที่HPเหลืออยู่แค่นั้นล่ะก็.."

           อนิจจาเสียงของเขาส่งไปไม่ถึงมิ่งขวัญ ภาพบนกระจกกลายเป็นทิวทัศน์ด้านนอกสถานีไปเสียแล้ว


           หลังจากรถไฟวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ระเบิดที่วางไว้ก็เริ่มทำงานเป็นฝีมือมิ่งขวัญอย่างไม่ต้องสงสัยและด้วยพลังชีวิตที่มีอยู่แค่นั้นไม่มีทางรอดจากการถูกซากสถานีถล่มใส่ได้อย่างแน่นอน

            อิงศรได้แต่มองสถานีที่กำลงถล่มทลายกลับคืนสู่ดิน ทยอยห่างออกไปไกลจนกระทั่งลับสายตา


           "ขวัญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ

    ญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญญ!!! "

     

           แล้วกรีดร้องจนคอแทบแตกก่อนล้มฟุบลงกับพื้น พลางส่งเสียงครางอย่างขมขื่น และหวังให้ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ฝันร้ายแล้วรีบตื่นจากมันเสียที 

         น้ำตาไหลเป็นสายจนกระทั่งดวงตาแห้งขอด แต่อิงศรก็ยังส่งเสียงสะอื้นไห้และครางออกมาอย่างเจ็บปวด

           ที่ผ่านมาเขาทำได้ดีในเรื่องของการสะกดข่มใจตัวเองไม่ให้แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา แต่หนนี้ถึงจะพยายามสะกดข่มใจตัวเองอย่างหนักกว่าครั้งไหน ๆ ก็ไม่อาจหยุดความเศร้าเสียใจนี้ไว้ในอกได้เลย

     

           ความเจ็บปวดจากแขนที่ถูกตัดขาดนั้นหายไปและแขนที่โดนตัดก็งอกออกมาใหม่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังรู้สึกทรมาน รู้สึกอึดอัดที่จะหายใจ รู้สึกเจ็บปวดที่จะรับรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ในโลกที่ทุกคนตายจากเขาไปหมดแล้ว


           ทำไมถึงเป็นเขาที่ได้หนีมา...

           ทำไมมิ่งขวัญที่อ่อนแอถึงได้ทรยศต่อความหวังดี...

           ทำไมถึงผลักไสชะตากรรมแบบนี้ให้...

           คำถามต่าง ๆ ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีคำตอบ


           "..."

           เด็กชายอยากที่จะสบถถ้อยคำประชดประชันในชะตาชีวิตของตัวเองแต่ก็ไม่เสียงจะทำแบบนั้นจึงได้แต่สาปแช่งตัวเองที่มีชีวิตรอดอยู่ในใจ จนกระทั่งสติหลุดลอยไปในที่สุด


     

           สติของอิงศรกลับมาอีกครั้ง เด็กชายปรือตาขึ้นเล็กน้อย แล้วตรวจสอบสถานการณ์ของตัวเอง ตู้โดยสารท้ายขบวนที่ได้เห็นมิ่งขวัญเป็นครั้งสุดท้ายเขาตื่นขึ้นที่นั่น รถไฟดูเหมือนพึ่งจะเข้าจอดที่สถานี

     

           "ทุกนายจงดีใจซะในที่สุดพระเจ้าก็ตอบรับคำสวดภาวนาของพวกเราแล้ว"

           มีเสียงแว่วมาจากด้านนอกของรถไฟ

           "ผู้กอบกู้จะขี่ม้าสีขาวออกมาพร้อมกับธนูแห่งชัยชนะ จงไปเอาตัวผู้กอบกู้ของพวกเรามา! "

           น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ยามเมื่อประตูรถไฟเปิดออก ก็มีคนในชุดเครื่องแบบทหารก้าวเท้าเข้ามาในรถ หนึ่งคน สองคน สามคน ไล่มาเรื่อย ๆ แต่ละบานประตูรถจะมีคนเข้ามาหนึ่งคน และทุกคนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง


           "แต่ก็เหลือเชื่อเลยแฮะส่งขบวนรถไฟเปล่า ๆ ไปดันวิ่งกลับมาเองได้ซะงั้นนายรู้อยู่ก่อนแล้วสินะสิงห์"

    ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงของผู้ชายอีกคนดังมาจากด้านหลัง ตรงกับบานประตูสุดท้ายของขบวนรถไฟที่เขานั่งอยู่ จากนั้นก็มีเสียงที่ได้ยินในครั้งแรกดังตามมา 

           "ถ้าชั้นบอกว่าผู้กอบกู้จะมามันก็ต้องมา"

           เจ้าของเสียงก้าวเท้าเข้ามาในรถไฟเป็นชายในชุดทหารท่าทางเย็นชารูปหน้าคมสัน และไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ฉาบอยู่บนใบหน้าเพราะแทบจะไม่มีรอยย่นจากการยิ้มหรือหัวเราะปรากฎให้เห็นราวกับว่าเขาไม่เคยแสดงมันออกมา

           "พูดแบบมั่นใจขนาดนั้นอีกละเคยเผื่อใจกันหน้าแตกไว้บ้างไหมเนี่ย..."

           พวกเขาหยุดการสนทนากันเพียงเพราะมาเจออิงศรนั่งรออยู่ในรถไฟ

           "..."

           สายตาของชายไร้อารมณ์จ้องมาที่อิงศร

           "มาสายไปสี่เดือนยี่สิบสองวันสิบชั่วโมงกับอีกยี่สิบแปดวินาที แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนตามคำพยากรณ์ของซีลอร์ด นายคือผู้ถูกฟันเฟืองเลือกให้เป็น 'ผู้กอบกู้อย่างนั้นสินะ"

           "..."

           อิงศรไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ไม่เข้าใจด้วยว่าพวกคนเหล่านี้เป็นใครและต้องการอะไรจากเขา

         ระหว่างนั้นชายที่ยืนอยู่ข้างกันก็ลงมือกระทำบางอย่างด้วยการเปิดหน้าจอระบบเกมขึ้นแล้วย้ายจอหันมาทางอิงศร


           "สิงห์ เจ้าเด็กนี่อาชีพ 'เรนเจอร์' (Ranger) เหมือนกับชั้นเลยแต่อาวุธที่ติดตั้งเป็นประเภทธนูแหะ"

           โดนชายคนนั้นตรวจสอบข้อมูลไปแล้ว ...แต่จะสำคัญอะไรอีกล่ะ... อิงศรคิดแล้วสีหน้าก็พลอยหมองหม่นไปด้วย

           "งั้นก็ตรงตามคำพยากรณ์"

           ชายไร้อารมณ์ผู้ถูกเรียกว่าสิงห์สรุปคำพูดนั้นก่อนจะประชิดเข้ามา

           "จากนี้ไปชั้นจะขอใช้แกเป็นตัวหมากที่แสนสำคัญเพื่อกอบกู้มนุษยชาติล่ะนะเจ้าหนู"

           แล้วพูดพร้อมกับส่งมือมาเหมือนจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น

           "อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ!"

           อิงศรตะหวาดใส่มือข้างนั้น แล้วแสดงใบหน้าอ่อนแอ ออกมาเป็นครั้งแรก

           "ชั้นน่ะ...ชั้นน่ะ...ปกป้องใครเอาไว้ไม่ได้เลย...แล้วนายยัง...จะบอกให้ชั้นเป็นผู้กอบกู้อะไรอีก"

           เด็กชายพูดตัดพ้อต่อชะตาชีวิตด้วยน้ำเสียงกล้ำกลืนสุดประมาณ

           "เกมของชั้นมันโอเวอร์ไปแล้ว!!"

           ตะโกนด้วยใบหน้าที่เจ็บปวดและมีหยาดน้ำตาไหลรินออกมา

           แต่ชายไร้อารมณ์ก็ไม่ได้แสดงความเห็นใจให้ ที่จริงใบหน้าของเขาหยุดนิ่งอยู่แบบนั้นตั้งแต่ที่เจอกันแล้วจนตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

     

           "เกมโอเวอร์งั้นเหรอ..."

           เขาพูดตอบกลับมา แล้วเก็บมือจากนั้นก็เชิดใบหน้าขึ้น

           "แล้วมันยังไงกันล่ะ ชีวิตที่รอดมาได้บนความตายของผู้คนนั่นนายคิดจะเอาไปใช้ทำอะไร"

     

           "เรื่องนั้น..!"

           อิงศรคิดจะพูดสวนแต่กลับถูกแทรกด้วยสายตาที่ดุดันซึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เรียบนิ่ง

           "เท่ากับว่าชีวิตในตอนนี้มันไม่ใช่ของนายอีกต่อไปแล้วชะตากรรมไม่ได้กำหนดให้นายมาจบอยู่ที่เส้นสตาร์ทนี่"

           ชายตรงหน้าตะหวาดออกมาเช่นนั้นแล้วก็ส่งมือมาให้อีกพลางพูดว่า

           "มากับชั้นสิ ! รีสตาร์ทเกมของนายอีกครั้งแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ ! ชั้นจะชี้นำให้เอง !"

     

           หากยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นคนอ่อนแอแล้วคว้ามือนั้นไว้ชะตาชีวิตหลังจากนี้คงจะบิดผันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ บรรยากาศบอกเล่าออกมาเช่นนั้น

           แต่จะสำคัญอะไรอีก...

           ตัวตนของเขาได้ตายไปตั้งแต่ตอนสถานีรถไฟที่ถล่มลงมาตอนนั้น ไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งเพื่อปกป้องใครอีกแล้ว อิงศรคว้ามือนั้นไว้โดยไม่คิดลังเล

     

    .....จากนั้นเพียงชั่วพริบตากาลเวลาก็ผันผ่านไปอย่างง่ายดายถึงสามปี.....

     

     

    สามปีต่อมา

           ณ สวนสาธารณะในเขตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่นี่ถูกโอบล้อมโดยธรรมชาติแสนจะเขียวขจี รอบสวนสาธารณะนั้นเป็นคูคลองที่ขุดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์ คลองมีความกว้างไม่มากแต่ก็ลึกกว่าที่เห็นถัดจากคลองไปนั้นเป็นรั้วอิฐที่เก่าจนพุพังลงมาเป็นซาก บางแห่งถูกรถขับเข้ามาชนตอนวันสิ้นโลกจนพังเสียหาย

           ภายในสวนเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติศาสตร์ของวิทยาลัย และบนหลังคาสามเหลี่ยมหน้าจั่วของอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เอง ก็มีเด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบทหารทาบทับด้วยผ้าคลุมสีดำปรากฏตัวขึ้น


           เด็กหนุ่มมีเรือนผมสีดำหยิกหยักศกบ้างนิดหน่อยปอยผมที่ตกลงมาข้างหน้าหวีเก็บไปทางซ้าย เผยให้เห็นดวงตาที่ดูเย็นชาเล็กน้อย ชุดเครื่องแบบทหารสีเขียวลายพรางกับผ้าคลุมสีดำช่วยให้ผิวพรรณที่ขาวผ่องอยู่แล้วดูเด่นสะดุดตาขึ้น ถึงเป็นทหารแต่ก็มีผิวพรรณที่มีน้ำมีนวลยิ่งกว่าผู้หญิงจนบางครั้งก็ถูกเอาไปล้อในเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ

           ยามเมื่อสายลมพัดผ่าน ปลายผ้าคลุมสีดำก็จะโบกสะบัดพลิ้วไหว ในตอนนั้นเองเสียงคำรามของสัตว์เทวะก็ดังกึกก้อง

     

    Heraldic Beast Deity: Zodiac Sagitarius Keeper Lv.10

    [/////2000:2500///..]

     

           จ่าฝูงสัตว์เทวะครึ่งคนครึ่งม้าผู้รับใช้เทพแห่งจักรราศี กำลังควบห้อมาตามเส้นทางสะพานที่ตัดเลียบถนนด้านหน้าสวนสาธารณะและที่เบื้องหน้าสัตว์เทวะนั้นมีชายในชุดทหารแบบเดียวกันสองนายกำลังประจันหน้าอยู่

           เด็กหนุ่มจ้องมองการต่อสู้นั้นจากบนหลังคาพิพิธภัณฑ์ ในสายตาของเขานายทหารทั้งสองดูกระอักกระอ่วนกับการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง

     

           "ผ่าสิเฮ้ย นี่มันมาถึงตรงนี้แล้วเหรอเนี่ย"

           "จะยังไงก็อย่าให้มันเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์เด็ดขาดเลยนะ ขืนเสียฮาบิแททพอยซ์ที่นี่ไปค่ายเราได้เละเทะแน่"

           นายทหารสนทนากันอย่างตึงเครียด มือที่จับอาวุธนั้นมีเหงื่อไหลอาบแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังถูกไล่ต้อนไปสู่ความหายนะ จากสัตว์เทวะที่มีระดับแค่เลเวลสิบ...

         ถึงจะเป็นระดับจ่าฝูงสัตว์เทวะแต่มันก็แค่นั้น เด็กหนุ่มประเมินแล้วว่าเสียเวลาเปล่าถึงจะดูการต่อสู้พรรค์นี้ก็ไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้เลย

     

           "แย่แล้วเจ้านั่นมันกระโดดหนีเข้าไปแล้ว"

           เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเมื่อ ครึ่งม้าครึ่งคนกระโดดข้ามหัวนายทหารลงมาในสวน

           "บ้าจริง! วันนี้คนเฝ้าฮาบิแททพอยซ์เป็นเด็กฝึกงานนะรีบไปช่วยเร็วเข้า"

         พวกเขากระโจนตามมาจากสะพานด้วย แต่ก็สายเกินไปสัตว์เทวะจวนเจียนจะเข้ามาถึงอาคารพิพิธภัณฑ์แล้ว

           "เจ้าเด็กฝึกงานนั่นไปทำอะไรอยู่บนนั้นน่ะ"

           "พลสำรองอิงศรรีบหนีไปเร็ว!!"

           พวกเขามองเห็นเด็กหนุ่มแล้วจึงส่งเสียงตะโกนมาเตือนให้รีบหนี แต่เด็กหนุ่มกลับเหยียดยิ้มพลางขึ้นลูกธนูเล็งไปยังสัตว์เทวะ

           "จงสถิตในคันศรข้า บัฟ - แอโร่ว!!"

           จากนั้นก็แผลงศร ลูกธนูที่พุ่งออกไปกลายเป็นมหิงสาเพลิงขวิดใส่สัตว์เทวะจนมันร่วงลงไปในคลอง

           "กิฟท์แอโร่ว(Gift Arrow)

           เด็กหนุ่มแผลงศรตามไปอีกสามครั้งอย่างแม่นยำ ลูกธนูทั้งหมดปักเข้าที่คอของสัตว์เทวะ อีกทั้งบนลูกศรแต่ละดอกยังมีระเบิดพ่วงติดไปด้วย

           "เกมโอเวอร์ไปซะ ไอ้สัตว์ประหลาด"

           เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับกดสวิตซ์สั่งให้ระเบิดทำงาน เกิดเสียงตูมครั้งใหญ่ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลายร่างของสัตว์เทวะแหลกเละไม่มีชิ้นดีก่อนจะสลายไปในภายหลัง แรงระเบิดยังหอบเอาน้ำในคลองขึ้นมาเทกระจาดสาดเป็นสายฝนตกใส่แค่นายทหารทั้งสองเท่านั้นอีกด้วย

     

           "ไอ้บ้าอิงศรนี่แกจงใจใช่ม้าย!!"

           หนึ่งในนายทหารที่โดนน้ำคลองสาดเป็นหัวหน้าของทีมได้ส่งเสียงตะหวาดตำหนิการทำงานมา แต่อิงศรเมินใส่คำพูดนั้นพลางมองตรงไปเบื้องหน้า

         ทอดสายตาออกไปไกลจนถึง แนวป่าคอนกรีตไร้ผู้คนซึ่งโลกหลังการล่มสลายสรรสร้างขึ้นยามที่มองดูซากอาคารเหล่านั้นภาพของเมื่อสามปีก่อนก็เหมือนจะหวนกลับมา เด็กหนุ่มหลับตาลง

           "จากตอนนั้นผ่านมาสามปีแล้วสินะ..."

         แล้วพึมพำออกมา


         ในที่สุดเขาก็ได้กลับมาสู่บ้านเกิด

         กลับมายังเมืองที่สูญเสียความหมายในการมีชีวิตอยู่ไปจนหมดสิ้น

         รวมถึงเป็นเมืองแห่งการเริ่มต้นในการต่อสู้กับ... 

         โลกที่ล่มสลาย สัตว์เทวะ และ มนุษย์ต่างดาว ของพวกเขา...

     

    อิงศร LV. 42

    [/////2990:2990/////]


     

                แต่นั่นก็เป็นเพียงมุมมองหนึ่งเท่านั้น...

                เหล่ามนุษย์ผู้ถูกบทละครแห่งโชคชะตาเลือกมาตอนนี้ผมจะเปิดเผยถึงความจริงอีกข้อของการล่มสลายความจริงที่มนุษย์ทำไมจึงถูกทดสอบ

                แต่ก่อนอื่นจะว่าไปแล้วเรายังไม่รู้จักกันเลยนี่นะ?

                ผมคือผู้ถูกลืมเลือน...ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้นการมีตัวตนของผมก็เพื่อเฝ้ามองชีวิตในสวนแห่งที่สองเอาล่ะขอให้เพลิดเพลินกับมุมมองที่สองของบทละครแห่งโชคชะตาแล้วก็ช่วยแสดงความตั้งใจที่จะก้าวเดินต่อไปด้วยล่ะ

     

                สามปีก่อน

                หลังจากรถไฟที่อิงศรโดยสารออกไปจากสถานีแล้วเกิดระเบิดขึ้นสถานีถล่มลงมาเหลือแต่ซาก

                   แล้วท่ามกลางซากเหล่านั้นเอง...

                หญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับเทวรูปมีชีวิต

                ใบหน้าสงบนิ่ง มีแสงเรืองรองเหมือนรัศมีลอยอยู่ด้านหลังศีรษะรัศมีแสงเหมือนเป็นวงเวทย์มันดาระชนิดหนึ่ง สวมชุดชาววังค่อนไปทางวัฒนธรรมจีนเป็นผ้าเนื้อดีสีหยกขาวในมือถือก้านดอกบัว

                หล่อนไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอนเพราะปรากฏตัวขึ้นเหนือซากปรักในสภาพที่ยืนเหยียบอากาศอันว่างเปล่า

               "ดูเหมือนจะหนีไปได้คนหนึ่งสินะ"

                หญิงสาวพูดขณะเลื่อนใบหน้าสงบนิ่งที่ดวงตาปิดสนิทลงไปยังเบื้องล่าง

                   มองศพของมิ่งขวัญถูกทับอยู่ใต้แผ่นคอนกรีตโดยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรออกมาแถบพลังชีวิตเองก็...

     

    มิ่งขวัญ LV. 16

    […..0:1450…..]

     

                เอาเถอะยังเหลืออยู่อีกคนนี่นะส่วนพวกสานุศิษย์ที่ถูกสังหารไปก็เก็บกลับมาหมดแล้วด้วย

                แล้วผุดยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางลดระดับความสูงที่ลอยตัวลงมาเพื่อจะเข้าใกล้มิ่งขวัญ

                แต่ทว่า...

                ช่วยถอยออกไปจากเด็กคนนั้นทีได้มะ

                มีเสียงดังมาอย่างนั้นหญิงสาวจึงหันไปมอง

                สีดายืนอยู่ที่นั่น

                ท้าวสะเอวเผชิญหน้ากับตัวตนที่ไม่น่าจะเป็นมนุษย์ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน

                "นี่เจ้าเป็นใครกัน

                น้ำเสียงของหญิงสาวดูตกใจแต่สีหน้ากลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะหล่อนไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ไม่ใช่มนุษยืต่างดาวหรือสัตว์เทวะ

               "อย่างที่ได้ยินมาเลยแกไม่ใช่ทั้งชาวโลกแล้วก็ไม่ใช่สัตว์เทวะแต่เป็นปีศาจของอารย-สนธยาอย่างนั้นสิ"

                สีดาพูด

                จากนั้นหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าปีศาจก็หัวเราะ

                หึๆ อย่างนั้นเองรึที่แท้เจ้าก็เป็นพวกบุตรแห่งแสงอย่างนั้นสินะ"

                สีดาตอบคำถามนั้นกลับไปว่า

               "โห~ มองออกด้วยรึ แต่ว่านะที่สวนแห่งนี้น่ะพวกฉันมีชื่อเรียกว่ามนุษย์ต่างดาวล่ะ"

               ปีศาจคลี่ยิ้มแล้วตอบกลับด้วยคำพูดสูงส่ง

               "ไม่มีอะไรที่อวโลกิตะผู้นี้ไม่อาจหยั่งรู้ได้แต่จงจำไว้เถิดบุตรแห่งแสงเอ๋ยช่วงเวลาแห่งความเหนือกว่าของพวกเจ้าใกล้จะหมดลงแล้วจงใช้ช่วงเวลาอันแสนสั้นนั้นเหิมเกริมต่อไปเถิดเพราะว่าผู้ที่จะโปรดสัตว์แก่เหล่ามนุษย์ทั้งหลายได้มีแต่เทพเจ้าเท่านั้น"

                แล้วไง พูดแบบนั้นแปลว่าจะเอาสินะ

                หึๆๆ ไม่รู้สิ แต่ว่ามนุษย์ที่เจ้าเล็งเอาไว้นั้นได้ตกไปอยู่ในกำมือของเมตไตรยแล้วเจ้าพวกโง่งมที่คิดว่าเหล่าเทวทูตของ 'ยฮวฮ' จะช่วยเหลือพวกมันได้

                คนที่ปีศาจพูดถึงนั้นอาจจะเป็นอิงศร...

                ปีศาจทิ้งคำพูดอันสูงส่งราวกับเทพเจ้าไว้ว่า...

                ”ช่างน่าสมเพชเสียนี่กระไรเราคงต้องรีบโปรดสัตว์แก่คนเหล่านั้นโดยเร็วเพื่อให้มนุษยชาติหลุดพ้นจากวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดและเข้าสู่นิพพานที่แท้จริง"

              เพียงเท่านั้นก่อนจะลอยตัวขึ้นแล้วหายลับไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×