ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #31 : Login 29 : บทพิสูจน์ของ...

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.03K
      57
      27 ก.ย. 59

    Login 29 : บทพิสูจน์ของ...


                ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็อยู่บนเตียงมาตลอด เพศตรงข้ามในวัยไล่เลี่ยกันที่รู้จักก็มีแค่ เมษาเด็กชายผู้มีผมสีแดงเข้มเหมือนกันและเป็นน้องชายฝาแฝด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้มีสีผมธรรมชาติเป็นสีแดงแบบนี้มาตั้งแต่เกิด พวกผู้ใหญ่ไม่ได้บอกอะไรกับฉันที่ได้แต่นอนป่วยอยู่บนเตียงด้วยโรคร้าย

                ตอนอายุได้สิบสามปีฉันเคยคิด...

                คิดว่าช่วงเวลาสิบสามปีที่เกิดมาแสนจะน่าเบื่อหน่าย มีแต่ภาพทิวทัศน์แบบเดิมๆ มาตลอดสิบสามปี ภาพของห้องนอนที่เต็มไปด้วยของเล่นและของขวัญจากบรรดาวงศาคณาญาติ ที่ตอนแรกก็ตื่นเต้นกับมันอยู่บ้างแต่พอนานเข้าก็เริ่มเบื่อ สุดท้ายของพวกนั้นก็ถูกกองทิ้งไว้ ของที่มาใหม่ก็ไม่ได้แกะออกจากห่อ

                มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เคยดูรายการโทรทัศน์แล้วก็นึกวาดฝันอยากจะเป็นอย่างดาราสาวที่สดใสอยู่ในจอ ถึงจะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เพราะโรคร้ายที่กัดกินร่างกายตัวเองแต่ขอแค่ได้ฝันมันก็เพียงพอแล้ว

                ขอแค่ได้เก็บความปรารถนาที่อยากจะออกไปเห็นโลกภายนอกไว้ในใจ

                ขอเพียงแค่นั้นก็พอ

                แล้ววันปีใหม่ที่มาถึงในตอนนั้น... 

                ‘ชอบเล่นเกมไหม

                คำถามก็ดังก้องในจิตใจ ไม่รู้ว่าจิตใต้สำนึกหรือว่าอะไรในตัวของฉันกันแน่ที่ดลใจให้ตอบออกไปว่าชอบ แล้วความปรารถนาของฉันก็กลายเป็นจริง

                โรคร้ายหายไปร่างกายรู้สึกถึงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สามารถเดินได้ด้วยขาของตัวเอง ในตอนนั้นฉันรู้สึกดีใจมากเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตสิบสามปีที่น่าเบื่อหน่ายเลยก็ว่าได้

                ฉันที่กระโดดโลดเต้นไปมาด้วยมือและเท้าของตัวเองก็ไม่รอช้า รีบเดินไปเปิดประตูห้องเพื่อจะได้พบกับโลกภายนอกที่ใฝ่ฝัน โลกที่เคยเห็นผ่านหน้าจอโทรทัศน์เพียงอย่างเดียว

                แต่ข้างนอกนั่นก็ไม่ได้สวยงามแบบที่คิดเอาไว้...

                เพราะมันเป็นโลกที่ล่มสลายลง

                แถมยังได้รับรู้ถึงความเน่าเหม็นของสายเลือดตัวเอง การแก่งแย่งกันภายในตระกูล การชิงดีชิงเด่น เรื่องราวมากมายที่ไม่เคยได้รับรู้จู่ๆ ก็ไหลบ่าลงทับถมร่างของฉันที่ในวันนั้นอายุเพียงสิบสาม

                แล้วฉัน... ก็เลยเลิกสนใจโลกใบนี้ไป

     

                แต่ ณ ที่แห่งนี้ ณ ตอนนี้

                บนพื้นกระจกภายในดันเจี้ยนที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน บนโลกที่เคยคิดว่า ช่างมันเถอะจะเป็นยังไงก็ไม่สนใจแล้ว... แต่กลับไม่คิดอย่างนั้นอีก

                อยู่ๆ โลกใบนั้นก็รู้สึกน่าอยู่ขึ้นมาทันตา เมื่อได้เห็นลำแสงสีแดงถาโถมลงมาจากอากาศที่ไม่มีอะไรเลย กำลังจะช่วงชิงชีวิตของพวกพ้องไป

                "ถอยกลับมาเร็ว!"

                เด็กผู้ชายเรือนผมสีดำที่ยืนอยู่ข้างๆ คือคนที่ทำให้โลกที่ล่มสลายใบนี้น่าอยู่ขึ้นมา เขาช่างเป็นเด็กหนุ่มมหัศจรรย์ที่สร้างปาฏิหาริย์มาหลายครั้ง เขาช่วยชีวิตฉันไว้ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เจอกันในชั้นเรียนแต่เขายังไม่รู้จักฉัน แล้วต่อมาเขาก็ช่วยชีวิตฉันอีก หลังจากที่เรารู้จักกันแล้วในวันแรกของการออกเดินทางเพื่อเข้าค่ายเก็บเลเวล และไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่ถูกช่วยเอาไว้แต่ทุกครั้งเขาจะช่วยทุกคนเสมอมา

                เขามีชื่อว่าอิงศร เป็นชื่อที่ดูเหมือนกับจงใจตั้งมาให้เข้ากับสายอาชีพของเขาเอง ช่างบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ

                และที่นี่ตอนนี้ฉันก็รอให้เขาสร้างปาฏิหาริย์อีก

                ปาฏิหาริย์ที่จะช่วยชีวิตของน้องชายฝาแฝดและรุ่นน้องอีกคนออกมาจากช่วงเวลาแห่งความตายที่จะถูกลำแสงสีแดงของสัตว์เทวะช่วงชิงชีวิตไป

                มันเป็นหน้าที่ ที่จะต้องรอให้อิงศรทำอะไรซักอย่างก่อนแล้วค่อยสนับสนุนเพื่อจะดูความสามารถของเขาแล้วไปรายงานสิงห์ผู้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือด แต่หนนี้ท่าทางจะเกินมือของเด็กหนุ่มไปมากโข

                คงต้องช่วยแล้วสินะ... ฉันคิดอย่างนั้น ทั้งที่สกิลของตัวเองใช้กับสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ แต่มันก็ยังอีกอีกอย่างหนึ่งที่พอจะทำได้ในตอนนี้

                "เดม่อนแอพเวตาล!"

                ฉันกลับด้านจอบแล้วกระแทกมันลงบนพื้นกระจก เกิดวงเวทย์ที่เขียนด้วยแสงแผ่ออกมา บนวงเวทนั้นประกอบด้วยอักขระแปลกประหลาด

                "ทุกคนคะช่วยบอกสีที่ชอบมาทีค่ะ"

                ฉันถามทั้งสองคนที่จะต้องช่วยเอาไว้ให้ได้

                เมษาหันกลับมา

                "หา?!"

                ส่วนคุณกวินทร์ก็พูดทั้งที่ยังแกว่งดาบฟาดฟันสัตว์เทวะที่หน้าตาเหมือนคันชั่งไม่หยุด

                "ตอนนี้เนี่ยนะ!"

                ลำแสงตกลงมากระทบพื้น... กำลังจะสะท้อนกลับขึ้นมา

                “เวตาลปัญจวิงศติ!

                ฉันตะโกนออกไป เป็นคำสั่งที่ทำให้แอพพลิเคชั่นปีศาจทำงานหลังจากเงื่อนไขครบทั้งหมด จากนั้นร่างของคุณกวินทร์กับเมษาที่ตกอยู่ในวงล้อมของลำแสงก็หายวับไป แล้วมาโผล่อยู่เคียงข้างแทน

                ตอนนั้นคันชั่งก็เริ่มพูด

                “มนุษย์ผู้ขลาดเขลาในโชคชะตาเอ๋ย ผู้ที่หลงวนเวียนอยู่ในทางวงกตแห่งการสะท้อนเอ๋ย หวาดกลัวต่อน้ำหนักของบาปที่พวกเจ้าถือครองอยู่งั้นหรือ

                มันพูดท้าทายมาอย่างนั้นทั้งที่พลังชีวิตถูกกวินทร์ที่คลั่งกระหน่ำดาบจนลดลงไปเกินครึ่ง

     

    Unknown: Libra Avatar Lv. 100

    [////.4235:10000.....]

     

                พวกพ้องที่โดนช่วยมาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ารอดชีวิตแล้ว โดยเฉพาะคุณกวินทร์ที่ยังแกว่งดาบไม่หยุดจนถึงเมื่อครู่นี้

                คุณอิงศรถามมาว่า

                “เมื่อกี้เธอทำอะไรน่ะ

                โดยที่ไม่ต้องตอบคำถามนั้นเองฉันก็รู้ว่าเมษาจะช่วยพูดให้อย่างแน่นอน

                “เดม่อนแอพของมีนาเขาน่ะ

                เมษาฝืนลุกขึ้นยืนแต่ไหล่ยังบาดเจ็บอยู่ร่างกายจึงหยุดชะงัก

                “นายน่ะไม่ต้องลุกเลยนั่งต่อไปนั่นแหละ

                คุณอิงศรพูดแล้วมองมาทางฉัน

                “ส่วนเธอน่ะอธิบายไอ้เมื่อกี้มาซะเดม่อนแอพของเธอมันคืออะไรกันแน่

                ฉันยิ้มให้กับคำถามที่ตรงไปตรงมานั่น ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้จนแทบจะเป็นคนละคนกันเลย ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะถามฉันด้วยคำตอบที่คิดได้เองอยู่ในใจ แล้วก็จงใจให้ฉันตอบแค่ว่าใช่หรือไม่

                “เคยได้ยินเรื่องนิทานของเวตาลไหมล่ะคะ มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งได้รับภารกิจให้ไปพาตัวปีศาจตนนี้ออกจากสุสานแต่มีกฎอยู่ว่าถ้าจับมันมาได้แล้วยังไม่ออกจากสุสานห้ามพูดเด็ดขาดไม่อย่างนั้นมันจะหนีกลับไปได้ซึ่งเวตาลก็จะเล่านิทานให้กษัตริย์องค์นั้นฟังแล้วจบด้วยคำถามเสมอ เดม่อนแอพของฉันเองก็เหมือนกันเมื่อถามคำถามไปแล้วคนๆ นั้นตอบคำถามมันจะพาตัวเขามายังที่ๆ ฉันอยู่ค่ะแต่มีข้อแม้ว่าคนๆ นั้นจะต้องไม่รู้ตัวหรือรู้ถึงจุดประสงค์ของการถามน่ะค่ะ

                แต่แล้วเจ้าคันชั่งที่แสนจะน่ารำคาญนั่นก็แทรกเข้ามา

                “คีริเอ้เอเลอีซัน! (Kyrie Eleison)”

                นั่นเป็นการประกาศใช้สกิลอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นความเสียหายที่พวกเขาแลกด้วยชีวิตฝ่าฟันทำมาก็ถูกทำให้เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ไปเมื่อแถบพลังชีวิตที่โดนลดลงเกินครึ่งกำลังฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว

                ใช้เวลาไม่กี่อึดใจคันชั่งก็ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์

     

    Unknown: Libra Avatar Lv. 100

    [/////10000:10000/////]

     

                คันชั่งพูดต่อไปว่า

                “เมื่อบาปของมนุษย์ถูกชำระให้บริสุทธิ์แล้วพระเมตตาจะเยียวยาความเจ็บปวดจากบาปเหล่านั้น บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ข้าจำเป็นต้องบอกพวกเจ้าถึงเงื่อนไขในการเผชิญหน้าและพิสูจน์บาปของพวกเจ้า ควอแวดิส การโจมตีตั้งแต่ระยะเมตรที่เก้าขึ้นไปจะไร้ผล ลิเบอร่าเม ลำแสงแดงแห่งไฟชำระจะทำให้บาปของพวกเจ้าบริสุทธิ์จนถึงระยะเมตรที่เก้า คิริเอ้เอเรอีซัน บาปของพวกเจ้าจะถูกเยียวยาเมื่อพวกเจ้าออกจากระยะพิสูจน์บาป

                เจ้าคันชั่งพูดออกมาเองทั้งหมด ทั้งรูปแบบและวิธีการจู่โจมกับตั้งรับของมัน

                “แล้วทำไมถึงมาบอกเรื่องนั้นกับพวกเราล่ะ

                คุณอิงศรถามมันกลับไป ชายคนนี้คงจะไม่ปักใจเชื่อในสิ่งที่ศัตรูพูดมาทั้งหมดอยู่แล้ว ซึ่งฉันเองก็คิดเหมือนกับเขาว่าถึงจะเชื่อไม่ได้ แต่ยอมล้วงข้อมูลต่ออีกซักนิดก็ไม่เสียหายอะไร

                แต่สิ่งที่เจ้าคันชั่งตอบกลับมานี่สิที่น่าปวดหัวยิ่งกว่า

                “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จะเชื่อหรือไม่ก็สุดแต่ใจเจ้าจะปรารถนาแต่หากไม่พิสูจน์บาปหนทางออกจากที่แห่งนี้จักไม่มีวันเปิดออกอย่างแน่นอน

                “เชื่อไม่เชื่อลองดูเดี๋ยวก็รู้เองแหละน่า

                เมษาตะโกนไปอย่างนั้นพร้อมกับลุกพรวดพราด เด็กหนุ่มชนกำปั้นสองข้างเข้าด้วยกันแล้วตะโกนว่า

                “เดม่อนแอพ มหากาฬ!

                เงาของเมษายืดตัวออกไป จากนั้นเด็กหนุ่มก็ปล่อยหมัดรัวไปทางคันชั่ง หมัดจริงไม่ได้ไปถึงตัวเป้าหมาย แต่เป็นเงาที่ปีศาจสิงสู่ต่างหากที่ไปถึงเป้าหมาย

                เงาหมัดกระแทกเข้าที่ฐานของคันชั่งมันโยกตัวไปข้างหลังเหมือนโดนชกจริงๆ แต่ความเสียหายกลับไม่เกิดขึ้น คันชั่งยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์

                พอเถอะค่ะเมษาแบบนี้เสียแรงเปล่า

                พอได้ยินฉันพูดเมษาก็หยุดชกแล้วปลดพลังของเดม่อนแอพออกพลางเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ

                “ชิ

                ขณะที่พวกเรากำลังคิดหาทางไปต่อคุณอิงศรก็เสนอตัวบุกเข้าไปเอง

                “ตรงนี้ชั้นจะจัดการเองก็แล้วกัน

                “คิดจะฉายเดี่ยวกับเจ้านั่นน่ะไม่ทำเกินตัวไปหน่อยเหรอ

                เมษาหันไปพูดแต่คุณอิงศรกลับตอบมาว่า

                “มีแต่ชั้นที่คาดเดาได้ว่าลำแสงหลังตกกระทบพื้นแล้วจะกระดอนขึ้นมาทางไหนแล้วก็ถ้าเรื่องความว่องไวชั้นมีมากที่สุดในกลุ่มนี่นะ

                เขาพูดอย่างมั่นใจสีหน้าไม่มีความลังเลเผยออกมาให้เห็นแม้แต่เสี้ยวเดียว มันเพราะอะไรกันนะถึงทำให้ชายคนนี้ไม่รู้จักกลัวความผิดพลาดเมื่อต้องทำในสิ่งที่การรับผิดชอบต่อความผิดพลาดนั้นมีเพียงชีวิตของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว หรือจะเรียกว่าไม่รู้จักกลัวตายดีล่ะ

                “…”

                ไม่มีใครคัดค้าน ทั้งเมษาและคุณกวินทร์ ทั้งที่มันเป็นเรื่องอันตรายบางทีนี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าความเชื่อใจที่มีให้กันของพวกเด็กผู้ชายล่ะมั้ง

                “ถ้างั้นชั้นไปล่ะ

                จากนั้นคุณอิงศรก็หันมาพูดกับฉัน

                “มีนา

                “คะ?”

                “ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาฝากที่เหลือด้วยนะ

                คำพูดนั่นมันอะไรกัน? ที่ว่าฝากด้วยเนี่ยหมายถึงให้ฉันพาตัวเขากลับมาก่อนจะถูกฆ่าตายหรือว่าฝากฝังเรื่องของตัวเองให้กับฉันกันแน่

                “แหม คุณอิงศรน่ะไม่ได้ทึ่มเหมือนเมษากับคุณกวินทร์นะคะคิดว่าฉันจะหาอะไรมาหลอกถามคุณโดยที่ไม่ทันรู้ตัวก่อนได้ง่ายๆ หรือไงกัน

                พอพูดออกไปอย่างนั้นก็รู้สึกถึงสายตาไม่พอใจจากทั้งสองคนกำลังเหล่มา แต่คุณอิงศรกลับตอบคำตัดพ้อของฉันมาอย่าง่ายดาย

                “เอาเป็นว่าเชื่อใจเธอที่ปั่นหัวชั้นมาได้ตลอดสิบวันที่มาออกค่ายก็แล้วกัน

                คุณอิงศรพูดแบบนั้นแล้วก็ชิงวิ่งไปโดยไม่รอให้ฉันตอบเสียก่อนช่างเป็นคนขี้โกงเสียจริงๆ

                “ถ้าตายเพราะฉลาดเกินไปฉันไม่รู้ด้วยแล้วนะคะ

                ไม่หวังให้เขาได้ยินคำพูดนั่นหรอก แต่ฉันก็ตั้งจอบไว้ทันทีเพื่อให้พร้อมพาตัวเขากลับมาได้ทุกเมื่อ

                ที่ก้นแอ่งกระจกการต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อคุณอิงศรเหยียบเท้าลงไปในรัศมีเก้าเมตรของคันชั่ง

                “ลิเบอร่าเม!

                ลำแสงสีแดงก็ยิงกราดลงมาอย่างไม่ยี่ระแต่คุณอิงศรหลบได้ทั้งหมด ลำแสงที่ตกกระทบพื้นสะท้อนกลับขึ้นมา ลำแสงกระดอนตัวไปคนละทิศทาง เส้นแสงตัดผ่านกันไปมาเป็นเส้นทางที่ยากจะหลบได้ แต่คุณอิงศรก็ยังอาศัยช่องว่างของเวลาก่อนที่ลำแสงจะวิ่งมาตัดกันหลบจุดที่ไม่น่าจะหลบพ้นออกไปได้ พร้อมกับง้างธนูแล้วยิง

                ลูกธนูไม่กระเด้งกลับออกมาเหมือนตอนที่ยิงจากระยะไกล ดูท่าว่าเรื่องที่มันพูดจะเป็นความจริงเมื่อโจมตีในระยะเก้าเมตรรอบตัวการโจมตีจะไม่ถูกปัดออก ลูกธนูแทงทะลุแกนของคันชั่งทำให้พลังชีวิตลดลง

     

    Unknown: Libra Avatar Lv. 100

    [/////8853:10000///..]

     

                คุณอิงศรขึ้นลูกธนูอีกครั้งคงตั้งใจจะโจมตีซ้ำ แต่ลำแสงก็ยิงกราดมาอีกจึงต้องล้มเลิกไป

                พวกเราที่ได้แต่ยืนดูอยู่ตรงนี้ก็ทำได้แค่คอยเอาใจช่วยเท่านั้น แค่เพียงเท่านั้นก็รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจแทบวาย

                คุณอิงศรยิงแล้วก็หลบ หลบแล้วก็ยิง ยิ่งทำความเสียหายให้คันชั่งมากเท่าไหร่ลำแสงที่ยิงลงมากลับจะยิ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น การหลบหลีกจึงยุ่งยากตามไปด้วย

                เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ที่รู้แน่ๆ คืออีกไม่ช้าพลังของฉันจะต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอนทั้งที่รู้อย่างนั้น แต่กลับยังไม่มั่นใจเลยว่าจะทำให้คุณอิงศรตอบคำถามโดยที่ไม่รู้ตัวได้อย่างไร ควรจะถามเรื่องอะไรดี

                เรื่องที่เขาไม่ประสีประสา.. หรือว่าควรเป็นเรื่องที่เขาจะไม่อยากตอบกันแน่ อย่างเรื่องของมิ่งขวัญน้องชายของเขา แต่เรื่องนั้นถามไปกี่ทีสุดท้ายก็เมินตลอดคงจะใช้ไม่ได้  หรือจะลองถามเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาดีนะ เขาเกิดวันไหน ชอบอะไร มีสเป็คเพศตรงข้ามแบบไหน... เดี๋ยวสินี่ฉันคิดอะไรอยู่กันเนี่ย

                “หวา แย่แล้ว

                เสียงของคุณกวินทร์ดังมาฉันจึงรีบหันไปดูและพบว่าคุณอิงศรหยุดโจมตีมาได้ซักพักแล้วเพราะพลังชีวิตของคันชั่งไม่ได้ลดลงเลย

     

    Unknown: Libra Avatar Lv. 100

    [//…2605:10000.....]

     

                สาเหตุมาจากจำนวนของลำแสงที่ยิงลงมามีจำนวนมากเกินไปจนแค่หลบให้พ้นอย่างเดียวก็เต็มกลืน เวลาในการขึ้นลูกธนูรวมถึงเล็งแล้วยิงของคุณอิงศรเฉลี่ยอยู่ที่ 0.87 วินาที ทั้งที่ใช้เวลาแค่นั้นแต่กลับไม่มีโอกาสให้ยิง จำนวนของลำแสงมันมากเกินรับมือจริงๆ นั่นแหละ

                ตอนนั้นเองที่คุณอิงศรเหมือนจะล้าเต็มทีกับการวิ่งวนรอบคันชั่งโดยที่ทำอะไรไม่ได้ก็วิ่งเบี่ยงออกจากรัศมีโจมตี คงตั้งใจจะถอยกลับมาตั้งหลักก่อน แต่ทว่ามีลำแสงเส้นหนึ่งที่กระดอนพื้นขึ้นมาแล้วพุ่งเฉี่ยวขาของเขาไป

                คุณอิงศรล้มลง ที่แย่ไปกว่านั้นคือล้มลงในรัศมีโจมตีของศัตรู

                “พี่ศร!

                คุณกวินทร์ส่งเสียงเรียกใบหน้าตื่นตระหนก

                แล้วเมษาก็หันมาทางฉัน

                “เฮ้! เร็วเข้า!

                “รู้แล้วค่ะ!

                ฉันตอบกลับไปอย่างนั้นแต่ยังไม่รู้เลยว่าจะถามอะไรดี

                “เดม่อนแอพ เวตาล

                วงเวทย์ปรากฏขึ้นบนพื้น จะต้องถามแล้ว

                แต่จะถามอะไรดีล่ะ

                ลำแสงเคลื่อนที่เข้าใกล้เส้นชีวิตของคุณอิงศรไปทุกขณะที่ฉันกำลังคิดอยู่ จะต้องถามออกไป ถามแล้วให้เขาตอบโดยที่ไม่รู้ตัว...

                "คุณอิงศรคะฉันชอบคุณค่ะ!"

                หวา! นี่ฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย!!

                "หา?!"

                ได้ผลคุณอิงศรตอบกลับมาด้วยสีหน้าที่เหมือนกับตกใจ เขาไม่รู้ตัวว่านี่คือการช่วยเหลือ ถ้าอย่างนั้นล่ะก็

                “เวตาลปัญจวิงศติ!

     

                @@@

     

                ลำแสงทั้งหมดตัดผ่านกันแต่ร่างของเด็กหนุ่มก็ถูกย้ายไปก่อนแล้ว

                อิงศรปรากฏตัวขึ้นใกล้กับจุดที่มีนายืนอยู่

                เพียงแค่นั้นเด็กสาวก็ถึงกับหมดแรงล้มตัวรูดจอบลงมาคุกเข่าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่เรื่องไม่ได้จบลงแค่นั้นเธอรู้สึกได้ถึงสายตาของทุกคนกำลังจับจ้องมา

                แล้วเมษาก็ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะมั่นคงนัก

                “ด...เดี๋ยวนะไอ้ที่พูดเมื่อกี้..

                “เอ่อ...พี่มีนากับพี่ศร...

                ตามมาด้วยกวินทร์อีกคน ใบหน้าของเด็กหนุ่มขึ้นสีแดงก่ำแบบพอจะเดาสาเหตุได้

                “ม...ไม่ใช่นะคะ! นั่นน่ะ

                มีนาปล่อยมือจากจอบทั้งสองข้างแล้วส่ายมันไปมาเป็นเชิงปฏิเสธแต่ถึงอย่างนั้นแก้มของเธอกลับแดงระเรื่อ

                แต่อิงศรก็พูดขัดขึ้นมาว่า

                “เข้าใจหาเรื่องถามนะเล่นเอาตกใจหมดเลย

                แผลที่ขาดูเหมือนว่าจะหายสนิทแล้วถึงพลังชีวิตจะยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ก็ตามแต่อิงศรก็ลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เป็นไร จากนั้นจึงก้มลงมามองเธอแล้วพูดว่า

                “ขอบใจนะถ้าไม่มีเธอเมื่อกี้ชั้นคงตายไปแล้ว

                พลางส่งมือให้จับแล้วดึงเธอลุกตามขึ้นมา

                ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มทำไปเพื่อช่วยแก้ต่างให้หรือเข้าใจแค่ว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้กับคำถามแบบนั้น อย่างไหนกันแน่... ก็ไม่อาจรู้ได้

                ตอนนั้นเองที่เสียงของเจ้าคันชั่งดังก้องไปทั้งดันเจี้ยน

                “คิรีเอ้เอเรอีซัน!

                จากนั้นพลังชีวิตที่อิงศรลดไปได้ตั้งมากมายก็ถูกทำให้กลับมาเต็ม ร่องรอยความเสียหายก็ถูกซ่อมแซมด้วยเช่นกัน

     

                พวกเขากลับมายืนที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

                เมษาเริ่มโวยวายอย่างหัวเสีย

                “บ้าจริงแบบนี้ก็ไม่ไปไหนเลยน่ะสิ

                มันก็น่าเจ็บใจจริงๆ นั่นแหละ แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย... อิงศรคิด แล้วยังคิดต่อไปอีก

                ถ้ายังล้มสัตว์เทวะตรงหน้าไม่ได้อีกล่ะก็พวกเขาคงทำภารกิจเก็บเลเวลหกสิบไม่ทัน เลวร้ายที่สุดก็อาจจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตจนกระทั่งเสบียงหมด...

                อิงศรส่ายหน้าแรงๆ พยายามขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นไป

                "เรายังมีข้อมูลเกี่ยวกับศัตรูไม่พอ คงต้องลองสู้ต่อไปก่อนแล้วพยายามเก็บข้อมูลให้มากที่สุด"

                ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยแล้ว...

                "ถ้างั้นคราวนี้คราวนี้ขั้นกับกวินทร์จะจะลงไปพร้อมกัน ชั้นจะเป็นตัวล่อให้ ส่วนนายหาทางโจมตีเอาเองก็แล้วกัน"

                อิงศรก็พูดออกมาอย่างนั้น

     

                เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมง

                พวกเขาลองโจมตีไปหมดทุกรูปแบบแล้วแต่กลับทำอะไรคันชั่งไม่ได้เลย พอใกล้จะจัดการกับมันได้ลำแสงก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนต้องหนีออกมาแล้วมันก็จะฟื้นพลัง

                ถ้าบุกเข้าไปพร้อมๆ กันเพื่อหวังใช้จำนวนที่มากกว่ารุมโจมตีก่อนที่มันจะยิงลำแสงก็ทำไม่ได้อีกเพราะลำแสงที่โจมตีมานั้นแปรผันตามจำนวนเป้าหมายที่อยู่ในรัศมีเก้าเมตร ยิ่งคนเยอะลำแสงก็จะเพิ่มจำนวนตามไปด้วย

                ลงท้ายก็เลยไม่คืบหน้าไปไหน

                มีนาเปิดหน้าจอระบบมาดูเวลา

                “เที่ยงคืน"

                เธอเปรยๆ ขึ้นมาอย่างนั้น

                "ป่านนี้แล้วนะคะเนี่ยดูเหมือนว่าเราจะเสียเวลากับที่นี่ไปค่อนข้างเยอะแล้ว

                เวลาเริ่มจะมีไม่พอ...

                ไม่รู้ว่าจัดการสัตว์เทวะตัวนี้ลงแล้วจะได้ค่าประสบการณ์ซักแค่ไหนกัน ถ้ามันให้ในจำนวนที่พอรับได้ก็อาจจะเก็บเลเวลโต้รุ่งต่อให้ทันเวลาอยู่ แต่คิดเผื่อไปถึงตอนนั้นก็ไม่มีความหมายถ้ายังหาวิธีโค่นมันลงไม่ได้

                ที่ต้องคิดตอนนี้ก็คือวิธีที่จะโค่นมันต่างหาก... อิงศรบอกกับตัวเองเช่นนั้นแล้วเริ่มคิดอีก

                จากการเข้าปะทะกันเมื่อครู่ทำให้เข้าใจได้เรื่องหนึ่งว่ามันไม่ได้มีพลังป้องกันที่สูงส่งอะไรแค่พลังชีวิตมากเป็นพิเศษเลยทำให้จัดการได้ยากไปบ้างจุดที่สำคัญก็คือเมื่อลดพลังชีวิตของมันไปถึงจุดๆ หนึ่งลำแสงก็จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนไม่มีช่องว่างให้โจมตี

                จะต้องทำยังไงถึงจะโจมตีไปพร้อมกับที่หลบหลีกลำแสงพวกนั้นในเวลาเดียวกัน

                “มันจะมีไหมนะวิธีที่จะหลบแล้วก็โจมตีไปด้วยในเวลาเดียวกันน่ะ

                เขาลองถามพวกพ้องดู แต่ก็ทำท่าเจอทางตันไม่ต่างกัน

                “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะการโจมตีที่ไม่ดีเลย์จังหวะออกอาวุธน่ะแล้วต่อให้มี ยังไงตอนที่โจมตีก็ต้องมีจังหวะที่ตั้งสมาธิกับเป้าหมายเพื่อเล็งโจมตีอยู่ด้วย ตอนท้ายๆ คุณอิงศรก็เห็นนี่คะว่ามันไม่มีช่องว่างให้พอจะทำแบบนั้นเลยซักนิดเดียว

                ที่มีนาพูดมาก็สมเหตุสมผล การที่จะโจมตีไปพร้อมกับหลบหลีกมันเป็นอุดมคติในการแก้สมการพิชิตสัตว์เทวะตัวนี้อย่างตรงไปตรงมาเกินไป คงจะต้องคิดหาวิธีอื่น แล้วตอนที่คิดอย่างนั้น กวินทร์ก็เสนอความคิดขึ้นมา

                “ถ้างั้นให้ผมจัดการดีไหมครับ

                “…”

                คำพูดเมื่อครู่พาให้ทุกคนหันมามองอย่างตกตะลึง

                เมษาเริ่มพูด

                “อย่าพูดพล่อยๆ นะเฮ้ย เมื่อกี้ขนาดเจ้าศรยังแทบไม่รอดแล้วนายคนเดียวจะไหวได้ไง

                “ใช่ค่ะคุณอิงศรเขาไวขนาดนั้นยังเกือบตายเลยนี่ถ้าฉันไม่ทุ่มตัวช่วยสุดชีวิตนี่ได้กลายเป็นหมูย่างไฟแดงไปแล้วล่ะค่ะ

                ทั้งที่มีนากับเมษาพูดถึงขนาดนั้นแต่เจ้ารุ่นน้องก็ยังพูดมาว่า

                “อ้ะ เมื่อกี้พี่เมษาเรียกพี่ศรว่าศรด้วยล่ะ

                มีนามีปฏิกิริยาทันทีก่อนที่เมษาจะทันทำความเข้าใจคำพูดของกวินทร์เสียอีก

                “จริงด้วยๆ เมื่อกี้มัวแต่ตามน้ำไปหน่อยไม่ท้วงก็ปล่อยผ่านไปแล้วนะเนี่ย

                “เฮ้ย! มันใช่เวลามาพูดเรื่องพรรค์นั้นซะเมื่อไหร่กันเล่า

                เด็กหนุ่มผมแดงปฏิเสธสุดตัวแต่ใบหน้ากลับแดงระเรื่อเพราะความเขินอายหรือเพราะอะไรกันแน่...

                อิงศรไม่ได้สนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นแล้วถามต่อจากที่กวินทร์พูดค้างเอาไว้

                “แล้วไงล่ะ ขอชั้นฟังแผนของนายหน่อยสิถ้าพูดพล่อยๆ ล่ะก็เจอลงโทษแน่

                เขาพูดน้ำเสียงติดตลกเล็กน้อยแต่ทว่าดวงตากลับฉายแววจริงจัง

                ถึงอย่างนั้นกวินทร์ก็ยังตอบกลับมาด้วยสีหน้ามั่นใจ

                “ครับคือว่าสกิลชุดเอเลเมนทัลแดนซ์ที่พี่ศรจัดให้ผมน่ะแค่เต้นๆ ไปตามจังหวะจนครบกระบวนแล้วตะโกนชื่อท่ามันก็จะยิงออกไปทันที ก็เลยคิดว่าถ้าหลบไปโดยอาศัยช่วงหลบทำเป็นจังหวะเต้นไปก็น่าจะได้นะครับ

                แต่เมษาก็แย้งในทันที

                “เฮ้ย! ทำได้ก็ไม่ใช่คนแล้ว

                มีนาก็เหมือนจะไม่เห็นด้วย

                “ใช่แล้วค่ะแถมเมื่อวันก่อนคุณกวินทร์ยังเต้นเกร็งๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอคะ แบบนั้นน่ะไม่ไหวหรอก

                “ก็ใช่ครับแต่คราวนี้ผมพอจะจับเคล็ดได้แล้ว คิดว่าคงไม่เป็นไรแน่

                กวินทร์ยังคงยืนยันที่จะทำเหมือนเดิม

                เมื่อทั้งสองหนุดกวินทร์ไม่ได้ ก็ถึงตาที่อิงศรจะพูดบ้าง

                “นายมั่นใจแค่ไหนกัน

                เขาถามพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในดวงตาของกวินทร์ มันเปี่ยมด้วยความมาดมั่นราวกับเชื่ออย่างแรงกล้าว่าจะทำได้ เป็นแววตาที่ส่องประกายเหมือนกับวันที่จุดประกายให้หัวใจของเขาเริ่มก้าวเดิน

                “ถ้าพี่ศรคอยบอกว่าต้องหลบไปทางไหนบ้างผมคิดว่าผมทำได้ครับ

                ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เขาอยากจะลองเชื่อในคำพูดของกวินทร์อยากลองเดิมพันกับพลังของเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างไม่มีเหตุผล

                “แต่ถ้าชั้นพลาดขึ้นมาแม้แต่นิดเดียวนายก็มีสิทธิ์ตายในทันทีเลยนะ

                “แต่ผมเชื่อใจพี่ศรครับเพราะงั้นให้ผมลองเถอะ

                สรุปว่ามันเป็นอย่างนั้น...

                ตอนนี้กลุ่มของพวกเขาเป็นเหมือนกับวัยรุ่นที่กำลังคึกคะนองกับคำว่า พวกพ้องและ ความเชื่อใจมันกลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

                คงจะเริ่มหนักข้อเอาก็ตอนที่นอนเต็นท์ด้วยกันวันแรก รู้งี้ตอนนั้นไม่น่าตกกระไดพลอยโจนไปกับเจ้าพวกนี้เลย...

                อิงศรคิดอย่างนั้นแต่อีกใจกลับรู้สึกว่าถึงจะกลายเป็นแบบนั้นก็ยังไม่เป็นไร

                เขาถอนหายใจให้กับความคิดของตัวเอง

                “เฮ้อ~ เอาก็เอา

                “ผมจะพยายามเต็มที่ครับ!

                กวินทร์พูด ใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความดีใจต่างกับพวกเมษาที่พอได้ยินก็เข้ามาทักท้วงทันที

                “เอาจริงเดะ!

                “จะไม่เป็นไรแน่หรือคะ

                อิงศรตอบกลับไปว่า

                “เดิมพันมันก็สูงอยู่แต่ถ้าไม่ลองเราก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี

                จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับมีนา

                “อีกฝ่ายคือเจ้ากวินทร์อย่างเธอที่หลอกช่วยชีวิตชั้นมาได้แล้วแค่นี้คงไม่คณามือหรอกใช่ไหมล่ะ

                แต่เด็กสาวกลับทำแก้มป่องแล้วตอบด้วยน้ำเสียงง้องอน

                “หึ คุณอิงศรก็พูดง่ายสิคะถึงเป็นฉันก็ลุ้นเหงื่อตกเป็นนะ

                “ฮะๆๆ งั้นก็ฝากด้วยละกันยังไงเธอก็เป็นคนดึงให้ชั้นมาร่วมหัวจมท้ายกับไอ้พวกพ้องอะไรนี่ไม่ใช่รึไง

                พอได้ยินดังนั้นเธอก็หันไปพูดใส่หน้าน้องชายฝาแฝด

                “พูดแบบนั้นคิดจะโบ้ยให้ชั้นคนเดียวเลยเหรอคะเมษาก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วยเหมือนกันน่ะแหละค่ะ

                “โหยๆๆ กวินทร์ถ้านายตายขึ้นมาชั้นโดนรุมแย่เลยว่ะ ห้ามตายนะว้อย

                เมษาหันไปกำชับ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ

                "จะพยายามละกันครับ"

                แล้วตอบกลับมาแบบไม่คิดอะไร

                อิงศรถามที่เหลือว่า

                “งั้นแบบนี้โอเคแล้วใช่มะ

                แล้วทุกคนก็พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก

                หลังจากยืนยันทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว...

                “งั้นก็มาเริ่มแผนอัดไอ้ตาชั่งนั่นกันเลยเหอะ

                อิงศรก็พูดแบบนั้น

     

                “ไปล่ะนะครับ

                กวินทร์พูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วก็พุ่งตัวออกไป

                ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีกเพราะกลัวไปจะไปรบกวนสมาธิของอิงศร

                แล้วเมื่อกวินทร์ก้าวเท้าเข้าไปในรัศมีโจมตีของคันชั่ง

                ลำแสงก็ถาโถมลงมา อิงศรมองทิศทางของลำแสงเหล่านั้นแล้วคาดคะเนว่ามันจะกระดอนไปทางไหนบ้าง

                คำนวณทั้งหมดด้วยพลังของสมองกับประสาทสัมผัสสำหรับคาดเดาในเวลาแค่เสี้ยววินาทีจากนั้น

                “หลบไปทางซ้ายทิศสองนาฬิกา

                ก็ตะโกนออกไป

                กวินทร์หลบตามทางที่ว่า ลำแสงตกกระทบพื้นแล้วกระดอนตัดกันไปมา แต่เขาก็หลบพ้นไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วเคลื่อนที่เข้าประชิดพลางฟาดดาบใส่คันชั่ง

                ความเสียหายเกิดขึ้นหนึ่งครั้ง

     

    Unknown: Libra Avatar Lv. 100

    [/////8640:10000////.]

     

                ลำแสงที่ยิงลงมาก็เพิ่มจำนวนขึ้นด้วยเช่นกัน

                “กระโดดไปทางขวาแล้ววิ่งวนไปก่อน

                อิงศรตะโกนแล้วกวินทร์ก็หลบจากนั้นพอมีช่องว่างก็เข้าไปโจมตี

                มันดำเนินไปอย่างนั้นจนกระทั่งพลังชีวิตของคันชั่งเหลือเพียงครึ่งเดียว ลำแสงก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาถึงจุดที่กวินทร์ไม่สามารถหาช่องว่างจังหวะเข้าไปโจมตีได้อีก ถึงตอนนี้เขาก็ทำได้แค่หลบไปตามที่อิงศรบอก มันดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่แล้วเมื่ออิงศรบอกให้หลบ กวินทร์กลับหมุนตัวไปด้วยระหว่างที่หลบ บางจังหวะก็กระโดดแล้วสะบัดดาบไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่มุ่งไป บ้างก็ทำมือเต้นแร้งเต้นกาแบบไม่มีเหตุผล

     

                “เจ้านั่นมันทำบ้าอะไรของมันน่ะ

                ที่เมษาถามมา พวกเขาก็อยากจะรู้เหมือนกัน แล้วตอนนั้นเองกวินทร์ก็ประกาศใช้สกิล

                “โวลคาโน่แดนซ์! (Volcano)”

                มันเป็นสกิลระบำแห่งไฟที่จะสาดคลื่นเพลิงโจมตีใส่เป้าหมายแต่ว่า กวินทร์ร่ายรำเงื่อนไขของสกิลไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

                ถึงจะยังไม่รู้ว่าร่ายรำไปตอนไหนแต่เปลวไฟก็พัดออกมาจากดาบจริงๆ กวินทร์ตวัดดาบลงกับพื้นระหว่างที่กระโดดแยกขาหลบลำแสงที่กระดอนขึ้นมา เปลวไฟพุ่งออกจากดาบมุ่งหน้าไปยังคันชั่ง

                ไฟครอกแกนของมันแล้วลามไปทั้งตัวก่อนจะดับสลายไป สร้างความเสียหายรุนแรงจนพลังชีวิตลดไปหลายร้อย

     

    Unknown: Libra Avatar Lv. 100

    [////.4500:10000.....]

     

                หลังจากนั้นกวินทร์ก็ยังคงหลบไปพลางทำท่าประหลาดต่อไปอีก

                จนกระทั่งพวกเขาเริ่มจะเข้าใจขึ้นมา

                “รู้แล้วเจ้านั่นกำลังเต้นบีบอยอยู่นี่หว่า

                ถูกอย่างที่เมษาว่า กวินทร์กำลังเต้นอยู่ ด้วยสไตล์ที่ตนเองถนัด ไม่ใช่การเต้นตามที่สกิลระบุเอาไว้

                จากนั้นมีนาก็พูดเสริมเข้ามาทั้งที่ใบหน้ายังตื่นๆ กับสิ่งที่เห็น

                “เพราะสกิลชุดเอเลเมนทัลแดนซ์น่ะขอให้ มือ ขา กับ ดาบ ไปยังทิศทางที่ถูกต้องก็พอไม่จำเป็นต้องเต้นตามแบบที่แมมน่วลกำหนดมาก็จะใช้สกิลได้แล้ว เลยเอามาประยุกต์กับท่าเต้นที่มีการเคลื่อนไหวเป็นอิสระได้สินะคะเนี่ย

                “หลบมาด้านหลังแล้วกระโดดข้ามลำแสงที่กระดอนกลับไป

                อิงศรยังคงตะโกนบอกวิธีหลบลำแสงต่อไปโดยที่ในใจกำลังรู้สึกชื่นชมกวินทร์อยู่เหมือนกันที่สามารถปรับตัวเข้ากับชุดสกิลที่เขาจัดได้ถึงขนาดนี้

                ระบำโจมตีของกวินทร์ยังคงไล่ต้อนคันชั่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพลังชีวิตของมันใกล้จะหมดลง

     

    Unknown: Libra Avatar Lv. 100

    [/....1040:10000////.]

     

                "อะ..."

                พริบตาหนึ่ง อิงศรรู้สึกถึงความอึดอัดอันรุนแรงจึงมองไปยังจุดที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้น ซึ่งก็คือที่ว่างกลางอากาศเหนือคันชั่งที่มักจะยิงลำแสงลงมา

                หมู่ลำแสงเริ่มก่อตัวจากเดิมที่กราดยิงเป็นจุดๆ ไป แต่ตอนนี้หวอดลำแสงกลับปรากฏขึ้นปูพรมรัศมีเก้าเมตรรอบตัวหากยิงลงมาพร้อมกันทั้งหมดย่อมไม่มีทางที่จะหลบได้

                “แย่แล้ว...

                ‘รีบเรียกตัวกลับมาเร็วอิงศรตั้งใจจะหันไปบอกกับมีนาแบบนั้น แต่ทว่า

                “ไม่ต้องเรียกกลับนะครับ!

                กวินทร์กลับตะโกนมาอย่างนั้น

                แต่มีนาไม่ฟัง เธอไม่เชื่อว่าเขาจะรอดจากฝนลำแสงเหล่านั้นได้จึงตะโกนกลับไป

                “ไม่ไหวหรอกค่ะคุณกวินทร์กลับมาก่อนเถอะ

                ไม่ใช่แค่การตะโกนธรรมดาหากแต่มันเป็นการใช้พลังของแอพพลิเคชั่นปีศาจไปในตัวด้วย

                “...”

                ดูเหมือนว่ากวินทร์ก็จะรู้เรื่องนั้นอยู่จึงจงใจไม่ตอบกลับ

                “ตอบกลับมาสิคะคุณกวินทร์!

                “อยากตายรึไงรีบตอบซักทีเซ่!

                เมษาตะโกน

                “กวินทร์!!

                อิงศรเรียก

                แต่ลำแสงก็พุ่งลงมาแล้ว

                “โอเชี่ยนแดนซ์! (Ocean Dance)”

                กวินทร์พูดพร้อมกับโพสท่าชูมือที่จับดาบชี้ไปยังคันชั่งเป็นท่าปิดการเต้น

                ทันใดนั้นพื้นที่รอบตัวก็ถูกเติมเต็มด้วยน้ำ

                คลื่นยักษ์ก่อตัวขึ้นในเวลาแค่พริบตาเดียว คลื่นลอยข้ามหัวเขาไป

                พร้อมกันนั้นเอง กวินทร์เปลี่ยนท่าจับดาบหันหัวลงทิ่มลงไปในน้ำ

                "แช่แข็งซะแจ็คฟรอส"

                แล้วสั่งให้แอพพลิเคชั่นปีศาจทำงาน

    คลื่นถูกแช่แข็ง กลายเป็นโดมปกครอบทั้ร่างของกวินทร์ไว้

    ลำแสงตกลงมากระทบกับคลื่นแช่แข็งแล้วสะท้อนออก เหมือนที่มันสะท้อนกับพื้นกระจกแล้วการสะท้อนนั้นก็มุ่งหน้าไปยังคันชั่ง

                ลำแสงย้อนกลับไปทำร้ายตัวเอง พลังชีวิตของคันชั่งลดลงฮวบฮาบจนกระทั่งตัวเลขบอกพลังชีวิตกลายเป็นศูนย์ มันก็หงายหลังล้มลงในสภาพที่ชิ้นส่วนหลุดกระจายไปทั่วพื้นกระจก

     

    Unknown: Libra Avatar Lv. 100

    [.....0: 0.....]

     

                ทันใดนั้นค่าประสบการณ์ที่ได้รับก็ทำให้เลเวลของกวินทร์กับมีนาเพิ่มขึ้น

     

    กวินทร์ Lv. 60

    [/////6000:6000/////]

     

    มีนา Lv. 60

    [/////4300:4300/////]

     

     

                ทุกคนวิ่งตามลงมาในแอ่งกระจก

                เป็นเวลาเดียวกับที่ส่วนของโดมน้ำแข็งแตกร้าวก่อนจะถล่มลงมา กวินทร์ที่อยู่ภายในนั้นโผล่ออกมาด้วยสภาพไร้รอยขีดข่วน แต่แล้วเขาก็ล้มลง

                "กวินทร์!"

                อิงศรตะโกนแล้วเร่งฝีเท้าจนสิ่งไปถึงตัวกวินทร์เป็นคนแรก เขาดึงตัวเด็กหนุ่มขึ้นมาประคองไว้ในอ้อมแขน

                "เฮ้ ทำใจดีๆไว้นะ"

                แล้วพยายามมองหาว่ามีบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บตรงจุดสำคัญหรือไม่

                เมษาตามมาทีหลังแล้วถามว่า

                "บาดแผลสาหัสมากไหม!"

                "ไม่..ไม่เป็นไรแค่เหนื่อยจนสลบไปน่ะ

                อิงศรพูดหลังจากตรวจสอบร่างกายของกวินทร์อย่างถี่ถ้วนแล้ว

                “ป...เป็นยังไงบ้างคะ

                มีนาเพิ่งตามมาถึง ตอนนั้นเองเสียงของคันชั่งที่น่าจะพังไปแล้วกลับดังขึ้น

                “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเอ๋ย

                คำพูดในตอนท้ายนั่นอิงศรไม่อาจปล่อยให้แว่วผ่านไปได้

                ’มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเขาแน่ใจว่าได้ยินมันพูดอย่างนั้น คำเรียกเดียวกับที่ผู้ถูกลืมเลือนใช้

                ฟันเฟืองยังคงพูดต่อไปอีกว่า

                “พวกเจ้าได้พิสูจน์บาปแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะพูดถูกอยู่ครึ่งหนึ่ง สัจธรรมไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ที่แน่นอนเหนือกาล พวกเจ้าได้แสดงให้ข้าได้เห็นแล้วบุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย แล้วก็มนุษย์ผู้ถูกฟันเฟืองเลือกเอ๋ยจากนี้ไปข้าขอดูหน่อยเถิดว่าหนทางใดกันที่เจ้าจักแสดงความตั้งใจเพื่อขับเคลื่อนโลกใบนี้

                สิ้นคำชิ้นส่วนของคันชั่งก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าแล้วหายไป

                ท่ามกลางแสงเจิดจ้านั่นได้ปรากฏสิ่งของสี่อย่างขึ้นแทนที่ของเหล่านั้นได้แก่ ดาบ คันธนู กระดาษยันต์ และเคียว อย่างละชิ้น

                อิงศรจ้องมองของเหล่านั้นอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วสรุปเอาเองว่า

                “นั่นมันดรอปไอเท็มเหรอ...

                “มีทางเดียวที่จะรู้ได้ค่ะ

                มีนาพูดพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้า

                “เข้ามา!

                แล้วพูดคำสั่งสำหรับเก็บไอเท็ม สิ่งของทั้งสี่ลอยตัวเข้าหามือของเธอแล้วหายวับไป

                สรุปว่ามันเป็นไอเท็มจริงๆ เมื่อมีนาเปิดหน้าจอ Inventory ของทั้งสี่ชิ้นก็เข้าไปอยู่ในนั้นเป็นที่เรียบร้อย

                “เฮ้ หรือว่านี่จะเป็นอาวุธรางวัลน่ะ

                เมษาพูด

                “คงจะอย่างนั้นแหละค่ะ ว่าแต่สเตตัสจะขนาดไหนกันล่ะเนี่ยอาวุธที่ดรอปจากสัตว์เทวะเลเวลร้อย

                ตอนที่มีนาจะเปิดอ่านข้อมูลของอาวุธเหล่านั้นนั่นเอง ห้องก็สั่นไปทั้งหลังเป็นการสั่นไหวอย่างรุนแรง

                “คราวนี้อะไรอีกล่ะเนี่ย

                เมษาสบถพลางคว้าตัวมีนาที่กำลังเซเพราะแรงสั่นไม่ให้ล้ม

                จากนั้นอิงศรก็พูดว่า

                “รีบออกจากที่ก่อนเหอะ

                แต่เมษาก็ถามกลับมา

                “จะออกไปยังไงเล่าไม่เห็นจะมีประตูหรืออะไรโผล่มาเลยเนี่ย

                แล้วเสียงคล้ายอะไรบางอย่างถล่มลงมาก็ดังมาจากผนังกระจกที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา

                ที่เบื้องหน้า กำแพงกระจกถล่มลงมาเองและเปิดเป็นโพรงที่เชื่อมต่อกับด้านนอก มองเห็นทิวทัศน์ของสวนสัตว์อยู่ด้านหลังโพรงนั่น

                ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ตอนนี้จำเป็นต้องเอาตัวรอดก่อน อิงศรออกคำสั่งกับทุกคน

                “หนีไปทางโพรงนั่นเลย

                พูดแล้วประคองร่างของกวินทร์หมายจะอุ้มขึ้นมา

    แต่แรงของเขาคนเดียวทำให้แค่ยกขึ้นมาก็ทุลักทุเลเต็มทีจนเมษาต้องเข้ามาช่วยแล้วเปลี่ยนเป็นประคองปีกกันคนละข้าง

                มีนาเป็นคนวิ่งออกไปดูลู่ทางก่อนหลังจากนั้นเธอก็หันกลับมาแล้วโบกมือจากเรียกด้านหลังของโพรง

                “ทางสะดวกรีบออกมาเลยค่ะ

                อิงศรกับเมษาประคองร่างของกวินทร์วิ่งตามออกมาข้างนอกได้ทันก่อนที่โพรงจะหดเล็กลงแล้วปิดสนิทในที่สุด เรียกได้ว่าฉิวเฉียดทีเดียว

                อิงศรเริ่มตรวจสอบสถานการณ์ทันที

                พื้นที่ที่ยืนกันอยู่นี้คือหน้าปากบ่อเลี้ยงฮิปโปโปเตมัสที่พวกเขากระโดลงไปในดันเจี้ยนตอนนี้เป็นเวลากลางคืนบรรยากาศจึงมืดสนิทและเงียบจนชวนวังเวง

                ตอนนั้นเองกวินทร์ที่เขาประคองไหล่มาก็ฟื้นคืนสติ

                “อุก..

                เด็กหนุ่มครางเล็กน้อยและพยายามจนยืนด้วยตัวเองได้จากนั้นก็พูดขึ้นว่า

                “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ...แล้วที่นี่ที่ไหน

                ดูเหมือนว่ากวินทร์จะยังคงสลึมสลืออยู่จึงไม่เห็นว่าพวกเขาออกมาจากดันเจี้ยนแล้ว ตอนนี้อยู่ภายในสวนสัตว์

                “พวกเราออกมาได้แล้วล่ะต้องขอบใจฝีมือนายเลยนะเนี่ยไอ้น้อง

                เมษาพูดพร้อมกับพาดแขนใส่คอของกวินทร์จนตัวเซถลาไปเล็กน้อย

                “หมายความว่าพวกเราชนะแล้วเหรอครับ

                “อืม แล้วนายกับมีนาก็เลเวลหกสิบแล้วด้วย พวกเราทำภารกิจสำเร็จแล้วล่ะที่เหลือก็แค่กลับค่าย

                อิงศรพูด แล้ววินาทีถัดมานั้นเอง...

                “โฮ่ง!ๆๆ

                ก็มีเสียงเห่าดังมา

                สัตว์เทวะลอบโจมตี?

                โดยที่ไม่ต้องพูดให้เสียเวลาพวกเขาจับอาวุธทันทีแล้วหันเข้าหาเสียง

                แต่ตรงนั้นที่เสียงดังมาแทนที่จะเป็นสัตว์เทวะ

                กลับกลายเป็นว่ามีสุนัขนั่งอยู่ตรงนั้นแทน

                สุนัขขนลำตัวสีขาวปลอดดั่งหิมะใบหน้าเรียวแหลมคล้ายหมาป่าปกคลุมด้วยขนสีดำเหมือนกับใส่หน้ากากเอาไว้น่าจะเป็นสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วที่ขึ้นชื่อลือชาว่าดุมากแต่ว่า..

                เจ้าตัวที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่มีภาพลักษณ์ที่ชวนให้รู้สึกอย่างนั้น มันอ้าปากลิ้นห้อยแล้วหอบแฮ่กๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างกับเป็นหอบหืดแถมยังจ้องตาใสแป๋วมาอีก

                พวกเขายังคงจับอาวุธแล้วก็ค้างอยู่ในท่าที่หันมา

                “หมาเหรอคะน่ะ

                มีนาถาม

                “มันจะเป็นไปได้ยังไงเล่าสัตว์ทั้งหมดบนโลกโดนไวรัสกลายเป็นสัตว์เทวะหมดนะเจ้านี่ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ

                เมษาแย้งมาอย่างนั้น ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างที่ว่าบางทีมันอาจจะเป็นสัตว์เทวะที่มีพลังในการปลอมแปลงตัวเองให้ดูไม่มีพิษภัยแต่แท้จริงแล้วกลับซ่อนเขี้ยวเล็บมหึมาเอาไว้ก็เป็นได้

                “แต่ว่ามันไม่เห็นจะโจมตีเข้ามาเลยนะครับ

                กวินทร์พูดมาอย่างนั้น

                แบบนี้มันตลกๆ แล้วนะคะฉันว่า

                มีนาพูดแต่น้ำเสียงกลับติดตลกจนดูเหมือนว่าเธอไม่ได้พูดถึงสัตว์เทวะแต่พูดถึงพวกเขาสี่คนที่กำลังยืนถืออาวุธขู่หมาแค่ตัวเดียว

    ภาพในตอนนี้ถ้าใครมาเห็นเข้าคงหัวเราะจนช็อกตายไปแล้วกระมัง แต่ในโลกที่ล่มสลายก็ไม่มีใครมาเดินเอ้อระเหยในถิ่นของสัตว์เทวะจนผ่านมาเห็นพวกเขาแล้วหัวเราะได้หรอก

    จากนั้นสุนัขที่จ้องพวกเขามาได้ซักพักก็ลุกขึ้นแล้วเดินสี่ขาเข้ามา

                ไม่มีใครกล้าขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า

                สุนัขยังคงเดินดุ่มๆ เข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง มันหยุดดมรองเท้าของอิงศร จากนั้น...

                จ๊อก~~

                ก็ยกขาแล้วฉี่ใส่ เสียงน้ำปัสสาวะไหลรินดังจ๊อกๆ

                ด้วยความโมโหอิงศรตะหวาด

                “เฮ้ย! ไอ้หมาบ้านี่

                แล้วซัดลูกเตะออกไป แต่สุนัขตัวนั้นก็หลบแล้วพุ่งเข้ามาตะครุบร่างของเขาจนล้มลงจากนั้นก็เลียใบหน้าอย่างสนิทสนม

                “เฮ้ย!! ปล่อยเฟ้ยเปียกไปหมดแล้ว

                อิงศรพยายามผลักตัวสุนัขออกแต่ก็ไม่เป็นผล

                ทุกคนที่เห็นแบบนั้นก็พากันกลั้นขำไม่อยู่

                “ดูไม่จืด ฮะๆๆ ไม่จืดเลยว่ะนาย

                เมษาพูดไปทั้งที่ยังกลั้นขำอยู่ ในขณะที่มีนากับกวินทร์ทั้งสองหัวเราะจนท้องแข็งไปแล้ว

                “เฮ้ย!! อย่ามัวแต่ดูเซ่! มาช่วยกันเอาเจ้าหมานี่ออกไปหน่อย

                อิงศรตะหวาดแต่ก็ไม่มีใครเข้ามาช่วย เพราะพวกนั้นยังคงหัวเราะกันอยู่ จนเขาเองก็พลอยหัวเราะตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้เพราะบรรยากาศที่พาไป

                พวกเขาเพิ่งจะรอดตายจากดั้นเจี้ยน ผ่านการต่อสู้กับสัตว์ร้ายมามากมายแต่กลับแพ้สุนัขธรรมดาๆ ที่เอาแต่เลียไม่หยุดมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะออกมา

     

                รุ่งสางกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า...

                นั่นคือสัญญาณของการต่อสู้ครั้งใหม่...

                ไม่รู้ว่าจากนี้โชคชะตาจะขับเคลื่อนไปอย่างไร...

                แต่เบื้องหลังของเกมโลกาวินาศกำลังจะเผยออกมา....

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×