ตอนที่ 285 : Extra Log 281: OPERATION THE ROOT BREAK
Extra Log 281: OPERATION THE ROOT BREAK
…ก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย
ในที่ประชุมซึ่งจัดขึ้นเพื่อหารือการตัดสินขั้นแตกหักกับราหู
หลังจากแจ้งข้อมูลของศัตรูที่ไปสืบมาจนรู้กันทั้งที่ประชุมแล้ว
รูบิเดียมก็เริ่มอธิบายแผนให้อิงศรและพวกพ้องที่มีร่างไฮพีเรี่ยนฟัง
“เริ่มจากเราจะล่อศัตรูที่กำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ให้พวกมันคิดว่าพวกเรารอตั้งรับอยู่จนกระทั่งไม่มีทหารเฝ้าอยู่ที่รากแห่งอาคาชิกแล้ว พวกเราบางส่วนจะต้องอยู่ที่นี่เพื่อดึงความสนใจจากศัตรู”
สายตาของพวกพ้องจ้องมองมาที่อิงศรในทันทีที่รูบิเดียมพูดจบ
“…”
พวกเขาใช้เวลาไปกับการฝึกฝนควบคุมร่างไฮพีเรี่ยนจนไม่มีเวลาเข้าร่วมวางแผนการจึงต้องทำตามแผนที่ที่ รูบิเดียม ซีเซียม โพแทสเซียม ลิเธียม และซากิริช่วยกันวาง
แผนที่คิดขึ้นมาด้วยมันสมองและข้อมูลจากเหล่าราชครูมนุษย์ต่างดาวและเทวทูตอีกหนึ่งตนนั้นคือแผนที่เป็นไปได้มากที่สุดและใช้พลังของพวกเขาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุดแล้ว
ดังนั้นจะทำตามแผนนี้
อิงศรยกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า
“หน้าที่นั้นฉันจะจัดการเอง”
มีนาถามมาด้วยสายตาคาดคั้น
“คนเดียวเลยเหรอคะ”
เมษาเองก็ยกมือแล้วกล่าวจะอาสาตัวด้วย
“ไม่ไหวมั้งแบบนั้นน่ะเดี๋ยวฉันอยู่…”
แต่อิงศรก็ส่ายหน้าปรามเมษาไว้ทำให้คำพูดหยุดชะงัก
“ร่างไฮพีเรี่ยนของฉันมีความสามารถในการกวาดล้างแล้วก็ถ้าเกิดไม่ไหวจริงๆ ฉันคนเดียวยังพอจะเล็ดลอดพวกมันไปสมทบกันที่อีกฟากแล้วค่อยบีบให้พวกมันล่าถอยเข้ามาที่สวนแทน”
เขาให้เหตุผลแก่ที่ประชุมไปตามนั้น
ถึงจะเป็นเหตุผลที่ลงตัวก็ตาม
แต่อิงศรก็คาดหวังเพียงแค่ให้มันเป็นเหตุผลที่จะทำให้เมษาเลิกเป็นกังวลกับเรื่องที่เขาพูดก่อนจะมาถึงที่ประชุมเพราะตั้งแต่เริ่มมายืนล้อมรอบโต๊ะใต้ต้นไม้ที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมชั่วครวนี่เมษาก็เอาแต่จ้องมองเขาไม่วางตา
“ถ้าพูดเรื่องพลังกวาดล้างล่ะก็ของฉันก็ทำได้เหมือนกันงานแบบนี้มีคนช่วยซักคนน่าจะสำเร็จง่ายขึ้นนะ”
ดูเหมือนเมษาไม่ได้โง่พอจะเชื่อกลอุบายตื้นๆ
หลังจากพูดแล้วหมอนั่นก็ยังจดจ้องมองมาที่นี่ด้วยสายตาราวกับจะคัดค้าน
“แบบนั้นก็ดีแล้วนี่”
จู่ๆ แฟรนเซียนก็พูดขัดขึ้นมา
ชายหนุ่มดันตัวเองที่พิงหลังกับต้นไม้อยู่นอกวงประชุมที่มีแต่พวกพ้องของอิงศรรายล้อมรอบโต๊ะประชุมด้วยเหตุผลส่วนตัวก็เข้ามาร่วมวงสนทนา
“สำหรับนกต่อที่จะหลอกล่อพวกมันให้เป็นอิงศรที่ราหูมันให้ความสนใจนั่นแหละดี เราต้องทุ่มกำลังกับการบุกสายฟ้าแลบด้วยไม่อย่างนั้นจะดำเนินแผนการไม่ได้เต็มประสิทธิภาพเรามีกำลังน้อยกว่าศัตรูจะให้แผนล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด”
“…”
อาจจะดูออกก็ได้
ถ้าเป็นแฟรนเซียมที่รู้จักทั้งตัวเขาทั้งเมษาเป็นอย่างดีอาจจะมองเรื่องนั้นออก เพราะแบบนั้นถึงได้ช่วยหาเหตุผลที่จะไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ มาหยุดได้อีกให้แบบนี้
เมื่อที่ประชุมเงียบเสียงไปเสียพักหนึ่ง ออร์ฟี่ก็กล่าวทำลายความเงียบ
“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้นะ”
ไม่มีใครคัดค้าน
ดังนั้นหัวข้อประชุมถัดไปจึงถูกยกขึ้นมา
ซากิริพูดพลางกดปุ่มบนแป้นพิมพ์โน็ตบุ๊คของเธอ
“ขั้นถัดไปคนที่เหลือจะไปกับเรืออาร์คของฉัน”
หน้าจอระบบที่เชื่อมกับเครื่องนั่นแสดงภาพของเรืออาร์คที่พวกเขาเคยใช้หลบหนีจากรากอาคาชิกมาที่สวนแห่งนี้
”มันได้รับการปรับปรุงมาแล้วสามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติไปโผล่ที่ข้างล่างนั่นได้เลย”
“นี่มันทำได้ขนาดนั้นเลยเรอะ”
อิงศรกล่าวด้วยความรู้สึกทึ่งกับความสามารถที่ดูเป็นไปไม่ได้ของเรือ
“ผมเป็นคนทำเอง”
แต่ออร์ฟี่ก็อ้างอิงตัวเองขึ้นมา นั่นทำให้เขาหมดคำถามในทันที
ดังนั้นรูบิเดียมที่เป็นผู้ดำเนินการประชุมจึงพูดต่อ
“แล้วศัตรูก็จะถูกตลบหลัง พวกเราจะตีขนาบศัตรูเข้าไปในทางเข้าโดยที่ระหว่างนั้นจะส่งกำลังพลเข้าไปจัดการกับแหล่งพลังงานที่ปิดกั้นตรงกลางของเมือง”
ภาพบนหน้าจอของซากิริเปลี่ยนเป็นภาพถ่ายทางอากาศที่ถ่ายจากเมืองที่อยู่ในรากอาคาชิก
ใจกลางของเมืองทะลุลงไปแอ่งเหมือนถูกอุกกาบาตตกใส่
มีจุดสามจุดรอบเมืองที่ถูกความมืดปกคลุมจนมองไม่เห็นว่าเคยมีอะไรอยู่ภายในนั้นว่ากันว่านั่นเป็นอาณาเขตของมหาเทพสัตว์เทวะ ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของสัตว์เทวะทั้งปวง
“จากจำนวนคนที่เหลืออยู่ในขั้นตอนนี้ต้องแบ่งทีมเจ็ดคนที่จะรับผิดชอบจัดการราหูซะก่อน”
รูบิเดียมพูดแล้วชี้ไปที่ใจกลางของภาพถ่ายซึ่งเป็นใจกลางของเมืองที่ว่ากันว่าตอนนี้ถูกปิดตายด้วยพลังงานที่ส่งมาจากเขตสีดำสามจุดรอบๆ
หล่อนพูดต่อ
“เจ็ดคนนี้จะเป็นทีมหลักที่พอเราจัดการสนามพลังที่ปิดกั้นไว้ก็จะเข้าสู่การต่อสู้ตัดสินทันทีจะให้เลือกจากคนที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุดหกคนรวมกับซีลอร์ดเป็นเจ็ดคน”
พอพูดแบบนั้นออร์ฟี่ก็รับช่วงต่อจากหล่อนมาพูด
“กว่าแผนการจะมาถึงขั้นตอนนี้พวกทหารที่เราล่อไว้ที่สวนแห่งนี้จะต้องถูกกำจัดทั้งหมดจากนั้นจะให้อิงศรมารวมตัวแล้วอีกคนที่ต้องไปด้วยก็คือแฟรนเซียมดังนั้นจะให้ทั้งสองคนเลือกคนที่จะมาด้วยกันเองอีกสองคน”
อิงศรพยักหน้ารับคำสั่งนั้นอย่างเข้าใจ
เข้าใจว่าทำไมถึงให้เลือกเอง เพราะเป็นการต่อสู้ที่สำคัญซึ่งจะตัดสินแพ้ชนะศึกคราวนี้ดังนั้นจะต้องเลือกคนที่มีประโยชน์และไม่เพียงแข็งแกร่งอย่างเดียวแต่จะต้องมีความเข้ากันได้และร่วมมือกันเป็นอย่างดี
แน่นอนว่าเขามีตัวเลือกนั้นอยู่ในใจแล้ว
อิงศรหันเหสายตาไปยังจุดที่น้องชายกับรุ่นน้องยืนอยู่ด้วยกัน
“ขวัญ กวินทร์ พวกนายมากับฉัน”
ออร์ฟี่ขานรับการเลือกนั้นด้วยคำพูดเหมือนจะรู้ทัน
“เน้นเป็นผู้ที่เคยถูกฟันเฟืองเลือกสินะ”
“ก็ประมาณนั้นพวกฉันสามคนรู้จักนายดีที่สุดถ้าต้องสู้ร่วมกันก็ต้องเป็นคนที่เชื่อใจกันได้จริงไหมล่ะ”
“นั่นสินะถ้างั้นทางนั้นก็เอาเป็นสามคนที่ไว้ใจได้ก็ไม่มีปัญหาสินะ”
สิ่งที่ออร์ฟี่พูดมามันฟังดูทะแม่งๆ หมอนี่พูดเหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าแฟรนเซียมจะเลือกใครบ้าง
แล้วก็สังหรณ์ไม่ค่อยดีนักว่าตัวเลือกของแฟรนเซียมจะไม่อยู่ภายใต้สามัญสำนึก
“โย่ ร่วมงานกันอีกครั้งสินะ”
ข้าวหลามเดินเข้ามาในวงประชุม
“…”
ที่จริงก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าแฟรนเซียม…ไม่สิ สิงห์จะเลือกใครบ้างซึ่งคนนั้นคงจะเป็นหมอนี่ที่เป็นมือขวาซึ่งรู้ใจมาตลอด
ดูเหมือนว่าก่อนที่เขากับเมษาจะมาถึงที่ประชุมทางนั้นจะมีการพูดคุยกันล่วงหน้าไปก่อนแล้วเพราะไม่อย่างนั้นคงเลือกตัวคนไว้ก่อนไม่ได้
แล้วก็คนที่สิงห์เลือกมาจะต้องไม่มีอยู่ในพวกพ้องของเขาแน่เพราะทุกคนมาถึงที่ประชุมเกือบจะพร้อมกันซึ่งตอนที่มาสิงห์ก็มารออยู่ก่อนแล้วนั่นหมายความว่าหมอนี่ไม่ได้พักหลังจากที่ฝึกฝนเสร็จ
ดังนั้นตัวเลือกอีกคนก็คงเป็นรูบิเดียม ที่จริงคิดว่าวิเชียรมาศเองก็มีสิทธิ์จะถูกเลือกมา แต่เพราะพลังของหล่อนไม่ได้เข้าใกล้พวกเขาเลยแล้วข้าวหลามก็ถูกเลือกมาก่อนแล้วจึงตัดหล่อนออกไป
“ไทเทเนียม”
แฟรนเซียมเรียกพวกพ้องอีกคนที่จะร่วมในศึกสุดท้ายเข้ามาในวงประชุม
เด็กสาวผมสีเงินอย่างชาวต่างดาวสั้นเกือบเกรียนโผล่ออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ เดินเข้ามายืนเคียงข้างแฟรนเซียม
หล่อนจ้องเขม็งมาที่กวินทร์แล้วพูด
“นายก็ด้วยเหรอ”
“พี่”
ปฏิกิริยาตอบรับของกวินทร์เป็นไปอย่างที่เดาเอาไว้ รุ่นน้องกำลังทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่
ไทเทเนียมที่เห็นปฏิกิริยานั้นก็พูดว่า
“เป็นอะไรไปล่ะกวินทร์หรือว่าเริ่มจะกลัวแล้ว”
บรรยากาศเริ่มจะอึมครึมขึ้นมา
ซึ่งออร์ฟี่ก็พูดขัดบรรยากาศนั้นด้วยน้ำเสียงติดตลกเล็กน้อย
“ขอตั้งชื่อทีมว่าคู่กัดฟัดกำลังสาม”
อิงศรหันไปแล้วระเบิดคำรามใส่
“ไอ้เจ้าบ้านี่แกตั้งใจใช่ไหมเนี่ย นี่มันเลือกโจทย์เก่าให้มาจับคู่กันหมดเลยไม่ใช่รึไง”
ไม่ใช่แค่กวินทร์ ถ้าหากนับเขากับสิงห์แล้วมิ่งขวัญก็เคยประมือกับข้าวหลามเมื่อครั้งที่พวกเขาได้พบกันอีกหลังนากพรากจากกันถึงสามปี
เป็นทีมที่มีแต่ศัตรูคู่ปรับกันถ้าพูดอีกอย่างหนึ่งมันก็คือทีมที่ต่างคนต่างรู้กำลังของกันและกันเพราะเคยประมือกันมาหมดแล้ว
เพียงแต่ความร่วมมือมันจะไปกันได้หรือ?
ออร์ฟี่พูด
“ก็แค่บังเอิญว่าสิงห์เขาเลือกทีมมาแบบนี้”
หมายความว่าแฟรนเซียมเป็นคนจงใจเลือกไทเทเนียมมาเอง
ทั้งที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าอย่างอิงศรคนนี้จะเลือกใครมาเป็นสมาชิกบ้างแต่ก็ยังจงใจเลือกไทเทเนียมที่เป็นพี่สาวของกวินทร์มาอีก
สองคนนั้นไม่ค่อยถูกกันแถมยังมีเรื่องบาดหมางเกิดขึ้นหลายๆ อย่างด้วย
ดังนั้นอิงศรจึงต่อว่า
“ข้าวหลามน่ะยังพอเข้าใจแต่ทำไมถึงให้ไทเทเนียมมาล่ะเลือกพวกราชครูมาไม่ดีกว่าเรอะ”
แล้วชี้ไปยังซีเซียมที่ยืนรวมอยู่กับราชครูอีกสองตน
หนึ่งในนั้น โพแทสเซียมโบกมือทักทายอย่างนึกสนุก ขณะเดียวกันลิเธียมที่อยู่ด้วยยังรักษาท่าทีนิ่งเฉยเอาไว้
แฟรนเซียมพูด
“ไทเทเนียมถึงจะมีพลังต่อสู้ไม่มากและไม่ใช่ราชครูแต่ก็มีความสามารถในการวิเคราะห์และรู้เรื่องสกิลเป็นอย่างดีพวกฉันสูญเสียอสุรากับเทวะไปแล้วตอนนี้มีแค่พลังตัวเองเพียวๆ นอกจากร่างไฮพีเรี่ยนของฉันที่เหลือก็ต้องใช้สกิลของเกมส่วนปีศาจที่มีคงทำอะไรไม่ได้มาก แค่นั้นคงพอนะ”
หมายถึงเหตุผลสำหรับการที่จะทำลายแผนการในคราวนี้รึไง
อิงศรมองแฟรนเซียม พยายามนึกหาวิธีแก้ปัญหาหรือโน้มน้าวให้เปลี่ยนตัวไทเทเนียมออกไป
แต่แฟรนเซียมก็ยังให้เหตุผลที่หนักแน่นมาอีก
“แล้วก็ถ้าดึงแต่คนที่มีพลังมาเข้าทีมนี้หมดทีมอื่นที่ไปทำลายตัวส่งพลังงานก็จะลำบากที่นั่นน่ะมีมหาเทพสัตว์เทวะที่ต้องใช้เครื่องทำสวนถึงสองเครื่องช่วยกันรุมถึงจะโค่นได้อยู่เชียวนะ เราต้องกระจายกำลังกันให้ดีใช่ไหมล่ะ อีกอย่างในหมู่พวกฉันไทเทเนียมก็รู้จัก กวินทร์ วชิระเป็นอย่างดีถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมหรือว่านายมีข้อโต้แย้งล่ะ”
“…”
เขาคัดค้านเหตุผลนั้นไม่ได้เลยแล้วก็พอจะเข้าใจขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าแฟรนเซียมไม่ได้แค่เลือกมาเล่นๆ แต่คำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้ว
หรือไม่เขาก็ถูกคำพูดชักจูงให้คิดไปแบบนั้น… น่าจะเป็นอย่างหลังนี่แหละ
“…”
อิงศรเหลือบสายตาไปมองกวินทร์ มองสีหน้าลำบากในนั่นแล้วตั้งใจว่าจะคัดค้านแฟรนเซียมให้ถึงที่สุด
ทว่า…
“ไม่เป็นไรครับพี่ศร มันก็อย่างที่พลเอกว่ามาผมยอมรับได้ครับ”
รุ่นน้องกลับพูดมาแบบนั้นแล้วจดจ้องสายตามองไปที่พี่สาวตัวเอง
พี่สาวที่กลายเป็นมนุษย์ต่างดาว ไทเทเนียม
แล้วฉีกยิ้มแป้นแล้นออกมาอย่างน่าฉงน
”อีกอย่างผมกับพี่เราไม่ได้ทะเลาะกันแล้วด้วย เนอะ”
อิงศรเลิกคิ้วให้กับคำพูดนั้นแล้วเปลี่ยนเป้าสายตาไปยังผู้ที่ถูกถาม
ไทเทเนีนมกำลังยิ้มขำอยู่เหมือนกัน หล่อนพูดตอบกลับมาว่า
“ก็นั่นสินะเริ่มจะเบื่อแล้วด้วย”
เหลือเชื่อ อิงศรรู้สึกอยากจะพูดแบบนั้น
อันที่จริงเขาเองที่อยู่ในการทดสอบเดียวกันกับกวินทร์ก็พอจะรู้อยู่เลาๆ บ้างว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่น่านะกลับมาดีขึ้นเพราะว่ากวินทร์ผ่านการทดสอบนั้นแต่ก็ไม่นึกว่าจะมาถึงขั้นนี้
“เพราะว่าผมจะช่วยเป็นพ่อสื่อให้พี่กับขวัญไง”
จู่ๆ กวินทร์ที่พูดเรื่องนั้นออกมาก็ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน
มิ่งขวัญที่ยืนอยู่ด้วยกันใบแก้มแดงระเรื่อ
“เฮ้ย”
พลางกระทุ้งศอกใส่สีข้างเจ้าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อจนสะดุ้ง
แต่นั่นก็ยังน้อยไปเมื่อเทียบกับรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาอย่างมืดมน
แผ่มาจากทางไทเทเนียมอย่างชัดเจน
“กวินทร์…”
หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงขรึมพลางชูนิ้วโป้วแล้วปาดแถวบริเวณคอแสดงสัญลักษณ์การเชือด
“เดี๋ยวก็ฆ่าซะหรอก”
แล้วพูดแบบนั้น
“…”
แต่กลับยิ้มและหัวเราะออกมา
กวินทร์ก็หัวเราะร่วนไปด้วย
อิงศรมองคู่พี่น้องสลับกันไปมาแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ไปทำกันอีท่าไหนมาล่ะเนี่ย”
แล้วพูดโดยอดที่จะอมยิ้มขำไปด้วยไม่ได้
…ตอนนั้นเอง
“งั้นก็เอาตามนี้สินะ”
ออร์ฟี่ก็พูดลากทุกคนที่กลับมาสู่หัวข้อประชุม
เมื่อกำหนดตัวคนที่จะทำหน้าที่สำคัญได้แล้วต่อไปก็คือการแบ่งทีมที่จะไปจัดการสัตว์เทวะซึ่งก็เป็นไปอย่างราบรื่น
เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว
ออร์ฟี่ก็...
“ขั้นตอนสุดท้ายเราจะกำหนดสัญญาณสำหรับสื่อสารแบบกระชับกันเริ่มจากชื่อของแผนการนี้ก่อนเลย”
พูดแล้วมองมาทางนี้
“….”
อิงศรพ่นลมหายใจอย่างเซ็งๆ ดูเหมือนออร์ฟี่ต้องเรียนรู้ที่จะขอความเห็นจากคนอื่นที่ไม่ใช่เขาบ้าง
ชื่อแผนสินะ
อิงศรหันเหสายตาไปทางซากิริ
“ไม่ใช่ว่าพวกเธอตั้งไว้แล้วเรอะ”
เขาจงใจไม่ถามไปที่รูบิเดียมซึ่งเป็นผู้ดำเนินการประชุมแลบะเป็นหัวหน้าฝ่ายวางแผน
แน่นอนว่าอีกคนที่พอจะถามได้คือซีเซียมแต่เขาไม่ค่อยชินกับการพูดคุยกับคนที่หน้าเหมือนตัวเองแบบนั้นนัก
ซากิริยักไหล่แล้วตอบ
“แค่คิดให้ทันนี่ก็สมองแทบไหม้แล้วอีกอย่างมันจัดอยู่ในหมวดของสัญญาณสื่อสารเลยอยากจะคุยพร้อมกันกับคนที่มีอำนาจสั่งการทัพทุกคนมากกว่าน่ะ”
สรุปนี่ก็คือสัญญาณเริ่มนั่นเอง
พวกเขาจะปลดแอกตัวเองจาก ‘บท’
จากรากแห่งชะตากรรม รากที่มีชื่อว่า ‘อาคาชิกเรคคอร์ด’ หรือ ‘ซูลวาน’
ชื่อที่เหมาะสมกับแผนการนี้อย่างนั้นหรือ
“…..”
อิงศรใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง สายตาก็หันไปทางแฟรนเซียมโดยอัตโนมัติ
ทีแรกตั้งใจว่าจะโยนหน้าที่นี้ให้หมอนั่นแต่ก็นึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องที่ รูบิเดียมเคยพูดขึ้นมาก่อนหน้านี้เมื่อนานมากแล้ว
ที่พูดเมื่อครั้งอยู่ที่เกาะร้างของฟาวเดชั่นอี
“โอเปอเรชั่นรูทเบรก....”
ชื่อนั้นทำให้พวกราชครูพากันสะดุ้ง
รูบิเดียมพูด
“เดี๋ยวสิ”
แต่อิงศรเมินใส่แล้วพูดต่อจนจบ
“เอาแบบนั้นแหละ”
แล้วแฟรนเซียมก็จ้องมองมาทางนี้พร้อมกับพูด
“ทำลายรากแห่งชะตากรรมสินะ”
****บทแรกของสัปดาห์สั้นๆ ไปก่อนค่อยไปอ่านเต็มๆ ในบทต่อไปวันอาทิตย์เน่อ งานยุ่งยาวไปจนต้นธันวาเบยจะจบทันก่อนวันเกิดอิงศร(ปีใหม่)ไหมเนี่ย ไม่งั้นเท่ากับเรื่องนี้ได้เขียน 4 ปีจบเหมือนในเกมแหง โอเมก้า*****
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

318 ความคิดเห็น
-
#274 อสูรไร้ลักษณ์ (จากตอนที่ 285)วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 / 20:54เหมือนจะเคยเห็นตอนที่ใช้ชื่อ "operation root break" มาก่อนนี่นา.....เอามาใช้กับตอนนี้ด้วยรึ?#2743
-
#274-1 R@ji(จากตอนที่ 285)23 พฤศจิกายน 2561 / 21:07อันนี้ The Root Break ฮะ เพิ่ม 'The' เข้ามาน่ะโอเมก้า#274-1
-
#274-3 R@ji(จากตอนที่ 285)23 พฤศจิกายน 2561 / 21:21จะว่าไปตรรกะนี้ทำเอานึกถึง ไค ใน Card Fight Vanguard ขึ้นมาเลยทีเดียวโอเมก้าา#274-3