ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #284 : Extra Log 280: Time Out!! (2)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 122
      5
      19 พ.ย. 61

    Extra Log 280: Time Out!! (2)

     

                อิงศรกำลังนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

                หลังจากบอกความจริงอันน่าตกใจของโลกใบนี้แล้วซูลวานก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

                เมอร์คาบาห์ก็เหมือนกัน ถึงจะถามอะไรไปก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่นิ่งเงียบแล้วก็กลับมาเป็นอาคานาร์ของเขาตามเดิม อาคานาร์ใบอื่นๆ ก็ด้วย

                เพราะแบบนั้นเลยได้อาคานาร์สามใบจากแอดมินิสเทรเตอร์มาเพิ่ม

                เดอะซัน จากโซลาริส

                เดอะมูน จากลูนาริส

                และ เดอะเวิลด์ จากแอร์ฟรี

                ตอนนี้อาคานาร์จึงมีครบทั้ง 22 ใบ

                แล้วก็อาคานาร์ดั้งเดิมของสวนศักดิ์สิทธิ์อีก 12 ใบ กระจายอยู่กับพวกพ้องแต่ละคนที่ผ่านการทดสอบของต้นไม้แห่งชีวิตซึ่งที่จริงเป็นการทดสอบของซูลวาน

                อิงศรมองไปรอบๆ

                ที่นี่คือสวนศักดิ์สิทธิ์

                สายตาทอดมองไปยังพวกพ้องที่กำลังฝึกฝนอย่างตั้งอกตั้งใจ

                “…”

                รู้สึกเหมือนเดินไปตามการชักใยของใครบางคนเหมือนกับทุกครั้ง

                ถึงจะได้พลังมา ถึงจะได้รู้ความจริงแล้ว

                แต่พลังก็ยังไม่น่าจะพอ ความจริงที่ได้รู้มาทำให้คำถามใหม่ๆ ผุดขึ้นมาอีก

                ที่ว่ามนุษย์มีกิเลสไม่สิ้นสุดคงเป็นอย่างนี้ พอได้มาแล้วก็ต้องหามาอีกกลายเป็นขวนขวายเอามาไม่จบไม่สิ้นซักที

                แต่ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะการจะมีชีวิตรอดมันต้องก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ใช่เหรอ

                ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็คงต้องก้าวไปตาม บทของศัตรูก่อนสินะ

                “…”

                อิงศรนึกสมเพชความคิดอันตื้นเขินนั่น

                ไม่ว่าจะดิ้นรนขนาดไหนสุดท้ายแล้วก็ยังไม่รู้สึกว่าจะเป็นอิสระจากการชักนำของอะไรบางอย่างได้เลย แล้วอะไรบางอย่างที่ว่าก็คงจะเป็น ราหู ผู้ที่ชักนำโลกทุกใบสู่การล่มสลายและการต่อสู้ตัดสิน

                ต่อให้พวกตนจะเป็นเพียงข้อมูลในเครื่องเซิฟเวอร์หรืออะไรก็ตามศึกตัดสินกับราหูจะยังคงมีต่อไป

                ถ้าไม่จัดการราหูพวกตนก็จะอยู่ไม่ได้นั่นคือข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งเดียวของการต่อสู้คราวนี้

                การจ่อสู้ครั้งสุดท้ายที่แท้จริง...

                จะลุยแล้วนะครับพี่ศร

                เสียงของกวินทร์ดังแว่วมา อิงศรมองตรงไปด้านหน้าตัวเอง

                ทุ่งหญ้าอันเขียวขจีแผ่กว้าง เด็กหนุ่มรุ่นน้องถือดาบคู่สีแดง

                กวินทร์ยืนห่างจากตรงนี้ราวๆ สิบก้าว หมอนั่นอยู่ในร่างไฮพีเรี่ยน

                เขาเองก็เหมือนกัน ตอนนี้อยู่ระหว่างฝึกฝนเพื่อทำความคุ้นเคยกับพลังใหม่

                พลังจากอาคานาร์ดั้งเดิม

                นอกจากเขากับกวินทร์แล้ว

                ข้าวหลามกำลังถ่ายทอดเทคนิกพื้นฐานการต่อสู้ด้วยปืนให้มิกซ์

                แล้วก็ด้วยเหตุผลบางอย่างแฟรนเซียมเกิดถูกใจในตัวเน็กส์ขึ้นมาจึงสอนการต่อสู้ให้แบบตัวต่อตัว ตอนแรกอิงศรคิดจะปฏิเสธแทนเน็กส์ไปด้วยซ้ำ

                เพราะเขาเคยผ่านการฝึกของสิงห์ ธุวดารกะ มาก่อน มันเป็นการฝึกที่ยากลำบากจนน่าจะเป็นอันตรายสำหรับเด็กอย่างเน็กส์ แต่เพราะเน็กส์เสนอตัวเองว่าจะเรียน

                เด็กชายที่ต้องได้รับการดูแลอยู่เสมอจนเขารู้สึกเหมือนเป็นน้องชายอีกคนวันนี้เติบโตขึ้นมามาก

                เน็กส์มีความปรารถนาแล้ว ปรารถนาที่แข็งแกร่งขึ้น

                แล้วเมื่อเทียบกับตัวเขาสมัยที่ยังฝึกกับสิงห์แล้วตอนนั้นก็อายุพอๆ กับเน็กส์ในปัจจุบันนี้เลย ดังนั้นถ้าเน็กส์มีฝีมือพอก็คงจะแข็งแกร่งขึ้นจากการแนะนำของแฟรนเซียม ดังนั้นเขาจึงอนุญาตไปโดยมีข้อแม้ว่าจะการฝึกนั้นจะต้องอยู่ในสายตาเขาและถ้ามันเกินเลยขึ้นมาจะเข้าไปหยุดทันที

                แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เน็กส์เรียนรู้ได้เร็วและแฟรนเซียมก็พอใจกับความตั้งใจนั้น

                เอจออฟไดม่อนดัส!

                กวินทร์ร่ายสกิลมาในตอนนั้น

                เด็กหนุ่มตวัดดาบฟาดเป็นแนวกากบาทปลดปล่อยพายุผลึกน้ำแข็งแหลมคมมาทางนี้ ด้วยพลังของอาวุธไฮพีเรี่ยนดาบคู่ ซีแรบเบลด ( C.RABBLADE) หรือที่กวินทร์เรียกมันเองว่า แครบเบลด เพราะรูปร่างของใบดาบที่มีแฉกตรงปลายคล้ายกับก้ามปู พลังของมันทำให้สกิลที่มีคุณลักษณะของดาบและธาตุในสังกัดสี่ธาตุหลัก ดิน น้ำ ลม ไฟ จะแสดงผลสองเท่า พายุผลึกน้ำแข็งเลยมีอานุภาพทำลายมากขึ้น

                อิงศรไม่ได้ตั้งใจดูการเคลื่อนไหวของกวินทร์ก่อนหน้านี้ดังนั้นจึงหลบไม้นี้ไม่ทัน

                แต่เขาไม่คิดจะรับมันไว้หรอก

                โซเดีย

                อิงศรกล่าวแล้วปีกกลก็ดันไปด้านหลัง

                ปืนใหญ่ที่พับเก็บอยู่ด้านในปีกกางขึ้นมาพาดลงบนบ่า มันคำรามเสียงดังกระหึ่ม กระสุนแสงสีแดงชาดพุ่งไปปะทะกับพายุผลึกของกวินทร์แล้วระเบิด ผลึกทั้งหมดถูกทำลายลง

                ผลคือไอน้ำจากผลึกน้ำแข็งลอยตลบอบอวลกลายเป็นกลุ่มหมอกบดบังทัศนวิสัย

                “….”

                มองไม่เห็นกวินทร์แล้ว อิงศรเปลี่ยนหน้าไม้ไปถือด้วยมือซ้ายแล้วเอื้อมมือขวาที่ว่างแล้วไปที่ด้ามใบมีดลำแสงที่เหน็บไว้ด้านหลังตรงเอว

                ทว่า...

                ย้ากกก!!!

                กวินทร์ที่ควงดาบทั้งสองเล่มก็พุ่งทะยานออกมาจากกลุ่มไอน้ำ เข้ามาประชิดถึงตัว

                อิงศรชักด้ามใบมีดนั้น

                โซเดียคัทเตอร์

                แล้วพูดคำสั่งให้มันทำงาน ใบมีดลำแสงก่อตัวขึ้นมาจากด้ามจับนั้น เขากวัดแกว่งมันปัดป้องดาบของรุ่นน้องออกไปด้านข้างทั้งหมด

                เหวอ

                ช่องว่างตรงกลางของกวินทร์เปิดออกในทันที ถ้าใช้หน้าไม้ในมือซ้ายยิงใส่ช่องว่างนี้ก็จะฆ่ากวินทร์ได้ แต่นี่แค่ฝึกดังนั้นจะยิงด้วยลูกดอกธรรมดาทำให้เจ็บตัวนิดหน่อย กวินทร์จะหงายท้องลงไปนอนด้วยการยิงนี้...

                จังหวะนั้นเองเท้าของกวินทร์กลับถีบสวนเข้ามาที่ท้องซะก่อน

                อ่อก

                อิงศรคู้ลำตัวด้วยความจุกเสียด เขาพยายามจะถีบตัวถอยเพื่อลดแรงปะทะแล้วแต่เพราะปีกของร่างไฮพีเรี่ยนที่มาเกะกะ การเคลื่อนไหวจึงทื่อลงจนขยับตัวไม่ได้แบบที่คิด

                กวินทร์อาศัยแรงถีบใส่ในจังหวะนั้นดันตัวเองถอยห่างออกไปแล้วจัดดาบตั้งท่าเตรียมสู้ต่อ

                แต่....

                พี่ศร

                กวินทร์กลับหยุดมือแล้วลดดาบลง

                นั่นก็เพราะตัวเขาเองที่ทรุดเข่าลงไปนั่งกับพื้น ปล่อยอาวุธทั้งหมดหลุดจากมือแล้วเอาแต่กุมหน้าท้องที่โดนถีบเข้ามาด้วยสีหน้าทรมาน

                เป็นอะไรมากไหมครับ

                กวินทร์ถามด้วยความเป็นห่วงแล้ววิ่งเข้ามา

                ลูกถีบนั้นแรงมากจริงๆ ปกติแล้วเวลาฝึกกับกวินทร์ก็มีจังหวะที่ต้องแลกหมัดหรือไม่ก็ลูกถีบใส่กันในจังหวะกระชั้นชิดอยู่บ่อยครั้งเพราะมันยุทธวิธีที่สายประชิดตัวจะต่อกรกับผู้ที่โจมตีระยะไกล คือการเข้ามาคลุกวงในซึ่งนั่นจะทำให้อาวุธอย่างดาบพลอยกวัดแกว่งไม่ได้ไปด้วย การใช้ร่างกายโจมตีจึงเป็นสิ่งที่สายประชิดได้เปรียบเพราะสเตตัสพลังทางร่างกายระหว่างสายอาชีพมันเทียบไม่ได้

                แต่โดยปกติแล้วลูกถีบของกวินทร์ไม่ได้แรงขนาดนี้

                อิงศรรู้สึกเหมือนโดนรถชนมากกว่าลูกถีบซะอีก นั่นคือสาเหตุที่ตัวเขาลงมานั่งกองอย่างหมดสภาพแบบนี้ ดูเหมือนจะเป็นผลมาจากร่างไฮพีเรี่ยน

                กวินทร์ที่มาถึงก้มตัวลงแล้วพยายามช่วยพยุงร่าง

                พี่ศรครับ

                อุก...ไม่เป็น...ไร

                โทษนะครับผมกะแรงไม่พอดี

                ช่างเหอะ....แต่ดูเหมือนพลังจากร่างไฮพีเรี่ยนทำเอาค่าพลังก่อนจะแปลงร่างเทียบไม่ติดเลยได้ข้อมูลนี้มาก็ค่อยเข้าใจขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ

                งั้น ลุกไหวไหมครับ

                อืม

                พอตอบไปกวินทร์ก็ช่วยพยุงเขาขึ้นมา

                อิงศรมองไปทางอื่น มองไปยังสิ่งที่ทำให้เขาหมดสมาธิที่จะจดจ่ออยู่กับการต่อสู้กับกวินทร์

                พลังของตัวเขาเองเข้าที่เข้าทางไปมากแล้วกวินทร์เองก็ด้วยดังนั้นจึงนึกเป็นห่วงคนอื่น

                มิ่งขวัญกำลังถ่ายทอดเทคนิกกับจังหวะการต่อสู้ที่ต้องใช้โล่ให้กับฟูที่อาวุธไฮพีเรี่ยนมีโล่เพิ่มขึ้นมา

                กลุ่มผู้หญิงที่ประกอบด้วย มีนา พลอยและนิว ทั้งสามคนมีพลังที่เน้นความพลิกแพลงเป็นจุดเด่นเลยต้องช่วยกันปรึกษาเพื่อทำความเข้าใจในพลังมากกว่ามาฝึกการต่อสู้

                เมษาที่พลังแบบใหม่เน้นการยิงทำลายซึ่งแตกต่างจากการต่อสู้ที่ผ่านๆ มาทำให้เจ้าตัวไม่มีประสบการณ์ใช้อาวุธแบบนี้มาก่อนก็ได้นรินทร์คอยให้คำแนะนำอยู่เพราะดูเหมือนร่างไฮพีเรีย่นของนรินทร์ก็มีอาวุธกราดยิงที่คล้ายๆ กันอยู่ด้วย

                ฉันไม่เป็นไรแล้ว

                พอพูดไปกวินทร์ก็ปล่อยมือที่พยุงเขาออก

                อิงศรป้องมือที่รอบปากเพื่อทำให้เสียงก้องแล้วตะโกน

                ทุกคนพักได้แล้วอีกครึ่งชั่วโมงจะไปประชุมแผนกัน

                นี่คือสัญญาณว่าการฝึกฝนได้จบลง พวกเขาทำทุกอย่างที่ทำได้ไปหมดแล้ว

                เหลืออีกเกือบสามชั่วโมงก่อนที่ศัตรูจะแห่มาที่นี่

                เรื่องเวลาที่ราหูมอบให้พวกเขาเตรียมตัวได้รับการตรวจสอบจากซากิริมาแล้วว่ามีกองกำลังของผู้รุกรานประมาณหนึ่งล้านกำลังเคลื่อนกำลังพลขึ้นมาจากรากอาคาชิก แล้วก้คงจะมาถึงที่นี่ตอนที่เวลานับถอยหลังหมดลงพอดี

                การที่ศัตรูยังมาไม่ถึงก็ถือเป็นเรื่องที่ดีและเลวร้ายพอๆ กัน

                ถ้าหากไม่มีเวลาทำความคุ้นเคยกับพลังใหม่พวกเขาคงไม่รู้ถึงข้อจำกัดของเวลาในการใช้งานกับเวลาฟื้นฟูเพื่อใช้ใหม่ของร่างไฮพีเรี่ยน รวมถึงความแตกต่างของพลังที่แต่ละคนได้รับจากการที่เขาประมือกับกวินทร์เมื่อครู่ด้วย

                แต่การที่พวกมันรักษาสัญญาเวลาถึงขนาดนี้เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจนน่ากลัวจริงๆ

                น่ากลัวว่านี่ก็จะเป็นไปตาม บทที่ว่านั่นด้วยหรือเปล่า

                พี่ศรครับ

                กวินทร์พูด

                มีอะไร

                ก่อนจะถึงเวลาประชุมผมมีเรื่องจะคุยกับขวัญเขาหน่อย

                ก็เอาสิ ว่าแต่รู้แล้วใช่ไหมว่าจะไปประชุมที่ไหนน่ะ

                ครับ

                งั้นก็อย่าไป เถลไถลจนมาสายล่ะพวกเราไม่มีเวลาจะเสียกันแล้ว

                ครับ

                กวินทร์พูดแล้ววิ่งไปหามิ่งขวัญ ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งจึงแยกตัวออกจากกลุ่มไป

                ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรหรอกแต่สองคนนั้นสนิทกันคงไม่ไปทะเลาะกันหรือทำเรื่องไม่ดีหรอกมั้ง

     

                @@@@@

     

                มิ่งขวัญเดินตามกวินทร์ที่นำพวกเขาออกห่างจากกลุ่มมาจนถึงเนินหญ้าที่ไม่มีสายตาใครอีก

                สัมผัสระดับมนุษย์ต่างดาวบอกว่าหากเกิดอะไรขึ้นที่นี่จะไม่มีใครรู้เรื่องเลยนอกจากพวกเขาสองคนเท่านั้น

                มิ่งขวัญพูดพร้อมกับนึกสงสัยไปด้วย

                แล้วอะไรล่ะเรื่องที่ว่าจะพูดด้วยน่ะ

                เพราะบอกเขาว่ามีเรื่องจะพูดด้วยเลยยอมตามมาแต่ทำไมกวินทร์ถึงพามาที่แบบนี้....

                ชิ

                ตอนที่คิดอยู่นั่นเอง จิตสังหาร...ไม่สิมันแผ่วเบากว่านั้น เป็นแค่จิตมุ่งโจมตีแต่ไม่ได้ตั้งใจเอาชีวิตจิตนั้นแผ่พุ่งมาที่นี่

                มิ่งขวัญชักเรเปียที่เอว ตวัดมันไปยังจุดที่ความมุ่งร้ายพุ่งมา แล้วสายตาของเขาก็สะท้อนภาพของกวินทร์ที่ควรจะเดินนำอยู่ข้างหน้า

                เคร้ง ดาบของพวกเขาปะทะกันแต่แรงปะทะแผ่วเบาเป็นอย่างมากถึงปล่อยไว้โดยไม่รับ ดาบของกวินทร์ก็คงจะแค่กระแทกใส่เบาๆ โดยไม่ทำให้บาดเจ็บเพราะออมมือเอาไว้

                มิ่งขวัญถาม

                ทำไม

                กวินทร์ยิ้มเจื่อนแล้วหัวเราะแห้งๆ

                แฮะแฮะ ไม่ไหวจริงๆ ด้วย

                หมายความว่าไงเนี่ย

                พอถามไป กวินทร์ก็ดึงดาบกลับแล้วพาดมันข้ามไหล่ไปเหน็บไว้กับหลัง นั่นคงทำเพื่อให้เขาวางใจว่าจะไม่มีการโจมตีทีเผลอเข้ามาอีก

                มิ่งขวัญจึงเก็บเรเปียบ้าง

                กวินทร์ต้องมีคำอธิบายที่ดีพอที่มาโจมตีทีเผลอแบบนี้ถึงมันจะไม่ใช่การโจมตีที่หวังมาทำร้ายกันจริงๆ แต่แกล้งกันแบบนี้ก็รู้สึกว่าแรงไปหน่อย

                กวินทร์พูด

                สุดท้ายก็ยังไม่เก่งกว่าขวัญอยู่ดีฉันคงปกป้องขวัญไม่ได้เลยสินะ

                มิ่งขวัญเอียงคอด้วยความสงสัย

                แล้วทำไมฉันถึงจะต้องให้นายมาปกป้องด้วย

                เปล่า...นี่ก็แค่ปลอบใจตัวเองน่ะ

                มิ่งขวัญจ้องมองเข้าไปในดวงตาของกวินทร์และเริ่มเข้าใจเหตุผลที่ถูกเรียกมา

                นี่นายยังกังวลเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ

                เรื่องที่ว่าก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นบนลิฟต์ ในตอนที่ต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับแอดมินิสเทรเตอร์ลูนาริส

                ตัวเขาได้เสียสละตัวเองแล้วต่อมาตัวเขาเองในอีกความเป็นไปได้

                ตัวตนในอีกโลกคู่ขนานที่อายุมากกว่า ตัวเองในอายุ 17 ปีก็สละตัวเองเพื่อช่วยให้พวกเขาหนีรอดจากเงื้อมมือของราหูมาก่อนหน้านี้

                กวินทร์เป็นกังวลในเรื่องนั้นเพราะเห็นเขาตายไปต่อหน้าต่อตาถึงสองครั้งติด ถึงแม้ว่าครั้งที่สองจะไม่ใช่ตัวเองจริงๆ ก็ตาม

                กวินทร์พูด

                ฉันกลัว...

                ไม่เป็นไรน่าคราวนี้พวกเราไม่เหมือนคราวก่อนแล้ว พวกเราก้าวไปข้างหน้าแล้วอย่างที่ศรบอกไง ตอนนี้ทั้งฉันทั้งนายเราเก่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าเลยนะเพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก

                มิ่งขวัญรู้สึกว่ามันแปลกนิดหน่อยที่ตัวเองกำลังพูดให้กำลังใจใครซักคน

                ปกติแล้วเขามักจะได้รับคำพูดปลอบขวัญกำลังใจจากศรอยู่เสมอหรือไม่ก็พูดปลุกปลอบตัวเองในวันที่โดดเดี่ยวในฐานะมนุษย์ต่างดาวถึงสามปี แล้วตอนนี้ตัวเองที่เคยแต่รับมาอย่างเดียวกำลังมอบคำปลอบขวัญกำลังใจให้กับเพื่อน

                เพื่อนสนิทคนแรกที่มองว่าเป็นเพื่อนจริงๆ โดยไม่ได้มีเรื่องของการเล่นเป็นครอบครัวหรือความรู้สึกที่คิดว่าเป็นเหมือนพี่น้องอะไรแบบนั้น

                กวินทร์เริ่มพูดต่อ

                นะ...นั่นสินะ พวกเราไม่เป็นไรหรอกเนอะ

                ระหว่างที่พูดมือของกวินทร์ก็กำลังสั่นไปด้วย

                ตรงนี้ควรจะทำอย่างไรดีนะ

                “……”

                “…...

                แย่ล่ะสิ บรรยากาศมัน.... ด...เดธแอร์ ซะแหล่ว

                “….”

                มิ่งขวัญไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เขาไม่คุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้

                ในเวลาแบบนี้ควรต้องทำอย่างไร

                รู้สึกว่าแผ่นหลังเปียกชุ่มไปหมด แรงกดดันต่อสถานการณ์กำลังจู่โจมเข้ามา

                ตรงหน้าตัวเองเพื่อนสนิทกำลังเป็นกังวลและหวาดกลัวอยู่ ควรจะต้องทำอย่างไรถึงจะคลายความกังวลนั้นให้เพื่อนได้กันล่ะ

                ระหว่างที่เค้นสมองคิดอย่างสุดกำลังก็พลันนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากจะจำขึ้นมา

                อะไรกันเนี่ยขวัญ...ยังกลัวอยู่งั้นเรอะ

                นั่นคือเสียงของอิงศรในความทรงจำ

                จำได้ว่านั่นเป็นหลังจากที่ออกล่าสัตว์เทวะครั้งแรก ในตอนนั้นเพราะตนเองหวาดกลัวที่จะต่อสู้เลยทำให้อิงศรได้รับบาดเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต

                ตัวเองในตอนนั้นได้แต่หวาดกลัวและสับสน กลัวที่จะต่อสู้แล้วก็กลัวที่จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกที่ล่มสลาย

                ในคืนเดียวกันของวันนั้นเขาที่ยังตัวสั่นเพราะความกลัวจับใจจากตอนนั้นก็ถูกอิงศรพูดใส่

                อะไรกันเนี่ยขวัญ...ยังกลัวอยู่งั้นเรอะ

                แล้วตอนนี้กวินทร์ที่อยู่ตรงหน้าตัวเองก็กำลังหวาดกลัวอยู่เหมือนกัน

                ถ้าอย่างนั้น...

                มิ่งขวัญตัดสินใจทำเหมือนที่พี่ชายเคยทำให้กับเขา วิธีที่จะบรรเทาความหวาดกลัวและปลอบประโลมหัวใจของอีกฝ่าย

                เด็กหนุ่มโผตัวเข้าไปสวมกอดเพื่อนสนิทเอาไว้

                เอะ...เอ๋...เดี๋ยวขวัญนี่มัน....จะทำอะไรน่ะ

                “…..”

                กวินทร์แสดงท่าทีเหมือนลุกลี้ลุกลน หรือว่าเขาจะทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ

                ขวัญ

                ก็นายตัวสั่นอยู่ไม่ใช่เหรอ

                แล้วทำไมถึงกอดล่ะ

                เมื่อก่อนเวลาที่กลัวศรจะแบบนี้น่ะมันช่วยให้รู้สึกดีขึ้นหรือว่าไม่ชอบกันล่ะ

                ไม่ใช่หรอกแต่ว่า...จู่ๆ มากอดกันแบบนี้มันรู้สึกแปลกๆ น่ะปล่อยดีกว่านะถ้าใครมาเห็นเข้าจะแย่เอา...

                ตอนนั้นเองก็มีเสียงดังแว่วมาจากทางด้านหลัง

                ....วิน....ที

                เสียงนั้นตะโกนมาจากที่ไกลมากทำให้ฟังได้ไม่ค่อยชัดนัก ทั้งที่เป็นประสาทหูระดับมนุษย์ต่างดาวซึ่งรับเสียงได้ในรัศมีที่ไกลมากแท้ๆ

                มีกลิ่นอายของ คนอื่นเข้ามาในระยะการรับรู้

                กลิ่นอายของผู้หญิง

                คุณกวินทร์ คุณมิ่งขวัญ เจอตัวซะที

                ฟังจากเสียงแล้วน่าจะเป็นคนที่ชื่อมีนา

                แต่การเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนั้นรวดเร็วมาก ทันทีที่ได้ยินเสียงต่อมาก็รับรู้ถึงกลิ่นอายของหล่อนที่เคลื่อนที่มาเกือบถึงจุดที่พวกเขายืนกอดกันแล้ว

                มิ่งขวัญคลายกอดให้หลวมลงแล้วหันเฉพาะใบหน้ากลับไป

                หล่อนกำลังบินลงมาที่นี่ด้วยร่างไฮพีเรี่ยน

                คุณอิงศรให้มาตามค่ะแต่เพราะที่นี่มันกว้างก็เลยแปลงร่างบินหาเอาซะเลยอีกเดี๋ยวการประชุมก็จะเริ่ม....เอ๊ะ

                เธอชะงักคำพูดเมื่อสังเกตเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรกัน

                เอะ เอ๋ คุณกวินทร์กับคุณมิ่งขวัญ...มะ..มีรสนิยมแบบนั้น

                แต่กวินทร์ปฏิเสธอย่างจริงจัง

                ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แบบที่พี่มีนาคิดนะครับ

                ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนจนดูน่าสงสัยมากกว่า

     

                @@@@@@@

     

                เหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมงก่อนที่การโจมตีจะเริ่ม

     

                อิงศรอยู่ในระหว่างเดินทางไปร่วมที่ประชุมแผนการรบโดยมีเมษาร่วมทางไปด้วย

                เขาเพิ่งจะให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาวุธไฮพีเรี่ยนของเมษาที่กลายเป็นแบบยิงจู่โจมไปเลยเดินมาด้วยกัน และฝากมีนาที่อยู่ด้วยกันจนถึงเมื่อครู่ไปตามตัวกวินทร์กับมิ่งขวัญที่แยกออกไปก่อน ส่วนคนอื่นๆ ก็มุ่งหน้าที่ประชุมก่อนตอนนี้คงจะไปรออยู่ที่นั่นกันแล้ว

                เมษาพูดโดยที่ไม่หันมามองและยังคงก้าวเท้าเดิน

                จบศึกนี้แล้วจะเอายังไงต่อ

                อิงศรถามกลับไปโดยที่ไม่หันไปสบตาเช่นกัน

                ก็ไม่รู้สิ

                มีอาชีพที่อยากทำไหม

                คำถามนั้นทำให้อิงศรหันไปถามกลับด้วยสายตาอันเหลือเชื่อ

                นี่นายถามเรื่องอนาคตอยู่งั้นเรอะ

                การต่อสู้อันแสนสาหัสรออยู่ข้างหน้าจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นแล้วแต่หมอนี่ดันถามคำถามแบบนั้น

                แต่เมษาก้หันมาสบตาแล้วพูดอย่างจริงจัง

                แหงดิ เราต้องคิดเรื่องในอนาคตเผื่อเอาไว้บ้างสิหลังจากอัดเจ้าราหูอะไรนั่นแล้วพวกเราก็ต้องกลับไปเรียนต่อ ม. ปลาย กันอีกนะแถมปีหน้าพวกเราก็ขึ้น ม.หก แล้วด้วย ไอ้ตัวฉันน่ะยังไม่รู้เลยเนี่ยสิ

                กัปตันชมรมฟุตบอลอย่างนายไม่ได้อยากจะไปค้าแข้งหรอกเรอะ

                เมษาหัวเราะใส่คำพูดนั้น

                ฮะฮะฮะ เพ้อเจ้อน่า ถึงฉันจะเก่งเรื่องกีฬาแต่ก็แค่ระดับเก่งกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยเองถ้าจะพูดแบบนั้นไปพูดกับน้องชายนายดีกว่ามั้ง

                นั่นสินะหมอนั่นเก่งฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กแล้ว

                ให้ถูกคือเก่งทุกอย่างที่ใช้ร่างกายนั่นล่ะมิ่งขวัญเป็นอัจฉริยะด้านนี้

                แล้วนายล่ะ

                เมษาถามมาอีก

                ฉันเหรอ

                เออสิ อยากจะทำอะไรล่ะ

                อิงศรหยุดเท้าไปเองโดยที่ไม่รู้ตัว

                พอเริ่มคิดถึงเรื่องในอนาคตต่อจากนี้มันก็ทำให้เขานึกขึ้นมาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่รับการทดสอบจากต้นไม้แห่งชีวิต

                นึกถึงคำถามที่ซูลวานถามผ่านเมอร์คาบาห์ ว่าเขาจะเสียสละตัวเองเพื่อกอบกู้ทุกอย่างรึเปล่า

                สถานการณ์ในตอนนี้พูดตามตรงแล้วยังมองไม่เห็นทางชนะอย่างเต็มรูปแบบเลย ถึงจะมีพลังไฮพีเรี่ยนแล้วแต่ศัตรูก็มีเหมือนกันและใช้มันมาก่อนตั้งแต่แรก แถมยังไม่รู้อีกว่าราหูเก็บซ่อนอะไรเอาไว้อีก

                สรุปก็คือมีโอกาสที่จะเสียชีวิต และอาจจะไม่ได้ฟื้นคืนชีพจึงไม่ได้คิดเรื่องหลังจากนั้นไว้ในหัวเลย

                เรียนต่อล่ะมั้ง

                อิงศรตัดสินใจพูดโกหกออกไป เขาไม่อยากจะให้เรื่องที่คิดกังวลไปเองไปรบกวนพวกพ้องให้ต้องเป็นกังวลไปด้วยอีก แค่ปัญหาที่มีตอนนี้ก็ล้นมือจะแย่อยู่แล้ว

                ต่อมหาลัยสิน้า งั้นฉันก็คงเหมือนกันล่ะมั้ง

                “….”

                แต่ตัวเลือกนั้นย้อนกลับเข้าในหัว

     

                หากการแยกจากคือหนทางเดียวที่จะกอบกู้ทุกสิ่งเธอจะเลือกมันไหม

     

                เมื่อหวนนึกถึงคำถามนั้นขึ้นมาหัวใจก็สั่นคลอน

                อิงศรพูด

                เมษาฉัน...ขอโทษ

               

     

                @@@@@@

     

                สถานที่ประชุดแผนการรบครั้งสำคัญจัดขึ้นใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

                อิงศรกับเมษาเพิ่งจะมาถึง พวกเขามาเป็นคนสุดท้าย

                ที่นี่มีแต่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตา เพราะในความจริงแล้วแผนการรบทั้งหมดซีเซียมกับรูบิเดียมเป็นผู้ตระเตรียมและกระจายให้พวกทหารใต้บัญชาไปกันหมดแล้วพวกเขาที่มีพลังไฮพีเรี่ยนซึ่งเป็นกำลังรบหลักเพียงแค่มาฟังแผนการและทำตามนั้น

                บนโต๊ะไม้ที่ให้ออร์ฟี่เสกมาสำหรับใช้ในการประชุมสำคัญมีแค่โน๊ตบุคของซากิริที่วางอยู่

                องค์ประชุมนอกจาก 13 คนที่มีพลังไฮพีเรี่ยนแล้วก็มี รูบิเดียม ซีเซียม ซากิริ วิเชียรมาศ ข้าวหลาม

                แล้วก็ ลิเธียมกับโพแทสเซียมที่กลับมาจากการสอดแนมซึ่งได้ส่งข้อมูลให้กับฝ่ายวางแผนไปหมดแล้วมาร่วมนั่งฟังแผนการ

                มีนาที่สังเกตเห็นท่าทีของเมษาพูด

                ไปทำอะไรมาน่ะหน้าบูดเชียวทะเลาะกับคุณอิงศรมาเหรอ

                เปล่าเปล่าแค่เครียดนิดหน่อย

                เมษาตอบแล้วเหลือสายตามาทางนี้แวบหนึ่ง

                “….”

                อิงศรเข้าใจสายตานั่นดูเหมือนเมษาจะยังติดใจเรื่องที่เขาพูดไประหว่างเดินทางมาที่นี่

                ส่วนมีนาก็ไม่ได้เซ้าซี้น้องชายต่อ หล่อนคงคิดว่าเมษาเครียดเรื่องสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น

                ตอนนี้ข้างล่างกลายเป็นเรดบอสไปแล้วล่ะ

                ซากิริพูดแล้วเปิดหน้าจอระบบซึ่งมันเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของเธอ

                บนหน้าจอนั้นฉายภาพถ่ายทางอากาศซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของเมืองร้างที่อยู่ใต้รากแห่งอาคาชิกที่ตอนนี้เป็นแหล่งกบดานของราหู

                สภาพของเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้าเป็นอย่างมาก

                มีอยู่สามจุดใหญ่ๆ ของเมืองที่ถูกครอบคลุมไว้ด้วยความมืดที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จุดดำพวกนั้นล้อมรอบพื้นที่ตรงใจกลางเมืองซึ่งตอนนี้ทะลุลงไปเป็นแอ่งหลุมราวกับโดนระเบิดหรือไม่ก็อุกกาบาตตกใส่

                แล้วซากิริก็ชี้ไปที่หนึ่งในจุดความมืดจากทั้งสามจุดแล้วเริ่มอธิบาย

                จุดพวกนี้คือเขตแดนที่เรดบอสสามตัวพิทักษ์เอาไว้ถ้าไม่โค่นพวกมันก่อนก็จะเข้าไปที่แอ่งตรงกลางไม่ได้เพราะมันมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่จากที่ลองตรวจสอบมาแล้วกำแพงนั่นเป็นเหมือนกับประตูมิติที่ดูดซับการโจมตีแล้วเอาไปปล่อยทิ้งไว้ที่ไหนซักแห่งดังนั้นลืมเรื่องทำลายมันไปได้เลย

                แฟรนเซียมพูด

                งั้นถ้าจะปลดกำแพงนั่นคงต้องจัดการกับบอสทั้งสามตัวสินะ

                ซากิริพยักหน้าให้คำพูดนั้น

                ใช้แล้วล่ะเราตรวจสอบมาแล้วว่ามีการส่งพลังงานมาจากใจกลางของเขตแดนทั้งสามแห่งที่พวกบอสสัตว์เทวะคุ้มครองอยู่พลังงานพวกนั้นคือสิ่งที่ทำให้กำแพงคงอยู่ได้ถ้าตัดแหล่งพลังงานออกไปซักสองจุดกำแพงคงจะอยู่ได้อีกไม่นานแต่เราไม่มีเวลารอเอ้อระเหยอยู่ในเขตแดนของศัตรูเพราะงั้นต้องตัดทั้งสามจุดออกกำแพงจะได้หายไปทันที ดังนั้นต้องแบ่งกำลังจากทีมที่มีพลังไฮพีเรี่ยนตรงนี้กระจายกันไปจัดการแต่ละจุดและทีมหลักที่จะเข้าไปโจมตีราหูด้วย

                เนื้อหาของการพูดคุยนั้นมีจุดที่น่าสงสัยอยู่อิงศรจึงถามออกไป

                เดี๋ยวก่อนสิถ้าสิ่งที่คุ้มครองจุดพลังอยู่เป็นแค่สัตว์เทวะไม่น่าจะต้องกระจายกำลังกันขนาดนั้นก็ได้ไม่ใช่เหรอ

                แต่ออร์ฟี่กลับพูดแย้ง

                เมื่อกี้ก่อนจะเริ่มประชุมผมถูกเธอคนนี้ถามเรื่องพลังของสิ่งนั้นเพื่อจะเอาไปประเมินการแบ่งกำลังแล้วล่ะนะเลยจะขอบอกเอาไว้ก่อนว่าตัวที่เฝ้าเขตแดนทั้งสามตัวนั่นคือจุดสูงสุดของสัตว์เทวะทั้งหมด

                จะบอกว่ามันร้ายกาจกว่าจ่าฝูงสัตว์เทวะทั่วไปงั้นเหรอ

                พวกสัตว์เทวะจ่าฝูงน่ะเป็นเหมือนข้ารับใช้ของเจ้าพวกนี้เลยล่ะ น่าจะเคยได้ยินชื่อของพวกสัตว์เทวะบางตัวที่ไม่ได้บอกชื่อตัวเองแต่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ติดตามหรือข้ารับใช้อยู่ใช่ไหมล่ะ

                พวกที่มีคำว่า Follower อะไรพวกนั้นสินะแต่ว่าสัตว์เทวะน่ะรับใช้เครื่องทำสวนไม่ใช่เหรอ

                เรื่องนี้เคยได้ยินจากปากของสัตว์เทวะที่เกาะร้างที่กฤษณะปรากฏตัวให้พวกเขาเห็นครั้งแรก แล้วชื่อของพวกสัตว์เทวะที่ว่าเป็นผู้ติดตามหรือผู้รับใช้ต่างๆ ก็จะตามด้วยชื่อจักรราศีหรือไม่ก็นักษัตร

                ออร์ฟี่พูด

                ที่เธอพูดมามันก็ใช่อยู่หรอกแต่ว่ามีกลุ่มที่ไม่ได้รับใช้เครื่องทำสวนอยู่เหมือนกันแต่รับใช้สัตว์เทวะที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับเครื่องทำสวนน่ะ

                ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลยมันมีตัวพรรค์นั้นด้วยเรอะ

                สัตว์เทวะที่แข็งแกร่งเทียบเท่าเครื่องทำสวน คงมีประวัติอันยาวนานอย่างน่าเหลือเชื่ออยู่แน่ เพราะออร์ฟี่ไม่ได้แสดงออกว่ากำลังพูดเล่นอยู่เลย

                มีสิแล้วก็ทั้งสามตัวที่ว่านั่นอยู่ในระดับที่เรียกกันว่า แกรนด์ก็อดบีสต์(Grand God Beast) หรือ มหาเทพสัตว์เทวะ ซึ่งถ้าพูดตามระบบของเกมโลกาวินาศพวกมันจัดอยู่ในระดับ ไฟนอลเรดระดับความยาก เลเวลสี่ร้อยเลยล่ะ

                คำพูดนั่นทำให้พวกพ้องของเขาหันมองหน้ากัน

                ส...สี่ร้อย เหรอ

                กวินทร์พูด

                แบบนั้นไม่เวอร์ไปเหรอคะพวกเรายังเลเวลสุดอยู่แค่ร้อยสี่สิบสี่เอง สี่ร้อยน่ะมันเกือบจะสามเท่าอยู่แล้วนะคะน่ะ

                ความเห็นของมีนาสมเหตุสมผลอยู่เหมือนกัน

                เลเวลสี่ร้อย ออกจะเป็นอะไรที่เกินจริงที่จะเชื่อได้ถ้าหากว่ามันไม่ได้ออกจากปากของออร์ฟี่เองล่ะนะ

                นายไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม

                คิดว่าผมจะพูดเล่นในสถานการณ์แบบนี้เหรอ

                ก็เคยพูดอยู่นี่

                ไม่ได้โกหกหรอกนะ แต่ว่าต่อให้เป็นเครื่องทำสวนก็ยังต้องใช้สองรุมหนึ่งถึงจะเอาอยู่แบบชัวร์เพราะแบบนั้นแหละถึงต้องแบ่งกำลังกันให้ดี

                ดูเหมือนว่าเวลาที่ราหูให้มาจะไม่ได้แค่ปล่อยให้ฝั่งพวกเขาเตรียมตัวอยู่เฉยๆ เสียแล้วฝั่งนั้นเองก็เตรียมการป้องกันเป็นอย่างดี

                นี่ไม่แค่เรื่องที่จะต้องมานั่งกังวลแล้วว่าทำไมฝ่ายนั้นถึงเลือกจะเป็นฝ่ายตั้งรับแล้วส่งกองทหารเป็นล้านบุกมาที่นี่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้

                ถ้าต้องแบ่งกำลังไปจัดการกับมหาเทพสัตว์เทวะ รับมือกับกองทหารแล้วก็ยังต้องจัดการราหูด้วยอีกกำลังที่มีอยู่ตอนนี้คงไม่เพียงพอ

                ถ้าอย่างนั้นจะวางแผนอย่างไรดี

     

                @@@@@

     

                เวลานับถอยหลังสิ้นสุดลง

     

                พวกเขาวางแผนการอย่างละเอียดถี่ถ้วน มุ่งหน้าไปยังรากแห่งอาคาชิกด้วยเรืออาร์คที่ซากิริสร้างขึ้นและได้รับการปรับปรุงด้วยพลังของออร์ฟี่ มันจึงสามารถเคลื่อนที่ผ่านมิติไปโผล่ที่นั่นได้ในทันทีโดยไม่ต้องผ่านเส้นทางลิฟต์

                ที่สวนเหลือแต่อิงศรเพียงคนเดียว พวกเขาตั้งใจว่าจะปล่อยให้ทหารของศัตรูเข้ามาในสวนแล้วบุกสายฟ้าแลบไปจัดการข้างล่างเลย แต่ว่าถ้าทำแบบนั้นคงง่ายเกินไปความจะแตกในพริบตาที่แถวหน้าของศัตรูมาถึงดังนั้นเขาจึงอาสาอยู่ที่นี่เพื่อดึงความสนใจเอาไว้ก่อนพอทำลายพวกทหารแนวหน้าที่ยังไม่รู้สถานการณ์จึงค่อยตามลงไป

                อิงศรในร่างไฮพีเรี่ยนลอยอยู่เหนือช่องซึ่งเป็นเส้นทางของลิฟต์ที่นำขึ้นมายังสวน....รอให้ศัตรูตัวแรกขึ้นมาที่สวน

                แต่ไซเบอร์อายยูนิทที่ให้ทำงานเอาไว้จับความเคลื่อนไหวของศัตรูที่กำลังถอยกลับลงไปได้

                ดูเหมือนว่าพวกมันจะรู้ตัวเรื่องการบุกสายฟ้าแลบของพวกเขาซะแล้ว อาจจะเพราะเริ่มแผนเร็วเกินไปหางแถวของศัตรูคงยังไม่ได้เข้ามาที่เส้นทางลิฟต์ทั้งหมดและกระจายข่าวสารกันอย่างรวดเร็วว่าถูกตลบหลัง

                ชิ

                อิงศรขยับตัว ปีกพับไปด้านหลังดันปืนใหญ่ขึ้นมาพาดบ่าทั้งสองกระบอก

                อัลติเมทมาร์ค

                ไซเบอร์อายยูนิทเริ่มทำการเล็งเป้าหมายทั้งหมดที่กำลังเคลื่อนตัวกลับลงไป แสงสว่างสีแดงเปล่งประกายเจิดจ้าจากปากกระบอกปืน

                มหาโซเดียราโอ

                ลำแสงสีแดงชาดพุ่งใส่ช่องทางลิฟต์ ลำแสงแตกกระจายออก แตกแขนงเป็นเส้นเหมือนกับวงจรไฟฟ้า กวาดทำลายศัตรูที่อยู่ในนั้น

                สงครามเริ่มขึ้นแล้ว

                การต่อสู้ครั้งสุดท้ายเริ่มขึ้นแล้ว

                การต่อสู่เพื่อปลดแอกตัวเองออกจาก บทจากรากแห่งชะตากรรม

                โอเปอเรชั่นรูทเบรกเริ่มได้!!”

                อิงศรพูดใส่หน้าจอสื่อสารที่พับเป็นขนาดย่อเหน็บไว้ที่ข้างแก้ม

     

    ***ในที่สุดก็เริ่มFinal ของเนื้อเรื่องแล้วววว เข้าสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่แท้จริงเสียทีโอ้ยยาวนานเหลือเกินหลังจากประกาศ Extra Stage ผ่านมากี่เดือนแล้วเนี่ย = =’ รู้สึกตัวอีกทีจะหมดปีแล้วสงสัยจะลากยาวไปถึงต้นปีหน้าไหมเนี่ยโอเมก้า!! สำหรับตอนนี้บางส่วนเล่าตัดๆ ไปบ้างก็อย่าเพิ่งขัดใจมันมีส่วนที่จะไปเฉลยตอนหลังอยู่ด้วยจึงขออุบเอาไว้ก่อนเน่อ****

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×