คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #248 : Extra Log 244: หนึ่งวันไม่มีสิ้นสุด
Extra
Log 244: หนึ่งวันไม่มีสิ้นสุด
ช่วงพักกลางวัน
อิงศรรู้ตัวแล้วว่าเวลาเดินย้อนกลับมายังวันที่
1 พฤศจิกายน
อีกครั้ง
เขาเผชิญหน้ากับเมษาอยู่ที่โต๊ะกินข้าวตัวเดียวกับเมื่อวาน
แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากับเมษาเพิ่งจะมานั่งที่โต๊ะนี้ในวันที่
1 พฤศจิกายน
เป็นครั้งแรก
พอบอกความจริงไป
เมษาก็ทำหน้าเหวอ
“เวลาย้อนกลับงั้นเรอะ”
“อย่าเสียงดังเซ่”
อิงศรพูดตักเตือนไปพลางสอดส่องสายตามองดูรอบๆ
ดูว่ามีใครที่มีปฏิกิริยากับเรื่องที่พวกเขาคุยกันบ้าง
“…”
แต่ไม่มีใครที่สนใจพวกเขาเลย
ดูท่าว่าจะไม่มีใครคอยจับตาดูอยู่สินะ
เมษาพูด
“หมายความว่าไง
ที่ว่าย้อนกลับมาเนี่ยหรือจะหมายถึงเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน
เอ่อหมายถึงตอนที่โลกล่มสลายน่ะ”
ดูเหมือนว่าเมษาจะยังไม่รู้ตัวเรื่องที่โลกย้อนกลับมายังวันที่
1 พฤศจิกายน
หรืออาจจะไม่มีความทรงจำของเมื่อวานอยู่ในหัว
ดังนั้นอิงศรเลยทดลองถามคำถามชี้นำ
“เมื่อวานนายฝันรึเปล่า”
“หา
ทำไมถามงั้นเล่า”
“ในความฝันเมื่อคืนนายชวนฉันมานั่งกินข้าวตรงนี้แล้วอีกเดี๋ยวพวกขวัญก็จะส่งรูปที่ไปทัศนศึกษามาให้”
พอพูดไปแล้วโทรศัพท์มือถือของพวกเขาก็ส่งเสียงแจ้งเตือนขึ้นมาพร้อมกัน
เมษาเปิดโทรศัพท์ดู
“จริงด้วย
รู้ได้ไงวะ!”
อิงศรคิดว่า...
นั่นปะไร พวกเขาย้อนกลับมาจริงๆ นั่นแหละ
ทีแรกเขาเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อเต็มร้อยนักแต่ถ้าขนาดมานั่งคุยกับเมษาด้วยหัวข้อที่เปลี่ยนไปแล้วลำดับเหตุการณ์ก็ยังคงไม่ได้รับผลกระทบอะไรบางทีนี่อาจจะไม่ใช่การย้อนเวลาจริงๆ
ก็ได้
อิงศรเริ่มนึกถึงเมื่อครั้งที่เขาฝันถึงโลกคู่ขนานที่เกมโลกาวินาศเป็นเพียงแค่เกมคอมพิวเตอร์
ภายในโลกแห่งนั้นความทรงจำของเขาถูกเขียนทับด้วยข้อมูลจากโลกแห่งนั้นทำให้กว่าจะรู้สึกตัวว่ามันเป็นความฝันก็เล่นเอาแทบแย่ถ้าหากไม่ได้เมอร์คาบาห์ช่วยเอาไว้อาจจะหลงติดอยู่ในโลกแห่งนั้นไปตลอดเลยก็ได้
แล้วที่นี่เองก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะวนเวียนอยู่ในวันที่
1 พฤศจิกายน
มานานกว่าที่เห็นแล้วก็ได้
ที่รู้สึกตัวเมื่อวานคือครั้งแรกจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
พวกพ้องคนอื่นๆ
อาจจะยังไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกับเมษาด้วยเช่นกัน
“….”
จำเป็นต้องยืนยันเรื่องนี้กับทุกคนเสียก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าโลกที่พวกเขาย้อนกลับมานี้คือโลกของพวกเขาแน่หรือเปล่า
“ไว้เย็นนี้เราค่อยไปคุยกับพวกนรินทร์อีกที”
อิงศรพูด
@@@
เวลา 20.10 น.
สถานที่คือสนามหญ้าที่จัดงานชุมนุมของวัดอารย-สนธยา
อิงศรกับทุกคนต่างก็มาสมทบรวมกันอยู่ที่ซุ้มหน้าประตูเข้างานกันเกือบครบทุกคน
เว้นแต่...
นรินทร์พูด
“มีนายังไม่มาเหรอ”
เมษาพูดขณะที่มองดูโทรศัพท์ในมือต่อสายว่างอยู่ตลอด
“โทรไม่ติดด้วย”
แต่อิงศรรู้ว่ามือถือของมีนาแบตหมดดังนั้นหล่อนคงจะมาถึงที่นี่เท่ากับเวลาเมื่อวาน
“ยัยนั่นจะมาที่นี่ตอนสองทุ่มครึ่ง”
พอพูดไปอย่างนั้นทุกคนก็หันมามองเหมือนเขาพูดเรื่องประหลาดออกไป
เมษาถาม
“ทำไมนายถึงรู้ล่ะ”
“เมื่อวานพวกนายก็น่าจะมาที่นี่กันไปรอบหนึ่งแล้วนะ”
“…”
เหมือนอย่างเคย
คำพูดของเขาเป็นเรื่องแปลกอีกแล้ว
เมษาก็ยังเป็นคนที่โต้ตอบกับเขาต่อ
“หา
พูดเรื่องอะไรของนายวะ”
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมาเสียแล้ว
ถ้าไม่สามารถทำให้ทุกคนได้เข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นแบบไหนก็คงจะทำอะไรไม่ได้
ทว่า
ในวิกฤตนี้ก็ยังมีวีระบุรุษอยู่
“เดี๋ยวก่อนนะอิงศรนี่อย่าบอกนะว่า”
นรินทร์เป็นคนพูดขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เพ้อไปคนเดียวอย่างที่กังวล
“รู้ตัวแล้วสินะนรินทร์
ถ้าเป็นนายคงเข้าใจนะว่าเมื่อวานพวกเราทุกคนที่นี่ฝันเหมือนๆ กัน
ฝันว่าใช้ชีวิตในวันที่หนึ่งพฤศจิกายนไปแล้วไงล่ะ”
แต่ดูเหมือน
เมษาจะยังเชื่อไม่ลง
“จะบ้าเรอะ
เรื่องแบบนั้นน่ะมัน”
ตรงนี้เอง
อิงศรคิดว่าน่าจะแสดงหลักฐานขึ้นมารวมถึงเป้นการยืนยันด้วยว่าเขาไม่ได้คิดไปเองคนเดียว
“งั้นเมษานายก็ลองหยิบมือถือตัวเองมาดูสิ”
เมษาทำตามที่ว่า
หยิบมือถือขึ้นมาเปิดหน้าจอ
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่”
“งั้นวันนี้วันที่เท่าไหร่”
“ก็ต้องวันที่หนึ่งพฤศจิกายนอยู่แล้ว...”
เมษาชะงักคำพูดไป
ดูเหมือนจะเริ่มสังเกตเห็นกันแล้วสินะ คนอื่นๆ ก็เริ่มหยิบมือถือขึ้นมาเช็คเหมือนๆ
กัน
เมษาแตะหน้าจอโทรศัพท์ซ้ำๆ
เหมือนยังไม่เชื่อ
“อ้าว
เครื่องเสียเหรอ”
ดูจากปฏิกิริยาของเมษากับทุกคนแล้วคงจะเป็นอย่างที่คาดเดาเอาไว้
อิงศรควักมือถือ
ออกมาแล้วเปิดหน้าจอหันให้ทุกคนดู
“เปล่าหรอกของฉันเองก็วันที่สองพฤศจิกายนเหมือนกัน”
จากนั้นทุกคนก็หันหน้าจอมือถือของตัวเองให้ดูด้วย
ทุกเครื่องเป็นวันที่ 2
พฤศจิกายนเหมือนๆ กันหมด
ที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อทุกคนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาทำให้ได้ข้อสังเกตเพิ่ม
โทรศัพท์ของทุกคนหน้าตาคล้ายกันเป็นรุ่นเดียวกันหมดต่างกันสีของเคสที่ใส่ไปตามแต่ละคนเท่านั้น
อิงศรดำเนินการสอบสวนต่อไป
“แล้วขอถามอีกเรื่องนะทุกคนได้เมล์เว็บล่อแหลมนั่นกันรึเปล่า”
เขาเปิดหน้าเมล์ที่ว่าขึ้นมาแต่ไม่ได้กดปุ่มที่จะเป็นภาพล่มแหลมที่ว่า
“ได้เหมือนกัน...อ๊ะ!”
ทุกคนพากันประสานเสียงกันเป็นหนึ่งเดียว
จนถึงกับผงะกันไป
นรินทร์ออกตัวพูดแทนพวกเด็กกำพร้า
“เมล์นั่นน่ะเมื่อเช้าได้มาพร้อมกันทุกคนเลย
ผมลองกดเข้าไปดูก่อนพอรู้ว่าเป็นเมล์อะไรก็เลยห้ามไม่ให้ทุกคนเปิดแต่พอจะลบแล้วมันลบไม่ออกเหมือนกันนะ”
นรินทร์แสดงการทดลองให้ดูโดยแต่ไปที่หน้าจอเลือกคำสั่งลบเมล์ทิ้ง
แต่เมล์กลับไม่ยอมหายไป
อิงศรก็ลองทำตามดูเหมือนกันและแน่นอนว่าลบไม่ออก
“งั้นคำถามต่อไปนะพวกนายจำได้รึเปล่าว่าได้โทรศัพท์นี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ได้มาจากที่ไหน”
ทุกคนคิดกันอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ไม่มีใครที่ให้คำตอบได้ในทันที
“ไม่มีใครจำได้เลยสินะ”
นรินทร์พูด
“งั้นอิงศรจะบอกว่าโทรศัพท์นี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่พวกเราติดอยู่ในวันที่หนึ่งซ้ำๆ
กันอย่างนั้นเหรอ”
“ที่ฉันสงสัยยังมีเรื่องเมล์นั่นด้วย”
“ที่บอกว่าจะก้าวต่อไปข้างหน้าไหมสินะ”
อิงศรพยักหน้าให้
นรินทร์เริ่มตามเขาทันแล้ว คนอื่นๆ ก็คงจะเริ่มเอะใจกันจริงๆ แล้วด้วย
นรินทร์พูด
“พวกเราแสดงความตั้งใจออกไป
แล้วก็ได้โลกที่สงบสุขกลับคืนมาแล้วไม่ใช่เหรอ จะบอกว่ายังมีพระเจ้าองค์ใหม่ที่รอจะทดสอบพวกเราอีกรึไง”
อิงศรส่ายหน้า
“ไม่รู้สิ
แต่ว่านะ...”
ทว่า
เสียงของมีนาก็ดังมา
“ทุกคนค้า~~~~”
เวลาสองทุ่มครึ่งพอดี
พวกเขายืนคุยกันตรงนี้มายี่สิบนาทีแล้ว
ซุ้มทางเข้าเองก็เริ่มจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน
อิงศรพูด
“เปลี่ยนที่คุยกันเถอะ”
พวกเขาเดินออกมาด้านนอกที่จัดงานทิ้งระยะห่างจนฝูงชนเริ่มเบาบางลง
แล้วจึงเริ่มดำเนินการประชุมต่อจากที่ค้างไว้
โดยที่เล่าสถานการณ์ทั้งหมดมีนาฟังโดยคร่าว
ซึ่งเจ้าหล่อนก็สามารถทำความเข้าใจได้ทีนทีสมกับที่เคยเป็นหน่วยข่าวกรองของเมตไตรยในช่วงเวลาที่โลกล่มสลาย
เมื่อมีนาเข้าใจแล้วว่าความฝันเมื่อคืนคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไปแล้ว
“งั้นเมื่อวานนี้ก็...”
หล่อนแหกปากแล้วก็อุดปากตัวเองเหมือนนึกเรื่องน่าอายขึ้นมาได้
อิงศรจ้องมองเธอ
“…”
คงเป็นเรื่องจูบนั่นสินะ...เขาเดาเอาแล้วเริ่มเปิดประเด็นพูดคุยกันต่อ
“สรุปแล้วพวกเราได้วันคืนอันสงบสุขกลับมาแล้วจริงๆ
รึเปล่าถ้ายังหาคำตอบเรื่องการย้อนกลับแบบไม่สิ้นสุดนี่ไม่ได้พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
มีนาเสนอความเห็นที่ดุน่าจะเป็นไปได้ออกมา
“อาจจะเป็นเพราะคุณซีลอร์ดเข้าใจผิดหรือเปล่าคะ”
คนที่เห็นด้วยในทันทีคือเมษา
“เออ
ก็เป็นไปได้นะหมอนั่นยิ่งเพี้ยนๆ
อยู่อาจจะเข้าใจว่าย้อนกลับไปคือย้อนไปตลอดกาลอะไรแบบเนี้ย”
แต่อิงศรไม่คิดเช่นนั้นถึงแม้จะมีความเป็นไปได้อยู่ก็ตาม
แต่เขาเชื่อมั่นในตัวของซีลอร์ดที่กลายเป็นมนุษย์ในตอนสุดท้าย
เชื่อมั่นในตัวของออร์ฟี่
“ถึงจะเพี้ยนยังไงออร์ฟี่ก็ไม่โง่ขนาดนั้นหรอก
แล้วฉันก็มั่นใจว่าพวกเราเข้าใจความหมายของการก้าวเดินไปข้างหน้าเหมือนๆ
กันเพราะงั้นไม่ใช่ฝีมือหมอนั่นแน่”
นรินทร์พูด
“ถ้างั้นทำไมไม่ลองติดต่อซีลอร์ดดูก่อนล่ะอิงศร
บางทีเขาอาจจะช่วยเราได้นะ”
“ถ้ารู้วิธีติดต่อป่านนี้ฉันทำไปนานแล้ว”
ตอนที่นึกหาวิธีติดต่อจากที่เคยๆ
ทำมาแล้วก็พบว่าที่ผ่านมาเขาติดต่อกับออร์ฟี่ผ่านระบบของเกมมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้โลกไม่ใช่เกมอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะติดต่อกันอย่างไร
อิงศรแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ทำเหมือนอย่างที่ทำเป็นประจำเวลาที่มีเรื่องลำบากใจแล้วไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
คาดหวังลอยๆ ว่าเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วอาจจะมองเห้นอาคาชิกแซงทัวรี่
แต่ก็ไม่เห็น
ถ้าจะกลับไปที่นั่นจำเป็นต้องเดินทางไปที่แชงกริล่า
แล้วก็ออกตามหาเทอร์มินัล แต่ว่าโลกไมได้กลายเป็นเกม เทอร์มินัลอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่ที่นั่นแล้วก็ได้
แล้วถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถไปถึงแชงกริล่าได้ด้วยตัวเองด้วย
แค่เวลายังมีไม่พอด้วยซ้ำ
อิงศรก้มมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์
มันบอกเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว
รู้สึกเหมือนว่าเวลาเดินผ่านไปเร็วมาก
แต่การประชุมกลับยังไม่คืบหน้าเท่าไหร่
ตอนนั้นเอง
ก็คิดขึ้นมาว่า...
“เบาะแสที่พอจะมีคงเป็นโทรศัพท์มือถือของพวกเรานี่แหละแล้วก็…”
อิงศรคิดขึ้นมาว่าชีวิตประจำวันในแต่ละวันมันก็ซ้ำๆ
กันอยู่เสมอ
ตอนที่คิดแบบนั้นเมื่อเช้า
จู่ก็นึกขึ้นได้เอาตอนนี้ว่าพวกเขาเคยมีชีวิตประจำวันแบบนักเรียน ม.ปลาย กันแล้วเหรอ
เมื่อเห็นว่าเขาเว้นว่างคำพูดไว้นาน
นรินทร์ก็ถาม
“แล้วก็อะไร”
“พวกนายจำเรื่องเมื่อวานกันได้รึเปล่า”
“ก็ต้องจำได้อยู่แล้วสิ”
“งั้นนึกภาพออกหรือเปล่า”
“ถามอะไรแปลกๆ
น่ะอิงศร”
“ฉันกำลังถามว่าพวกนายจำได้จริงๆ
น่ะเหรอเรื่องก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน น่ะพวกนายนึกภาพของมันออกรึเปล่า”
“เรื่องนั้น…”
นรินทร์ทำหน้าครุ่นคิด
คนอื่นๆ ก็เริ่มจะคิดตามเหมือนกัน
แต่อิงศรตอบของตัวเองในทันที
“แต่ฉันนึกไม่ออก
ฉันพยายามนึกแล้วว่าเมื่อวาน
ฉันทำอะไรอยู่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนั้นฉันกับขวัญเล่นเกมอยู่ด้วยกันทั้งวันแต่ดันนึกภาพนั้นไม่ออกเลยพวกนายล่ะว่าไง”
เขาพูดอย่างมั่นใจในความทรงจำของตัวเอง
หลังจากขบคิดกันอยู่พักหนึ่งกวินทร์ก็ตอบคำถามนั้นของเขา
“จะว่าไปผมเองก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันนะครับ
แต่จำได้ว่าคุณน้าชวนผมออกไปรับพี่สาวที่กลับมาจากไปแข่งขันที่ต่างประเทศเท่านั้นเอง
แต่นึกภาพไม่ออกเลยว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
รุ่นน้องยืนยันความทรงจำอันแปลกประหลาดที่ไม่สามารถนึกภาพออกได้ให้ฟัง
“จะว่าไป พี่สาวของนายน่ะตอนนี้ติดต่อได้รึเปล่า”
กวินทร์ทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่ได้ครับ…นึกไม่ออกเลยว่าจะติดต่อหาพี่สาวยังไง
แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วผมว่าพอรู้สึกตัวตอนเช้าผมก็มารอขวัญอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว”
เมื่อปริศนาเริ่มที่จะกระจ่างชัดออกมา
นรินทร์ก็พูด
“อิงศรหรือว่านี่จะเกี่ยวข้องกับการที่เวลาย้อนกลับมาวันเดิมๆ
อย่างนั้นเหรอ”
อิงศรพยักหน้าแล้วก็กล่าวต่อ
“ที่ฉันกำลังสงสัยน่ะไม่ได้มีแค่วันวานหลังจากที่พวกเราช่วยโลกเอาไว้เท่านั้นหรอกนะแต่ก่อนจะล่มสลายด้วยฉันนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองทำอะไรในวันก่อนหน้านั้น”
เขาหันไปสบตากับนรินทร์
“นรินทร์นายเคยบอกว่ามีความทรงจำในวัยเด็กอยู่ใช่ไหม”
“อื้อ
เพราะงั้นตอนที่กลายเป็นนารายณ์ผมถึงได้รู้สึกโกรธขนาดนั้นไง”
จากนั้นก็หันไปทางขวัญที่ยืนอยู่เคียงข้าง
“ขวัญนายล่ะจำได้รึเปล่าว่าในวันเกิดฉันก่อนจะถึงวันเกิดของนายมันมีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า”
น้องชายทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแต่ก็ส่ายหน้ามา
“เอ่อ ไม่นะ นึกไม่ออกเลย”
ดังนั้นจึงดำเนินคำถามต่อกับคนอื่นๆ
ด้วย
“มีนา เมษา
พวกนายนึกออกรึเปล่าว่าวันก่อนหน้าจะเริ่มการล่มสลายตัวเองทำอะไรอยู่”
เมษาเกาหัวแล้วตอบว่า
“พอพูดแบบนี้ก็ชักจะนึกไม่ออกเหมือนกันแล้วสิทั้งที่รู้สึกว่ามันติดอยู่ในหัวนะ”
แต่มีนาก็พูดขัดมาว่า
“แต่ว่าความทรงจำในอดีตที่นานกว่าพวกเราก็ยังจดจำได้อยู่นะคะมีแต่ความทรงจำในช่วงวันใกล้เคียงวันก่อนหน้าเท่านั้นเองที่นึกไม่ออก
อ๊ะ นี่หรือว่าคุณอิงศรจะ…”
ไม่ใช่แค่มีนา
พอมาถึงตรงนี้นรินทร์ก็เดาได้เหมือนกัน
“เดี๋ยวก่อนนะอิงศรถ้าเกิดว่านั่นเป็นความจริงล่ะก็
งั้นพวกเราก็…”
“เออ
ก็อย่างที่คิดนั่นแหละบางทีพวกเราน่ะ”
แต่เมษาก็พูดแทรก
“อะไรกันล่ะเฟ้ย
มัวแต่อ้ำอึ้งกันอยู่ได้พูดออกมาให้รู้บ้างเด้!”
“….”
แต่ว่า...
ถึงจะมั่นใจแค่ไหนหรือต่อให้มีนากับนรินทร์เองก็คิดแบบเดียวกับเขาก็ตามที
มันก็ยังเป็นเรื่องที่ด่วนสรุปเกินไป เขาคิดว่ายังไม่ควรจะบอกข้อสันนิษฐานที่จะสร้างความแตกตื่นเกินจำเป็นในเวลานี้
“ไม่หรอก
ไม่มีอะไร พวกเราคงคิดกันมากเกินไปบางทีพวกศัตรูอาจจะตั้งใจทำให้เราคิดแบบนั้น”
มีนาพูด
“ศัตรูเนี่ยหมายถึงมีใครบางคนขังพวกเราไว้ในวันที่
1
พฤศจิกายนสินะคะ”
“ถ้าให้เดานะมีอยู่แค่พวกเดียวที่ฉันพอจะนึกออก”
“ฟาวเดชั่นอีสินะคะ”
“อืม
แล้วก็ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดไว้ใช่ไหมว่าหัวหน้าของพวกมันอาจจะเป็นแอดมินิสเทรเตอร์
บางทีการที่พวกเราติดแหงกอยู่ที่นี่ถ้าจะเป็นฝีมือระดับแอดมินิสเทรเตอร์ล่ะก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วยกับสมมติฐานของเขา
การประชุมยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งงานชุมนุมใกล้จะเลิก
เวลาย่างเข้าสี่ทุ่ม ในทุกขณะ
แต่จนป่านนี้แล้วพวกเขาก็ยังไม่มีข้อสรุปของการหารือในครั้งนี้
อิงศรดูนาฬิกาที่โทรศัพท์
“แย่ล่ะสิเวลาจะไม่มีแล้ว เมื่อวานตอนถึงเที่ยงคืนทุกอย่างก็จะรีเซ็ต”
แล้วนรินทร์ก็พูดขึ้นมาเหมือนร้อนตัว
“พวกผมก็ต้องกลับแล้วเหมือนกันไม่งั้นที่บ้านเขาจะสงสัยเอา”
เมษาพูด
“งั้นเอาไงดีล่ะ”
ไม่มีทางเลือกอื่น
อิงศรคิดว่าจำเป็นต้องมีเวลาหารือกันมากกว่านี้
เขาประกาศกำหนดการเผื่อสำหรับวันพรุ่งนี้
“พรุ่งนี้ลองดูอีกวันถ้าช่วงเช้าทุกอย่างยังเหมือนเดิมพวกเราจะมารวมกันที่นี่ตั้งแต่ตอนบ่ายเลย”
ตอนนั้นเอง กวินทร์ก็ยกมือขึ้นถาม
“เอ่อ แล้วพวกผมที่ไปทัศนศึกษา…”
“กวินทร์แล้วก็ขวัญพรุ่งนี้พวกนายสองคนโดดซะแล้วมารอที่นี่ก่อนเลย
ฉันกับเมษาจะเข้าไปที่โรงเรียนแล้วดูลาดเลาก่อนค่อยตามมาทีหลัง”
น้องชายกับรุ่นน้องพยักหน้ารับโยพร้อมเพรียง
ดังนั้นเขาจึงหันไปบอกมีนา
“พรุ่งนี้ชาร์จแบตโทรศัพท์ไว้ด้วยล่ะ”
“ค่ะ”
“งั้นก็แยกย้ายกันเถอะ”
หลังจากนั้นพวกนรินทร์ก็กลับกันไปก่อน
ส่วนอิงศรกับคนที่เหลือยังคงยืนอยู่ที่เดิม
พวกเขาพูดคุยถึงแผนการในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากฝั่งนรินทร์ยังไงก็ต้องมากับครอบครัวตามเวลาเดิมอยู่แล้วจึงเข้าร่วมในแผนการสำรวจนี้ไม่ได้
เมื่อประชุมแผนเสร็จเวลาก็ย่างเข้าเที่ยงคืนพอดิบพอดี
@@@
ราวกับสวิตซ์ไฟถูกสับลง
“….”
ทุกอย่างเลือนหายไปจากสายตา
แล้วกลายเป็นเช้าวันใหม่บนเตียงนอนตัวเดิมอย่างเคย
เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังข้ามห้องมา
อิงศรก็ดีดตัวลุกจากเตียงไปปลุกมิ่งขวัญ
แล้วเริ่มเช้าของวันด้วยกิจกรรมเดิมๆ
เวลาเดินกลับมายังปัจจุบัน
ภายในห้องเรียนของวันที่ 1 พฤศจิกายน
รอบที่สามของวันนั้นเอง
“รอบที่สามเริ่มแล้วสินะ”
***เมื่อคืนพิมพ์เสร็จแล้วแต่ง่วงเกินเลยดองยาวมาวันนี้เลยแล้ววันศุกร์จะปั่นทันไหมเนี่ย!!!
แล้วตอนนี้ก็จบการย้อนความ
กลับมายังเส้นเวลาปัจจุบันที่เป็นรอบที่สามของวันที่ 1 พฤศจิกายน
เร่งความเร็วในการเดินเรื่องเต็มพิกัดจนตอนนี้แทบจะไม่มีบรรยายเลยด้นสดกันด้วยบทพูดล้วนๆ
อาจจะน่าเบื่อไปบ้างเน่อ แต่ตอนหน้าเริ่มการแก้ปมปริศนาแล้วจะเริ่มเปิดฉากของจริงกันเสียทีฮะ
โอเมก้า!!****
ความคิดเห็น