ตอนที่ 245 : Logout 242: หวนคืนสู่วันนั้น
Logout 242: หวนคืนสู่วันนั้น
ความปรารถนากำลังก้าวไปข้างหน้า
ความปรารถนาอันมากมาย
พระเจ้ารับเอาแสงของมนุษย์ แสงที่เป็นความปรารถนาอันหนึ่งอันเดียวกัน เข้าไปแล้วเริ่มพังทลาย
สายลมแห่งยุคใหม่โหมพัด ยุคสมัยของมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้น
‘อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก’
คลื่นจิตของโซลาริสดังก้องอยู่ในโสตประสาทจนพวกอิงศรต้องยกมือขึ้นป้องหูทั้งที่มันไม่ช่วยอะไร
โทนเสียงที่โซลาริสปล่อยออกมานั้นยุ่งเหยิงราวกับผู้ส่งมันควบคุมตัวเองไม่ได้
ไอควันจากการระเบิดห้อมล้อมร่างของพระเจ้าและสลายไป
ตอนนั้นเอง บาดแผลของพระเจ้าก็ได้เปิดเผยออกสู่สายตาของพวกเขา
ร่างกายกว่าครึ่งแหว่งหายไป เหลือเพียงส่วนดวงตาที่ยังอยู่ครบ รัศมีด้านนอกถูกทำลายไปเกือบทั้งหมด
‘ข้า...กำลัง....ตาย’
คลื่นจิตสื่อสารของโซลาริสดังไม่เสมอกัน ดูเหมือนจะได้รับความเสียหายหนักจนส่งผลต่อการพูดคุย
โซลาริสเบนสายตาลงไปยังอิงศรที่อยู่เบื้องล่าง
“…”
อิงศรก็กำลังจ้องมองพระเจ้ากลับเช่นเดียวกัน
‘จงจำ....คำพูดของข้าเอาไว้มนุษย์’
เลิกเรียกว่าวัชพืชแล้ว
เพราะว่าพวกเขาแสดงความตั้งใจและโค่นพระเจ้าลงที่นี่จึงไม่ได้เป็นวัชพืชอีกต่อไป
พระเจ้าที่เหมือนจะยอมรับขึ้นมาได้ทันทีนั้นกล่าวคำพูดที่ฟังแล้วไม่เหมือนกำลังสาปแช่งหรือก่นด่าที่มาทำลายตน
‘จงระวังเอาไว้ผู้รุกรานยังอยู่....ข้าไม่สามารถปกป้องอะไรได้อีกแล้ว’
แต่เหมือนกับสั่งเสีย ราวกับจะแสดงออกว่าพระเจ้าก็ยังมีความเห็นใจให้แก่มนุษย์ที่ตัดสินพิพากษาให้ถูกทำลายไปแล้วอยู่
ทำไมกันนะ
ทำไมถึงมาพูดเอาป่านนี้
“โซลาริส”
อิงศรตั้งใจจะคุยกับพระเจ้าถึงเรื่องนั้น
“…”
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้จะเริ่มพูดด้วยอย่างไรดี แล้วตอนนี้ดวงตาของพระเจ้าก็ระเบิด
โพละ เสียงเหมือนกับแก้วถูกทุบดังขึ้น ดวงตาที่เป็นแก่นร่างกายของโซลาริสแตกเป็นรูโหว่
ร่างทองคำกำลังร่วงหล่นลง…
แต่ไม่ได้ลงมาข้างล่าง ชิ้นส่วนร่างกายของพระเจ้าที่แตกหักและหลุดลอกออกก็ไม่ได้ตกลงมาที่สวนเลยแม้แต่น้อย
ทั้งหมดของโซลาริสกำลังลอยขึ้นไป พวกมันตกลงไปยังท้องฟ้าที่เหมือนกับทะเล
ราวกับดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้า
ออร์ฟี่กล่าว
“แอดมินนิสเทรเตอร์กำลังกลับไปยังทะเลแห่งข้อมูลกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง”
เขาพูดขณะที่ดวงตาจับจ้องมองดูผู้ที่ให้กำเนิดตัวเองกำลังล่มสลายลงไป
ผู้ที่ให้กำเนิดถูกทำลายด้วยมือของตัวเอง… หมอนั่นจะรู้สึกแบบไหนกัน
อิงศรไม่รู้เลย
ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าความสัมพันธ์ตอนยังเป็นซีลอร์ดนั้นมีความรู้สึกต่อเหล่าแอดมินิสเทรเตอร์อย่างไรบ้าง
แต่ว่า…
“ออร์ฟี่”
อิงศรจ้องมองไปยังดวงตาที่กำลังแสดงความอาลัยอาวรณ์ออกมา เพราะว่าออร์ฟี่กลายเป็นมนุษย์จึงมีดวงตาที่มนุษย์อย่างเขาจะเข้าใจได้
ในที่สุดพระเจ้าจมหายไปในทะเลของท้องฟ้า
หายไปทั้งหมด
สลายหายไปราวกับอากาศ...เหลือเพียงแต่ละอองแสงสว่างที่ล่องลอยขึ้นมาจากทะเล
นั่นคงจะเป็นสัญญาณว่าพระเจ้าได้ตายลงแล้ว
พวกตนได้โค่นพระเจ้าลงแล้ว
มนุษย์ยึดครองบัลลังก์แห่งสวรรค์และจะนำพายุคสมัยแห่งมนุษย์มา
เป็นคำพูดที่ดูสวยหรูเกินไปจริงๆ นั่นแหละ
พวกตนบุกรุกดินแดนที่ไม่ควรเข้ามา ใช้กำลังเข่นฆ่าพระเจ้าแล้วยึดเอาสวรรค์ไว้
พวกเขาทำเหมือนกับแผนการที่เขียนไว้ในเอกสารของอารย-สนธยาที่เจอในห้องทดลองใต้ดิน
ทำเหมือนกับแฟรนเซียมที่เป็นคนต้นคิดเรื่องนี้ขึ้นมา
สุดท้ายแล้วจะพูดได้เต็มปากหรือเปล่านะว่านี่คือทางที่พวกเขาเลือก
“ถ้างั้นก็มาเริ่มกันเลยเถอะ เริ่มก้าวต่อไปของพวกเรา”
ออร์ฟี่กล่าวกับพวกเขาทั้งหมด จากนั้นก็มีวัตถุบางอย่างลอยขึ้นมาจากทะเลแห่งท้องฟ้า
ชิ้นส่วนที่เหมือนกับรัศมีของโซลาริสลอยขึ้นมา…ให้ถูกคือลอยลงมา…หาออร์ฟี่
วงแหวนรัศมีทองคำหมุนวนรอบตัวเขา
“นี่คือบัลลังก์สวรรค์ ผมจะใช้มันทำความปรารถนาของพวกเธอให้เป็นจริงขึ้นมา”
ทว่าอิงศรก็พูดขัด
“แต่ก็มีเรื่องที่ยังไม่เคลียร์อยู่นะ”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนหันมาจับตามอง
“ก่อนหน้านี้โซลาริสพูดเอาไว้ว่ามีศัตรูที่เรายังไม่รู้อยู่อีก”
“ผู้รุกรานสินะ ผมเองก็สงสัยเรื่องนั้นอยู่เหมือนกัน”
“แปลว่านายเองก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอ”
“อืม ผมเพิ่งจะเคยได้ยินอะไรแบบนั้นจากปากของแอดมินิสเทรเตอร์พร้อมกับเธอนั่นแหละ”
“แล้วฟาวเดชั่นอี ล่ะ”
“จะว่าไปแล้วเธอเคยพูดตอนอยู่ที่บาเบลนี่นะ มันคืออะไรเหรอ”
“รูบิเดียมบอกว่ามันเป็นองค์กรที่หนุนหลังเมตไตรย กับ อารย-สนธยา แล้วก็เกี่ยวข้องกับแฟรนเซียมที่มาจากอีกความเป็นไปได้ด้วย”
อิงศรหยุดชะงักคำพูดแล้วเหลือบสายตาที่มิ่งขวัญที่ยืนอยู่เคียงข้างไปแวบหนึ่ง
“เหมือนกับที่ขวัญทำได้ตอนอยู่บนเกาะร้างนั่น แล้วก็เหมือนกับตัวนายในตอนนี้ การซ้อนทับกันกับตัวตนในอนาคต ไฮพีเรี่ยน มันคืออะไรกันแน่”
ออร์ฟี่ตอบคำถามนั้นอย่างง่ายดาย
“ไม่รู้สิ”
เป็นคำตอบที่ใสซื่อเอามากๆ จนรู้สึกได้เลยว่าเงื่อนงำของเรื่องนี้ช่างมืดแปดด้านเสียเหลือเกิน
แต่แล้ว ออร์ฟี่ก็พูดขึ้นมา
“ตอนนี้เราบัลลังก์สวรรค์แล้วจะเขียนแก้ความเป็นจริงอย่างไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอกจริงไหม”
พูดว่าสามารถละเลยปัญหาที่ว่านั่นได้โดยที่ไม่ต้องแก้ไขโดยตรง
“จะให้มองข้ามไปเลยว่างั้น”
“ใช่ ขอแค่เธอบอกความปรารถนามา บอกโลกที่เธอปรารถนามาผมจะจัดการให้เองแล้วพวกเธอก็กลับไปใช้ชีวิตตามอย่างที่มนุษย์จะปรารถนา”
มันก็จริงที่ว่า ความปรารถนาของพวกเขาคือการย้อนเวลากลับไปเพื่อให้มนุษยชาติได้แก้ตัว แต่ว่าแค่นั้นมันพียงพอแล้วหรือ
มองข้ามปัญหาที่คาราคาซังไปได้เพราะมีพลังพอที่จะลบทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่ได้
รีเซ็ตโลกแล้วลบปัญหาทั้งหมดออกไป เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายดายเสียจริง
อิงศรพูดขัดตัวเองก่อนที่จะเริ่มคล้อยตามความขี้เกียจที่จะแก้ปัญหาอันยุ่งยากนั่น
“แต่ฉันกลับรู้สึกว่าเรื่องมันจะไม่จบแค่นั้นน่ะสิ”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่สู้ตัดสินกับแฟรนเซียมทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับฟาวเดชั่นอีมานิดหน่อย
อิงศรพูดใจความสำคัญของข้อมูลนั้นให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ฟัง
“เกี่ยวกับฟาวเดชั่นอีน่ะ บางทีหัวหน้าของพวกมันอาจจะไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ฉันแค่เดาเอานะเป็นไปได้ไหมว่าจะมีแอดมินิสเทรเตอร์คนอื่นอีก”
ปฏิกิริยาของออร์ฟี่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ม่านตาของเขาขยายออกทันทีที่ได้ยินการคาดเดาอันนั้น
“งั้นเธอก็จะบอกว่าผู้ที่บงการฟาวเดชั่นอีเป็นแอดมินิสเทรเตอร์อย่างนั้นสิ”
อิงศรพูด
“แค่เดาเอาน่ะ”
ออร์ฟี่ใช้มือลูบปลายคางตัวเองอย่างคนใช้ความคิด เขาคิดอยู่พักหนึ่งจึงถามหาความต่อ
“อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้นกันล่ะ”
“ก่อนหน้านี้นายเคยพูดไว้ใช่ไหมว่าอาคานาร์ที่ฉันมีคือพลังที่แอดมินิสเทรเตอร์เท่านั้นที่จะควบคุมมันได้”
“หมายความว่าผู้บงการคนนั้นควบคุมอาคานาร์ได้เหมือนกับเธออย่างนั้นเหรอ”
“น่าจะไม่ใช่แค่ควบคุมหรอกแต่หมอนั่นแหละสาเหตุที่ทำให้ฉันใช้อาคานาร์ได้ นายเองก็เห็นมาแล้วนี่ตอนที่อยู่บนลิฟต์น่ะ แฟรนเซียมใช้อาคานาร์เดอะ เดวิล ออกมา”
“พูดตามตรงตอนนั้นผมเองก็ไม่ค่อยจะมีสติเหลือซักเท่าไหร่พอจะฟังจับใจความได้ไม่มากนักหรอก”
ออร์ฟี่ยักไหล่เสริมกับคำพูดตัวเองว่าไม่รู้ นั่นคงจะเป็นความจริง
”แต่มันก็เป็นอย่างที่เธอพูดมา ถ้าขอบเขตพลังของผู้บงการคนนั้นเป็นอย่างที่เธอคาดเดาเอาไว้มันก็น่าคิดว่าจะมีแอดมินิสเทรเตอร์คนอื่นนอกจาก โซลาริส กับ ลูนาริส”
“แล้วสรุปว่ามีรึเปล่าล่ะ”
“เทวาสุรสงคราม”
ออร์ฟี่ตอบสั้นๆ เหมือนจะให้เก็บไปคิดเอาเอง แต่ว่าพูดมาแค่นั้นทางนี้ก็พอจะรู้หมดแล้วว่าหมายถึงอะไร
ทั้งเขา ทั้งออร์ฟี่ ต่างก็คิดถึงเรื่องเดียวกัน
ในเรื่องเล่า เทวาสุรสงคราม นั้นบอกว่าแสงสว่างกับความมืดทำสงครามกัน
‘ฝ่ายความมืด’ ที่ถูกขับไล่จากสรวงสวรรค์ในตำนานที่ว่านั่นคงจะเป็นแอดมินสเทรเตอร์ที่นอกเหนือไปจาก โซลาริส กับ ลูนาริส
ออร์ฟี่พูด
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมรู้มาโดยตรงหรอกนะแต่ว่าอดัมเป็นคนที่แอบฟังมาจากแอดมินิสเทรเตอร์อีกที ที่อดัมบอกผมมาก็เหมือนกับเรื่องเล่าที่ฝากซีเซียมไปบอกพวกเธอนั่นแหละ ดังนั้นคำพูดต่อจากนี้ไปคือการตีความบวกกับการคาดเดาของผมเอง”
“อย่างนายก็คาดเดากับเขาเป็นด้วยเรอะ”
อิงศรทำหน้าไม่ค่อยเชื่อที่พูดมานั่นซักเท่าไหร่ เพราะตลอดมาออร์ฟี่ ไม่สิ ซีลอร์ดมักจะเถรตรงโดยเสมอและไม่คาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้า
หมอนั่นทำหน้าเหมือนกับอ่านใจเขาไปเรียบร้อย
“ก็ตอนนี้ผมเป็นมนุษย์แล้วนี่”
“เอาแบบนั้นเลยเรอะ”
“อืม ก็แบบนั้นแหละแล้วยังอยากฟังอยู่ไหมล่ะ”
อิงศรตอบอย่างเซ็งๆ
“เล่ามาเหอะ”
ออร์ฟี่พยักหน้ารับแล้วเริ่มพูด
“ผมคิดว่าแอดมินิสเทรเตอร์พูดกันด้วยเรื่องเล่าที่เหมือนกับนิทานแบบนี้มันออกจะไร้สาระไปหน่อยปกติพวกท่านจะซื่อตรงอยู่เสมอ คำไหนก็คำนั้นไม่มีการบ่ายเบี่ยงหรืออ้อมค้อม ดังนั้นนี่จึงเป็นกรณีที่หาได้ยากแล้วชื่อของเรื่องผมก็ไม่ได้เป็นคนคิดเองด้วยนะ เทวาสุรสงครามเป็นเนื้อหาที่แอดมินิสเทรเตอร์พูดกันตรงตัว อดัมไม่มีทางโกหกผมได้ดังนั้นนี่จึงพิสูจน์ได้ว่านิทานเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่แอดมินิสเทรเตอร์ได้รับมาจากที่อื่นอีกทีอย่างแน่นอน”
หลังจากฟังการงสาธยายยาวเหยียดนั่นแล้วอิงศรก็ได้แต่เกาหัว แกรก แกรก
“สรุปแล้วยังไง”
“ถ้าหากว่ามีแอดมินิสเทรเตอร์อยู่อีกคนจริงๆ ล่ะก็แล้วแอดมินิสเทรเตอร์คนนั้นก็เป็นผู้บงการ รวมถึงเป็นผู้รุกรานอย่างที่ว่าจริง ผมคิดว่าตัวตนนั้นน่าจะถูกกำจัดไปตามเนื้อเรื่องในเทวาสุรสงครามแล้ว”
มันก็จริงอย่างที่ว่ามา ถ้าคิดว่าเรื่องเล่านั้นเป็นความจริงล่ะก็ แอดมินสเทรเตอร์ปริศนาก็น่าจะถูกำจัดไปตามเนื้อเรื่องของนิทานนั่นแล้ว
แต่ว่า...
“แต่โซลาริสบอกว่ายังมีผู้รุกรานอยู่”
แล้วผู้รุกรานนั้นก็น่าจะเกี่ยวข้องกับฟาวเดชั่นอีอย่างแน่นอน
เมื่อตอนที่กริศนะบุกโจมตีพวกเขาที่เกาะร้าง มิ่งขวัญจากอนาคตได้เรียกหมอนั่นว่า ‘ผู้รุกราน’
“แล้วก็นายบอกเองนะว่าแอดมินิสเทรเตอร์น่าจะรับเอาเรื่องของเทวาสุรสงครามมาจากที่อื่นอีกทีก็แปลว่าพวกเขาไมได้แต่งมันขึ้นมาเอง ถ้าคิดตามหลักความเป็นจริงแล้วคงไม่มีใครแต่งเรื่องที่ตัวเองถูกกำจัดออกมาหรอกจริงไหม”
แล้วออร์ฟี่ก็ยอมรับความเห็นของเขาอย่างว่าง่าย
“ที่เธอพูดมาก็จริงอยู่นะ แต่ผมเองก็ไม่รู้แล้วว่าความจริงมันเป็นอย่างไร”
สรุปแล้วพวกเขาก็ไม่ได้อะไรจากการพูดคุยในคราวนี้อยู่ดี
ข้อมูลที่คลุมเครือมีมากเกินไป การคาดเดาความเป็นไปได้ตอนนี้ยังไงก็เป็นแค่การเดาสุ่มไม่มีทางเดาถูกต้องได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันเป็นสถานการณ์แบบนั้นไปแล้ว
แต่ออร์ฟี่ก็ยังยืนยันคำเดิม
“เอาเถอะ ถึงจะกังวลไปก็เท่านั้นตอนนี้เราสามารถกำหนดอะไรก็ได้แล้วนี่”
เขาพูดแล้วชี้ให้ดูวงแหวนทองคำที่หมุนวนอยู่รอบตัวเอง
ยังยืนยันคำเดิมว่าให้พวกเขาเพิกเฉยมันไป
เพิกเฉยต่อปัญหานั้นเพราะว่ามั่นใจในพลังที่จะแก้ไขจัดการความเป็นไปของโลกได้อย่างไร้ขีดจำกัด พลังที่มีชื่อว่า ‘บัลลังก์สวรรค์’ นั่น
อิงศรถอนหายใจ เขาเป็นกังวลนิดหน่อยแต่ก็ยอมรับขึ้นมาแล้วว่าไม่มีอะไรที่จะทำได้อีกแล้ว
เขาหันกลับไปยังเหล่าพวกพ้อง
“พวกนายก็ยังยืนยันเหมือนเดิมใช่ไหม”
ทุกคนพยักหน้า คำตอบเป็นหนึ่งเดียวกันหมด
ดังนั้นอิงศรจึงหันกลับไป ให้คำตอบที่จะกำหนดโชคชะตา
คำตอบที่กำหนดยุคสมัยของมนุษย์
“ย้อนกลับไปแล้วทำให้มนุษย์เป็นผู้กำหนดเส้นทางของตัวเองไม่จำเป็นต้องมีปีศาจหรือพระเจ้าอีก”
เขาพยายามนึกว่ายังมีอะไรอีกบ้างที่ต้องแก้ไข อย่างน้อยสำหรับความยากลำบากที่พวกตนต้องฝ่าฟันกันมาก็อยากจะให้ได้อะไรกลับมาบ้าง
“แล้วก็ช่วยมอบโอกาสให้กับคนที่ยังไม่มีมันด้วย มีนาน่ะอย่าให้เธอต้องป่วยร้ายแรงแบบนั้นอีกขอเพิ่มแค่ตรงนั้นได้รึเปล่า”
พอพูดไปแบบนั้นก็ได้ยินเสียงอันปลื้มปลิ่มของมีนาดังมาจากทางด้านหลัง
“คุณอิงศรคะ...”
ออร์ฟี่ส่ายหน้า แต่ไม่ใช่การปฏิเสธ หมอนั่นยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า
“ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก ที่เธอคนนั้นป่วยก็เป็นผลพวงมาจากการที่มนุษย์ยื่นมือเข้ามายุ่งกับปีศาจด้วย เพราะแบบนั้นเธอจึงเกิดมาพร้อมคุณสมบัติที่สิงห์หมายปองจะเอามาใช้ในการทดลองสร้างฟันเฟืองไงล่ะ ถ้าย้อนกลับไปครั้งนี้จะไม่ให้มีปัญหาแบบนั้นเกิดขึ้นมาอีก”
พอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แต่ก็ยังมีเรื่องที่ติดใจอยู่อีกอย่าง
“แล้วพวกซีเซียมล่ะ เจ้าพวกนั้นจะต้องหายไปในการย้อนกลับคราวนี้ด้วยรึเปล่า”
“ผมจะรับพวกซีเซียมขึ้นมาเองเหลือกันอยู่แค่นั้นแล้วให้อยู่ที่สวนแห่งนี้เหมือนกับตัวจริงในอดีตก็คงไม่เป็นไรหรอก”
“งั้นเหรอ”
“ยังมีอะไรอีกไหม”
“….”
อิงศรยังคงนึกต่อไปว่ายังมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องแก้ไขอยู่อีก
“งั้นขออีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับ ไทเทเนียม พี่สาวของกวินทร์น่ะอยากให้…”
แต่กลับมีมือของใครบางคนแตะลงมาที่ไหล่ขวา
เขาถูกดึงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้รู้สึกตัว กวินทร์นั่นเอง หมอนั่นพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง
บางอย่างที่น่าจะเป็นการปฏิเสธความหวังดีของตัวเอง
“อย่าเลยครับพี่ศรนั่นน่ะเป็นเรื่องที่ผมกับพี่สาวต้องก้าวข้ามไปด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นที่ย้อนกลับไปก็ไม่มีความหมายน่ะสิครับ”
หลังจากพูดปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วรุ่นน้องก็ยิ้มให้ดูว่าไม่ต้องเป็นห่วง
ไม่จำเป็นต้องหยิบยื่นความหวังดีเกินจำเป็นมาให้
ราวกับจะสื่อมาอย่างนั้น อิงศรเข้าใจและได้สติขึ้นมา
เขาเกือบจะสูญเสียจุดยืนของตัวเองไปกับความคิดชั่ววูบอันแสนละโมภนั่น
“ถ้างั้นขอแค่เรื่องนี้ก็แล้วกัน”
นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่จะขอ ถึงจะไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าเขาเชื่อมั่น
เชื่อว่าพวกพ้องที่ยืนอยู่ตรงนี้จะก้าวข้ามอุปสรรคไปได้เอง
เชื่อมั่นว่ามนุษย์จะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เมื่อเวลานั้นมาถึง
“ขอให้ทุกคนยังจดจำเรื่องราวในครั้งนี้เอาไว้ในหัวใจ ไม่ถึงกับต้องจำได้ทั้งหมดขอแค่ให้ระลึกไว้เสมอว่าครั้งหนึ่งมนุษยชาติเคยถูกพระเจ้าทดสอบ”
ออร์ฟี่ตอบรับคำขอนั้น
“ได้สิ“
แล้วชูหอกในมือขึ้นสูงสุดแขน
“ขอ ออกคำสั่งในฐานะแอดมินิสเทรเตอรออร์ฟิอูคูมันนาร์ บัลลังก์สวรรค์เอ๋ยจงทำตามบัญชาของเรา”
วงแหวนทองคำหมุนวนเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น
ยิ่งมันหมุนเร็วขึ้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเปล่งแสงเจิดจรัส
“จงย้อนกลับไป โลกเอ๋ย จงหวนคืนสู่วันแห่งการพิพากษาแล้วมอบโอกาสให้กับพวกเขาอีกครั้ง”
สิ้นคำออร์ฟี่ แสงสว่างจากวงแหวนก็แผ่ขยายออกมา
แสงแผ่ปกคลุมสวน อาบย้อมทุกสรรพสิ่งให้ขาวโพลน
“…”
สติของอิงศรเริ่มจะเลือนราง
เขาเห็นออร์ฟี่ขยับปากขณะจ้องมองมาที่นี่ แต่ตอนนี้เพลียเกินกว่าจะได้ยินแล้ว
“โชคดีนะ ลาก่อน”
นั่นคือเสียงของออร์ฟี่
…แล้วอิงศรก็หมดสติไป
@@@
เช้าอันสดใสได้คืบคลานมาถึง
แสงแดดแรกประจำหกโมงเช้าลอดผ่านหน้าต่างทอดตัวมาถึงเตียงนอน
แสงแดดโลมเลียเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดที่นอนสลบไสลไร้สติ ราวกับจะปลุกให้ตื่นมารับเช้าวันใหม่
น่าเสียดายที่วันนี้เขาตื่นไปรอบหนึ่งเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เพราะว่าน้องชายตัวแสบต้องไปทัศนศึกษาและต้องไปให้ทันรถที่โรงเรียนออกแต่กลับยังหลับอุตุตอนที่เขาไปถึงห้อง
ถ้าจะบอกว่าสิบห้าปีที่ผ่านมาของอิงศรถูกตัวตนที่เรียกว่าลูกชายคนรองของบ้านปั่นหัวมาตลอดก็คงไม่โอเวอร์เกินไป
เมื่อนาฬิกาเจ้าปัญหาเริ่มจะส่งเสียงปลุก อิงศรก็ชันตัวขึ้นจากเตียง เอื้อมมือไปกดปิดเสียงนาฬิกาที่วางอยู่ตรงหัวเตียง แล้วลุกไปทำกิจวัตรเช้าตามปกติ
ทำเรื่องเดิม ซ้ำกันทุกวันอย่างเหนื่อยหน่าย
อาบน้ำ เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักเรียน กินข้าว ออกจากบ้าน
ทุกวันวนซ้ำไปมาแบบนี้ทุกเช้ายกเว้นวันหยุด
เดินออกจากบ้านมาพักหนึ่งจนถึงป้ายรถเมล์ตรงถนนใหญ่ เมื่อหันหน้าเข้าหาถนนด้านหลังก็จะเป็นร้านตัดผมที่ยังไม่มีลูกค้ามานั่ง
อาแปะเจ้าของร้านมักจะนั่งดูโทรทัศน์ไปพร้อมกินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ในเวลานี้เสมอ
เสียงรายงานข่าวรอยเช้าจากโทรทัศน์ดังมาถึงตรงนี้
ผู้ประกาศข่าวรายงานข่าวสั้นก่อนเข้าช่วงหลักของรายการแบบสรุป
“แล้วก่อนจะเข้าสู่รายการกันก็มาพบกับข่าวสั้นทันเหตุการณ์ ไอดอลเยาวชนวัยสิบเจ็ด มีนาตัน กำลังจะออกซิงเกิลใหม่”
รถประจำทางมาถึงพอดี อิงศรก้าวขึ้นไปบนรถ
หลังจากนั่งรถผ่านไปห้าป้ายเขาก็ลงตรงหน้าซอยใหญ่ที่มีรถยนต์เรียงแถวกันวิ่งเข้าไปข้างใน
รถพวกนั้นเป็นเหล่าผู้ปกครองที่มาส่งบุตรหลานที่โรงเรียนซึ่งเขาศึกษาอยู่
เป็นโรงเรียนชายล้วนที่มีชื่อเสียงในย่านนี้อยู่พอสมควร
อิงศรเดินเรียบไปตามทางเท้าที่ทอดยาวเข้าไปในซอยซึ่งเนื่องแน่นไปด้วยรถนั่น
สิบนาทีถัดมาเขาก็มาถึงโรงเรียน ก้าวเท้าผ่านประตูรั้วโรงเรียน แล้วก็ได้ยินนักเรียนผมสีแดงซึ่งผิดระเบียบเห็นๆ กำลังยืนคุยกับอาจารย์ชายซึ่งเป็นอาจารย์วิชาพละ
หมอนั่นคือ เมษา ธุวดารกะ เป็นลูกคนใหญ่คนโตก็เลยได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ?
เปล่าเลย…เอาเข้าจริงแล้วเป็นเพราะหมอนั่นเป็นนักกีฬาฟุตบอลดาวเด่นของโรงเรียน เป็นหน้าเป็นตาที่สำคัญก็เลยได้รับการผ่อนผันหรือ?
ก็เปล่าอีกนั่นแหละ สีผมของหมอนั่นเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่เกิดเห็นว่ามีความผิดปกติบางอย่าง
อิงศรเดินผ่านพวกนั้นไป…
แล้วเมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาแปดโมงตรง เสียงเพลงชาติก็ดังขึ้น
เข้าแถวเคารพธงชาติ ยืนฟังประกาศจากอาจารย์ใหญ่ที่เอาแต่พูดเรื่องชื่อเสียงของโรงเรียน
น่าเบื่อ
อิงศรได้แต่ภาวนาให้ช่วงเวลานี้สิ้นสุดเสียที
และแล้ว…
ก็เดินทางมาถึงคาบโฮมรูมคาบแรกของการเรียนในวันนี้
อิงศรนั่งลงบนโต๊ะของตัวเองขณะที่อาจารย์เดินเข้ามาในห้องแล้วเขียนวันที่ของวันนี้ลงไปบนกระดานไวท์บอร์ด
วันจันทร์ 1 พฤศจิกายน
อิงศรมองตัวเลขของวันที่กับเดือนที่เขียนอยู่บนกระดานแล้วพึมพำอย่างแผ่วเบา
“รอบที่สามเริ่มแล้วสินะ”
พลางก้มมองดูเวลาในโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนที่ดึงออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เวลาบนหน้าจอสมาร์ทโฟนนั่นเขียนเอาไว้
วันที่ 3 พฤศจิกายน เวลาแตกต่างกับความเป็นจริงอย่างกับว่ามันเสีย
แต่อิงศรรู้ว่าโทรศัพท์ไม่ได้เสีย แต่เป็นนาฬิกาของโลกต่างหากที่เสีย
นี่คือวันที่ 1 พฤศจิกายน รอบที่สามของเขา
…และแล้วก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เสียงแห่งความพินาศ
เสียงอันโหดร้ายได้ก้าวข้ามการเวลา
ก้าวข้ามความเป็นจริงมาหา
มันกลับมาเพื่อบอกว่ายุคสมัยของมนุษย์ยังมาไม่ถึง…
ไม่สามารถออกจากโลกที่ทุกวันเป็น วันที่ 1 พฤศจิกายน ได้
อิงศรพูด
”นั่นแหละสถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้”
DATA TRACK IS LODING…
NEW EVENT UNLOCKED!!
EVENT CODE…
ROOT BREAK ‘EXTRA LOG’ HAS OPENED!!
***ลงช้าไปบานเลยอาทิตย์นี้ =w=‘ มันอะไรกันนักกันหนาก็ไม่ยู้ตะไมงานชอบมาวันที่ต้องปั่นนิยายยยย!!! โอเมก้าาาา อยากลางานมาเขียนเลยเนี่ย แอ่ววว ก็ว่าไปนั่น เพราะงั้นอาทิตย์กำหนดลงตอนขอเลื่อนอีกตอนเป็นวันเสาร์ไม่ก็อาทิตย์ละกันครับ ปั่นมะทันแย้ววว แต่ว่าในที่สุดก็เริ่มกันซะที ปมเรื่องสุดท้ายยยย***
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพิ่งเริ่ม.... มองย้อนขึ้นไปยัง 100 ตอนอัพข้างบนนั่นแล้วกิน จุดจุดจุด 555+
คราวก่อน Act อารย-สนธยา เวลาในเรื่องผ่านไปแค่ 2 วัน แต่จำนวนตอนปาไป เกือบ ร้อยตอน โอเมก้า!!!