ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Apocalypse Online เกมโกงวันโลกาวินาศ

    ลำดับตอนที่ #244 : Login 241: Arcana Ark

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 162
      6
      23 มิ.ย. 61

    Login 241: Arcana Ark

     

                หายไปเสียให้หมด

                พอตั้งหลักได้ โซลาริสก็โปรยกางเขนแสงลงมา โปรยอย่างบ้าคลั่งด้วยจำนวนที่มากมายชนิดมืดฟ้ามัวดินราวกับไม่สนใจแล้วว่าจะทำสวนพังไปด้วยหรือเปล่า

                เมษาพูด

                เฮ้ยๆๆ แล้วแบบนี้จะหลบยังไงกันเล่า

                กวินทร์หันไปถามมิ่งขวัญที่อุ้มศพของอิงศรอยู่

                ขวัญหนีไปก่อนเลยไปหาที่หลบเร็วเข้า

                แต่มันไม่มีที่แบบนั้นหรอก สายฝนกางเขนแทบจะกลบลงบนทุกพื้นที่ของสวน

                แต่ทว่า

     

                มิเรียดวิล

                ซีลอร์ดก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ามิ่งขวัญพร้อมกับตวัดหอกซึ่งปลดปล่อยลำแสงขึ้นไปฟาดฟันทำลายกางเขนแสงที่จะตกลงมาในจุดที่พวกเขายืน

                คนอื่นๆ พอเห็นเข้าก็วิ่งเข้ามารวมกันในวงล้อมที่ซีลอร์ดทำลายกางเขนแสงไป

                กางเขนที่เหลือตกลงไปบนสวนศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีแล้วสวนมีพลังที่จะป้องกันพลังของแอดมินิสเทรเตอร์ได้ในระดับหนึ่ง ตามปกติแล้วกางเขนแสงทั้งหมดจะต้องหายไปก่อนจะตกถึงวัตถุใดๆ บนสวนนอกจากผู้บุกรุก

                ทว่าการโจมตีในครั้งนี้รุนแรงต่างออกไป ทำให้พลังคงตกค้างยังเหลือเพียงพอจะเผาทำลายสวน

                สวนเริ่มจะลุกไหม้ ควันไฟลอยขึ้นมาจากทุกหนแห่ง

                พอเห็นแบบนั้นเข้าซีลอร์ดก็แหงนหน้ามองขึ้นไปยังพระเจ้าผู้ที่กำลังทำลายสวนด้วยมือตัวเอง

                สายตาที่จับจ้องโซลาริสหรี่แคบลง... เพราะความเจิดจ้าของพระเจ้าหรือว่าเพราะกำลังเคลือบแคลงใจในศรัทธราที่เคยมีให้กับแอดมินิสเทรเตอร์เมื่อตอนยังเป็นเครื่องทำสวนมันกำลังสั่นคลอนอยู่กันนะ

               

                ตอนนั้นเอง พวกพ้องของอิงศรก็จับจ้องสายตามาที่นี่

                มิ่งขวัญอุ้มร่างไร้วิญญาณของอิงศรตรงเข้ามาหา

                ช่วยทีสิ นายทำได้ใช่ไหมช่วยศรที

                เด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ ไม่สิ ร้องไปแล้วต่างหาก พอมิ่งขวัญเริ่มเอ่ยปากพูดต่อจากนั้นต่อมน้ำตาก็แตกบ่อทันที

                จะให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพราะงั้นขอร้องล่ะ

                ซีลอร์ดยื่นมือข้างที่ว่างไปปาดเอาน้ำตาบนแก้มนั้นออก

                เบิกบานเข้าไว้เถอะมิ่งขวัญอาคานาร์ฟอร์ซของเธอคือความเบิกบานน้ำตาน่ะไม่เหมาะกับเธอหรอกนะ

                เขาพูดแล้วเบนสายตาไปยังอิงศรในอ้อมแขนของอีกฝ่าย

                ส่วนอิงศรผมจะช่วยเองเพราะว่ามนุษย์จะถูกกอบกู้โดยมนุษย์เท่านั้น

                จากนั้นจึงยื่นมือไปอังที่ปากแผลของอิงศรที่ซึ่งเคยถูกดาบของมิ่งขวัญแทงทะลุหัวใจ แสงสว่างเปล่งออกจากมือข้างนั้น

                แสงอันอบอุ่นช่วยเยียวยา ทำให้รูบนหน้าอกสมานตัว จนเหลือแต่คราบเลือดเกรอะกรังที่จับอยู่ผิวหนัง

                ไม่มีคราบเลือดตกค้างอยู่บนเสื้อผ้าเพราะว่ามันเป็นชุดที่เขาทำขึ้นมาซึ่งสร้างให้เปื้อนยากและมีความทนทานสูง การที่อะไรมายึดจับได้ยากจะช่วยลดโอกาสถูกพิษหรือสารแปลกปลอมที่เข้ามาเกาะ คงเพราะไปเน้นกับตรงนั้นมากเกินไปความแข็งแกร่งสำหรับชุดของแนวหลังอย่างที่อิงศรใส่อยู่นี้เลยป้องกันดาบที่เสียบเข้ามาได้ไม่สมบูรณ์

                แต่หัวใจยังไม่เสียหายมากนัก ยังพอจะคืนชีพให้ได้ เพราะเสื้อพิเศษนี้ทำให้ดาบเสียบลงไปได้ไม่ลึกพอที่จะทำลายหัวใจทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง

                เมื่อทำการชุบชีวิตแล้วลมหายใจของอิงศรก็กลับมาอีกครั้ง แต่เด็กหนุ่มยังคงไม่ฟื้นคืนสติ

                ซีลอร์ดพูด

                ตื่นขึ้นมาสิอิงศร

     

                @@@

     

                “…”

                อิงศรปรือตาขึ้น

                ยังไม่ตายหรอกเหรอ เขาถามคำถามนั้นกับตัวเอง

                จากความทรงจำสุดท้ายเขาได้ตายไปแล้ว

                “…”

                พระเจ้าได้ช่วงชิงครอบครัวกับพวกพ้องไปแล้วก็ถูกน้องชายตัวเองลงดาบสุดท้ายจนตาย

                แต่ตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่

                อิงศรชันตัวขึ้นครึ่งหนึ่ง แล้วมองสำรวจตัวเอง

                แต่ไม่พบบาดแผลใดๆ

                เขาจับตรงอกซ้ายที่โดนมิ่งขวัญแทงเข้ามา แต่มันก็ไม่มีร่องรอยของบาดแผลอยู่เลย

                พอลองสำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วนก็พบว่ากำลังสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ ที่ไม่ใช่ชุดเครื่องแบบสู้รบ

                เป็นแค่เสื้อยืดคอกลมสีดำไม่มีลวดลายกับกางเกงขาสามส่วน เป็นการแต่งกายแบบสบายๆ เหมือนอยู่บ้าน

     

                หรือว่าเราจะหมดสติไปแล้วก็เลยฝันถึงอีกโลกคู่ขนานกันนะ

                อิงศรตั้งสมมติฐานเช่นนั้นแล้วมองไปรอบๆ

                ครั้งแรกที่มายังโลกแห่งนี้คือตอนที่ได้พบกับเมอร์คาบาห์

                ตอนนั้นเขาคิดว่าแค่ฝันไป คิดว่าเป็นเพียงสิ่งที่จิตสำนึกต้องการสร้างขึ้นมา

                แต่ก็ได้รับรู้ข้อมูลจากมิ่งขวัญที่เคยฝันถึงความฝันเดียวกันนี้ แล้วก็ได้รู้แท้จริงแล้วความฝันพวกนี้เป็นการฝันเห็นโลกคู่ขนานอีกแห่งหนึ่ง

                โลกที่มีองค์ประกอบหลายอย่างเหมือนกันแต่ดำเนินเหตุการณ์แตกต่างกัน ภายในโลกที่สงบสุขนี้ตัวเขากับน้องชายเป็นแค่เด็กธรรมดา แค่ใช้ชีวิตประจำวันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องต่อสู้หรือดิ้นรนอะไรทั้งนั้น

                นอกจากนี้ก็ยังรู้ว่ามีอีกโลกคู่ขนานที่เป็นโลกที่ล่มสลายคล้ายกับโลกของเขา แต่สถานการณ์เลวร้ายกว่ามากๆ อยู่

                 ทำไมกันนะ

                อิงศรเริ่มตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่า สงสัยว่าทำไมเมื่อหมดสติจึงมักจะฝันเห็นโลกคู่ขนาน

                เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าเป็นผลมาจากการที่ถือครอง ฟันเฟือง

                เจ้าชิ้นส่วนที่ใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องทำสวนมักจะนำเรื่องราวประหลาดมาให้เสมอ ที่ผ่านมาเขาโทษที่ฟันเฟืองมาโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้

                เราไม่มีฟันเฟืองแล้ว

                แต่ก็ยังฝันเห็นโลกคู่ขนานได้ ถ้าอย่างนั้นที่มาของปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี่ก็เป็นอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฟันเฟืองแล้ว แต่ว่ามันคืออะไรกันล่ะ

                ทว่า เรื่องก็ยังไม่ได้หมดเพียงแค่นั้น

                “…”

                ครั้งนี้มันต่างออกไป อิงศรเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้

                คือภายในห้องนอนที่ไม่คุ้นตา มันไม่เหมือนกับรอบที่แล้วที่เคยฝันเห็นเลย

                เฟอร์นิเจอร์ไม่เหมือนกันกับคราวก่อนแล้วข้าวของในห้องก็ดูรกและมีของที่ดูไม่จำเป็นอยู่เยอะด้วย

                ชั้นวางหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือการ์ตูนกับของเล่นตั้งโชว์

                บนพื้นห้องมีไพ่หน้าตาประหลาดหล่นเกลื่อนอยู่เต็มพื้นห้อง

                ประตูกระจกที่ส่องให้เห็นระเบียงด้านนอกมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองที่ชวนแปลกตา

                เป็นทิวทัศน์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมืองทันสมัยเป็นอย่างมาก มีอาคารที่รูปทรงดูแล้วไม่น่าเป็นไปไปได้ตั้งอยู่ไกลลิบ

                หอคอยสูงเสียดฟ้าทอดยาวทะลุเมฆบ้างล่ะ

                รนยนต์กำลังวิ่งไปมาอยู่บนท้องฟ้าบ้างล่ะ

                เขาจ้องมองทิวทัศน์นั้นด้วยความฉงนอยู่พักใหญ่ แล้วก็สังเกตเห็นเรื่องแปลกประหลาดจนต้องก้าวเท้าลงจากเตียง

                เดินเข้าไปใกล้ประตูกระจกเอาหน้าแนบติดกับมันเพื่อมองดูสิ่งนั้นให้ชัดเจน

                สัตว์เทวะเหรอ

                ปีศาจเหรอ

                ไม่สิ มันเป็นอะไรที่ดูแตกต่างไปจากนั้นมาก พวกมันมีรูปร่างหลากหลายแบบ

                ราวกับโลกแฟนตาซีที่มีเผ่าอมนุษย์มากมายเดินกันให้ว่อนไปทั่วทั้งเมือง

                ทั้งมังกร ทั้งนกตัวใหญ่ยักษ์ บ้างก็เป็นมนุษย์ที่แต่งตัวประหลาดๆ หรือไม่ก็มีอวัยวะเหมือนสัตว์ป่า

                ทั้งหมดนั่นเป็นมิตรต่อกันทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

                ความกลมกลืนนั่นทำให้อิงศรอ้าปากค้าง

                อะไรกันล่ะเนี่ย

                เขาเปรยออกมา ที่นี่ไม่เหมือนกับคราวก่อนเลยซักนิด ถ้าหากว่านี่เป็นความฝันล่ะก็มันก็ไม่สมจริงสุดๆ หรือถ้าเป็นโลกคู่ขนานก็เป็นที่ๆ ประหลาดสุดๆ เหมือนกันนี่เขาหลุดมาที่ไหนกันแน่

                อิงศรดึงตัวเองออกจากกระจกหันหน้ากลับเข้ามาสำรวจภายในห้อง

                มองหาของที่น่าจะช่วยบอกใบ้เกี่ยวกับโลกใบนี้

                ปฏิทินล่ะ นี่ปีอะไรแล้ว

                คอมพิวเตอร์จะมีตัวบอกเวลาไหมนะ

                ถ้าเปิดทีวีจะมีข่าวสารที่ช่วยบอกว่าที่นี่คือที่ไหนออกมารึเปล่า

                อิงศรจ้องมองของพวกนั้นแล้วคิดไปด้วยว่าจะเริ่มจากอันไหนก่อน

                แต่แล้วสิ่งที่ดึงดูดหัวใจของเขามากที่สุดกลับไม่ใข่ของพวกนั้น แต่d]y[เป็นไพ่ที่หล่นอยู่บนพื้นห้อง

     

                อาคานาร์หรือเปล่านะ?

     

                ชั่วพริบตาหนึ่งที่คิดขึ้นมาว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับอาคานาร์ แต่ว่าลายของไพ่ไม่เหมือนกับอาคานาร์

                อิงศรก้มลงเก็บไพ่ใบหนึ่งจากในนั้นขึ้นมาพลิกดู

                เป็นไพ่ที่มีรูปตัวละครกับรายละเอียดที่เหมือนกับเป็นการ์ดเกมเขียนเอาไว้

                ของเล่นเรอะ

                จากนั้นก็เริ่มมองดูไพ่ใบอื่นๆ ในไพ่เหล่านั้นมีของน่าสะดุดตาอยู่กลุ่มหนึ่ง

                ไพ่ที่เป็นรูปตัวเขาเอง

                รูปของมิ่งขวัญ

                มีกวินทร์ แล้วก็คนอื่นๆ อีก มีไพ่ที่เป็นรูปของพวกพ้องเขาหลายใบปะปนรวมอยู่ในกองไพ่เหล่านี้

                พอตั้งท่าจะหยิบไพ่พวกนั้นขึ้นมาก็กลับมีเสียงพูดมาหยุดไว้ก่อน

                พอแค่นั้นแหละ

                อิงศรหยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่

                ไม่สิ เข้ามาในห้องตอนไหนกันแน่

                เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดเท่ากันแต่งตัวด้วยเครื่องแบบของเมตไตรย

                นาย...

                อิงศรจ้องมองตัวเองที่กำลังยืนกอดอกห้ามปรามไม่ให้หยิบไพ่ขึ้นมา

                อิงศรคนนั้นพูดเหมือนกับบ่นว่า

                ให้ตายเถอะหลุดมาไกลขนาดข้ามมาเวิร์สนี้เลยเหรอทางนั้นเองก็วิกฤติน่าดูสินะ

                นายเป็นใครน่ะ ไม่สิทำไมนายถึงเหมือนกับฉันเลยล่ะแล้วเข้าห้องมาตอนไหน

                อิงศรถามตัวเองอีกคน แต่ตัวเขานั้นก็ชี้มาที่กองไพ่บนพื้น พอดูดีๆ แล้วก็เห็นว่าไพ่ใบที่มีรูปเขาอยู่หายไปจากกอง

                ฉันก็อยู่ในการ์ดพวกนั้นตั้งแต่แรกแล้ว

                หา?”

                ตัวเขาอีกคนทำหน้าลำบากใจ

                ถ้าให้เล่าเรื่องมันจะยุ่งเอานะ สรุปก็คือว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาย แล้วการ์ดพวกนั้นก็สำคัญกับเพื่อนของฉันด้วยเพราะงั้นช่วยวางมันคืนที่ก่อนเหอะ

                อิงศรวางไพ่คืนตามที่ว่า

                ขอบใจ ทีนี้ก็เข้าเรื่องดีกว่าฉันว่านายควรจะกลับไปนะยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ที่ฟากโน้นไม่ใช่เหรอ

                ไม่คิดจะอธิบายหน่อยเหรอว่าที่นี่มันที่ไหนแล้วอีกอย่างจะกลับไปยังไง ฉันไม่รู้วิธีนี่

                พอพูดไปแบบนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้พูดขึ้นมา

     

                ใช่แล้วล่ะถ้าขืนตัวละครสองตัวมายืนคุยกันแบบนี้มันจะเกิดเรื่องยุ่งยากเอานะรวมทั้งคนอ่านก็จะงงเป็นไก่ตาแตกไปด้วย

     

                นั่นเสียงใครน่ะ

                อิงศรกวาดตามองไปรอยๆ แต่ไม่พบใครที่ว่าเลย แถมเสียงที่ได้ยินก็ยังกำหนดทิศทางไม่ได้ราวกับอยู่ๆ มันก็ดังขึ้นมาจากอากาศ

                ตัวเขาอีกคนทำหน้าเหนื่อยหน่าย

                นั่นเสียงผู้บรรยายน่ะนายมองไม่เห็นหรอก

                ได้ยินดังนั้นอิงศรก็เบ้หน้า

                หา ผู้บรรยาย?”

                ตัวเขาอีกคนยิ้มเจื่อน

                อ่า~ อย่าเซ้าซี้มากว่านี้เลยน่า มันจะยุ่งยากเข้าไปเปล่าๆ เอาเป็นว่านี่เป็นโลกที่เหมือนกับเรื่องเขียนในนิยายอะไรแบบนั้นน่ะก็เลยมีของประหลาดๆ อย่างผู้บรรยายอะไรทำนองนี้

                ยิ่งได้ฟังที่ตัวเขาอีกคนพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก แต่พอจับใจความได้ว่าเป็นโลกคู่ขนานที่ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา

                ตัวเขาอีกคนพูดเสริมอีกว่า

                ของนายก็มีผู้ถูกลืมเลือนอยู่ไม่ใช่เหรอแบบหมอนั่นแหละ

                หมายถึงแบบนั้นน่ะเหรอ

                ที่จริงอิงศรเองก็ไม่รู้หรอกว่าแบบนั้นที่ว่าน่ะมันแบบไหน แต่พอจะเข้าใจได้ว่าตัวตนที่เรียกว่าผู้บรรยายคงจะเป็นเหมือนกับซีลอร์ด

                เป็นเจ้าสโตรเกอร์โรคจิตที่คอยตามจับตาดูอยู่ที่ไหนซักแห่งแล้วรอจังหวะเปิดเผยตัวเองเหมือนบอสในเกมอะไรแบบนั้น

                ทว่า เสียงของ ผู้บรรยายก็ดังขึ้นมาอีก

     

                ว่าใครเป็นสโตรเกอร์กันน่ะแบบนี้มันเสียมารยาทนะ

     

                ตัวเขาอีกคนจึงตอบโต้ไป

                ก็บอกแล้วไงว่าให้เลิกพูดได้แล้ว

                จากนั้นก็หันมาพูดกับอิงศรต่อ

                แล้วก็วิธีกลับไปน่ะไม่ยากหรอกแค่คิดถึงสถานที่ในความทรงจำของนายก็พอ

                แค่นั้นเองเหรอ...

                อิงศรหยุดคำพูดไปเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะต้องพบเจอหลังจากกลับไปขึ้นมา

                ถึงจะกลับไปตอนนี้ก็ต้องเจอกับเรื่องโหดร้ายที่รออยู่

                เรื่องที่ว่าพวกพ้องของเขาถูกพระเจ้าช่วงชิงไป อาจจะต้องสู้กับทุกคน

                เพราะเริ่มคิดถึงความยากลำบากที่รออยู่ข้างหน้าใบหน้าของอิงศรก็เลยดูหมองลงไป จนตัวเองอีกคนทักขึ้นมา

                ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิ

                อิงศรอีกคนย่อตัวลงนั่งยองๆ ให้ระดับสายตาอยู่เท่ากัน

                ฉันเองก็คือนายคนหนึ่งเพราะงั้นก็พอจะรู้อยู่ว่านายเจออะไรมาบ้างแต่ว่าอย่ายอมแพ้ล่ะ จินตนาการจะเป็นพลังให้นาย

                อิงศรทำหน้าไม่เข้าใจที่ตัวเองอีกคนพูด

                มันเป็นคำขวัญของเพื่อนคนสำคัญในโลกนี้ของฉันน่ะ หมอนั่นเรียกตัวเองว่าลูซเซอร์

                ลูซเซอร์?”

                ใช่ ที่แปลว่าขี้แพ้นั่นแหละ แต่ทั้งแบบนั้นดันพยายามเอาเป็นเอาตายอยู่คนเดียวเป็นไอ้บ้าแบบเดียวกับฉันและนายที่มีพวกพ้องอยู่มากมายแต่ดันไม่กล้าไปรบกวนซะอย่างนั้น ฉันเองก็ได้หมอนั่นช่วยไว้มากเลยล่ะ

                น่าแปลก

                อิงศรคิดว่ามันพิลึกสิ้นดี

                ตัวเองมานั่งคุยกับตัวเองในอีกโลกที่แปลกประหลาด แล้วก็ยังให้กำลังใจตัวเองอีกต่างหาก

                ดูเหมือนว่าตัวเขาอีกคนในโลกนี้จะเป็นพวกมองโลกในแง่ดี แถมยังดูสดใสและคิดบวกมากกว่าตัวเขาเสียอีก

                จินตนาการจะเป็นพลังให้... มันอะไรกันล่ะนั่น เลอะเทอะสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือไง

                แต่แปลกดีนะพอฟังที่นายพูดแล้วฉันรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อหรือโกหกอะไรเลยอย่างกับว่าฉันเคยรู้เรื่องพวกนั้นมาก่อน

                อิงศรพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป ตอนนี้ รู้สึกคุ้นเคยหรือาจจะชินกับโลกใบนี้เข้าเสียแล้ว

                แหงสิก็ฉันกับนายคือคนๆ เดียวกันนี่

                ตัวเขาอีกคนกำหมัดแล้วยื่นมาให้

                ตอนนี้พวกพ้องของนายกำลังรออยู่กลับไปอัดพระเจ้าให้หงายเก๋งไปเลย

                อีกฝ่ายรู้เรื่องที่ว่าพวกเขาต่อต้านพระเจ้าของโลกตัวเองด้วย ถ้าอย่างนั้นที่พูดว่าเป้นคนเดียวกันกับเขาคงจะเป็นความจริง

                แต่ว่ามันเป็นไปได้ด้วยเหรอที่จะมีคนๆ เดียวกันมาอยู่พร้อมหน้ากันได้

                ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่หัวใจของอิงศรยอมรับคำพูดที่น่าเหลือเชื่อนั่นได้อย่างหมดหัวใจ

                อื้อ

                เขาส่งเสียงอย่างฮึกเหิมแล้วกำหมัดชนกำปั้นอีกฝ่าย

     

                วิ้งงงงง มีเสียงแหลมสูงดังขึ้นมาจากนั้นโลกก็กลายเป็นสีขาวโพลนก่อนจะดับวูบกลายเป็นความมืด

     

                ตื่นเถอะ อิงศร

                อิงศรลืมตาขึ้นตามเสียงเรียกนั้น

                เขากลับมาแล้ว กลับมายังสนามรบของตัวเอง

                ที่สวนศักดิ์สิทธิ์

                ที่เบื้องหน้าพระเจ้าผู้กุมบังเหียนของโลก

                แต่คราวนี้มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไปจนเขาต้องตกใจ

                อย่างแรก ตนเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของน้องชาย

                ขวัญ...

                อิงศรสบตากับมิ่งขวัญ แล้วก็รำพึงว่า

                อีกแล้วเรอะ

                สามปีก่อนก็เหมือนกันเขาถูกน้องชายอุ้มวิ่งหนีจากสัตว์เทวะ ดูเหมือนนี่จะเป็นชะตาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือว่าอะไรกันแน่นะ

                วางฉันลงที

                พอสั่งไปแบบนั้นมิ่งขวัญก็ปล่อยตัวเขาลง

     

                อิงศรมองไปรอบๆ พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน

                พวกพ้องของเขาซึ่งพระเจ้าทำให้คืนชีพขึ้นมาแล้วใช้เป็นหมากไล่บี้เขา แต่ตอนนี้กำลังจ้องมองมาที่นี่ด้วยใบหน้าแบบไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าสิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนกำลังยิ้ม

                เธอตายไปรอบหนึ่งแล้วนะ ไม่สิถ้านับรวมจากที่เคยเข้ารับการทดสอบของผมนี่เป็นครั้งที่สิบสี่ได้

                น้ำเสียงอันคุ้นหูนั่นดึงสายตาของอิงศรให้หันกลับไปข้างหลัง

                ซีลอร์ดนั่นเอง แต่ว่ามีของเพิ่มขึ้นมาพอสมควร

                นอกจากผ้าคลุมสีขาวพะรุงพะรังนั่นแล้วก็ยังมีหอกสีขาวที่ดึงดูดสายตามากเป็นพิเศษ

                จำได้ว่านั่นเหมือนกับหอกที่มิ่งขวัญจากอนาคตถือติดมาด้วย

                เฮ้ หอกนั่นหรือว่า

                อิงศรชี้ไปที่หอกในมือของซีลอร์ดสลับกับมองหน้าน้องชายอย่างมีนัยยะสำคัญ

     

                ทว่า ตอนนั้นเอง โซลาริสก็ปล่อยการโจมตีลงมา กางเขนแสงจำนวนมหาศาลโปรยปรายดั่งห่าฝน

                ซีลอร์ดหมุนหอกในมือชูมันขึ้นไปหาฝนกางเขนเหล่านั้น คิดจะใช้พลังจากหอกต้านทานมันไว้

                มีเรียดวิล

                หอกปลดปล่อยลำแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกไปแผดเผากางเขนแสงที่ตกลงมา

                อิงศรที่ได้เห็นพลังของหอกนั่นจึงมั่นใจว่าสมมติฐานที่คิดไว้น่าจะถูก

                แล้วจู่ๆ ซีลอร์ดก็หันมาพูดกับเขา

                นี่คือร่างไฮพีเรี่ยนน่ะ

                การที่พูดเป็นประโยคคำตอบแบบนั้นแสดงว่าอ่านใจเขาไปแล้ว

                ร่างไฮพีเรี่ยน แบบรูบิเดียมน่ะเหรอ

                ก่อนหน้านี้เคยได้ยินคำๆ นั้นมาก่อน รูบิเดียมอธิบายให้เขา มิ่งขวัญและกวินทร์ฟังที่แชงกริล่าเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ไฮพีเรี่ยน คือร่างที่ควบรวมความเป็นไปได้กับความเป็นจริงในปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกัน พูดแบบง่ายๆ ก็คือกลายร่างเป็นตัวเองที่เก่งกว่าตอนนี้ซึ่งอยู่ในอนาคตที่ยังไม่แน่นอนว่าจะกลายเป็นแบบนั้น

                แต่ซีลอร์ดกลับพูดแย้ง

                ไม่เหมือนซะทีเดียวหรอกแต่ใกล้เคียงกันอยู่มาก

                มีนาจึงพูดสรุปให้แทนพวกเขาที่ทำท่าจะคุยกันยาว

                สรุปว่าคล้ายๆ กันประมาณ แพะกับแกะสินะคะ

                อย่างไรซะนี่ก็อยู่ระหว่างเผชิญหน้ากับพระเจ้า

                ซีลอร์ดพูด

                พลังที่อดัมมอบให้ผมคือไฮพีเรียลไรซ์เป็นการทำให้ ตัวตนในปัจจุบันกับโลกคู่ขนานในอนาคตซ้อนทับกันจนมีตัวตนขึ้นมา

                ฟังจากที่พูดมาแล้วคล้ายกับกรณีของรูบิเดียมแต่จะเหมือนกับอีกกรณีหนึ่งแบบเรียกได้ว่าเป็นอย่างเดียวกันเลยก็คือ

                แบบนั้นมันเหมือนกับที่ขวัญเคยทำมาแล้วไม่ใช่เหรอ

                อิงศรพูด

                ได้ยินดังนั้นซีลอร์ดก็เบนสายตาไปที่มิ่งขวัญ

                เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ

                พอเริ่มสนทนาไปได้นิดหน่อยพวกเขาก็ถูกแทรกขัดจังหวะมาอีก

     

                คลื่นจิตที่สื่อสารจากโซลาริสมาถึงสมองในคราวนี้สัมผัสได้ถึงความโกรธ

                พอกันที ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มต้นใหม่กันแล้วจงหายไปเสียวัชพืช

                มันคือแรงสั่นสะเทือนที่ผิวหนังรู้สึกได้ราวกับว่าพระเจ้าได้ตะโกนด้วยเสียงอันดังก้อง

                ร่างกายจักรกลของพระเจ้าเริ่มเปล่ง ร่างกายทุกส่วนส่องสว่างเจิดจ้าสุกสกาวราวกับดวงตะวัน

                แย่ล่ะสิ ไอ้นั่นมัน

                อิงศรสบถ เขาจำความเข้มของแสงขนาดนั้นได้เป็นอย่างดี มันคือแสงที่เคยแผดเผาลิฟต์ระหว่างที่เดินทางขึ้นมายังสวนศักดิ์สิทธิ์

                ซุปเปอร์โนว่า คิดจะปิดบัญชีแล้วสินะ

                ซีลอร์ดพูดเสริม

                นี่คงไม่ใช่เวลามาพูดคุยกันแล้วจริงๆ นั่นแหละ ทั้งที่น่าจะเป็นแบบนั้นแต่ซีลอร์ดก็ยังถามคำถาม

                ถามกับพวกเขาทั้งหมดที่ยืนอยู่ตรงนี้

                จะขอถามอีกครั้งนะพวกเธออยากจะก้าวไปข้างหน้าแบบไหนกัน

                ไม่มีใครเข้าใจว่าซีลอร์ดต้องการคำตอบแบบไหน จึงยังไม่มีคนตอบโต้คำถามนั้น ดังนั้นเขาจึงอธิบาย

                ถ้ายังเลือกที่จะมีตัวตนต่อไปแล้วล่ะก็คงมีแต่ต้องทำลายระบบแอดมินิสเทรเตอร์ลงเท่านั้น

                นั่นหมายถึงต้องฆ่าโซลาริสอย่างนั้นสินะ ถ้าอย่างนั้นก็เข้าใจแล้ว

                เข้าใจแล้วว่าคำถามก่อนหน้านั่นเป็นคำถามถึงพวกเขาว่าอยากจะสร้างโลกแบบไหนกันหลังจากฆ่าพระเจ้าแล้วยึดเอาสิทธิ์ในการกำหนดหนทางของโลกมาแล้วนั่นเอง

                “…”

                ยังคงไม่มีใครตอบคำถามนั้น แต่เวลาที่จะรอคำตอบคงมีไม่พอแล้ว

                ก่อนที่ซุปเปอร์โนว่าจะปลดปล่อยออกมาจำเป็นต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อซื้อเวลาให้สามารถตอบคำถามให้ได้อย่างชัดเจน

                การถามตอบมันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ

                อิงศรเริ่มคิดขึ้นมาแบบนั้น ที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ มีการ ถาม-ตอบ เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อมีการปะทะกัน

                ทำไมกันนะ

                ซีลอร์ดพูดตอบความสงสัยนั่นให้โดยที่เขาไม่ได้เอ่ยปาก

                เพราะว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ต้องการเหตุผลเพื่อกระทำใช่ไหมล่ะ ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้ แล้วก็ถ้าใช้คับบาลาห์เคเธอร์ ของสองคนอาจจะหยุดซุปเปอร์โนว่าได้นะ

                อิงศรเบ้หน้าพลางก็คิดไปว่า

                ให้ตายเถอะหมอนี่ แบบนี้ทุกทีสิน่า

                นรินทร์ พลอย จัดการที

                รับทราบ

                ได้เลยค่ะพี่อิงศร

                ทั้งสองคนที่มีสกิลที่ว่าก้าวออกไปข้างหน้ากลุ่มแล้วร่ายสกิลยิงลำแสงไปที่ดวงตะวันบนท้องฟ้า

                แต่โซลาริสอยู่ในระดับความสูงที่ไม่มีสกิลไหนไปถึงตัวได้โดยลำพัง

                ไม่หรอก ยังไงก็ไปถึงเพราะว่าพวกเราเริ่มก้าวเดินแล้วยังไงล่ะ

                ซีลอร์ดพูดพลางยกหอกขึ้นปลดปล่อยลำแสงไล่ตามแสงสกิลของทั้งสองไป

                ลำแสงทั้งสามสายรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วพุ่งไปปะทะกับดวงอาทิตย์ พลันแสงสว่างนั้นก็ดับมอดลงในทันที

                พระเจ้าถึงกับตรัสสบถอย่างเกรี้ยวกราด

                หนอย ข้าจะฝังพวกเจ้าไว้ที่สวนแห่งนี้ จงกลายเป็นดินสำหรับบำรุงสวนอันศักดิ์สิทธิ์เสียเถอะ

                แล้วโปรยกางเขนแสงลงมา แต่ซีลอร์ดก็ใช้พลังของหอกต้านทานมันไว้เหมือนเดิม

                คงจะวนซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ไม่รู้จบ ถ้ายังไม่มีหนทางที่จะก้าวเดินต่อไปที่ชัดเจน

                เมื่อคิดได้ดังนั้นอิงศรก็คิดว่าต้องตอบคำถามให้กับซีลอร์ด การที่หมอนี่ถามมาแบบนี้แสดงว่าต้องมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างแน่ๆ

                ตอนนั้นเอง ซีลอร์ดก็พูดขึ้นมา

                หอกแห่งเมสสิยาห์นี้ต้องการความปรารถนาเพื่อเป็นพลัง

                หมายความว่ายังไง

                อดัมบอกให้ผมรู้ว่าหอกนี้มีอีกชื่ออยู่ว่า หอกแห่งความปรารถนา ลองกินุสน่ะ เพราะว่าตอนนี้ตัวผมเป็นมนุษย์แล้วถึงสามารถใช้มันได้แต่ว่าผมเองก็เป็นมือใหม่ในฐานะมนุษย์เหมือนกันจึงยังไม่รู้จักความปรารถนาดีพอ ช่วยสอนผมในเรื่องนั้นทีสิ

                สรุปก็คือที่ถามว่า พวกเขาอยากจะก้าวเดินต่อไปแบบไหน ก็คือต้องการเรียนรู้ความปรารถนาสินะ ถ้าอย่างนั้นมันก็ง่ายมาก มนุษย์อย่างพวกเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาอยู่แล้ว ถ้าซีลอร์ดอยากจะได้มัน จะมอบให้มากแค่ไหนก็ยังได้

                ถ้าย้อนกลับไปแล้ว พวกเราจะก้าวเดินต่อไปในทางที่ถูกต้อง

                อิงศรพูดออกไป จากนั้นก็มีเสียงจากพวกพ้องคนอื่นๆ ตามมา

                เผชิญหน้ากับโชคชะตาอย่างตรงไปตรงมาครับ

                กวินทร์พูดขณะที่ถีบตัวกระดอนขึ้นไปในอากาศพร้อมกับดาบคู่ที่เสริมพลังด้วยธาตุทั้งสี่

                เขาประกบมันเป็นเล่มเดียว กลายเป็นดาบที่อาบไว้ด้วยแสงสีทอง

                ท่าฟันสี่ธาตุ ควอเท็ตแสลช

                ตวัดดาบ ปลดปล่อยพลังแห่งธาตุออกไปกวาดกางเขนแสงทั้งหมดก่อนจะตกลงมา แล้วกวินทร์ก็ร่อนลงมายืนต่อหน้าพวกเขา

                นั่นแหละการก้าวเดินไปข้างหน้าของผม ต้องสะสมพลังเพื่อใช้ไม้ตายใช่ไหมครับถ้างั้นพวกเราจะต้านไว้ให้เอง

                รุ่นน้องพูดมาแบบนั้น

                ดังนั้นอิงศรจึงเออ ออ ไปด้วย

                งั้นก็เอาแบบนั้นแหละ นายก็คอยฟังความปรารถนาของพวกเราไปก็แล้วกัน

                พูดจบก็เรียกคันธนูกลับมาด้วยระบบของเกมแล้วออกไปรวมกับทุกคนที่ล่วงหน้าไปก่อน

                ใช้การโจมตีคอยสกัดดาบของพระเจ้าเอาไว้

                เมษาปลดปล่อยพลังของเดม่อนแอพพลิเคชั่น ทำให้คำสาปไหลเวียนไปทั่วทั้งร่าง ลวดลายสีดำเคลื่อนไหวขยุกขยิกอย่างน่ารังเกียจไปทั่วทั้งตัว

                อาชูร่า คูดะห์

                เมษาซัดหมัดออกไป คำสาปภายในร่างพุ่งออกจากหมัดกลายเป็นแสง กวาดกางเขนแสงหายไปแถบหนึ่ง

                หาเพื่อนซักร้อยคน

                เมษาพูดแล้วชี้ไปยังอิงศร

                หลังจากย้อนกลับไปแล้วนายก็ต้องมาเป็นเพื่อนฉันด้วยเข้าใจนะเว้ย นั่นแหละการก้าวเดินไปข้างหน้าของฉันล่ะ

                พอได้ยินความปรารถนาของเมษาอิงศรก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสมเพช

                ท...ทำไมเล่า นี่ฉันจริงจังนะเฟ้ย

                แต่มีนาก็พูดแทรกขึ้นมา

                ช่างหัวความฝันติงต๊องของเมษาไปก่อนเถอะค่ะ เพราะว่าฉันจะเป็นไอดอลตอนเดบิวแล้วก็อย่าลืมไปโอชิกันด้วยนะคะ

                พูดจบหล่อนก็ทำมือชูสองนิ้วไปแตะแถวตาขวาพลางขยิบตาอีกข้างเป็นท่า วิ้ง ประจำตัวแบบที่เห้นบ่อยๆ

                ไม่ได้ติงต๊องนะเฟ้ย แล้วช่างหัวมันเนี่ยนะ

                แต่ก็ไม่มีใครจะสนใจสิ่งที่เมษาโวยวายกันนัก

                นรินทร์เริ่มพูด

                ถึงชะตากรรมจะกำหนดชีวิตคนเราไว้ตั้งแต่ต้น แต่เราก็ยังเปลี่ยนมันได้ การได้พบกับอิงศรทำให้ผมเข้าใจถึงเรื่องนั้น

                ตอนนั้นเองก็มีกางเขนแสงชุดใหม่ตกลงมา นรินทร์ตวัดไม้เท้าขึ้นไปแล้วร่ายสกิลใส่กางเขนเหล่านั้น

                คับบาลาห์ เซฟิร่า เชเซ็ด

                ลำแสงพุ่งออกจากปลายไม้เท้าลบกางเขนทั้งหมดออกไปในพริบตา

                การมีชีวิตอยู่ก็คือการก้าวเดินไปข้างหน้าใช่ไหมล่ะ

                นรินทร์ทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะหลีกทางให้ฟูกับมิกซ์ที่ตามมาช่วย

                ฟูเหวี่ยงค้อนทำลายกางเขนแสงที่หลุดจากระยะยิงของมิกซ์

                จะตอนนี้หรือตอนไหนฉันก็จะทำอย่างทุกทีนั่นแหละ เป็นตัวของตัวเองนี่คือการก้าวเดินไปข้างหน้าของฉันเองรับรองไม่เหมือนใครแน่

                ถึงเจ้าตัวจะพูดว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงก็ตามที แต่ช่วงสามปีที่รู้จักกันมา ฟู คือคนที่เปลี่ยนตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว อาจจะพูดได้ว่าหมอนี่เป็นประเภทเดินหน้าลุยโดยไม่ค่อยคิดอะไรอยู่แล้วแต่ก็ยังมีด้านที่เปลี่ยนไปอยู่เหมือนกัน

                เนอะ มิกซ์

                ฟูหันไปพูดกับมิกซ์ที่ยังรัวปืนกลทำลายกางเขนแสงอยู่ ปืนกลนั่นเปลี่ยนมาจากปืนพกด้วยสกิลเทคนิคัลเวพ่อน

                อย่าเหมารวมสิอย่างน้อยผมก็ไม่คิดจะเดินไม่ดูตาม้าตาเรือแบบฟูหรอกน่า

                หา ไหงงั้นเล่าปกติตอนนี้มันต้องตามน้ำกันไม่ใช่เหรอ

                แต่มิกซ์ก็ยักไหล่พลางพูดไปว่า

                ไม่นิ ก็ผมไม่ใช่ลูกน้องของฟูซักหน่อย

                ง่า~~”

     

                ทว่า ตอนที่ทั้งสองพุดคุยกันจนไม่ทันระวังนั่นเอง ก็มีกางเขนแสงจำนวนสิบกว่าอันตกลงมา

                ฉันกับนิวก็ตกลงกันแล้วว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงฟูกับมิกซ์ไปตลอดเหมือนกัน

                พลอยในร่างชุดเกราะติดปีกจากสกิลเทคนิคัลเวพ่อน บินโฉบมาช่วยทั้งสองเอาไว้ หล่อนตวัดดาบตัดทำลายกางเขนแสงทั้งหมดโดยที่การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับสายอาชีพของพลอย

                สาเหตุนั้นก็เพราะนิวใช้สกิลสร้างเส้นได้มาเชิดพลอยทำให้เคลื่อนไหวได้โดยไม่สนขีดจำกัดนั่นเอง

                หนูเองก็จะพยายามค่ะ จะไม่ให้แพ้เน็กส์ด้วย

                เด็กหญิงกล่าวอย่างหนักแน่น

     

                แต่ถึงจะช่วยกันทำลายไปขนาดนั้นแล้วแต่ก็ยังกางเขนแสงที่โปรยลงมาไม่หมด

                ตอนนั้นเอง เน็กส์ก็เดินผ่านพวกพี่ๆ ออกมาข้างหน้า

                เด็กชายเงยหน้าขึ้นสู้กับกางเขนแสงอย่างไม่มีความกลัวเกรง เผชิญหน้ากับพระเจ้าด้วยความกล้าที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าร่างเล็กกระจ้อยนั่น

                เน็กส์ร่ายสกิล

                มหาวาโยราโอ

                แล้วปลดปล่อยลำแสงกับลมพายุออกไปกวาดกางเขนแสงทั้งหมดให้หายไปในพริบตา

                เมื่อไม่มีกางเขนแสงเหลือแล้ว เด็กชายก็เบนสายตากลับไปที่ซีลอร์ด

                นี่คือความตั้งใจของพวกเราฮะ ถึงจะไม่ได้เป็นมนุษย์เต็มตัวแต่พวกเราก็มีความปรารถนาอยู่ พวกเราเองก็สามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้เหมือนกัน

                ซีลอร์ดยิ้มรับความกล้าของเด็กน้อยด้วยสีหน้าอิ่มเอม

                นั่นสิความรู้สึกของเธอผมเองก็เข้าใจดีเลยล่ะ

     

                ทว่า..

                พวกเจ้าไม่รอดหรอก วัชพืชไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าได้

                ดูเหมือนโซลาริสจะไม่คิดเชื่อในตัวมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว หลักฐานก็คือกางเขนแสงจำนวนมากถูกจุดขึ้นที่ปลายแต่ละด้านของร่างจักรกลทรงดวงอาทิตย์

     

                บริโอแน็ก

                เสียงของมิ่งขวัญดังขึ้น น้องชายตวัดดาบแสงที่ยืดยาวขึ้นไปถึงจุดที่พระเจ้าประทับอยู่แล้วตวัดดาบด้วยความเร็วชนิดมองตามไม่ทัน

                กางเขนแสงทั้งหมดถูกฟันก่อนจะทันปล่อยลงมา

                วัชพืชงั้นเรอะ

                มิ่งขวัญพูด

                ถึงพวกเราจะเป็นวัชพืชก็ไม่เกี่ยว มันไม่เกี่ยวอยู่แล้วว่าจะเป็นมนุษย์หรือเปล่า เพราะฉันเองก็มีความตั้งใจของตัวเองอยู่เหมือนกัน พวกเราอยากจะเลือกหนทางด้วยตัวเอง นั่นแหละคือการก้าวเดินไปข้างหน้า คือการเป็นมนุษย์

                แล้วทีนี้...

                ความปรารถนาของทั้งสิบเอ็ดคนก็ถูกประกาศออกมาเป็นที่เรียบร้อย

                อิงศรแหงนหน้าขึ้นไปพูดกับพระเจ้า

                แอดมินิสเทรเตอร์ โซลาริส แกทำลายโลกของพวกเรามอบบททดสอบให้เพื่อผลักดันให้มนุษย์ก้าวต่อไปข้างหน้าสินะ แต่ดูเหมือนว่าแกเองจะยังไม่พร้อมที่จะเดินไปกับพวกเราเลยนี่

                วัชพืชไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทั้งนั้น คิดหรือว่าจะขัดขืนต่อกฏแห่งสรรพสิ่งได้น่ะ

                ต้องได้สิ เพราะว่าพวกเราก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว พวกเราจะจบเกมโลกาวินาศของแกแล้วมุ่งต่อไปข้างหน้า

                อิงศรหยุดการสนทนาที่ไม่มีความหมายกับพระเจ้าเอาไว้แค่นั้นแล้วหันไปยังพวกพ้องคนที่สิบสอง

                ซีลอร์ด...ไม่สิ ตอนนี้หมอนี่ได้กลายเป็นมนุษย์แล้ว

                ใช่ไหมล่ะ ออร์ฟี่

                อิงศรเรียกตามชื่อที่ปรากฏอยู่บนแถบพลังชีวิตของซีลอร์ด คำพูดของเขาทำให้ซีลอร์ดรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจพองโตขึ้นมา

                งั้นเองเหรอ นั่นคือความปรารถนาของพวกเธอสินะ ขอบคุณนะมันช่วยมอบพลังให้กับผม

                ซีลอร์ดแหงนหน้าขึ้นไปมองพระเจ้าแล้วพูดราวกับเป็นลูกชายที่กำลังจะขอพ่อแม่ออกไปใช้ชีวิตตามใจตัวเอง

                เขากล่าวลาผู้ที่สร้างตนเองขึ้นมา

                ตอนนี้ผมเองก็มีความปรารถนาแล้วเหมือนกัน

                บอกว่าตัวเองมีความปรารถนา บอกว่าตัวเองได้เติบโตขึ้นแล้ว

                จากเครื่องทำสวนกลายเป็นมนุษย์

                ผมเองก็จะก้าวไปข้างหน้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งด้วย ไปด้วยกันกับพวกเธอทุกคน

                แล้วตวัดชูหอกเล็งไปยังพระเจ้า

                หอกลองกินุส ที่ได้รับเอาความปรารถนาของมนุษย์ที่ก้าวไปข้างหน้าเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมปลดปล่อยพลังออกมา

                พลังมหาศาลขนาดทำให้อากาศรอบๆ สั่นสะเทือน

                ไพ่อาคานาร์จำนวนสิบใบปรากฏขึ้นห้อมล้อมซีลอร์ด อาคานาร์เหล่านั้นคือสิ่งที่อิงศรสะสมมาร่วมกันกับเขา

                หากอาคานาร์คือสายสัมพันธ์แล้ว นี่ก็คือสายสัมพันธ์ที่ผูกมัดพวกเขาทั้งหมดตรงนี้เอาไว้ด้วยกัน

                คือสายลมแห่งยุคใหม่

                ยุคสมัยของมนุษย์ ได้ถูกประกาศขึ้น

               

                อาคานาร์อาร์ค (Arcana Ark)

     

                สิ้นคำ ไพ่อาคานาร์ที่ห้อมล้อมซีลอร์ดก็พุ่งขึ้นไปพร้อมกับลำแสงสีรุ้งที่บินออกจากปลายหอก

                อาคานาร์เข้าไปรวมกับลำแสงนั้นแล้วพุ่งใส่พระเจ้า

     


    ***อาทิตย์นี้หายไปตอนหนึ่งอีกแล้ว~~~~ TwT เนื่องจากไอแพดอุปกรณ์สำหรับปั่นต้นฉบับของไรท์พังเลยทำให้ต้องวิ่งวุ่นกันน่าดูฮะ แอ่ววว เอาเป็นว่าอาทิตย์หน้ามาติดตามกันต่อ หากจะมีรีดคนไหนคิดว่า โซลาริสทำไมกากจัง มีแค่ท่าโปรยไม้จิ้มฟันแสงกับซุปเปอร์โนว่าแค่นั้นเองเรอะ ก็ขอตอบมันตรงนี้เลยว่ามีแค่นั้นแหละ! ทำไมเป็นงั้น งั้นจะขออธิบายว่าเดิมทีแล้วสไตล์การต่อสู้ของแอดมินิสเทรเตอร์แบ่งตามระยะโจมตี ซึ่งลูนาริสเป็นสายประชิดตัวจึงลงไปต่อสู้กับพวกอิงศรตั้งแต่อยู่บนลิฟต์เลยก็เพื่อให้โซลาริสสามารถใช้ซุปเปอร์โนว่าที่แรงที่สุดและระยะยิงไกลที่สุดเพราะสามารถยิงจากแซงทัวรี่ลงไปที่โลกได้อย่างเต็มที่ แต่บังเอิญสกิลพระเอกทำงานลูนาริสเลยดับไปทำให้โซลาริสถูกเข้าถึงตัวได้ง่ายเราเลยเห็นมันง่อยแบบนั้นนั่นเอง อูยเจ็บสีข้างไปหมดแย้วว(แถเต็มพิกัด)

    ส่วนเรื่องโลกคู่ขนานที่อิงศรหลุดไปช่วงที่หมดสติในตอนนี้เป็นครอสโอเวอร์กับอีกเรื่องที่ไรท์เขียนไว้ ไม่ได้ส่งผลกับเนื้อเรื่องโดยตรง ดังนั้นไม่ต้องกลัวงงหรือว่าไรท์จะมาเปิดประเด็นยาวเหยียดกันนะฮะ มันก็มีมูลแค่เท่าที่อิงศรรู้เรารู้นั่นแหละเน่อ อันนี้ไรท์ตอบเผื่อไว้สำหรับคนที่อยากรู้ว่าทำไมต้องครอสข้ามเรื่องไปด้วยแค่อยากโฆษณาเหรอ อันนั้นส่วนหนึ่ง เอ้ยไม่ใช่ คือว่าที่จริงแล้วทุกเรื่องที่ไรท์เขียนมีบอสตัวสุดท้ายผูกโยงกันอยู่งับ แต่อย่างไรก็ตามไรท์จะจำกัดขอบเขตเรื่องนี้ให้อยู่แค่ อิงศรรู้เรารู้เท่านั้นแน่นอนไม่ต้องห่วงว่าอ่านแล้วจะงงเน่อ

    แล้วเจอกันใหม่วันพุธน่อ โอเมก้า!!****


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×