คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #244 : Login 241: Arcana Ark
Login 241: Arcana Ark
‘หายไปเสียให้หมด’
พอตั้งหลักได้ โซลาริสก็โปรยกางเขนแสงลงมา โปรยอย่างบ้าคลั่งด้วยจำนวนที่มากมายชนิดมืดฟ้ามัวดินราวกับไม่สนใจแล้วว่าจะทำสวนพังไปด้วยหรือเปล่า
เมษาพูด
“เฮ้ยๆๆ แล้วแบบนี้จะหลบยังไงกันเล่า”
กวินทร์หันไปถามมิ่งขวัญที่อุ้มศพของอิงศรอยู่
“ขวัญหนีไปก่อนเลยไปหาที่หลบเร็วเข้า”
แต่มันไม่มีที่แบบนั้นหรอก สายฝนกางเขนแทบจะกลบลงบนทุกพื้นที่ของสวน
แต่ทว่า
“มิเรียดวิล”
ซีลอร์ดก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้ามิ่งขวัญพร้อมกับตวัดหอกซึ่งปลดปล่อยลำแสงขึ้นไปฟาดฟันทำลายกางเขนแสงที่จะตกลงมาในจุดที่พวกเขายืน
คนอื่นๆ พอเห็นเข้าก็วิ่งเข้ามารวมกันในวงล้อมที่ซีลอร์ดทำลายกางเขนแสงไป
กางเขนที่เหลือตกลงไปบนสวนศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีแล้วสวนมีพลังที่จะป้องกันพลังของแอดมินิสเทรเตอร์ได้ในระดับหนึ่ง
ตามปกติแล้วกางเขนแสงทั้งหมดจะต้องหายไปก่อนจะตกถึงวัตถุใดๆ บนสวนนอกจากผู้บุกรุก
ทว่าการโจมตีในครั้งนี้รุนแรงต่างออกไป
ทำให้พลังคงตกค้างยังเหลือเพียงพอจะเผาทำลายสวน
สวนเริ่มจะลุกไหม้ ควันไฟลอยขึ้นมาจากทุกหนแห่ง
พอเห็นแบบนั้นเข้าซีลอร์ดก็แหงนหน้ามองขึ้นไปยังพระเจ้าผู้ที่กำลังทำลายสวนด้วยมือตัวเอง
สายตาที่จับจ้องโซลาริสหรี่แคบลง...
เพราะความเจิดจ้าของพระเจ้าหรือว่าเพราะกำลังเคลือบแคลงใจในศรัทธราที่เคยมีให้กับแอดมินิสเทรเตอร์เมื่อตอนยังเป็นเครื่องทำสวนมันกำลังสั่นคลอนอยู่กันนะ
ตอนนั้นเอง พวกพ้องของอิงศรก็จับจ้องสายตามาที่นี่
มิ่งขวัญอุ้มร่างไร้วิญญาณของอิงศรตรงเข้ามาหา
“ช…ช่วยทีสิ นายทำได้ใช่ไหมช่วยศรที”
เด็กหนุ่มทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ ไม่สิ ร้องไปแล้วต่างหาก
พอมิ่งขวัญเริ่มเอ่ยปากพูดต่อจากนั้นต่อมน้ำตาก็แตกบ่อทันที
“จะให้ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพราะงั้นขอร้องล่ะ”
ซีลอร์ดยื่นมือข้างที่ว่างไปปาดเอาน้ำตาบนแก้มนั้นออก
“เบิกบานเข้าไว้เถอะมิ่งขวัญอาคานาร์ฟอร์ซของเธอคือความเบิกบานน้ำตาน่ะไม่เหมาะกับเธอหรอกนะ”
เขาพูดแล้วเบนสายตาไปยังอิงศรในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
“ส่วนอิงศรผมจะช่วยเองเพราะว่ามนุษย์จะถูกกอบกู้โดยมนุษย์เท่านั้น”
จากนั้นจึงยื่นมือไปอังที่ปากแผลของอิงศรที่ซึ่งเคยถูกดาบของมิ่งขวัญแทงทะลุหัวใจ
แสงสว่างเปล่งออกจากมือข้างนั้น
แสงอันอบอุ่นช่วยเยียวยา ทำให้รูบนหน้าอกสมานตัว
จนเหลือแต่คราบเลือดเกรอะกรังที่จับอยู่ผิวหนัง
ไม่มีคราบเลือดตกค้างอยู่บนเสื้อผ้าเพราะว่ามันเป็นชุดที่เขาทำขึ้นมาซึ่งสร้างให้เปื้อนยากและมีความทนทานสูง
การที่อะไรมายึดจับได้ยากจะช่วยลดโอกาสถูกพิษหรือสารแปลกปลอมที่เข้ามาเกาะ คงเพราะไปเน้นกับตรงนั้นมากเกินไปความแข็งแกร่งสำหรับชุดของแนวหลังอย่างที่อิงศรใส่อยู่นี้เลยป้องกันดาบที่เสียบเข้ามาได้ไม่สมบูรณ์
แต่หัวใจยังไม่เสียหายมากนัก ยังพอจะคืนชีพให้ได้
เพราะเสื้อพิเศษนี้ทำให้ดาบเสียบลงไปได้ไม่ลึกพอที่จะทำลายหัวใจทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง
เมื่อทำการชุบชีวิตแล้วลมหายใจของอิงศรก็กลับมาอีกครั้ง
แต่เด็กหนุ่มยังคงไม่ฟื้นคืนสติ
ซีลอร์ดพูด
“ตื่นขึ้นมาสิอิงศร”
@@@
“…”
อิงศรปรือตาขึ้น
ยังไม่ตายหรอกเหรอ เขาถามคำถามนั้นกับตัวเอง
จากความทรงจำสุดท้ายเขาได้ตายไปแล้ว
“…”
พระเจ้าได้ช่วงชิงครอบครัวกับพวกพ้องไปแล้วก็ถูกน้องชายตัวเองลงดาบสุดท้ายจนตาย
แต่ตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่
อิงศรชันตัวขึ้นครึ่งหนึ่ง แล้วมองสำรวจตัวเอง
แต่ไม่พบบาดแผลใดๆ
เขาจับตรงอกซ้ายที่โดนมิ่งขวัญแทงเข้ามา
แต่มันก็ไม่มีร่องรอยของบาดแผลอยู่เลย
พอลองสำรวจตัวเองอย่างถี่ถ้วนก็พบว่ากำลังสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ
ที่ไม่ใช่ชุดเครื่องแบบสู้รบ
เป็นแค่เสื้อยืดคอกลมสีดำไม่มีลวดลายกับกางเกงขาสามส่วน
เป็นการแต่งกายแบบสบายๆ เหมือนอยู่บ้าน
“หรือว่าเราจะหมดสติไปแล้วก็เลยฝันถึงอีกโลกคู่ขนานกันนะ”
อิงศรตั้งสมมติฐานเช่นนั้นแล้วมองไปรอบๆ
ครั้งแรกที่มายังโลกแห่งนี้คือตอนที่ได้พบกับเมอร์คาบาห์
ตอนนั้นเขาคิดว่าแค่ฝันไป
คิดว่าเป็นเพียงสิ่งที่จิตสำนึกต้องการสร้างขึ้นมา
แต่ก็ได้รับรู้ข้อมูลจากมิ่งขวัญที่เคยฝันถึงความฝันเดียวกันนี้
แล้วก็ได้รู้แท้จริงแล้วความฝันพวกนี้เป็นการฝันเห็นโลกคู่ขนานอีกแห่งหนึ่ง
โลกที่มีองค์ประกอบหลายอย่างเหมือนกันแต่ดำเนินเหตุการณ์แตกต่างกัน
ภายในโลกที่สงบสุขนี้ตัวเขากับน้องชายเป็นแค่เด็กธรรมดา
แค่ใช้ชีวิตประจำวันอย่างสงบสุขโดยไม่ต้องต่อสู้หรือดิ้นรนอะไรทั้งนั้น
นอกจากนี้ก็ยังรู้ว่ามีอีกโลกคู่ขนานที่เป็นโลกที่ล่มสลายคล้ายกับโลกของเขา
แต่สถานการณ์เลวร้ายกว่ามากๆ อยู่
“ทำไมกันนะ”
อิงศรเริ่มตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่า
สงสัยว่าทำไมเมื่อหมดสติจึงมักจะฝันเห็นโลกคู่ขนาน
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าเป็นผลมาจากการที่ถือครอง ‘ฟันเฟือง’
เจ้าชิ้นส่วนที่ใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องทำสวนมักจะนำเรื่องราวประหลาดมาให้เสมอ
ที่ผ่านมาเขาโทษที่ฟันเฟืองมาโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้
“เราไม่มีฟันเฟืองแล้ว”
แต่ก็ยังฝันเห็นโลกคู่ขนานได้
ถ้าอย่างนั้นที่มาของปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี่ก็เป็นอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฟันเฟืองแล้ว
แต่ว่ามันคืออะไรกันล่ะ
ทว่า เรื่องก็ยังไม่ได้หมดเพียงแค่นั้น
“…”
ครั้งนี้มันต่างออกไป อิงศรเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้
คือภายในห้องนอนที่ไม่คุ้นตา มันไม่เหมือนกับรอบที่แล้วที่เคยฝันเห็นเลย
เฟอร์นิเจอร์ไม่เหมือนกันกับคราวก่อนแล้วข้าวของในห้องก็ดูรกและมีของที่ดูไม่จำเป็นอยู่เยอะด้วย
ชั้นวางหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือการ์ตูนกับของเล่นตั้งโชว์
บนพื้นห้องมีไพ่หน้าตาประหลาดหล่นเกลื่อนอยู่เต็มพื้นห้อง
ประตูกระจกที่ส่องให้เห็นระเบียงด้านนอกมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองที่ชวนแปลกตา
เป็นทิวทัศน์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เมืองทันสมัยเป็นอย่างมาก มีอาคารที่รูปทรงดูแล้วไม่น่าเป็นไปไปได้ตั้งอยู่ไกลลิบ
หอคอยสูงเสียดฟ้าทอดยาวทะลุเมฆบ้างล่ะ
รนยนต์กำลังวิ่งไปมาอยู่บนท้องฟ้าบ้างล่ะ
เขาจ้องมองทิวทัศน์นั้นด้วยความฉงนอยู่พักใหญ่
แล้วก็สังเกตเห็นเรื่องแปลกประหลาดจนต้องก้าวเท้าลงจากเตียง
เดินเข้าไปใกล้ประตูกระจกเอาหน้าแนบติดกับมันเพื่อมองดูสิ่งนั้นให้ชัดเจน
สัตว์เทวะเหรอ
ปีศาจเหรอ
ไม่สิ มันเป็นอะไรที่ดูแตกต่างไปจากนั้นมาก พวกมันมีรูปร่างหลากหลายแบบ
ราวกับโลกแฟนตาซีที่มีเผ่าอมนุษย์มากมายเดินกันให้ว่อนไปทั่วทั้งเมือง
ทั้งมังกร ทั้งนกตัวใหญ่ยักษ์ บ้างก็เป็นมนุษย์ที่แต่งตัวประหลาดๆ
หรือไม่ก็มีอวัยวะเหมือนสัตว์ป่า
ทั้งหมดนั่นเป็นมิตรต่อกันทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน
ความกลมกลืนนั่นทำให้อิงศรอ้าปากค้าง
“อะไรกันล่ะเนี่ย”
เขาเปรยออกมา ที่นี่ไม่เหมือนกับคราวก่อนเลยซักนิด
ถ้าหากว่านี่เป็นความฝันล่ะก็มันก็ไม่สมจริงสุดๆ หรือถ้าเป็นโลกคู่ขนานก็เป็นที่ๆ
ประหลาดสุดๆ เหมือนกันนี่เขาหลุดมาที่ไหนกันแน่
อิงศรดึงตัวเองออกจากกระจกหันหน้ากลับเข้ามาสำรวจภายในห้อง
มองหาของที่น่าจะช่วยบอกใบ้เกี่ยวกับโลกใบนี้
ปฏิทินล่ะ นี่ปีอะไรแล้ว
คอมพิวเตอร์จะมีตัวบอกเวลาไหมนะ
ถ้าเปิดทีวีจะมีข่าวสารที่ช่วยบอกว่าที่นี่คือที่ไหนออกมารึเปล่า
อิงศรจ้องมองของพวกนั้นแล้วคิดไปด้วยว่าจะเริ่มจากอันไหนก่อน
แต่แล้วสิ่งที่ดึงดูดหัวใจของเขามากที่สุดกลับไม่ใข่ของพวกนั้น แต่d]y[เป็นไพ่ที่หล่นอยู่บนพื้นห้อง
อาคานาร์หรือเปล่านะ?
ชั่วพริบตาหนึ่งที่คิดขึ้นมาว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับอาคานาร์
แต่ว่าลายของไพ่ไม่เหมือนกับอาคานาร์
อิงศรก้มลงเก็บไพ่ใบหนึ่งจากในนั้นขึ้นมาพลิกดู
เป็นไพ่ที่มีรูปตัวละครกับรายละเอียดที่เหมือนกับเป็นการ์ดเกมเขียนเอาไว้
“ของเล่นเรอะ”
จากนั้นก็เริ่มมองดูไพ่ใบอื่นๆ ในไพ่เหล่านั้นมีของน่าสะดุดตาอยู่กลุ่มหนึ่ง
ไพ่ที่เป็นรูปตัวเขาเอง
รูปของมิ่งขวัญ
มีกวินทร์ แล้วก็คนอื่นๆ อีก
มีไพ่ที่เป็นรูปของพวกพ้องเขาหลายใบปะปนรวมอยู่ในกองไพ่เหล่านี้
พอตั้งท่าจะหยิบไพ่พวกนั้นขึ้นมาก็กลับมีเสียงพูดมาหยุดไว้ก่อน
“พอแค่นั้นแหละ”
อิงศรหยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่สิ เข้ามาในห้องตอนไหนกันแน่
เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดเท่ากันแต่งตัวด้วยเครื่องแบบของเมตไตรย
“นาย...”
อิงศรจ้องมองตัวเองที่กำลังยืนกอดอกห้ามปรามไม่ให้หยิบไพ่ขึ้นมา
อิงศรคนนั้นพูดเหมือนกับบ่นว่า
“ให้ตายเถอะหลุดมาไกลขนาดข้ามมาเวิร์สนี้เลยเหรอทางนั้นเองก็วิกฤติน่าดูสินะ”
“นายเป็นใครน่ะ ไม่สิทำไมนายถึงเหมือนกับฉันเลยล่ะแล้วเข้าห้องมาตอนไหน”
อิงศรถามตัวเองอีกคน แต่ตัวเขานั้นก็ชี้มาที่กองไพ่บนพื้น พอดูดีๆ
แล้วก็เห็นว่าไพ่ใบที่มีรูปเขาอยู่หายไปจากกอง
“ฉันก็อยู่ในการ์ดพวกนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”
“หา?”
ตัวเขาอีกคนทำหน้าลำบากใจ
“ถ้าให้เล่าเรื่องมันจะยุ่งเอานะ สรุปก็คือว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาย
แล้วการ์ดพวกนั้นก็สำคัญกับเพื่อนของฉันด้วยเพราะงั้นช่วยวางมันคืนที่ก่อนเหอะ”
อิงศรวางไพ่คืนตามที่ว่า
“ขอบใจ
ทีนี้ก็เข้าเรื่องดีกว่าฉันว่านายควรจะกลับไปนะยังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่ที่ฟากโน้นไม่ใช่เหรอ”
“ไม่คิดจะอธิบายหน่อยเหรอว่าที่นี่มันที่ไหนแล้วอีกอย่างจะกลับไปยังไง ฉันไม่รู้วิธีนี่”
พอพูดไปแบบนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้พูดขึ้นมา
ใช่แล้วล่ะถ้าขืนตัวละครสองตัวมายืนคุยกันแบบนี้มันจะเกิดเรื่องยุ่งยากเอานะรวมทั้งคนอ่านก็จะงงเป็นไก่ตาแตกไปด้วย
“นั่นเสียงใครน่ะ”
อิงศรกวาดตามองไปรอยๆ แต่ไม่พบใครที่ว่าเลย
แถมเสียงที่ได้ยินก็ยังกำหนดทิศทางไม่ได้ราวกับอยู่ๆ มันก็ดังขึ้นมาจากอากาศ
ตัวเขาอีกคนทำหน้าเหนื่อยหน่าย
“นั่นเสียงผู้บรรยายน่ะนายมองไม่เห็นหรอก”
ได้ยินดังนั้นอิงศรก็เบ้หน้า
”หา ผู้บรรยาย?”
ตัวเขาอีกคนยิ้มเจื่อน
“อ่า~ อย่าเซ้าซี้มากว่านี้เลยน่า
มันจะยุ่งยากเข้าไปเปล่าๆ
เอาเป็นว่านี่เป็นโลกที่เหมือนกับเรื่องเขียนในนิยายอะไรแบบนั้นน่ะก็เลยมีของประหลาดๆ
อย่างผู้บรรยายอะไรทำนองนี้”
ยิ่งได้ฟังที่ตัวเขาอีกคนพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก
แต่พอจับใจความได้ว่าเป็นโลกคู่ขนานที่ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา
ตัวเขาอีกคนพูดเสริมอีกว่า
“ของนายก็มีผู้ถูกลืมเลือนอยู่ไม่ใช่เหรอแบบหมอนั่นแหละ”
“หมายถึงแบบนั้นน่ะเหรอ”
ที่จริงอิงศรเองก็ไม่รู้หรอกว่าแบบนั้นที่ว่าน่ะมันแบบไหน
แต่พอจะเข้าใจได้ว่าตัวตนที่เรียกว่าผู้บรรยายคงจะเป็นเหมือนกับซีลอร์ด
เป็นเจ้าสโตรเกอร์โรคจิตที่คอยตามจับตาดูอยู่ที่ไหนซักแห่งแล้วรอจังหวะเปิดเผยตัวเองเหมือนบอสในเกมอะไรแบบนั้น
ทว่า เสียงของ ‘ผู้บรรยาย’ ก็ดังขึ้นมาอีก
ว่าใครเป็นสโตรเกอร์กันน่ะแบบนี้มันเสียมารยาทนะ
ตัวเขาอีกคนจึงตอบโต้ไป
“ก็บอกแล้วไงว่าให้เลิกพูดได้แล้ว”
จากนั้นก็หันมาพูดกับอิงศรต่อ
“แล้วก็วิธีกลับไปน่ะไม่ยากหรอกแค่คิดถึงสถานที่ในความทรงจำของนายก็พอ”
“แค่นั้นเองเหรอ...”
อิงศรหยุดคำพูดไปเมื่อนึกถึงสิ่งที่จะต้องพบเจอหลังจากกลับไปขึ้นมา
ถึงจะกลับไปตอนนี้ก็ต้องเจอกับเรื่องโหดร้ายที่รออยู่
เรื่องที่ว่าพวกพ้องของเขาถูกพระเจ้าช่วงชิงไป อาจจะต้องสู้กับทุกคน…
เพราะเริ่มคิดถึงความยากลำบากที่รออยู่ข้างหน้าใบหน้าของอิงศรก็เลยดูหมองลงไป
จนตัวเองอีกคนทักขึ้นมา
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยสิ”
อิงศรอีกคนย่อตัวลงนั่งยองๆ ให้ระดับสายตาอยู่เท่ากัน
“ฉันเองก็คือนายคนหนึ่งเพราะงั้นก็พอจะรู้อยู่ว่านายเจออะไรมาบ้างแต่ว่าอย่ายอมแพ้ล่ะ
จินตนาการจะเป็นพลังให้นาย”
อิงศรทำหน้าไม่เข้าใจที่ตัวเองอีกคนพูด
“มันเป็นคำขวัญของเพื่อนคนสำคัญในโลกนี้ของฉันน่ะ
หมอนั่นเรียกตัวเองว่าลูซเซอร์”
“ลูซเซอร์?”
“ใช่ ที่แปลว่าขี้แพ้นั่นแหละ
แต่ทั้งแบบนั้นดันพยายามเอาเป็นเอาตายอยู่คนเดียวเป็นไอ้บ้าแบบเดียวกับฉันและนายที่มีพวกพ้องอยู่มากมายแต่ดันไม่กล้าไปรบกวนซะอย่างนั้น
ฉันเองก็ได้หมอนั่นช่วยไว้มากเลยล่ะ”
น่าแปลก…
อิงศรคิดว่ามันพิลึกสิ้นดี
ตัวเองมานั่งคุยกับตัวเองในอีกโลกที่แปลกประหลาด
แล้วก็ยังให้กำลังใจตัวเองอีกต่างหาก
ดูเหมือนว่าตัวเขาอีกคนในโลกนี้จะเป็นพวกมองโลกในแง่ดี
แถมยังดูสดใสและคิดบวกมากกว่าตัวเขาเสียอีก
จินตนาการจะเป็นพลังให้... มันอะไรกันล่ะนั่น เลอะเทอะสุดๆ
ไปเลยไม่ใช่หรือไง
“แต่แปลกดีนะพอฟังที่นายพูดแล้วฉันรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อหรือโกหกอะไรเลยอย่างกับว่าฉันเคยรู้เรื่องพวกนั้นมาก่อน”
อิงศรพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป ตอนนี้ รู้สึกคุ้นเคยหรือาจจะชินกับโลกใบนี้เข้าเสียแล้ว
“แหงสิก็ฉันกับนายคือคนๆ เดียวกันนี่”
ตัวเขาอีกคนกำหมัดแล้วยื่นมาให้
“ตอนนี้พวกพ้องของนายกำลังรออยู่กลับไปอัดพระเจ้าให้หงายเก๋งไปเลย”
อีกฝ่ายรู้เรื่องที่ว่าพวกเขาต่อต้านพระเจ้าของโลกตัวเองด้วย
ถ้าอย่างนั้นที่พูดว่าเป้นคนเดียวกันกับเขาคงจะเป็นความจริง
แต่ว่ามันเป็นไปได้ด้วยเหรอที่จะมีคนๆ
เดียวกันมาอยู่พร้อมหน้ากันได้
ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่หัวใจของอิงศรยอมรับคำพูดที่น่าเหลือเชื่อนั่นได้อย่างหมดหัวใจ
“อื้อ”
เขาส่งเสียงอย่างฮึกเหิมแล้วกำหมัดชนกำปั้นอีกฝ่าย
วิ้งงงงง
มีเสียงแหลมสูงดังขึ้นมาจากนั้นโลกก็กลายเป็นสีขาวโพลนก่อนจะดับวูบกลายเป็นความมืด
“ตื่นเถอะ อิงศร”
อิงศรลืมตาขึ้นตามเสียงเรียกนั้น
เขากลับมาแล้ว กลับมายังสนามรบของตัวเอง
ที่สวนศักดิ์สิทธิ์
ที่เบื้องหน้าพระเจ้าผู้กุมบังเหียนของโลก
แต่คราวนี้มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไปจนเขาต้องตกใจ
อย่างแรก ตนเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมแขนของน้องชาย
“ขวัญ...”
อิงศรสบตากับมิ่งขวัญ แล้วก็รำพึงว่า
“อีกแล้วเรอะ”
สามปีก่อนก็เหมือนกันเขาถูกน้องชายอุ้มวิ่งหนีจากสัตว์เทวะ
ดูเหมือนนี่จะเป็นชะตาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือว่าอะไรกันแน่นะ
“วางฉันลงที”
พอสั่งไปแบบนั้นมิ่งขวัญก็ปล่อยตัวเขาลง
อิงศรมองไปรอบๆ พยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน
พวกพ้องของเขาซึ่งพระเจ้าทำให้คืนชีพขึ้นมาแล้วใช้เป็นหมากไล่บี้เขา
แต่ตอนนี้กำลังจ้องมองมาที่นี่ด้วยใบหน้าแบบไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าสิ่งที่เหมือนกันคือทุกคนกำลังยิ้ม
“เธอตายไปรอบหนึ่งแล้วนะ
ไม่สิถ้านับรวมจากที่เคยเข้ารับการทดสอบของผมนี่เป็นครั้งที่สิบสี่ได้”
น้ำเสียงอันคุ้นหูนั่นดึงสายตาของอิงศรให้หันกลับไปข้างหลัง
ซีลอร์ดนั่นเอง แต่ว่ามีของเพิ่มขึ้นมาพอสมควร
นอกจากผ้าคลุมสีขาวพะรุงพะรังนั่นแล้วก็ยังมีหอกสีขาวที่ดึงดูดสายตามากเป็นพิเศษ
จำได้ว่านั่นเหมือนกับหอกที่มิ่งขวัญจากอนาคตถือติดมาด้วย
“เฮ้ หอกนั่นหรือว่า”
อิงศรชี้ไปที่หอกในมือของซีลอร์ดสลับกับมองหน้าน้องชายอย่างมีนัยยะสำคัญ
ทว่า ตอนนั้นเอง โซลาริสก็ปล่อยการโจมตีลงมา กางเขนแสงจำนวนมหาศาลโปรยปรายดั่งห่าฝน
ซีลอร์ดหมุนหอกในมือชูมันขึ้นไปหาฝนกางเขนเหล่านั้น
คิดจะใช้พลังจากหอกต้านทานมันไว้
“มีเรียดวิล”
หอกปลดปล่อยลำแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกไปแผดเผากางเขนแสงที่ตกลงมา
อิงศรที่ได้เห็นพลังของหอกนั่นจึงมั่นใจว่าสมมติฐานที่คิดไว้น่าจะถูก
แล้วจู่ๆ ซีลอร์ดก็หันมาพูดกับเขา
“นี่คือร่างไฮพีเรี่ยนน่ะ”
การที่พูดเป็นประโยคคำตอบแบบนั้นแสดงว่าอ่านใจเขาไปแล้ว
“ร่างไฮพีเรี่ยน แบบรูบิเดียมน่ะเหรอ”
ก่อนหน้านี้เคยได้ยินคำๆ นั้นมาก่อน รูบิเดียมอธิบายให้เขา
มิ่งขวัญและกวินทร์ฟังที่แชงกริล่าเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า ไฮพีเรี่ยน
คือร่างที่ควบรวมความเป็นไปได้กับความเป็นจริงในปัจจุบันเข้าไว้ด้วยกัน
พูดแบบง่ายๆ
ก็คือกลายร่างเป็นตัวเองที่เก่งกว่าตอนนี้ซึ่งอยู่ในอนาคตที่ยังไม่แน่นอนว่าจะกลายเป็นแบบนั้น
แต่ซีลอร์ดกลับพูดแย้ง
“ไม่เหมือนซะทีเดียวหรอกแต่ใกล้เคียงกันอยู่มาก”
มีนาจึงพูดสรุปให้แทนพวกเขาที่ทำท่าจะคุยกันยาว
“สรุปว่าคล้ายๆ กันประมาณ แพะกับแกะสินะคะ”
อย่างไรซะนี่ก็อยู่ระหว่างเผชิญหน้ากับพระเจ้า
ซีลอร์ดพูด
“พลังที่อดัมมอบให้ผมคือไฮพีเรียลไรซ์เป็นการทำให้
ตัวตนในปัจจุบันกับโลกคู่ขนานในอนาคตซ้อนทับกันจนมีตัวตนขึ้นมา”
ฟังจากที่พูดมาแล้วคล้ายกับกรณีของรูบิเดียมแต่จะเหมือนกับอีกกรณีหนึ่งแบบเรียกได้ว่าเป็นอย่างเดียวกันเลยก็คือ
“แบบนั้นมันเหมือนกับที่ขวัญเคยทำมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
อิงศรพูด
ได้ยินดังนั้นซีลอร์ดก็เบนสายตาไปที่มิ่งขวัญ
“เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ”
พอเริ่มสนทนาไปได้นิดหน่อยพวกเขาก็ถูกแทรกขัดจังหวะมาอีก
คลื่นจิตที่สื่อสารจากโซลาริสมาถึงสมองในคราวนี้สัมผัสได้ถึงความโกรธ
‘พอกันที ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มต้นใหม่กันแล้วจงหายไปเสียวัชพืช’
มันคือแรงสั่นสะเทือนที่ผิวหนังรู้สึกได้ราวกับว่าพระเจ้าได้ตะโกนด้วยเสียงอันดังก้อง
ร่างกายจักรกลของพระเจ้าเริ่มเปล่ง
ร่างกายทุกส่วนส่องสว่างเจิดจ้าสุกสกาวราวกับดวงตะวัน
“แย่ล่ะสิ ไอ้นั่นมัน”
อิงศรสบถ เขาจำความเข้มของแสงขนาดนั้นได้เป็นอย่างดี
มันคือแสงที่เคยแผดเผาลิฟต์ระหว่างที่เดินทางขึ้นมายังสวนศักดิ์สิทธิ์
“ซุปเปอร์โนว่า คิดจะปิดบัญชีแล้วสินะ”
ซีลอร์ดพูดเสริม
นี่คงไม่ใช่เวลามาพูดคุยกันแล้วจริงๆ นั่นแหละ
ทั้งที่น่าจะเป็นแบบนั้นแต่ซีลอร์ดก็ยังถามคำถาม
ถามกับพวกเขาทั้งหมดที่ยืนอยู่ตรงนี้
“จะขอถามอีกครั้งนะพวกเธออยากจะก้าวไปข้างหน้าแบบไหนกัน”
ไม่มีใครเข้าใจว่าซีลอร์ดต้องการคำตอบแบบไหน จึงยังไม่มีคนตอบโต้คำถามนั้น
ดังนั้นเขาจึงอธิบาย
“ถ้ายังเลือกที่จะมีตัวตนต่อไปแล้วล่ะก็คงมีแต่ต้องทำลายระบบแอดมินิสเทรเตอร์ลงเท่านั้น”
นั่นหมายถึงต้องฆ่าโซลาริสอย่างนั้นสินะ ถ้าอย่างนั้นก็เข้าใจแล้ว
เข้าใจแล้วว่าคำถามก่อนหน้านั่นเป็นคำถามถึงพวกเขาว่าอยากจะสร้างโลกแบบไหนกันหลังจากฆ่าพระเจ้าแล้วยึดเอาสิทธิ์ในการกำหนดหนทางของโลกมาแล้วนั่นเอง
“…”
ยังคงไม่มีใครตอบคำถามนั้น แต่เวลาที่จะรอคำตอบคงมีไม่พอแล้ว
ก่อนที่ซุปเปอร์โนว่าจะปลดปล่อยออกมาจำเป็นต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อซื้อเวลาให้สามารถตอบคำถามให้ได้อย่างชัดเจน
การถามตอบมันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ
อิงศรเริ่มคิดขึ้นมาแบบนั้น ที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ มีการ ถาม-ตอบ
เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อมีการปะทะกัน
ทำไมกันนะ
ซีลอร์ดพูดตอบความสงสัยนั่นให้โดยที่เขาไม่ได้เอ่ยปาก
“เพราะว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่ต้องการเหตุผลเพื่อกระทำใช่ไหมล่ะ
ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้ แล้วก็ถ้าใช้คับบาลาห์เคเธอร์ ของสองคนอาจจะหยุดซุปเปอร์โนว่าได้นะ”
อิงศรเบ้หน้าพลางก็คิดไปว่า
ให้ตายเถอะหมอนี่ แบบนี้ทุกทีสิน่า
“นรินทร์ พลอย จัดการที”
“รับทราบ”
“ได้เลยค่ะพี่อิงศร”
ทั้งสองคนที่มีสกิลที่ว่าก้าวออกไปข้างหน้ากลุ่มแล้วร่ายสกิลยิงลำแสงไปที่ดวงตะวันบนท้องฟ้า
แต่โซลาริสอยู่ในระดับความสูงที่ไม่มีสกิลไหนไปถึงตัวได้โดยลำพัง
“ไม่หรอก ยังไงก็ไปถึงเพราะว่าพวกเราเริ่มก้าวเดินแล้วยังไงล่ะ”
ซีลอร์ดพูดพลางยกหอกขึ้นปลดปล่อยลำแสงไล่ตามแสงสกิลของทั้งสองไป
ลำแสงทั้งสามสายรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วพุ่งไปปะทะกับดวงอาทิตย์
พลันแสงสว่างนั้นก็ดับมอดลงในทันที
พระเจ้าถึงกับตรัสสบถอย่างเกรี้ยวกราด
‘หนอย ข้าจะฝังพวกเจ้าไว้ที่สวนแห่งนี้
จงกลายเป็นดินสำหรับบำรุงสวนอันศักดิ์สิทธิ์เสียเถอะ’
แล้วโปรยกางเขนแสงลงมา แต่ซีลอร์ดก็ใช้พลังของหอกต้านทานมันไว้เหมือนเดิม
คงจะวนซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ไม่รู้จบ ถ้ายังไม่มีหนทางที่จะก้าวเดินต่อไปที่ชัดเจน
เมื่อคิดได้ดังนั้นอิงศรก็คิดว่าต้องตอบคำถามให้กับซีลอร์ด
การที่หมอนี่ถามมาแบบนี้แสดงว่าต้องมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างแน่ๆ
ตอนนั้นเอง ซีลอร์ดก็พูดขึ้นมา
“หอกแห่งเมสสิยาห์นี้ต้องการความปรารถนาเพื่อเป็นพลัง”
“หมายความว่ายังไง”
“อดัมบอกให้ผมรู้ว่าหอกนี้มีอีกชื่ออยู่ว่า หอกแห่งความปรารถนา ‘ลองกินุส’ น่ะ
เพราะว่าตอนนี้ตัวผมเป็นมนุษย์แล้วถึงสามารถใช้มันได้แต่ว่าผมเองก็เป็นมือใหม่ในฐานะมนุษย์เหมือนกันจึงยังไม่รู้จักความปรารถนาดีพอ
ช่วยสอนผมในเรื่องนั้นทีสิ”
สรุปก็คือที่ถามว่า พวกเขาอยากจะก้าวเดินต่อไปแบบไหน ก็คือต้องการเรียนรู้ความปรารถนาสินะ
ถ้าอย่างนั้นมันก็ง่ายมาก มนุษย์อย่างพวกเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาอยู่แล้ว ถ้าซีลอร์ดอยากจะได้มัน
จะมอบให้มากแค่ไหนก็ยังได้
“ถ้าย้อนกลับไปแล้ว พวกเราจะก้าวเดินต่อไปในทางที่ถูกต้อง”
อิงศรพูดออกไป จากนั้นก็มีเสียงจากพวกพ้องคนอื่นๆ ตามมา
“เผชิญหน้ากับโชคชะตาอย่างตรงไปตรงมาครับ”
กวินทร์พูดขณะที่ถีบตัวกระดอนขึ้นไปในอากาศพร้อมกับดาบคู่ที่เสริมพลังด้วยธาตุทั้งสี่
เขาประกบมันเป็นเล่มเดียว กลายเป็นดาบที่อาบไว้ด้วยแสงสีทอง
“ท่าฟันสี่ธาตุ ควอเท็ตแสลช”
ตวัดดาบ ปลดปล่อยพลังแห่งธาตุออกไปกวาดกางเขนแสงทั้งหมดก่อนจะตกลงมา
แล้วกวินทร์ก็ร่อนลงมายืนต่อหน้าพวกเขา
“นั่นแหละการก้าวเดินไปข้างหน้าของผม
ต้องสะสมพลังเพื่อใช้ไม้ตายใช่ไหมครับถ้างั้นพวกเราจะต้านไว้ให้เอง”
รุ่นน้องพูดมาแบบนั้น
ดังนั้นอิงศรจึงเออ ออ ไปด้วย
“งั้นก็เอาแบบนั้นแหละ นายก็คอยฟังความปรารถนาของพวกเราไปก็แล้วกัน”
พูดจบก็เรียกคันธนูกลับมาด้วยระบบของเกมแล้วออกไปรวมกับทุกคนที่ล่วงหน้าไปก่อน
ใช้การโจมตีคอยสกัดดาบของพระเจ้าเอาไว้
เมษาปลดปล่อยพลังของเดม่อนแอพพลิเคชั่น ทำให้คำสาปไหลเวียนไปทั่วทั้งร่าง
ลวดลายสีดำเคลื่อนไหวขยุกขยิกอย่างน่ารังเกียจไปทั่วทั้งตัว
“อาชูร่า คูดะห์”
เมษาซัดหมัดออกไป คำสาปภายในร่างพุ่งออกจากหมัดกลายเป็นแสง กวาดกางเขนแสงหายไปแถบหนึ่ง
“หาเพื่อนซักร้อยคน”
เมษาพูดแล้วชี้ไปยังอิงศร
”หลังจากย้อนกลับไปแล้วนายก็ต้องมาเป็นเพื่อนฉันด้วยเข้าใจนะเว้ย
นั่นแหละการก้าวเดินไปข้างหน้าของฉันล่ะ”
พอได้ยินความปรารถนาของเมษาอิงศรก็จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสมเพช
“ท...ทำไมเล่า นี่ฉันจริงจังนะเฟ้ย”
แต่มีนาก็พูดแทรกขึ้นมา
“ช่างหัวความฝันติงต๊องของเมษาไปก่อนเถอะค่ะ
เพราะว่าฉันจะเป็นไอดอลตอนเดบิวแล้วก็อย่าลืมไปโอชิกันด้วยนะคะ”
พูดจบหล่อนก็ทำมือชูสองนิ้วไปแตะแถวตาขวาพลางขยิบตาอีกข้างเป็นท่า
วิ้ง ประจำตัวแบบที่เห้นบ่อยๆ
“ไม่ได้ติงต๊องนะเฟ้ย แล้วช่างหัวมันเนี่ยนะ”
แต่ก็ไม่มีใครจะสนใจสิ่งที่เมษาโวยวายกันนัก
นรินทร์เริ่มพูด
“ถึงชะตากรรมจะกำหนดชีวิตคนเราไว้ตั้งแต่ต้น แต่เราก็ยังเปลี่ยนมันได้
การได้พบกับอิงศรทำให้ผมเข้าใจถึงเรื่องนั้น”
ตอนนั้นเองก็มีกางเขนแสงชุดใหม่ตกลงมา นรินทร์ตวัดไม้เท้าขึ้นไปแล้วร่ายสกิลใส่กางเขนเหล่านั้น
“คับบาลาห์ เซฟิร่า เชเซ็ด”
ลำแสงพุ่งออกจากปลายไม้เท้าลบกางเขนทั้งหมดออกไปในพริบตา
“การมีชีวิตอยู่ก็คือการก้าวเดินไปข้างหน้าใช่ไหมล่ะ”
นรินทร์ทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะหลีกทางให้ฟูกับมิกซ์ที่ตามมาช่วย
ฟูเหวี่ยงค้อนทำลายกางเขนแสงที่หลุดจากระยะยิงของมิกซ์
“จะตอนนี้หรือตอนไหนฉันก็จะทำอย่างทุกทีนั่นแหละ
เป็นตัวของตัวเองนี่คือการก้าวเดินไปข้างหน้าของฉันเองรับรองไม่เหมือนใครแน่”
ถึงเจ้าตัวจะพูดว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงก็ตามที
แต่ช่วงสามปีที่รู้จักกันมา ฟู คือคนที่เปลี่ยนตัวเองมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
อาจจะพูดได้ว่าหมอนี่เป็นประเภทเดินหน้าลุยโดยไม่ค่อยคิดอะไรอยู่แล้วแต่ก็ยังมีด้านที่เปลี่ยนไปอยู่เหมือนกัน
“เนอะ มิกซ์”
ฟูหันไปพูดกับมิกซ์ที่ยังรัวปืนกลทำลายกางเขนแสงอยู่
ปืนกลนั่นเปลี่ยนมาจากปืนพกด้วยสกิลเทคนิคัลเวพ่อน
“อย่าเหมารวมสิอย่างน้อยผมก็ไม่คิดจะเดินไม่ดูตาม้าตาเรือแบบฟูหรอกน่า”
“หา ไหงงั้นเล่าปกติตอนนี้มันต้องตามน้ำกันไม่ใช่เหรอ”
แต่มิกซ์ก็ยักไหล่พลางพูดไปว่า
“ไม่นิ ก็ผมไม่ใช่ลูกน้องของฟูซักหน่อย”
“ง่า~~”
ทว่า
ตอนที่ทั้งสองพุดคุยกันจนไม่ทันระวังนั่นเอง ก็มีกางเขนแสงจำนวนสิบกว่าอันตกลงมา
“ฉันกับนิวก็ตกลงกันแล้วว่าจะไม่เป็นตัวถ่วงฟูกับมิกซ์ไปตลอดเหมือนกัน”
พลอยในร่างชุดเกราะติดปีกจากสกิลเทคนิคัลเวพ่อน
บินโฉบมาช่วยทั้งสองเอาไว้
หล่อนตวัดดาบตัดทำลายกางเขนแสงทั้งหมดโดยที่การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับสายอาชีพของพลอย
สาเหตุนั้นก็เพราะนิวใช้สกิลสร้างเส้นได้มาเชิดพลอยทำให้เคลื่อนไหวได้โดยไม่สนขีดจำกัดนั่นเอง
“หนูเองก็จะพยายามค่ะ จะไม่ให้แพ้เน็กส์ด้วย”
เด็กหญิงกล่าวอย่างหนักแน่น
แต่ถึงจะช่วยกันทำลายไปขนาดนั้นแล้วแต่ก็ยังกางเขนแสงที่โปรยลงมาไม่หมด
ตอนนั้นเอง
เน็กส์ก็เดินผ่านพวกพี่ๆ ออกมาข้างหน้า
เด็กชายเงยหน้าขึ้นสู้กับกางเขนแสงอย่างไม่มีความกลัวเกรง
เผชิญหน้ากับพระเจ้าด้วยความกล้าที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าร่างเล็กกระจ้อยนั่น
เน็กส์ร่ายสกิล
“มหาวาโยราโอ”
แล้วปลดปล่อยลำแสงกับลมพายุออกไปกวาดกางเขนแสงทั้งหมดให้หายไปในพริบตา
เมื่อไม่มีกางเขนแสงเหลือแล้ว
เด็กชายก็เบนสายตากลับไปที่ซีลอร์ด
“นี่คือความตั้งใจของพวกเราฮะ
ถึงจะไม่ได้เป็นมนุษย์เต็มตัวแต่พวกเราก็มีความปรารถนาอยู่
พวกเราเองก็สามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้เหมือนกัน”
ซีลอร์ดยิ้มรับความกล้าของเด็กน้อยด้วยสีหน้าอิ่มเอม
“นั่นสิความรู้สึกของเธอผมเองก็เข้าใจดีเลยล่ะ”
ทว่า..
‘พวกเจ้าไม่รอดหรอก วัชพืชไม่มีวันก้าวไปข้างหน้าได้’
ดูเหมือนโซลาริสจะไม่คิดเชื่อในตัวมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว
หลักฐานก็คือกางเขนแสงจำนวนมากถูกจุดขึ้นที่ปลายแต่ละด้านของร่างจักรกลทรงดวงอาทิตย์
“บริโอแน็ก”
เสียงของมิ่งขวัญดังขึ้น
น้องชายตวัดดาบแสงที่ยืดยาวขึ้นไปถึงจุดที่พระเจ้าประทับอยู่แล้วตวัดดาบด้วยความเร็วชนิดมองตามไม่ทัน
กางเขนแสงทั้งหมดถูกฟันก่อนจะทันปล่อยลงมา
“วัชพืชงั้นเรอะ”
มิ่งขวัญพูด
“ถึงพวกเราจะเป็นวัชพืชก็ไม่เกี่ยว
มันไม่เกี่ยวอยู่แล้วว่าจะเป็นมนุษย์หรือเปล่า
เพราะฉันเองก็มีความตั้งใจของตัวเองอยู่เหมือนกัน
พวกเราอยากจะเลือกหนทางด้วยตัวเอง นั่นแหละคือการก้าวเดินไปข้างหน้า
คือการเป็นมนุษย์”
แล้วทีนี้...
ความปรารถนาของทั้งสิบเอ็ดคนก็ถูกประกาศออกมาเป็นที่เรียบร้อย
อิงศรแหงนหน้าขึ้นไปพูดกับพระเจ้า
“แอดมินิสเทรเตอร์ โซลาริส
แกทำลายโลกของพวกเรามอบบททดสอบให้เพื่อผลักดันให้มนุษย์ก้าวต่อไปข้างหน้าสินะ
แต่ดูเหมือนว่าแกเองจะยังไม่พร้อมที่จะเดินไปกับพวกเราเลยนี่”
‘วัชพืชไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรได้ทั้งนั้น คิดหรือว่าจะขัดขืนต่อกฏแห่งสรรพสิ่งได้น่ะ’
“ต้องได้สิ เพราะว่าพวกเราก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว
พวกเราจะจบเกมโลกาวินาศของแกแล้วมุ่งต่อไปข้างหน้า”
อิงศรหยุดการสนทนาที่ไม่มีความหมายกับพระเจ้าเอาไว้แค่นั้นแล้วหันไปยังพวกพ้องคนที่สิบสอง
ซีลอร์ด...ไม่สิ
ตอนนี้หมอนี่ได้กลายเป็นมนุษย์แล้ว
”ใช่ไหมล่ะ ออร์ฟี่”
อิงศรเรียกตามชื่อที่ปรากฏอยู่บนแถบพลังชีวิตของซีลอร์ด
คำพูดของเขาทำให้ซีลอร์ดรู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจพองโตขึ้นมา
“งั้นเองเหรอ นั่นคือความปรารถนาของพวกเธอสินะ
ขอบคุณนะมันช่วยมอบพลังให้กับผม”
ซีลอร์ดแหงนหน้าขึ้นไปมองพระเจ้าแล้วพูดราวกับเป็นลูกชายที่กำลังจะขอพ่อแม่ออกไปใช้ชีวิตตามใจตัวเอง
เขากล่าวลาผู้ที่สร้างตนเองขึ้นมา
”ตอนนี้ผมเองก็มีความปรารถนาแล้วเหมือนกัน”
บอกว่าตัวเองมีความปรารถนา
บอกว่าตัวเองได้เติบโตขึ้นแล้ว
จากเครื่องทำสวนกลายเป็นมนุษย์
“ผมเองก็จะก้าวไปข้างหน้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งด้วย ไปด้วยกันกับพวกเธอทุกคน”
แล้วตวัดชูหอกเล็งไปยังพระเจ้า
หอกลองกินุส
ที่ได้รับเอาความปรารถนาของมนุษย์ที่ก้าวไปข้างหน้าเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมปลดปล่อยพลังออกมา
พลังมหาศาลขนาดทำให้อากาศรอบๆ
สั่นสะเทือน
ไพ่อาคานาร์จำนวนสิบใบปรากฏขึ้นห้อมล้อมซีลอร์ด
อาคานาร์เหล่านั้นคือสิ่งที่อิงศรสะสมมาร่วมกันกับเขา
หากอาคานาร์คือสายสัมพันธ์แล้ว
นี่ก็คือสายสัมพันธ์ที่ผูกมัดพวกเขาทั้งหมดตรงนี้เอาไว้ด้วยกัน
คือสายลมแห่งยุคใหม่
ยุคสมัยของมนุษย์
ได้ถูกประกาศขึ้น
“อาคานาร์อาร์ค (Arcana Ark)”
สิ้นคำ
ไพ่อาคานาร์ที่ห้อมล้อมซีลอร์ดก็พุ่งขึ้นไปพร้อมกับลำแสงสีรุ้งที่บินออกจากปลายหอก
อาคานาร์เข้าไปรวมกับลำแสงนั้นแล้วพุ่งใส่พระเจ้า
***อาทิตย์นี้หายไปตอนหนึ่งอีกแล้ว~~~~
TwT เนื่องจากไอแพดอุปกรณ์สำหรับปั่นต้นฉบับของไรท์พังเลยทำให้ต้องวิ่งวุ่นกันน่าดูฮะ
แอ่ววว เอาเป็นว่าอาทิตย์หน้ามาติดตามกันต่อ หากจะมีรีดคนไหนคิดว่า
โซลาริสทำไมกากจัง มีแค่ท่าโปรยไม้จิ้มฟันแสงกับซุปเปอร์โนว่าแค่นั้นเองเรอะ
ก็ขอตอบมันตรงนี้เลยว่ามีแค่นั้นแหละ! ทำไมเป็นงั้น
งั้นจะขออธิบายว่าเดิมทีแล้วสไตล์การต่อสู้ของแอดมินิสเทรเตอร์แบ่งตามระยะโจมตี ซึ่งลูนาริสเป็นสายประชิดตัวจึงลงไปต่อสู้กับพวกอิงศรตั้งแต่อยู่บนลิฟต์เลยก็เพื่อให้โซลาริสสามารถใช้ซุปเปอร์โนว่าที่แรงที่สุดและระยะยิงไกลที่สุดเพราะสามารถยิงจากแซงทัวรี่ลงไปที่โลกได้อย่างเต็มที่
แต่บังเอิญสกิลพระเอกทำงานลูนาริสเลยดับไปทำให้โซลาริสถูกเข้าถึงตัวได้ง่ายเราเลยเห็นมันง่อยแบบนั้นนั่นเอง
อูยเจ็บสีข้างไปหมดแย้วว(แถเต็มพิกัด)
ส่วนเรื่องโลกคู่ขนานที่อิงศรหลุดไปช่วงที่หมดสติในตอนนี้เป็นครอสโอเวอร์กับอีกเรื่องที่ไรท์เขียนไว้
ไม่ได้ส่งผลกับเนื้อเรื่องโดยตรง
ดังนั้นไม่ต้องกลัวงงหรือว่าไรท์จะมาเปิดประเด็นยาวเหยียดกันนะฮะ
มันก็มีมูลแค่เท่าที่อิงศรรู้เรารู้นั่นแหละเน่อ อันนี้ไรท์ตอบเผื่อไว้สำหรับคนที่อยากรู้ว่าทำไมต้องครอสข้ามเรื่องไปด้วยแค่อยากโฆษณาเหรอ
อันนั้นส่วนหนึ่ง เอ้ยไม่ใช่ คือว่าที่จริงแล้วทุกเรื่องที่ไรท์เขียนมีบอสตัวสุดท้ายผูกโยงกันอยู่งับ
แต่อย่างไรก็ตามไรท์จะจำกัดขอบเขตเรื่องนี้ให้อยู่แค่ ‘อิงศรรู้เรารู้’ เท่านั้นแน่นอนไม่ต้องห่วงว่าอ่านแล้วจะงงเน่อ
แล้วเจอกันใหม่วันพุธน่อ
โอเมก้า!!****
ความคิดเห็น