คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #242 : Login 239: อารมณ์ที่สมบูรณ์ของคนเขลา
Login 239: อารมณ์ที่สมบูรณ์ของคนเขลา
อิงศรตายแล้ว อย่างง่ายดาย
“ผู้ถูกฟันเฟืองเลือก....”
ซีลอร์ดซึ่งจ้องมองเหตุการณ์มาโดยตลอดพูด
ทั้งที่เสียงนั้นแผ่วเบาเป็นอย่างมาก
แต่เสียงกลับดังก้องในสวนอันเงียบสงบแห่งนี้
“อิงศร...”
ซีลอร์ดลองเรียกไปอีกแต่ร่างของอิงศรที่โอบกอดมิ่งขวัญอย่างสงบก็ไม่ได้เคลื่อนไหว
“มาได้แค่นี้สินะ”
เขาเปรยอย่างสิ้นหวัง
มันจบลงแล้ว ทุกอย่างจบลงแล้ว การขัดขืนได้จบลงแล้ว
ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
โซลาริสบนท้องฟ้าเบนดวงตามาที่นี่ บนทุ่งหญ้าที่หัวของเขาวางอยู่โดดเดี่ยว
‘เท่านี้ความผิดพลาดก็ถูกแก้ไขแล้ว ออร์ฟิอูคูมันนาร์’
จบแล้วสินะ เท่านี้อีกเดี๋ยวก็คงได้ตามอิงศรไป
ตามไปอยู่กับทุกคนที่ล่วงหน้าไปก่อน
อา.... อีกเดี๋ยวผมจะตามนายไปแล้วนะ
หวังว่าถึงตอนนั้นเครื่องทำสวนจะมีชีวิตหลังความตายนะ
“…อดัม”
ทว่า สิ่งที่โซลาริสพูดกับเขานั้นกลับตรงกันข้าม
‘จากนี้ไปเจ้าจะต้องทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดเพื่อชดเชยต่อความผิดพลาดที่เจ้าได้กระทำลงไป’
ไม่ถูกตัดสินโทษประหาร แต่กลับให้ทำงานเพื่อไถ่บาปแทน?
นี่มันอะไรกัน
“ทำไม”
เขาเอ่ยถามต่อหน้าแอดมินิสเทรเตอร์อย่างที่ไม่ค่อยได้ทำ
เพราะก่อนหน้านั้นบนสวนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ‘ความสงสัย’
เป็นสิ่งต้องห้าม
การตั้งคำถามต่อแอดมินิสเทรเตอร์เป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะกระทำ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองเตรียมใจที่จะตายเอาไว้แล้วหรืออย่างไร
ความเกรงกลัวต่ออำนาจของแอดมินิสเทรเตอร์ถึงได้ลดลงไปอย่างมาก
แต่ถึงจะมาคิดเอาป่านนี้เขาก็ถามมันออกไปแล้ว
“ทำไมถึงละเว้นแค่ผมล่ะ
ตอนอดัมก็เหมือนกันท่านขับไล่เขาลงไปแต่กลับให้ผมอยู่ทำไมถึงทำแบบนั้น”
‘....’
“ผมมีความสำคัญอะไรอยู่อย่างนั้นหรือช่วยบอกเหตุผลหน่อยเถอะ”
‘….’
แต่คำตอบจากแอดมินิสเทรเตอร์คือความเงียบ
เขาไม่ได้รับคำตอบหรือไม่ก็อาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้รู้ในเรื่องนั้น
“ฆ่าผมที”
ซีลอร์ดพูด
“ได้โปรดทำลายผมด้วยเถิด”
พอพูดไปแบบนั้น
แอดมินิสเทรเตอร์ก็ตอบกลับมาด้วยเสียงที่ดังก้องถึงภายในจิตใจ
‘อารมณ์ที่เจ้าเรียนรู้มาจากส่วนที่เป็นมนุษย์นั้นเป็นข้อผิดพลาดจงขจัดมันเสียเดี๋ยวนี้’
“ไม่ครับ ผมไม่สามารถทำอย่างที่ท่านว่าได้ ดังนั้นได้โปรดทำลายผมเถอะ”
‘ออร์ฟิอูคูมันนาร์จงฟังเรา’
“ฟังอยู่ครับ”
‘ออร์ฟิอูคูมันนาร์เอ๋ย
การที่เจ้าถือครองสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์เอาไว้มันจะทำให้เจ้าหลงลืมกาลเวลาไป
ความโกรธ ความเบิกบาน ความเศร้า อารมณ์เหล่านั้นเป็นตัวช่วงชิงข้อมูลไปจากหน่วยประมวลผลของเจ้า
บางทีเจ้าอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนสวนแห่งนี้ก่อนที่เจ้าจะลงไปจากที่นี่’
“ถ้าอย่างนั้นผมลืมอะไรไปกันล่ะ”
‘ความจริงยังไงล่ะ’
“ความจริงเรื่องอะไรครับ”
‘ความจริงที่ว่าอดัมซึ่งเจ้าพูดถึงอยู่นั้นไม่เคยมีตัวตนบนสวนแห่งนี้’
“หมายความว่ายังไงครับ ท่านคิดจะบิดเบือนความเชื่อของผมอย่างนั้นหรือ”
‘ออร์ฟิอูคูมันนาร์เจ้าต้องอย่าหวั่นไหวต่อสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าความเป้นจริงนั้นเจ้าต้องมองให้ถ่องแท้’
“ไม่ ท่านกำลังจะล้างสมองผม ผมไม่ฟังท่านอีกแล้ว ทำลายผมที ทำลายผมซะ!”
‘ออร์ฟิอูคูมันนาร์เจ้าพังแล้วอย่างนั้นหรือ’
“ครับผมพังแล้ว ท่านทำให้ผมพังทลายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
เอ้าทำลายผมเดี๋ยวนี้เลยเซ่!”
พอตวาดไปเช่นนั้นรอบๆ รัศมีของโซลาริสก็ปรากฏกางเขนแสงขึ้น
คงจะทำเกินไปแล้วสินะไปทำให้พระเจ้าพิโรธเข้าแล้ว
ซีลอร์ดปิดดวงตาลง เตรียมใจยอมรับความพินาศที่กำลังจะมาถึง
เวลาผ่านไป
แต่ก็ยังสัมผัสไม่ได้ สัมผัสอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นจึงเปิดดวงตา
ที่เบื้องหน้าเขามองเห็นต้นเหตุที่ทำให้ไม่เกิดอะไรขึ้น
ตัวการที่ทำให้แอดมินิสเทรเตอร์ยังไม่ลงดาบใส่
“ทุกคน...”
พวกพ้องของอิงศรย้ายมาอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“แกคือดซลาริสสินะ”
มิ่งขวัญแบกร่างของอิงศรที่สิ้นใจเอาไว้แล้วตะโกนใส่พระเจ้าทั้งที่ไม่น่าจะทำได้
ร่างเหล่านั้นเป็นร่างกลวงๆ ที่แอดมินิสเทรเตอร์นำกลับมาไม่น่าจะนำจิตสำนึกกลับมาด้วยทั้งอย่างนั้นแล้วทำไม
‘ทำไมถึงต่อต้านข้าได้ล่ะ ไม่สิทำไมสำนึกของพวกเจ้าถึงกลับคืนมาทั้งที่น่าจะสูญสลายไปแล้วนี่’
“เพราะเสียงไงล่ะ มีเสียงเรียกพวกเราให้กลับมา”
มิ่งขวัญพูดแบบนั้น แต่เสียงอะไรกันล่ะ
บนสวนที่เงียบสงบถึงขนาดนี้ไม่เห็นจะได้ยิน...
“….”
มีเสียงอะไรบางอย่างดังอยู่
เป็นเสียงที่เบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินหากไม่เงี่ยหูฟังให้ดี
เสียงนั้นกล่าวว่า
“ออ...ผมเอง”
“เสียงนั่นมัน หรือว่า”
ซีลอร์ดเหลือบตามองไปรอบๆ เขาทำได้แค่นั้นด้วยร่างกายที่เหลือแต่หัว
มองหาที่มาของเสียงนั้น
เสียงอันคุ้นเคย เสียงที่โหยหามาตลอด
ร่างกายรับรู้ได้ในทันทีว่านี่คือเสียงของ
“อดัม นั่นนายใช่ไหม”
“ออร์ฟี่...ได้ยินผมแล้วสินะ”
“อา ได้ยินแล้ว อดัม ผมน่ะคิดถึงนายมาตลอดเลย”
ไม่รู้ทำไมแต่ว่า ส่วนของดวงตารู้สึกว่ามีความชื้นแทรกเข้ามา
หยดน้ำใสไหลรินออกมา
นี่คือน้ำตา สารหล่อลื่นที่มนุษย์หลั่งออกมาเพื่อช่วยรักษาดวงตาแล้วก็ใช้บ่งบอกอารมณ์ด้วย
ตอนที่เริ่มมีน้ำตาขึ้นมาก็คือตอนที่เริ่มลงไปอยู่บนสวนแห่งที่สอง
พอเริ่มตัดใจว่ามนุษย์ที่อดัม
อยากจะปกป้องไม่มีทางจะอยู่รอดจากบททดสอบน้ำตาก็ไหลรินมาโดยตลอด
แต่พออิงศรแสดงความตั้งใจให้เห็นในการทดสอบของเขา
ก็รู้เหมือนกับว่าน้ำตาภายในกายมันได้เหือดแห้งไปนั่นคงเป็นเพราะมีความหวังเกิดขึ้นมา
ความหวังทำให้เกิดความยินดี ความยินดีทำให้น้ำตาหยุดไหล
แล้วทำไมตอนนี้ทั้งที่ตัวเขากำลังยินดีที่ได้ยินเสียงของอดัมอีกครั้งถึงได้น้ำตาไหลรินกันล่ะ
ไม่เข้าใจเลย
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
แต่แล้วเสียงของอดัมก็พูดราวกับจะตอบคำถามในใจเขา
“ผมอยู่ในอาคานาร์ เดอะฟูล น่ะ เงื่อนไขการทำงานของมันก็คือการมีอารมณ์ที่สมบูรณ์
แต่เพราะมันเป็นอาคานาร์ของนายก็เลยยากที่จะสำแดงพลังได้แต่ว่านายในตอนนี้
ได้รู้จักความเศร้า ความยินดี และ ความโกรธแล้วเพราะงั้นผมถึงกลับมาได้”
มีแสงแยงลงมาจากด้านบน
ไม่ใช่แสงของโซลาริส มันอบอุ่นกว่าต่างกับแสงอันเย็นเยียบของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง
“เดอะ ฟูล งั้นเหรอ”
ซีลอร์ดมองขึ้นไปยังจุดที่กำเนิดแสง
อาคานาร์ที่เขามอบให้อิงศรไปก่อนจะขึ้นลิฟต์กำลังลอยอยู่กลางอากาศ
ลอยอยู่เบื้องหน้าพวกมิ่งขวัญ
เมอร์คาบาห์ปรากฏตัวขึ้นตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แล้วทั้งที่อิงศรซึ่งเป็นเจ้าของน่าจะตายไปแล้วแต่ทำไมเมอร์คาบาห์ยังออกมาได้อีกกันล่ะ
เมอร์คาบาห์ประกบมือลงบนอาคานาร์ที่ลอยเคว้งอยู่นั่นแล้วร่างกายก็เปล่งแสงสว่าง
ร่างกายเปลี่ยนไป
กลายเป็นมนุษย์เพศชาย ผมหยิกหยักศกเรือนผมสีทอง ร่างเนื้อเปลือยเปล่าผิวพรรณแบ่งเป็นสองสีครึ่งหนึ่งขาวผุดผ่อง
อีกครึ่งสีคล้ำเข้ม
ใบหน้าอ่อนโยนและใสซื่อบริสุทธิ์
“ไม่เปลี่ยนไปเลยนะอดัม”
ซีลอร์ดพึมพำออกมาเมื่อได้เห็นเพื่อนกลับมา
อดัมจ้องมองอิงศรที่สิ้นใจอยู่ในอ้อมแขนของมิ่งขวัญแล้วพูด
“ขอโทษนะที่ต้องให้มาเสี่ยงชีวิตแบบนี้”
ชายหนุ่มเบนความสนใจกลับไปยังซีลอร์ด
”แต่ว่าตอนนี้มีเรื่องที่จะต้องทำซะก่อนใช่ไหม ออร์ฟี่”
***อาทิตย์นี้ไรท์งานเข้ามากๆ
จนไม่มีเวลาเขียนเลยครับ แล้วก็ขอแจ้งว่าอาทิตย์หน้าจะงดอาทิตย์หนึ่งครับ
พอดีไรท์ปั่นงานแล้วมาปั่นนิยายต่อรู้สึกมันทื่อลงๆ
ยังไงไม่รู้เลยอยากจะใช้เวลาเพิ่มกับเนื้อหาในตอนที่สำคัญๆ หลังจากนี้อีกหน่อยครับ
อาทิตย์ถัดจากงดจะอัพสามตอน วันอังคาร
พฤหัส เสาร์ นะครับ****
ความคิดเห็น