คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #236 : Login 233: ความหมายของมนุษย์ 1
Login 233: ความหมายของมนุษย์ 1
ที่เบื้องหน้าของ กวินทร์ วชิระ คือชายที่น่าจะตายไปแล้ว
เชื่อว่าชายผู้เก็บซ่อนความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัดคนนั้นได้ตายลง
ก็เพราะสิ่งที่พรากชีวิตของแฟรนเซียม ราชามนุษย์ต่างดาว
คือแสงของพระเจ้าที่ลบได้ทุกอย่างได้สาดส่องใส่แฟรนเซียมที่สนามรบในวันนั้น
เช่นเดียวกันกับในตอนนี้ แสงแห่งพระเจ้าก็ยังคงสาดส่องลงมาสำแดงอำนาจอันน่าสะพรึงให้เห็น
แต่แฟรนเซียมคนนั้นกลับยังยืนอยู่ที่นี่
“ทำไมแกถึงยังมีชีวิตอยู่”
กวินทร์ถามออกไปโดยที่จับดาบเท็งกะโกะเค็นที่เปลี่ยนเป็นพลังธาตุไฟในมือไว้มั่น
“….”
แต่แฟรนเซียมเมินคำถามนั้นแล้วเบนสายตาขึ้นไปยังจุดที่แสงแห่งพระเจ้าทะลวงผ่านเยื้อเมือกสีดำบางๆ
ซึ่งแผ่กางครอบคลุมอาณาบริเวณบนลิฟต์ทั้งหมด
“จงอาบชโลมสรวงสวรรค์ให้มืดมิดอนธกาลมังกรสัมบูรณ์กาล อาซีดาฮากา อหุราคา”
แฟรนเซียมพูดสิ่งที่เหมือนกับการร่ายสกิลหรืออะไรทำนองนั้นออกมา
นั่นเป็นคำสั่งที่ทำให้ม่านเมือกบางๆ ข้างบนหัวของพวกเขาสมานตัวปิดรอยรั่วที่แสงแห่งพระเจ้าสาดส่องลงมา
ม่านนั่นสามารถสะท้อนแสงแห่งพระเจ้าออกไปได้?
ไม่สิมันเหมือนกับว่าเมือกสีดำนั่นดูดซับเอาแสงสว่างไว้เสียมากกว่า
ม่านนั่นทนต่อแสงของพระเจ้าได้แต่กลับทะลุตอนที่พวกเขาตกลงมาจากลิฟต์ตัวบนที่พังไป
แต่ก็เพราะเมือกนั่นทำให้พวกเขารอดตายจากการตกจากที่สูงมาด้วยเพราะได้มันช่วยชะลอความเร็วเอาไว้
รูตรงที่อื่นซึ่งเกิดจากซากลิฟต์ตกทับลงมาก็ถูกซ่อมแซมแล้วเช่นกัน
กวินทร์ถาม
“นั่นมันอะไรน่ะ”
แต่แฟรนเซียมก็ไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่พูดเหมือนเป็นเชิงถามกลับมาแทน
“รู้สึกว่าตอนที่ฉันไล่ตามพวกแกมามันก็ห่างกันไม่นานเท่าไหร่นะ”
แฟรนเซียมเบนสายตาลง จ้องมองมาทางนี้แล้วพูดต่อ
”แต่การที่เหลือกันแค่นี้เวลาที่ใช้เดินทางมาที่นี่คงจะเหลื่อมกันอยู่เยอะเลยสิ”
ดังนั้นกวินทร์จึงเปลี่ยนคำถาม
“ทำไมถึงมาที่นี่ คิดจะทำอะไรกันแน่”
พอถามไปแล้วแฟรนเซียมก็หัวเราะเบาๆ
“กวินทร์ วชิระ
เพราะแกไปนับถือคนแบบอิงศรมันแกถึงได้ตกต่ำจนต้องมาอยู่ในสภาพนี้ไงล่ะแล้วพี่สาวแกก็เหมือนกัน”
จู่ๆ ก็พูดถึงพี่สาวของเขา มันตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
อย่างไรก็ตามจิตใจของกวินทร์กำลังหวั่นไหวกับความตายของพวกพ้อง
แล้วยิ่งสูญเสียมิ่งขวัญไปพร้อมกับต้องคอยปกป้องอิงศร
ทำให้สมองไม่ค่อยแล่นนัก มีแต่อารมณ์ที่หมุนวนอยู่ในอกคอยขับเคลื่อนการกระทำ
เด็กหนุ่มตะหวาดด้วยความเกรี้ยวกราด
“อย่ามาว่าพี่ฟ้านะ แล้วก็อย่ามาว่าพี่ศรด้วย!”
“ไทเทเนียมน่ะนับถือในตัวฉันที่น่าสมเพชเหมือนกันกับเจ้านั่นก็เลยโดนแกฆ่าตายไปไง”
“หุบปาก!”
กวินทร์เก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่อีกแล้ว
เมื่ออีกฝ่ายเริ่มพูดจาเหมือนจะประชดแกมดูถูก
แถมยังเหยียดหยามพี่สาวลูกพี่ลูกน้องที่เขารักกับรุ่นพี่ที่เคารพ
รุ่นพี่ที่เหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ ที่เขาภาคภูมิใจ
ทว่า.... แฟรนเซียมกลับพูดในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่คิดเอาไว้
“เหมือนกันเลยนะทั้งแกทั้งฉัน”
“หา?”
อีกฝ่ายกำลังจะบอกว่าตัวเองน่าสมเพชเหมือนกับที่ดูถูกพวกเขาไว้อย่างนั้นหรือ
จากนั้นแฟรนซียมก็ยังพูดเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่รู้ทำไมจึงเอามาพูดต่อหน้าเขา
“ฉันกับกุมภาเป็นพี่น้องคนล่ะแม่กันยัยนั่นเป็นพี่สาว”
“…”
”สงสัยที่สอนดาบให้ไทเทเนียมไปก็เพื่อให้ตัวเองตัดใจได้ล่ะมั้ง”
“คิดจะพูดอะไรกันแน่”
“นั่นสิ....จะมาพูดอะไรเอาป่านนี้กันเพราะฉันเองก็ฆ่ายัยนั่นไปแล้วก่อนจะขึ้นมาที่นี่”
“ฮึ่ย!”
แบบนี้เอง... แบบนี้เองสินะ
กวินทร์เข้าใจแล้วว่าแฟรนเซียมตั้งใจจะทำอะไร
ตั้งใจยั่วโมโหเขาด้วยคำพูดที่ไม่รู้ว่าจริงหรือโกหกแต่ก็ล้ำเส้นมาแล้ว
หมอนั่นบอกว่าตัวเองเป็นคนฆ่ากุมภาหรือรูบิเดียมที่เป็นพี่สาวด้วยมือตัวเอง
จะบอกว่าตัวมันเองกับเขาเหมือนกันอย่างนั้นสินะ
แฟรนเซียมพูด
“เหมือนกันแล้วใช่ไหมล่ะ
เอ้าตอบมาได้รึยังล่ะว่าความรู้สึกที่ได้ฆ่าพี่สาวตัวเองพรากสิ่งสำคัญไปด้วยมือของตัวเองมันเป็นแบบไหน
ตอบมาสิ กวินทร์ วชิระ!”
แล้วชักดาบที่เหน็บเอวไว้ออกมา ดาบของสิงห์ ธุวดารกะ
ที่มีแอพพลิเคชั่นปีศาจติดตั้งอยู่
กวินทร์จ้องมองไปที่ดาบนั้นแล้วประเมินฝีมือตัวเองว่าจะสามารถต่อต้านดาบที่ติดตั้งปีศาจของพลเอกได้ถึงแค่ไหนกัน
ถึงแม้จะไม่ใช่ดาบมังกรเทวะแบบที่เคยเห็นที่สนามรบ
พลังของดาบนั่นแข็งแกร่งเกินไปจนตัวเขาในตอนนี้ก็ยังเอาชนะไม่ได้
แต่ถ้าเป็นดาบติดตั้งปีศาจธรรมดาๆ นี่ล่ะก็ตัวเองจะมีโอกาสชนะรึเปล่า
“….”
ต่อให้ชนะไปก็เป็นแค่การต่อให้ของศัตรูเท่านั้น 5hkควักเอาดาบขี้โกงนั่นออกมาใช้เมื่อไหร่ก็จบ
ถ้าอย่างนั้น...
“ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้เดี๋ยวจะให้เวลาจนกว่าเจ้าอิงศรมันจะฟื้นนั่นแหละระหว่างนั้นฉันก็จะเล่นกับแกรอไปก่อน”
แฟรนเซียมกล่าวมาแบบนั้นแล้วจึงพูดจุดประสงค์ที่แท้จริงให้เขาฟัง
“เมื่อกี้ถามสินะว่าฉันมาทำอะไรที่นี่”
“….”
“ก็มาฆ่าอิงศรไงล่ะแล้วรายต่อไปก็จะเป็นพระเจ้า”
สิ้นคำแฟรนเซียมก็ตวัดดาบแล้วบุกจู่โจมเข้ามาด้วยความรวดเร็วจนแทบตอบสนองไม่ทัน
แกร๊ง เสียงโลหะแหลมสูงดังกังวานเมื่อดาบของพวกเขาเข้าปะทะกัน
ตามมาด้วยเสียงระเบิดกับสะเก็ดไฟจากดาบของกวินทร์ที่ปลดปล่อยพลังไฟออกมาเมื่อมันสัมผัสถูกสิ่งใดก็ตาม
การต่อสู้ที่รอเพียงแค่จุดจบได้เริ่มขึ้น...
@@@
“ทำเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ลงไปแล้วสินะอิงศร”
เรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เรื่องอะไรกันน่ะ แล้วทำไม…
เอลิกอร์
สเลปเนียร์
โอดิน
…ปีศาจที่เขาครอบครองทั้งหมดจึงมาอยู่พร้อมหน้ากันในโลกสีขาวโพลนแห่งนี้กันล่ะ
ที่นี่คือที่ไหน
ดูคล้ายกับสถานที่ที่เคยพบกับซีลอร์ดเป็นครั้งแรกก่อนจะไปที่รูนรูม
หรือว่าเป็นภายในจิตใจของตัวเอง
“จิตสำนึกของเธอตกลงมาที่นี่เพราะว่าร่างกายกำลังจะฟื้นตัวในอีกไม่ช้าน่ะสิ”
น้ำเสียงสดใสดังกังวานลงมาจากเบื้องบน
แสงสว่างทอดตัวลงมาจากตรงนั้นเมื่ออิงศรมองขึ้นไปเขาก็ต้องยกมือขึ้นป้องดวงตาจากแสงจ้านั่น
“เมอร์คาบาห์...”
ปีศาจแห่งโชคชะตาของเขาปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแสงสว่างนั้นและลอยตัวลงมายืนอยู่ต่อหน้า
“เวลามีอีกไม่มากแล้วจำเป็นต้องให้เธอรับรู้เงื่อนไขที่สำคัญก่อนจะกลับไปเผชิญหน้ากับแอดมินิสเทรเตอร์”
จากการที่มาพูดคุยกับพวกปีศาจที่เขาถือครองได้แสดงว่าแอดมินิสเทรเตอร์ลูนาริสน่าจะถูกจัดการไปแล้ว
แอดมินิสเทรเตอร์ผู้มีพลังควบคุมและยับยั้งปีศาจทั้งปวงถูกจัดการไปแล้วเขาจังมาพบกับปีศาจของตัวเองได้
“…”
ความทรงจำยังกลับมาไม่ค่อยสมบูรณ์นัก
อิงศรพยายามนึกเท่าที่จะนึกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก่อนที่ตัวเขาจะเข้ามาอยู่ที่นี่
ช่วงที่กำลังเรียบเรียงความทรงจำนั่นเอง
ชายในชุดเกราะซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าที่น่ากลัวเหมือนปีศาจ
เอลิกอร์ก็พูดมาด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว
“ก็ตามที่ยัยนี่ว่าน่ะแหละ ห้าวเหลือเกินนะอิงศร
เป็นแค่มนุษย์แต่กล้าสังหารพระเจ้าด้วยมือตัวเอง”
เอลิกอร์หยุดคำพูดกะทันหันแล้วชายสายตาจากด้านหลังหมวกเกราะไปยังเทพเจ้าที่อยู่ในรูปลักษณ์ของชายชรามีหนวดเคราสีขาวร่างกายใหญ่โตแต่ทว่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม
มหาเทพแห่งแดนเหนือโอดิน ที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางก็พูดกระเซ้าว่า
“ถึงจะยืมมือตาลุงนี่ก็เถอะนะแต่ว่าต่อหน้าพระเจ้านั่นน่ะพวกข้าก็เหมือนไม่มีตัวตน”
แล้วเมอร์คาบาห์ก็พูดแทรกเอลิกอร์ทันที
“พวกเขายอมรับในตัวเธอที่โค่น
ลูนาริสลงได้ดังนั้นจากนี้ไปพวกเขาจะให้ความร่วมมือกับเธอ”
คำพูดนั่น....
“หมายความว่าฉันจะสามารถใช้งานโอดินได้ตามต้องการแล้วใช่ไหม”
เขาเพ่งเล็งไปยังเทพเจ้าผู้หยิ่งทระนงและจงใจใช้คำพูดไม่ไว้หน้าเทพเพื่อทดสอบ
ที่ผ่านมามีแต่โอดินที่มีปัญหาในการควบคุมใช้งานมากที่สุด
ทั้งที่มีพลังอำนาจมากมายแต่ก็เอามาใช้งานไม่ได้จนแทบไร้ประโยชน์
ถ้าเป็นปกติเขาคงโดนเทพเหยียบจมธรณีแต่ว่า
“เชอะ”
เทพเพียงแค่เดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ
“…”
เป็นจริงหรือเนี่ย
อิงศรไม่อยากจะเชื่อต่อความเป็นจริงตรงหน้าเลย แต่ว่ามันก็เป็นไปแล้ว
เมื่อเขาเอาชนะพระเจ้าได้ตัวเองก็จะมีอำนาจมากขึ้น
“…”
อิงศรร้องไห้
ทำไมเขาจึงร้องไห้ล่ะ
เพราะว่าซาบซึ้งยินดีกับการได้รับพลังนี้อย่างนั้นน่ะหรือ
ไม่ใช่... เขารู้สึกได้ว่าน้ำตานี้ไม่ได้มาจากความปลื้มปิ่ม
แต่เป็นความโศกเศร้าแสนขมขื่น
เมอร์คาบาห์พูดออกมาราวกับล่วงรู้ถึงจิตใจของเขา
“คิดว่าควรจะให้รู้เอาไว้”
แต่ที่นี่มันก็ข้างในจิตใจของตัวเขาเองอยู่แล้วนี่
“ข้างนอกตอนนี้พวกพ้องได้ตายกันไปหมดแล้ว”
พอหล่อนพูดมา
ปีศาจที่ใบหน้าเหมือนกับตัวเองกล่าวว่าพวกพ้องที่แสนสำคัญ
พวกพ้องที่เขารักมากตายอย่างง่ายดาย
มันทำให้เขาก็จำขึ้นมาได้
ทุกคนถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของพระเจ้าเหลือแค่มิ่งขวัญกับกวินทร์
จิตใจของเขาเริ่มจดจำเรื่องตอนที่ยังมีสติได้ทีละน้อย
ดังนั้นน้ำตาจึงไหลออกมา มันเป็นดั่งตัวแทนของความรู้สึกตัวเองในตอนนี้
จำได้ถึงความรู้สึกที่หมุนวนในตอนนั้น
ความโศกเศร้า
ความโกรธ
ความกลัว
ถูกเติมเต็มด้วยพลังด้านลบอย่างเปี่ยมล้น
แล้วในตอนนั้นเองความสิ้นหวังก็ถือกำเนิดขึ้น มันกัดกินหัวใจจนแทบหมดสิ้น
จากนั้นก็มีอำนาจบางอย่างคุกคามเข้ามาแล้วทำให้ใช้พลังของอาคานาร์ออกไป
ทำให้พระเจ้าบาดเจ็บสาหัสแต่เขาเองก็หมดสติเพราะว่าใช้พลังไปมาก
เมอร์คาบาห์พูด
“ตอนนี้น้องชายอันเป็นที่รักของเธอก็ตายแล้ว”
“…”
พอได้ฟังแล้วอิงศรนึกออกขึ้นมา
ถึงจะจำไม่ค่อยได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แต่จำได้ว่าเขาได้ยินเสียงของกวินทร์ที่ร้องเรียกมิ่งขวัญ
เสียงของหมอนั่นทรมานและโศกเศร้าเป็นอย่างมาก
ถ้าอย่างนั้นขวัญก็…
เขาก้มหน้าลง รู้สึกว่าตัวเองเม้มริมปากแน่นขึ้น
กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งตัวพยายามจะอดกลั้นความเศร้าเอาไว้
เพราะถ้าปลดปล่อยความเศร้าออกมาตอนนี้จิตใจคงจะพังทลายลง
ถ้าร้องไห้หนักกว่านี้ออกมาพลังในตัวคงได้เหือดหายไปหมด
เหมือนกับแม่มดในนิทานที่เมื่อเสียน้ำตาแล้วจะสูญเสียเวทมนต์ทั้งหมดไป
ที่ว่านั่นมันเป็นแบบนี้เอง
แค่ได้ยินเรื่องความตายของมิ่งขวัญ ขาของเขาก็แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว
อิงศรส่ายหน้าแรงๆ
เพื่อไล่ความรู้สึกที่กำลังเกาะกินตัวเองออกไปแล้วเงยหน้าขึ้น
“แล้ว...ต้องทำยังไงต่อ”
แต่ใบหน้าก็นองไปด้วยน้ำตา แววตามีแต่ความขมขื่นที่เฉิดฉายอยู่
เมอร์คาบาห์ตอบ
“รีบตื่น... ถ้าไม่ทำอย่างนั้นพวกพ้องคนสุดท้ายก็จะไม่เหลือไปด้วย”
พอพูดมาแบบนั้นก็เหมือนสติดับวูบไปชั่วขณะ
“…”
อิงศรปรือตาขึ้น
สัมผัสยังทำงานได้ไม่ค่อยเต็มที่นักแต่ร่างกายกำลังกลับมาทำงานทีละอย่างๆ
การมองเห็นและรับรู้กลับคืนมาแล้ว
“…”
มองเห็นท้องฟ้าที่ไม่รู้ว่าเป็นรุ่งสางหรือยามเย็น
การรับรู้สัมผัสของผิวหนังและรอบตัวก็กลับคืนมาด้วย
“…”
แผ่นหลังของตนแนบติดกับลานหินที่กว้างใหญ่และเย็นเยียบ
เขายังอยู่บนลิฟต์ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังบัลลังก์ของพระเจ้า
แต่มีส่วนที่ต่างออกไป…
เมื่อสัมผัสต่อรสและกลิ่นกลับคืนมาถึงได้รู้ว่า
ที่นี่ไม่มีซากศพกับเลือดของพวกพ้องที่น่าจะนอนเกลื่อนอยู่ทั่วบริเวณนี้อยู่เลย
“…”
บนท้องฟ้าปรากฏสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ลักษณะเป็นแผ่นสีดำบางๆ
คล้ายกับฟิมล์ที่มองทะลุไปข้างหลังได้แบบเรือนลาง
แล้วตอนนั้นหูที่เริ่มกลับมาทำงานก็ได้ยินเสียง
เสียงกรีดร้องของกวินทร์
“อ๊ากกกกก!!!”
อิงศรดีดตัวลุกขึ้นทันที
“กวินทร์!”
มือของเขาความหาอาวุธโดยอัตโนมัติแต่ก็หาไม่พบ
สายตามองตรงไปยังทิศที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง
ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“ก...วินทร์”
อยู่ที่นั่น...
แล้วแฟรนเซียมก็อยู่ด้วย ทั้งสองต่อสู้กันและการต่อสู้ก็จบไปแล้ว
กวินทร์ Lv.144
[/....352:82200.....]
กวินทร์ที่เผชิญหน้ากับแฟรนเซียมมีแต่บาดแผล
ที่บริเวณท้องมองเห็นเครื่องในที่แลบออกมาจากใต้มือเล็กน้อย
ซึ่งกวินทร์ใช้มันกดบาดแผลเอาไว้
เลือดเจิ่งนองอยู่ใต้เท้าและไม่กระจายไปยังจุดอื่น กวินทร์
ยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เริ่มสู้จนจบเลยหรือ
ชุดเกราะซามูไรจากเวพอนไนซ์อยู่ในสภาพขาดยับจนแทบมองไม่เห็นเค้าเดิมของมัน
กวินทร์ไม่ได้ยกดาบขึ้นแต่ปักมันลงกับพื้นนั่นแสดงให้เห็นว่ารุ่นน้องไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนแล้วด้วยซ้ำ
พริบตาหนึ่ง
ไม่รู้ว่ากวินทร์ที่ร่อแร่ใกล้ตายนั้นได้ยินเสียงของเขาหรือแค่บังเอิญ
แต่กวินทร์หันกลับมาด้วยใบหน้าที่มีรอยบากจากการโดนฟันและตาซ้ายถูกทำลาย
กวินทร์ขยับปากพูด แต่เสียงนั้นเบามาก
อิงศรจึงอ่านปากของรุ่นน้องแทน
“ทันเวลาพอดี...”
วินาทีถัดมาดาบก็แหวกทะลุแผ่นหลังออกมา
แฟรนเซียมแทงดาบใส่หน้าอกซ้ายของกวินทร์
ตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี
กวินทร์ Lv.144
[…..0:82200.....]
“กวินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!”
ความคิดเห็น